
24 ส.ค. 2568
ไทยรัฐออนไลน์
“สิริพรรณ” แนะควรแยก “องค์กรอิสระ - ศาลรัฐธรรมนูญ” ออกจากรัฐธรรมนูญ แก้ปัญหามีอำนาจเกินขอบเขต จนทำให้นักการเมืองจ้องครอบงำแทรกแซง เชื่อหากทำสำเร็จช่วยปลดล็อกได้ระดับหนึ่ง
เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 24 ส.ค. 2568 ภายหลังเสร็จสิ้นการเสวนาในหัวข้อ “ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ (รธน.) องค์กรอิสระและศาลรธน.” ศ.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี นักวิชาการคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์ถึงการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าจะสำเร็จหรือไม่ โดย ศ.สิริพรรณ ระบุว่า วัตถุประสงค์ของการเสวนาวันนี้เป็นความพยายามแก้ปัญหาเฉพาะหน้า (แก้เท่าที่จะแก้ได้โดยไม่กระทบมาตรา 265) ที่ระบุว่า หากจะแก้ไขที่มาจะต้องไปทำประชามติ ดังนั้นต้องดูว่าจะแก้ที่ประเด็นใด จึงจะดำเนินการเรื่องรวดเร็ว เช่น การรับรอง แทนที่จะให้สมาชิกวุฒิสภา (สว.) เป็นผู้รับรอง เป็นไปได้หรือไม่ให้สมาชิกทั้งรัฐสภาเป็นผู้รับรอง
องค์กรอิสระไร้การตรวจสอบ
ศ.สิริพรรณ กล่าวด้วยว่า หากมองปัญหาดังกล่าวไปถึงรากเหง้า ที่ผ่านมาประเทศไทยเข้าใจบทบาทขององค์กรอิสระในฐานะที่เป็นอีกสถาบันหนึ่งเทียบเคียงกับฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ และองค์กรอิสระ ซึ่งองค์กรอิสระมีหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร แต่ตัวองค์กรอิสระแทบจะไม่ได้รับการตรวจสอบใดๆ ดังนั้นการนำองค์กรอิสระใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญ เราจึงเรียกว่าเป็นองค์กรอิสระภายใต้รัฐธรรมนูญ ขณะที่ต่างประเทศ องค์กรอิสระเป็นองค์กรที่กำกับตรวจสอบภายใต้การทำงานของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติรัฐสภา (องค์กรหนุน) เพื่อหลีกเลี่ยงความล่าช้าของระบบราชการ
แนะดึงแยกออกจาก รธน.
“ฉะนั้น จำเป็นหรือไม่ที่ต้องมีองค์กรอิสระภายใต้รัฐธรรมนูญ หรือนำองค์กรอิสระออกจาก รธน. โดยให้มีร่างพระราชบัญญัติประกอบองค์กรอิสระแต่ละองค์กรรองรับ เช่น หากเกิดรัฐประหารและมีการฉีก รธน. เราก็จะไม่มีสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และไม่มีสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หากองค์กรเหล่านี้อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ของตัวเอง แม้จะไม่มีรัฐธรรมนูญ องค์กรเหล่านี้ก็ยังสามารถทำงานต่อเนื่องไปได้” ศ.สิริพรรณ กล่าวและว่า
อำนาจเยอะ นักการเมืองจ้องครอบงำ
ทั้งนี้ ขอบเขตอำนาจขององค์กรอิสระมันรุนแรง และมีฤทธิ์เดชเยอะมาก ทั้งตัดสิทธิ์นักการเมือง ยุบพรรคการเมือง เป็นต้น คำถามคือใครจะเข้ามาตรวจสอบ ฉะนั้น ถ้าองค์กรอิสระมีอำนาจเยอะมาก และกระทบกับความเป็นความตายและการอยู่รอดของนักการเมือง แน่นอนว่าฝ่ายการเมืองก็อยากเข้ามาครอบงำและแทรกแซง จึงกลายเป็นโจทก์ที่พันกันเหมือนงูกินหาง
เชื่อแค่ปลดล็อกได้ระดับหนึ่ง
ขณะเดียวกัน หากมีโอกาสแก้รัฐธรรมนูญ ศ.สิริพรรณ ระบุว่า ต้องพิจารณาว่า ตำแหน่งขององค์กรอิสระควรอยู่ภายใต้ รธน. หรือไม่ หรือควรนำออกไป และคำนึงถึงอำนาจหน้าที่ว่ามีขอบเขตเท่าใด รวมทั้งจำนวนขององค์กรอิสระ อาทิ ในต่างประเทศ กกต. มี 3-5 คน ไม่จำเป็นต้องมีถึง 7 คน
