วันอาทิตย์, สิงหาคม 17, 2568

ชวนฟังเรื่องเล่าของ ยิ่งชีพ ที่เคยทำงานร่วมกับ คุณหมอสุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ประธานชมรมแพทย์ชนบท ช่วงที่โควิดระบาดหนัก ทำไมถึงต้อง #saveหมอสุภัทร


Yingcheep Atchanont
16 hours ago
·
ช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2564 เป็นช่วงที่โควิดระบาดหนักมาก รัฐบาลประยุทธ์สั่งเคอร์ฟิวและล็อกดาวน์ คนส่วนใหญ่ขังตัวอยู่ในบ้าน กิจกรรมทั้งหลายหยุดชะงัก แต่เราหาซื้อยาแก้โรคโควิดไม่ได้ หาซื้อเอทีเคมาตรวจเองที่บ้านไม่ได้ ไปโรงพยาบาลไม่ได้เพราะโรงพยาบาลเต็ม ใครป่วยโรคทางเดินหายใจเขาจัดเต้นท์นั่งข้างนอก เปิดเต้นท์โรงพยาบาลสนามมากมายแต่ก็ยังไม่พอ ทุกคนเครียดมาก
ตอนนั้นโควิดระบาดหนักในเมือง โดยเฉพาะในชุมชนแออัดที่บ้านหลังนึงอยู่อาศัยกันแน่น ไม่สามารถรักษาระยะห่างได้ ไม่สามารถใช้ชีวิตแบบแยกกันอยู่ได้และความช่วยเหลือเข้าไม่ถึง ใครป่วยก็นอนอัดกันในบ้าน ใครป่วยหนักอาจแค่ถูกขังให้นอนป่วยหนักอยู่ตรงนั้น หรือเสียชีวิตตรงนั้น ระบบสาธารณสุขติดขัดล้มเหลว บุคลากรทางการแพทย์มีไม่เพียงพอ
ผมเป็นเอ็กซ์โทรเวิร์ต ผมทนนั่งเฉยๆ อย่างปลอดภัยอยู่ในบ้านเหงาๆ ไม่ได้ แล้วก็มีเพื่อนคนหนึ่งประกาศหาอาสาสมัครไปช่วยกันจัดจุดตรวจโควิดในชุมชน ผมเลยสมัครไป โดยไม่รู้จักใครเลย เราประชุมออนไลน์กันด่วนๆ หนึ่งนัด นั่นคือครั้งแรกที่ได้เข้าใจระบบ เจ้าของไอเดีย คือ หมอสุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ประธานชมรมแพทย์ชนบท จากโรงพยาบาลจะนะ เขาเห็นว่าระบบสาธารณสุขในชุมชนเมืองตอนนี้ล้มเหลวเพราะบุคลากรไม่พอ จึงจะนำแพทย์ชนบทจากพื้นที่ห่างไกลที่ยังพอมีกำลังเหลือ เข้ามาช่วยในเมืองก่อน และเราจะบุกเข้าไปในชุมชนแออัดเพื่อไปตรวจโควิดให้ฟรี ใครติดก็ให้คำแนะนำเบื้องต้น จ่ายยาเบื้องต้นตรงนั้น ให้ทุกคนมียากินแล้วกลับไปนอนอยู่บ้านแบบไม่ตาย ไม่ถูกทอดทิ้ง แต่ไม่ต้องหอบตัวเองไปโรงพยาบาลในเมืองที่มันเต็มอยู่แล้ว
