
iLaw
6 hours ago
·
ข่าวแจกสื่อมวลชนซึ่งเผยแพร่โดยกองสารนิเทศและประชาสัมพันธ์ สำนักงานศาลยุติธรรม ในวันที่ 22 สิงหาคม 2568 กรณีการยกฟ้องมาตรา 112 ของทักษิณ ชินวัตร กรณีให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้ มีตอนหนึ่งที่ระบุว่าในคำพิพากษาศาลเห็นว่า
“พยานบุคคลภายนอกที่โจทก์อ้างมาล้วนแต่เข้าร่วมชุมนุมขับไล่จำเลยทางการเมือง อันส่อแสดงให้เห็นว่าเป็นผู้มีอคติต่อจำเลย จึงมีข้อสงสัยถึงความเป็นกลางและต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง พยานบุคคลดังกล่าวของโจทก์ไม่อาจแสดงให้เชื่อได้ว่า วิญญูชนทั่วไปจะตีความข้อความที่จำเลยกล่าวไปในลักษณะที่พยานเหล่านั้นเข้าใจ”
ปรากฎการณ์นี้เป็นครั้งแรกในการพิจารณาของศาลที่มีการอธิบายว่าพยานซึ่งโจทก์เชิญมาให้การมีอคติต่อเลย แม้จะไม่ทราบว่าพยานเหล่านั้นเป็นใคร หรือให้การว่าอย่างไร แต่คำอธิบายลักษณะนี้ของศาลยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในคดีมาตรา 112
นอกจากนี้ศาลยังติงไว้ว่าต้องใช้ความระมัดระวังคำให้การของพยานโจทก์ที่มีอคติต่อทักษิณด้วย
เมื่อย้อนไปดูคดีมาตรา 112 ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา พบว่าลักษณะที่ผู้กล่าวโทษร้องทุกข์และพยานโจทก์เป็นคนกลุ่มเดียวกันคือกลุ่มที่อ้างว่าเป็นการ “ปกป้องสถาบันฯ” หลายกลุ่ม จากสถิติจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุว่ามีอย่างน้อย 142 คดีที่คนกลุ่มนี้กล่าวโทษดำเนินคดีในมาตรา 112
อ่านทั้งหมดได้ที่ https://tlhr2014.com/archives/73063
กลุ่มปกป้องสถาบันฯเหล่านี้มีหลากหลายกลุ่ม ตัวอย่างเช่น ศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบันฯ (ศปปส.) กลุ่มศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมาย ผู้ถูกล่วงละเมิดบนโลกออนไลน์ (ศชอ.) หรือกลุ่มประชาภักดิ์พิทักษ์สถาบัน โดยกลุ่ม ศปปส.เคยส่งคนไปให้การในคดีมาตรา 112 แล้วอย่างน้อย 54 คดี มีตัวอย่างที่คดีที่น่าสนใจคือคดีมาตรา 112 ของเบนจา อะปัญ แกนนำแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม กรณีปราศรัยหน้าตึกชิโนไทยเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2564 คดีนี้ถูกกล่าวหาโดย จักรพงศ์ กลิ่นแก้ว มะลิวัลย์ หวาดน้อย และปิยกุล วงษ์สิงห์ สมาชิก ศปปส. คดีนี้มีการสืบพยานเมื่อวันที่ 5-7 กันยายน 2566
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับคดีนี้เบนจาได้ที่ https://tlhr2014.com/archives/60958
มะลิวัลย์ หวาดน้อย ประกอบอาชีพรับจ้าง หนึ่งในผู้กล่าวโทษเบนจาให้การเป็นพยานฝ่ายโจทก์โดยยอมรับว่าเป็นสมาชิก ศปปส. ซึ่งเห็นคลิปแล้วนำไปกล่าวโทษ เธอยอมรับว่ากลุ่มศปปส.ไปกล่าวโทษมาตรา 112 กว่า 30 คดี และยังยอมรับว่าเธอและกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม มีความคิดเห็นทางการเมืองที่ “ขัดแย้งกัน”
สาเหตุที่เธอต้องมากล่าวโทษเพราะเห็นว่าคำปราศัยของเบนจาไม่เป็นความจริงและเป็นการใส่ร้ายรัชกาลที่ 10 เธอยอมรับว่าที่คิดเห็นเช่นนี้เป็นการตีความคำปราศรัยตามวิจารณญาณของเธอ โดยที่ยอมรับอีกว่าหากอ่านถอดบันทึกคำปราศรัยของเบนจาจะพบว่าไม่ได้มีการโจมตีรัชกาลที่ 10 ช่วงท้ายของการสืบพยานของมะลิวัลย์ เธอยอมรับกับศาลว่าวันที่ไปกล่าวโทษเธอไม่ได้ฟังคำปราศรัยฉบับเต็ม ฟังแค่ช่วงที่มีการเอ่ยพระนามรัชกาลที่ 10 เท่านั้น
ท้ายที่สุด ในวันที่ 30 ตุลาคม 2566 ศาลพิพากษาจำคุกเบนจา 2 ปี 8 เดือนก่อนให้รอการลงโทษโดยมีส่วนหนึ่งระบุว่าเมื่อรับฟัง “พยานโจทก์” ที่ไปในทำนองเดียวกันว่าเป็นการด้อยค่า ดูหมิ่นรัชกาลที่ 10 โดยตรง จึงให้ลงโทษเบนจาในคดีนี้
อ่านคำพิพากษาคดีนี้ของเบนจาได้ที่ https://tlhr2014.com/archives/61065
โดยที่ในคำพิพากษาคดีของเบนจาไม่ได้มีส่วนใดที่ศาลระบุว่าพยานโจทก์ที่ยอมรับว่าเป็นสมาชิกกลุ่ม ศปปส. นั้นเป็นกลุ่มมวลชนฝ่ายตรงกันข้าม หรือมีอคติกับจำเลยแต่อย่างใด และไม่มีการติงไว้ให้ต้องระมัดระวังความเป็นกลางในคำให้การของพยานโจทก์อย่างระมัดระวังเหมือนที่เกิดขึ้นในคดีของทักษิณ ชินวัตร ประเด็นนี้จึงเป็นบรรทัดฐานใหม่สำหรับคดีมาตรา 112 ที่ยังไม่เคยมีการคำนึงถึงการต้องระมัดระวังอคติและรับฟังด้วยความเป็นกลางภายใความขัดแย้งระหว่างโจทก์หรือพยานโจทก์กับจำเลย
https://www.facebook.com/photo?fbid=1181477420692542&set=a.625664032940553
ถือเป็นครั้งแรกที่ศาลเห็นว่าพยานโจทก์ที่มาให้การคดี #ม112 นั้นมี “อคติ” และให้รับฟังคำให้การอย่างระมัดระวัง
— iLawFX #นิรโทษกรรมประชาชน (@iLawFX) August 22, 2025
เมื่อเทียบกับคดี #ม112 คดีอื่นแล้วไม่เคยมีลักษณะนี้มาก่อน ย้อนดูคดี เบนจา อะปัญ ในอดีตพบว่าพยานโจทก์เป็นสมาชิก ศปปส. และยอมรับว่าขัดแย้งกับกลุ่ม แนวร่วมธรรมศาสตร์— pic.twitter.com/bUBvME6uUc
https://www.facebook.com/photo?fbid=1181477420692542&set=a.625664032940553
https://x.com/iLawFX/status/1958870557752963306