เมื่อถามว่า ปัจจุบันองค์กรอิสระมีอำนาจมาก หากการแก้ไข รธน. ในอนาคตสามารถทำได้สำเร็จและได้รับความเห็นชอบอย่างพร้อมเพียงในสภา มองว่าอนาคตจะทำให้วัฒนธรรมการเมืองไทยมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ศ.สิริพรรณ กล่าวว่า หากไปถึงตรงนั้น จะสามารถปลดล็อกได้ในระดับหนึ่ง อย่างน้อยต้องเห็นว่าทุกองค์กรจะมีความสมดุลและมีที่มาการตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างกัน ส่วนจะเป็นการแก้ปัญหาทั้งหมดหรือไม่ คาดว่ายังไม่ใช่ แต่เป็นการปลดล็อกที่สำคัญ เพราะแง่วัฒนธรรมความคิดของไทย มีหลายเรื่องทางชื่นชมตัวบุคคล มากกว่าระบบและโครงสร้างมากพอสมควร จึงอยากชวนสังคมหารือไปด้วยกัน เนื่องจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นองค์กรอิสระ ต้องใช้งบประมาณภาษีประชาชน ฉะนั้น เมื่อระบบการเมืองมีเสถียรภาพ เราจะได้รัฐบาลที่มีความรับผิดชอบต่อประชาชน และจะทำให้การดำเนินนโยบายเข้มแข็งและเข้มข้นขึ้น รวมทั้งจะทำให้ผลประโยชน์ตกอยู่กับประชาชน ซึ่งกระทบโดยตรงกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยทุกคน
เรียกร้องประชาชนช่วยกดดัน
นอกจากนี้ ศ.สิริพรรณ ยังกล่าวอีกว่า การแก้ รธน. แม้แต่รายมาตราที่ไม่ต้องทำประชามติ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่เป็นผู้เสียประโยชน์ในครั้งนี้ ดังนั้นประชาชนต้องช่วยกันส่งเสียงและกดดันว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องแก้ไข โดยค่อยๆ แก้ไขกันไป ส่วน สว. แม้จะมีที่มาจากการเลือกกันเอง แต่ก็ยังเป็นตัวแทนของประชาชน ดังนั้นต้องฟังเสียงของประชาชนด้วย เพื่อให้ได้รัฐบาลมีเสถียรภาพและความเข้มแข็ง
https://www.thairath.co.th/news/politic/2878511
“สิริพรรณ” แนะควรแยก “องค์กรอิสระ - ศาลรัฐธรรมนูญ” ออกจากรัฐธรรมนูญ แก้ปัญหามีอำนาจเกินขอบเขต จนทำให้นักการเมืองจ้องครอบงำแทรกแซง เชื่อหากทำสำเร็จช่วยปลดล็อกได้ระดับหนึ่ง
เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 24 ส.ค. 2568 ภายหลังเสร็จสิ้นการเสวนาในหัวข้อ “ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ (รธน.) องค์กรอิสระและศาลรธน.” ศ.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี นักวิชาการคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์ถึงการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าจะสำเร็จหรือไม่ โดย ศ.สิริพรรณ ระบุว่า วัตถุประสงค์ของการเสวนาวันนี้เป็นความพยายามแก้ปัญหาเฉพาะหน้า (แก้เท่าที่จะแก้ได้โดยไม่กระทบมาตรา 265) ที่ระบุว่า หากจะแก้ไขที่มาจะต้องไปทำประชามติ ดังนั้นต้องดูว่าจะแก้ที่ประเด็นใด จึงจะดำเนินการเรื่องรวดเร็ว เช่น การรับรอง แทนที่จะให้สมาชิกวุฒิสภา (สว.) เป็นผู้รับรอง เป็นไปได้หรือไม่ให้สมาชิกทั้งรัฐสภาเป็นผู้รับรอง
องค์กรอิสระไร้การตรวจสอบ
ศ.สิริพรรณ กล่าวด้วยว่า หากมองปัญหาดังกล่าวไปถึงรากเหง้า ที่ผ่านมาประเทศไทยเข้าใจบทบาทขององค์กรอิสระในฐานะที่เป็นอีกสถาบันหนึ่งเทียบเคียงกับฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ และองค์กรอิสระ ซึ่งองค์กรอิสระมีหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร แต่ตัวองค์กรอิสระแทบจะไม่ได้รับการตรวจสอบใดๆ ดังนั้นการนำองค์กรอิสระใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญ เราจึงเรียกว่าเป็นองค์กรอิสระภายใต้รัฐธรรมนูญ ขณะที่ต่างประเทศ องค์กรอิสระเป็นองค์กรที่กำกับตรวจสอบภายใต้การทำงานของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติรัฐสภา (องค์กรหนุน) เพื่อหลีกเลี่ยงความล่าช้าของระบบราชการ
แนะดึงแยกออกจาก รธน.