ถ้าจำไม่ผิดเราเปิดจุดตรวจ 7 วันต่อเนื่องวันละ 20 จุดพร้อมกัน มีการประชาสัมพันธ์กันในชุมชนให้คนในชุมชนที่อาจจะเสี่ยงลงทะเบียนล่วงหน้าและมาเข้าคิวตรวจ ผมเลือกไปเป็นอาสาช่วยงานที่จุดตรวจในเขตดินแดง เราไม่มีกำลังคนและไม่มีความพร้อม หน้างานวันแรกผมเจอทุกปัญหาและทุกความท้าทาย คุณป้าลงทะเบียนจองคิวไม่เป็น เก้าอี้ไม่พอ พื้นที่ไม่พอ ชุดป้องกันไม่พอ เจอคนจำนวนมากที่มั่นใจแล้วว่าตัวเองติดแน่ๆ ต้องการความช่วยเหลือด่วน เจอคนที่บอกว่าตัวเองเสี่ยงสูงมากไม่อยากเข้าแถวกลัวทำให้คนอื่นติด ที่สัมผัสได้ คือ เมื่อเรามีจุดตรวจในชุมชนตรงนี้มันกลายเป็นเหมือน “โอเอซิส” ของผู้ป่วยและคนที่เสี่ยงสูงที่พวกเขาไม่รู้ว่าจะหาความช่วยเหลือจากไหน ไม่รู้จะตรวจยังไง จะได้รับยายังไง จะมีใครมาช่วย เขาจึงแห่กันมาขอความช่วยเหลือตรงนั้น ตรงที่ไม่ได้มีทรัพยากรอะไรมาก ผมเองก็ลนลานแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่าที่ได้และเอาทรัพยากรทั้งโต๊ะ เก้าอี้ ลำโพง และเพื่อนๆ จาก iLaw มาช่วยรับมือเฉพาะหน้า
ทีมคุณหมอที่นั่งรถตู้ข้ามคืนจากร้อยเอ็ดมาถึงตอนเช้าใส่ชุด PPE ลงตรวจพอตอนบ่ายก็ร้อน หมอจะเป็นลมกันหมด ทีมนักเทคนิคการแพทย์ที่มาหยด ATK และอ่านผลทำงานติดขัด ระบบค้าง พอทำถึง 17.00 ทีมบอกทำสัญญาให้มาทำงานถึงเท่านี้ จะต้องกลับแล้ว ส่วนหมอที่สัมภาษณ์ผู้ป่วย ให้คำแนะนำและจ่ายยา ใส่ชุด PPE ทั้งวัน น็อกตายขณะที่ผู้ที่ตรวจพบว่าติดเชื้อแล้ว นั่งรอจ่ายยาอยู่อีกหลายสิบ ระบบติดขัด ผู้ป่วยติดค้างบางคนมารอสองสามชั่วโมงยังไม่ทราบผลการตรวจ และนั่งรวมๆ กันทั้งผู้ป่วย ผู้เสี่ยง ในพื้นที่บริเวณนั้น
เวลาประมาณ 19.00 น. ฟ้ามืดแล้วยังมีผู้ที่ตรวจแล้วรอฟังผลอยู่อีกหลักร้อย ผู้ที่รอตรวจหลักร้อย และผู้ที่ตรวจพบแล้วว่าติด แต่รอรับยาหลักสิบ ไม่รู้จะจัดการยังไง ผมแชทเข้าไปในกลุ่มประสานงานที่มีใครบ้างก็ไม่รู้ ผมไม่รู้จัก ผมบอกว่า ขอความช่วยเหลือ จุดดินแดงติดขัด ผู้ป่วยติดค้าง ขอกำลังคนเพิ่มหน่อย ผมแชทไปอย่างค่อนข้างสิ้นหวังโดยไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไง หมอที่ทำงานมาแต่เช้าสีหน้าจะเป็นลมอยู่แล้วแต่หันมาบอกผมว่า ในเมื่อผู้ป่วยมาแล้วยังไงก็ต้องเคลียร์ให้เสร็จคืนนี้ ถ้าไม่เสร็จก็ไม่เลิก
ฉากมันเหมือนหนังอะเวนเจอร์หน่อยๆ ที่อีกไม่กี่นาทีหลังจากนั้นก็มีรถตู้ขนหมอและทีมพยาบาลหนึ่งคันมาจอดที่สนามกีฬาชุมชนแฟลตดินแดง แล้วก็เป็นหมอสุภัทรกับทีมงานโรงพยาบาลจะนะก็โผล่ลงมาจากรถ พวกเขาไม่ใช่ไม่เหนื่อย เขาก็เพิ่งเดินทางมาจากสงขลา และตั้งจุดตรวจในชุมชนอื่นมาตั้งแต่เช้าวันนั้น ทำงานมา 12 ชั่วโมงแล้ว แต่เมื่อหมอสุภัทรทราบว่าจุดนี้มีปัญหา "เอาไม่อยู่" ทีมที่กำลังเดินทางกลับที่พักก็ถูกสั่งห้ามพักแล้วมาช่วยแก้ปัญหาต่อ ผมรีบปรี่เข้าไปหาหมอสุภัทร อธิบายปัญหา หนึ่ง สอง สาม เขาไม่ได้สนใจฟังผมเลย เขาพยักหน้า เดินดูรอบๆ แล้วสั่งการเปลี่ยนระบบการจัดการตรงนั้นใหม่ทั้งหมด ทั้งการตรวจ ATK การอ่านผล การจ่ายยา และสัมภาษณ์ผู้ป่วย
