
Aun Theeraphat
August 23
·
เรากำลังซื้ออนาคตที่ดีกว่าให้ลูก หรือกำลังขายปัจจุบันที่มีค่าที่สุดของครอบครัวทิ้งไป ?
อ่าน Comment คุณแม่ท่านหนึ่ง
บ้านหนึ่งที่เงินเดือนแตะ 200,000 บาทต่อเดือน แต่กลับพูดได้เต็มปากว่า “ยังไม่พอเลี้ยงลูก”
เพราะรายจ่ายเรื่องการศึกษาและกิจกรรมเสริมกลืนกินแทบหมด
ค่าเทอม 62,000 บาทต่อเทอมยังไม่นับอะไรเลย (เรียนหลักสูตรเอกชนไทย)
เมื่อบวกกับคลาสเสริมที่พ่อแม่พยายามหาให้ลูก = มวย ว่ายน้ำ ปั้นดินน้ำมัน หมากรุกสากล ดนตรี ศิลปะ กีฬา ฯลฯ
ค่าใช้จ่ายก็พุ่งขึ้นจนเงินเดือนก้อนโตกลับหายไปเหมือนน้ำที่รดทราย
=====
นี่ไม่ใช่เรื่องของบ้านใดบ้านหนึ่งนะครับ แต่คือ ความจริงของครอบครัวชนชั้นกลางยุคนี้
ที่ทำงานหาเงินเก่ง แต่เงินกลับรั่วไหลไปกับสิ่งที่สังคมบอกว่า “ลูกต้องได้” ไม่งั้นจะเสียโอกาส
มันคือ "เมนูบุฟเฟ่ต์แห่งความวิตกกังวล" ที่พ่อแม่ยุคนี้ถูกกดดันให้ซื้อ
มวยไทยเพื่อความแข็งแกร่ง ว่ายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอด ปั้นดินน้ำมันเพื่อ EQ หมากรุกเพื่อ IQ ไวโอลินเพื่อความละเอียดอ่อน ศิลปะเพื่อจินตนาการ กีฬาทีมเพื่อการทำงานร่วมกัน
ทั้งที่ความเป็นจริง "1 ดนตรี(หรือศิลปะ) + 1 กีฬา" ก็เพียงพอสำหรับมนุษย์หนึ่งคนแล้ว
สังคมเรากำลังสร้าง “การแข่งขันด้านการเลี้ยงลูก” พ่อแม่ไม่เพียงแข่งเรื่องโรงเรียน แต่แข่งกันส่งลูกเรียนเสริมทุกอย่าง
พ่อแม่จึงทำงานหนัก เครียดสะสม กลายเป็นเครื่องจักรหาเงิน
จนบางครั้งลืมไปว่า สิ่งที่ลูกต้องการจริง ๆ ไม่ใช่คลาสที่ 5 หรือคลาสที่ 10
แต่คือการมีพ่อแม่ลูกที่ยิ้มได้ และบ้านที่ไม่เต็มไปด้วยความกดดัน
และทุกวันนี้พ่อแม่ทำงานจนตาลาย แต่กลับรู้สึกเหมือนวิ่งอยู่บนลู่วิ่งที่ไม่มีวันถึงเส้นชัย
ยิ่งหาเงินมาก ยิ่งจ่ายมาก ยิ่งจ่ายมาก ยิ่งรู้สึกว่าลูกยังได้ไม่พอ
หลายคนบอกแทบไม่ใช่การเลี้ยงลูก แต่คือการแข่งขันประมูลอนาคต
=====
มายาคติของโรงเรียนไทย "ราคาถูก"
"ส่งลูกเรียนโรงเรียนไทยดีกว่า ประหยัดกว่าอินเตอร์"
คำโกหกที่หวานที่สุดของระบบการศึกษาไทย เรามี "จำเลยสำคัญ" ทำให้ธุรกิจการศีกษา กวดวิชามันยังไปได้อยู่
เพราะเมื่อคุณกางบิลจริง ๆ เอาค่าใช้จ่ายมารวม ๆ กันจริง ๆ โรงเรียนไทย "ดี ๆ" จำนวนมากแพงพอ ๆ หรือใกล้กับอินเตอร์ดี ๆ ที่ไม่แพงมาก
แถมยังมาพร้อมกับ ค่าใช้จ่ายแฝง ที่ไม่มีใครบอก เช่น กวดวิชาที่จำเป็นเพราะครูในห้องสอนไม่จบ ค่ายพิเศษที่ "ไม่บังคับแต่ทุกคนต้องไป"
หรือโครงการแลกเปลี่ยนที่ "สร้างประสบการณ์" กิจกรรมหลังเลิกเรียนที่ "เสริมทักษะ"
โรงเรียนไทยสร้างระบบที่บอกเป็นนัยว่า สิ่งที่เราสอนไม่พอ คุณต้องจ่ายเพิ่ม ติวเพิ่มข้างนอก
แต่ในความเป็นจริง โรงเรียนนานาชาติที่แม้ค่าเทอมจะสูง แต่รวมวิชาการ ภาษา กีฬา ศิลปะเอาไว้ในหลักสูตร เด็กไม่ต้องเรียนจนดึกทุกวัน
และพ่อแม่ไม่ต้องตามหาคอร์สเสริมทุกสัปดาห์