“ฉะนั้น จำเป็นหรือไม่ที่ต้องมีองค์กรอิสระภายใต้รัฐธรรมนูญ หรือนำองค์กรอิสระออกจาก รธน. โดยให้มีร่างพระราชบัญญัติประกอบองค์กรอิสระแต่ละองค์กรรองรับ เช่น หากเกิดรัฐประหารและมีการฉีก รธน. เราก็จะไม่มีสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และไม่มีสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หากองค์กรเหล่านี้อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ของตัวเอง แม้จะไม่มีรัฐธรรมนูญ องค์กรเหล่านี้ก็ยังสามารถทำงานต่อเนื่องไปได้” ศ.สิริพรรณ กล่าวและว่า
อำนาจเยอะ นักการเมืองจ้องครอบงำ
ทั้งนี้ ขอบเขตอำนาจขององค์กรอิสระมันรุนแรง และมีฤทธิ์เดชเยอะมาก ทั้งตัดสิทธิ์นักการเมือง ยุบพรรคการเมือง เป็นต้น คำถามคือใครจะเข้ามาตรวจสอบ ฉะนั้น ถ้าองค์กรอิสระมีอำนาจเยอะมาก และกระทบกับความเป็นความตายและการอยู่รอดของนักการเมือง แน่นอนว่าฝ่ายการเมืองก็อยากเข้ามาครอบงำและแทรกแซง จึงกลายเป็นโจทก์ที่พันกันเหมือนงูกินหาง
เชื่อแค่ปลดล็อกได้ระดับหนึ่ง
ขณะเดียวกัน หากมีโอกาสแก้รัฐธรรมนูญ ศ.สิริพรรณ ระบุว่า ต้องพิจารณาว่า ตำแหน่งขององค์กรอิสระควรอยู่ภายใต้ รธน. หรือไม่ หรือควรนำออกไป และคำนึงถึงอำนาจหน้าที่ว่ามีขอบเขตเท่าใด รวมทั้งจำนวนขององค์กรอิสระ อาทิ ในต่างประเทศ กกต. มี 3-5 คน ไม่จำเป็นต้องมีถึง 7 คน
เมื่อถามว่า ปัจจุบันองค์กรอิสระมีอำนาจมาก หากการแก้ไข รธน. ในอนาคตสามารถทำได้สำเร็จและได้รับความเห็นชอบอย่างพร้อมเพียงในสภา มองว่าอนาคตจะทำให้วัฒนธรรมการเมืองไทยมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ศ.สิริพรรณ กล่าวว่า หากไปถึงตรงนั้น จะสามารถปลดล็อกได้ในระดับหนึ่ง อย่างน้อยต้องเห็นว่าทุกองค์กรจะมีความสมดุลและมีที่มาการตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างกัน ส่วนจะเป็นการแก้ปัญหาทั้งหมดหรือไม่ คาดว่ายังไม่ใช่ แต่เป็นการปลดล็อกที่สำคัญ เพราะแง่วัฒนธรรมความคิดของไทย มีหลายเรื่องทางชื่นชมตัวบุคคล มากกว่าระบบและโครงสร้างมากพอสมควร จึงอยากชวนสังคมหารือไปด้วยกัน เนื่องจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นองค์กรอิสระ ต้องใช้งบประมาณภาษีประชาชน ฉะนั้น เมื่อระบบการเมืองมีเสถียรภาพ เราจะได้รัฐบาลที่มีความรับผิดชอบต่อประชาชน และจะทำให้การดำเนินนโยบายเข้มแข็งและเข้มข้นขึ้น รวมทั้งจะทำให้ผลประโยชน์ตกอยู่กับประชาชน ซึ่งกระทบโดยตรงกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยทุกคน
เรียกร้องประชาชนช่วยกดดัน
นอกจากนี้ ศ.สิริพรรณ ยังกล่าวอีกว่า การแก้ รธน. แม้แต่รายมาตราที่ไม่ต้องทำประชามติ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่เป็นผู้เสียประโยชน์ในครั้งนี้ ดังนั้นประชาชนต้องช่วยกันส่งเสียงและกดดันว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องแก้ไข โดยค่อยๆ แก้ไขกันไป ส่วน สว. แม้จะมีที่มาจากการเลือกกันเอง แต่ก็ยังเป็นตัวแทนของประชาชน ดังนั้นต้องฟังเสียงของประชาชนด้วย เพื่อให้ได้รัฐบาลมีเสถียรภาพและความเข้มแข็ง
https://www.thairath.co.th/news/politic/2878511