ประมาณ 21.30 เราเคลียร์ผู้ป่วยหมดได้ เหนื่อยแทบตายกับวันแรก
คืนนั้นยังไม่จบเราแยกย้ายไปและประชุมออนไลน์เพื่อถอดบทเรียน ตาจะปิดแล้วหัวหนักไม่ไหวแต่ก็ต้องคุยกัน ประเด็นแรกที่ผมโยนใส่ที่ประชุม คือ เรามีระบบลงทะเบียนเยอะเกินไป คนที่มารับการตรวจซึ่งบางคนป่วยและบางคนเสี่ยงสูง ต้องต่อคิวยื่นบัตรประชาชนเพื่อลงทะเบียนกรอกข้อมูลเข้าไปในระบบออนไลน์ ตรงนี้ใช้เวลามาก จากนั้นก็ต้องไปลงทะเบียนเพื่อรับชุดตรวจ ATK และถ้าใครติดเชื้อแล้วก็ต้องลงทะเบียนใหม่เพื่อเข้าระบบและรับยา รวมแล้วคนหนึ่งต้องลงทะเบียนสามครั้งภายใต้ความแออัดและความเสี่ยง การเข้าคิวติดขัด การใช้ปากการ่วมกัน เราไม่ควรต้องลงทะเบียนขนาดนี้
ผมไม่รู้ว่าใครวางระบบนั้นและไม่แน่ใจว่าพูดกับใคร แต่หลังพูดจบแล้ว หมอสุภัทรเปิดไมค์ตอบว่า “มันไม่ได้อ่ะครับ เราจะเบิกงบประมาณของเขา เราก็ต้องทำให้ถูกต้อง...” แล้วที่ประชุมก็เงียบ ก็มีพี่อีกคนหนึ่งเปิดไมค์ให้กำลังใจผมว่า ให้พยายามฝืนทำให้ได้ภายใต้ข้อจำกัดนี้ ผมเครียดมากแต่ก็ไม่มีทางเลือกอะไร นึกโกรธระบบราชการบ้างที่เพิ่มงานและเพิ่มความเสี่ยง แต่ก็เข้าใจว่าในภาวะวิกฤติเฉพาะหน้าทำอะไรได้ก็ทำไปก่อน
ผมไม่รู้ว่าหลังประชุมเสร็จสักเที่ยงคืนเกิดบทสนทนาอะไรขึ้นอีกบ้างเพราะผมหลับเป็นตาย ตั้งนาฬิกาปลุกหกโมงเช้าวิ่งไปตั้งจุดตรวจวันที่สอง เมื่อไปถึงหน้างานตั้งโต๊ะ ตั้งเก้าอี้ จัดจุดลงทะเบียนเสร็จแล้ว ได้รับแจ้งมาว่า วันนี้ให้เปลี่ยนระบบเป็นการลงทะเบียนหน้างานจุดเดียว ไม่ต้องลงทะเบียนตอนรับ ATK แล้ว ผมดีใจมากที่เสียงของผมมีคนได้ยิน และได้รับการตอบรับแล้ว แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตัดสินใจหรือหาวิธีใดมาแก้ไขระบบนี้ได้สำเร็จ