แต่ก็ยังมีอีกเช่นกัน พ่อแม่ไทยที่กลัวตกรถตกขบวนเอาลูกไปเข้าระบบอินเตอร์ + ทั้งติว + กวดวิชา + ปั้นพอร์ตหลักแสนหลักล้าน จนค่าใช้จ่ายบานปลายไปหมด
จนตอนนี้การสร้างคน 1 คนไม่รูัจะไปสิ้นสุดที่เงินเท่าไหร่
ย้ำอีกทีเผื่อใครอ่านไม่เคลียร์…. ผมไม่ได้บอกว่าอินเตอร์ดีร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือดีกว่าการศึกษาไทย เพราะส่วนไม่ดีก็มี
แต่ช่องว่างทางการศึกษาเกิดมากขึ้นเรื่อย ๆ ในทุก ๆ วัน
====
วงจรและกับดักของชนชั้นกลางไทย
พ่อแม่ทำงานหนักเพื่อหาเงินส่งลูกเรียน
ลูกเรียนหนักเพื่อตอบแทนความคาดหวัง
ทุกคนเหนื่อย ทุกคนเครียด แต่ไม่มีใครกล้าหยุด
เพราะระบบนี้ได้ฝังความกลัวเข้าไปในสมอง
กลัวลูกจะตกขบวน กลัวจะแพ้คนอื่น กลัวอนาคตที่ไม่แน่นอน
แต่ความจริงที่โหดร้ายกว่าคือ เด็กที่ถูกยัดเยียดทุกอย่างจนล้น กลับไม่ได้เก่งกว่าเด็กที่ได้เล่น ได้พัก ได้ใช้เวลากับครอบครัว
การศึกษาวิจัยทั่วโลกบอกตรงกันว่า เด็กที่มีความสุขเรียนรู้ได้ดีกว่าเด็กที่ถูกกดดัน
แต่เราเลือกที่จะไม่เชื่อ เพราะเชื่อแล้วต้องยอมรับว่า เราทำผิดมาตลอด
=====
ราคาที่แท้จริงของการแข่งขัน
ค่าใช้จ่ายที่แพงที่สุดไม่ใช่ตัวเงิน
มันคือเวลาที่ครอบครัวไม่ได้อยู่ด้วยกัน
มันคือรอยยิ้มของพ่อแม่ที่หายไปกับความเครียด
มันคือวัยเด็กที่ถูกขโมยไปด้วยตารางเรียนที่แน่นเอี๊ยด
มันคือความสัมพันธ์ที่เย็นชาลงทุกวันที่ต่างคนต่างวิ่ง
เรากำลังแลกอะไรกับอะไร?
แลกปัจจุบันที่มีค่ากับอนาคตที่ไม่มีใครรับประกัน?
แลกความสุขของวันนี้กับความหวังที่อาจไม่เป็นจริง?
=====
ระบบที่ล้มเหลวและผู้มีอำนาจที่นิ่งเฉย
ปัญหานี้ไม่ใช่แค่เรื่องของแต่ละครอบครัว มันคือความล้มเหลวเชิงโครงสร้างของสังคมไทย
1. กระทรวงศึกษาที่ยังผลิตหลักสูตรแบบโรงงาน ไม่ตอบโจทย์โลกจริง
เอาง่าย ๆ นะ ถ้าใครว่าหลักสูตรไทยดีจริง ๆ ลองลงทุนเลยครับ ไปเปิดโรงเรียนเอกชนหลักสูตรไทยที่ อังกฤษ อเมริกา ยุโรป จีน ฯลฯ แข่งกับหลักสูตรอื่นดู
2. โรงเรียนรัฐที่ทิ้งให้เด็กต้องพึ่งกวดวิชา เพราะครูสอนไม่จบ หรือสอนไม่ดี
3. นโยบายการศึกษาที่เขียนโดยคนที่ส่งลูกเรียนต่างประเทศ หรือเรียนอินเตอร์ หลายคนยังไม่กล้าส่งลูกตัวเองเรียนในระบบที่ตัวเองออกแบบไว้
4. ผู้มีอำนาจที่มองการศึกษาเป็นธุรกิจ ไม่ใช่การลงทุนเพื่ออนาคตของชาติ
คิดนโยบายที่ดูดีบนกระดาษ
5. ขณะที่พ่อแม่ชนชั้นกลางกำลังจมน้ำกับค่าใช้จ่ายที่ระบบการศึกษาสร้างขึ้น
6. ระบบการศึกษาไทยกลายเป็น กลไกสร้างความเหลื่อมล้ำ แทนที่จะเป็นบันไดแห่งโอกาส
คนรวยซื้อการศึกษาที่ดีได้
คนจนได้แต่มอง
ส่วนชนชั้นกลาง? ต้องบีบตัวเองจนแทบแหลกเพื่อไม่ให้ลูกตกชั้น
สมัยก่อนรวยจนสอบข้อสอบเดียวกัน
สมัยต่อมาโรงเรียนกวดวิชาเบ่งบาน คนรวย คนอยู่ในกรุงเทพฯได้เปรียบ
มายุคนี้ยุคพอร์ตฟอลิโอ คนรวยได้เปรียบ หลายอย่างต้องใช้เงินปั้น
===
คำถามสำคัญ
เมื่อไหร่เราจะหยุดวิ่งตามกระแสที่สังคมสร้าง?