การตั้งจุดตรวจผ่านไปวันต่อวันแบบทุลักทุเล ในแต่ละวันจุดของผมจะมีคนมาตรวจประมาณ 600-900 คน วันแรกเจอผู้ติดเชื้อร้อยกว่า วันต่อๆ มาเจอน้อยลงหลักหลายสิบ และมีอีก 200-300 คนไม่ลงทะเบียนแต่มาขอตรวจหน้างาน ก็ให้ตรวจแต่รอหน่อย สิ่งที่สัมผัสได้ คือ มีคนจำนวนมากต้องการความช่วยเหลือ เราเปิดจุดแปดโมงตรงในแต่ละวัน แต่ทุกวันมีคนที่มารอตั้งแต่ 6-7 โมงเช้า มาพร้อมกับสารพัดปัญหา และสารพัดเงื่อนไขที่กำลังรอใครสักคนมาทำอะไรสักอย่าง นาทีนั้นบุคลากรสาธารณสุขก็ทำงานอย่างเต็มที่และเหน็ดเหนื่อย ขาดแคลน ทำยังไงก็ไม่ทัน ความพยายามของหมอสุภัทรและทีมแพทย์ชนบทเป็นเหมือนการสาดน้ำขันใหญ่ๆ ลงในทะเลทรายอันแห้งผาก เยียวยาความร้อนความแล้งได้เป็นจุดๆ ตรงจุดปัญหา ทำยังไงก็ไม่เพียงพอ แต่เป็นความพยายามที่น่านับถือ น่าสนับสนุน น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
นึกถึงประสบการณ์เมื่อสี่ปีก่อน นึกแล้วก็ยังจำความเครียดได้เสมอ และก็ภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งได้ทำอะไรบ้าง และเข้าใจอะไรมากขึ้นเมื่อผมผ่านสถานการณ์นั้นมาได้โดยไม่ติดเชื้อเพราะใส่หน้ากากอนามัย ผมถ่ายรูปในงานช่วงนั้นน้อยมาก เพราะมือไม่สะอาด หยิบโทรศัพท์ไม่ได้ และไม่อยากถ่ายรูปให้ติดผู้ที่มารับบริการ รูปที่โพสเป็นแค่รูปประกอบความทรงจำ ไม่ใช่รูปที่เกิดขึ้นตามเรื่องที่เขียนเล่าครับ
วันนี้ได้ยินว่า หมอสุภัทรอาจจะถูกให้ออกจากราชการ เพราะประเด็นการจัดซื้อ ATK ในช่วงแพทย์ชนบทบุกกรุง ผมไม่รู้รายละเอียดวิธีการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบราชการ ผมไม่เข้าใจ แต่ผมรู้และอยู่ร่วมในเหตุการณ์สำคัญว่า ภารกิจนั้นเป็นภารกิจที่สำคัญมาก เป็นประโยชน์มาก ไม่มีคำถามอะไรค้างคาเลยต่อสิ่งที่ได้ทำไปแล้ว
เรารู้ว่าหมอสุภัทร มีบทบาทมากกว่าการเป็นแพทย์ หมอสุภัทรแสดงความคิดเห็นทางการเมือง คัดค้านโครงการอุตสาหกรรมในภาคใต้ที่กระทบสิ่งแวดล้อม มาเป็นพยานเบิกความประเด็นความรู้ทางการแพทย์ในคดีเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมือง และไม่ได้รักชอบกันนักกับรัฐบาลทั้งชุดก่อนหน้านี้และชุดที่แล้ว ผมเชื่อว่า ถ้าหมอสุภัทรเป็นหมอเพื่ออยากได้เงินเดือนหรืออยากรวย เขามีวิธีมากมายกว่านั้น เขาสามารถเปิดคลิกนิกในเมือง สามารถเก็บค่ารักษาจากคนรวยแล้วรับทรัพย์ก็ได้ ผมคิดว่าคนที่จะเสียหายหากหมอสุภัทรถูกไล่ออกก็คือ ราชการไทย ระบบสาธารณสุขของไทย และผู้รอรับบริการทางการแพทย์จากโรงพยาบาลที่หมอสุภัทรดูแลอยู่

https://www.facebook.com/pow.ilaw/posts/24575717085365619
....