เมื่อไหร่เราจะกล้ายอมรับว่าลูกไม่จำเป็นต้อง "เก่งทุกอย่าง"?
เมื่อไหร่เราจะเห็นคุณค่าของเวลาครอบครัวมากกว่าใบประกาศนียบัตร?
แต่ก็อีกนั่นแหละ...ถ้าเราทำ 3 ข้อนี้ได้....ลูกเราจะยืนในสังคมได้อย่างไร ถ้าการศึกษาไทยยังถูกออกแบบมาแบบนี้
และที่สำคัญที่สุดเมื่อไหร่ผู้มีอำนาจจะหยุดทำเป็นไม่เห็นปัญหา?
เพราะตราบใดที่ระบบการศึกษายังไม่ถูกปฏิรูปอย่างจริงจัง
ตราบใดที่การศึกษายังเป็นสินค้าแทนที่จะเป็นสิทธิพื้นฐาน
ตราบใดที่ผู้กำหนดนโยบายยังส่งลูกตัวเองไปเรียนต่างประเทศ
ยอมรับความจริงเถอะ...จะเอาลูกเข้าโรงเรียนดี ๆ ดัง ๆ "ต้องจ่ายค่าติว เสียเวลาชีวิตไปนั่งติว" โรงเรียนดี ๆ บางที่ เดี๋ยวนี้บริจาค 3 - 5 ล้าน
เข้าไปแล้วบางโรงเรียนบอกเล่นสมวัย แต่ก็ "แอบไปติวต่อ" พ่อแม่ทำการบ้านให้
เงินเดือนสองแสนก็จะยังไม่พอ
และชนชั้นกลางไทยก็จะยังเป็นทาสของระบบที่พวกเขาไม่ได้เลือก
ปัญหานี้ไม่ได้อยู่แค่ในบ้าน
แต่มันสะท้อนตรงไปถึง ระบบการศึกษาและผู้มีอำนาจ ที่ยังปล่อยให้พ่อแม่ต้องแบกรับภาระเกินจริง
โรงเรียนไทยจำนวนมากจัดการเรียนรู้ไม่พอจนเด็กต้องพึ่งกวดวิชา
ขณะที่รัฐยังมองไม่เห็นต้นทุนจริงของครอบครัว
หากผู้มีอำนาจยังไม่ยอมปฏิรูประบบการศึกษา ค่าเทอมและค่าใช้จ่ายจะยังเป็นหลุมดำที่ดูดทรัพยากรของครอบครัวชนชั้นกลางไปเรื่อย ๆ
จากหลักสูตรไทย ใครมีกำลังหน่อยก็หนีไป EP
จาก EP ใครมีกำลังหน่อยก็หนีไปอินเตอร์
จากอินเตอร์ ใครมีกำลังมีความรู้หน่อย ก็หนีไปต่างประเทศเลย
พ่อแม่ต้องเขย่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่รู้จะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน
สมองก็ไหลออกนออกประเทศไปเรื่อย ๆ
ช่องว่างระหว่างชนชั้นก็มากขึ้นเรื่อย ๆ
กลับมาคำถามแรก....เรากำลังซื้ออนาคตที่ดีกว่าให้ลูก หรือกำลังขายปัจจุบันที่มีค่าที่สุดของครอบครัวทิ้งไป?
==========
บทความนี้ หรือทุกบทความที่ผมเขียนขึ้นเพื่อให้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ไม่ได้ชี้นำว่าระบบใดดีหรือไม่ดี เพราะเชื่อว่าทุกเด็กมีเอกลักษณ์และศักยภาพที่แตกต่างกัน
และการศึกษาไทยต้องยอมรับว่า "ถึงทางตัน" ยังไงก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลง
เงื่อนไขแต่ละคน แต่ละบ้าน ไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน....พิจารณาและจัดการกันตามความเหมาะสมนะครับ
https://www.facebook.com/photo?fbid=1137600328261581&set=a.101772728511018