วันศุกร์, สิงหาคม 22, 2568

ดูความทุเรศ ! เรือนจำยกเลิกซุ้มถ่ายรูปในการเยี่ยมญาติใกล้ชิดที่เป็นบริการให้ผู้ต้องขังได้ถ่ายรูปกับญาติ - ⭕400 วันในเรือนจำของ “ขุนแผน” ผู้ต้องขังคดี 112 กับความซับซ้อนของการเยี่ยมญาติใกล้ชิด

ภาพจาก เรือนจำกลางบางขวาง เตรียมความพร้อมในการต้อนรับญาติผู้ต้องขังทุกท่าน ที่เข้าร่วมกิจกรรมเยี่ยมญาติใกล้ชิด
.....

อานนท์ นำภา 
12 hours ago
·
ชวนคิดอย่างมีเหตุมีผล
.
เรือนจำยกเลิกซุ้มถ่ายรูปในการเยี่ยมญาติใกล้ชิดที่เป็นบริการให้ผู้ต้องขังได้ถ่ายรูปกับญาติ ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีมากๆ สำหรับญาติและผู้ต้องขังที่จะได้มีรูปร่วมกันเก็บไว้ เพราะบางคนเจอกันนานๆที นี่เป็นบริการที่ถูกกฎหมาย เป็นภาพถ่ายอย่างถูกต้องจากเรือนจำ ไม่ใช่รูปแอบถ่าย (ซึ่งแอบถ่ายไม่ได้อยู่แล้วเพราะต้องเข้าไปตัวเปล่า)
การที่ญาติโพสต์รูปผู้ต้องขัง ทำให้คนที่เป็นห่วงผู้ต้องขัง ได้เห็นหน้าตาที่สดใสของผู้ต้องขัง ซึ่งมันก็สะท้อนได้ว่าเรือนจำยังดูแลผู้ต้องขังได้ดี ยังไม่เห็นเลยว่าจะมีอะไรเสียหาย นอกจากนี้ ไม่ใช่ว่าผู้ต้องขังบางคนก็ถูกถ่ายรูปถ่ายคลิปอยู่เป็นประจำ เพื่อ promote เรือนจำไม่ใช่หรือ
กับแค่การโพสต์รูปผู้ต้องขังทางการเมือง ที่หน้าตาสดใสกับญาติพี่น้อง ไม่ควรเป็นเหตุให้ถึงกับต้องยกเลิกซุ้มถ่ายรูป ที่กระทบการเยี่ยมญาติใกล้ชิดอีกจำนวนมากของอีกหลายครอบครัว

https://www.facebook.com/xannth.na.pha
.....


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
13 hours ago
·
400 วันในเรือนจำของ “ขุนแผน” ผู้ต้องขังคดี 112 กับความซับซ้อนของการเยี่ยมญาติใกล้ชิด
.
.
เมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2568 ทนายความได้เข้าเยี่ยมเชน ชีวอบัญชา หรือ “ขุนแผน” นักกิจกรรมและผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 วัย 58 ปี ที่ยังคงถูกคุมขังระหว่างอุทธรณ์ที่เรือนจำกลางบางขวาง มาตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคมปี 2567
.
ครั้งนี้เป็นการพบปะในช่วงที่เขาใกล้จะครบคุมขัง 400 วัน ท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวในห้องเยี่ยมที่คับแคบ ขุนแผนสุขภาพดีขึ้นหลังจากผ่านการรักษาตัวจากอาการเส้นเลือดในสมองตีบ ที่ทำให้เขาต้องถูกส่งไปโรงพยาบาลราชทัณฑ์เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 ก่อนจะถูกย้ายจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มายังเรือนจำกลางบางขวางเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2568
.
ขุนแผนระบายถึงความไม่เข้าใจต่อกฏเกณฑ์และข้อบังคับต่าง ๆ ภายในเรือนจำที่เขามองว่าขาดความสมเหตุสมผลและไม่มีที่มาที่ไปที่ชัดเจน ทั้งเรื่องการบังคับใช้หน้ากากอนามัยเฉพาะตอนออกมาเยี่ยมญาติ การกำหนดเงื่อนไขซับซ้อนสำหรับการเยี่ยมญาติใกล้ชิด และคำถามเรื่องการสำนึกผิด ด้วยน้ำเสียงที่มีคำถามกับสิ่งที่เขาเห็นว่าผิดปกติ

______________________________

ขณะพบหน้ากันขุนแผนดึงหน้ากากอนามัยออกจากใบหน้า พร้อมกับเสียงบ่นเบา ๆ “ให้ใส่แมสทุกครั้งก็ไม่ไหว ดูอากาศบ้างสิ ไม่ได้ถ่ายเทขนาดนั้น ร้อนก็ร้อน” จากคำถามแรกอันเป็นประโยคทักทาย ขุนแผนมักจะตอบด้วยรอยยิ้มอันเรียบง่าย “ผมสบายดีครับ” คำตอบที่ดูขัดแย้งกับชีวิตในเรือนจำ แต่กลับเป็นคำตอบเดียวที่เขาสามารถให้ได้ในขณะนี้
.
บทสนทนามาที่เรื่องของการเยี่ยมญาติใกล้ชิดกลายเป็นประเด็นที่ทำให้ขุนแผนต้องหยุดคิด อาทิตย์หน้าเขายังไม่สามารถเยี่ยมญาติใกล้ชิด เพราะเห็นว่ากระบวนการมีความซับซ้อนเกินความจำเป็น โดยก่อนจะได้พบกับญาติ ต้องผ่านการกักโรค เข้าร่วมโครงการ ‘รักวินัย’ ทำกิจกรรมต่าง ๆ ภายในแดน พร้อมถ่ายรูปเป็นหลักฐาน “โครงการนี้ผมไม่เคยเห็นในระเบียบเลย” ขุนแผนกล่าวด้วยความสงสัย
.
“หากไม่มีระเบียบที่ออกมาจากส่วนกลาง หรือเป็นข้อกำหนดที่บังคับใช้จริง ผมก็จะไม่ทำ” ก่อนตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับจุดประสงค์แท้จริงของการเยี่ยมญาติใกล้ชิด หากจุดประสงค์คือเพื่อให้ผู้ต้องขังได้พบกับญาติของตน แล้วทำไมต้องมีเงื่อนไขมากมายให้ต้องทำก่อน
.
สำหรับขุนแผน เขาไม่รู้สึกเร่งด่วนที่จะต้องเยี่ยมญาติใกล้ชิด เพราะภรรยาของเขาเข้าใจสถานการณ์ดี โดยอีกปัญหาหนึ่งคือหากจะเข้าเยี่ยมต้องมีเรื่องสถานะการสมรส เนื่องจากไม่ได้จดทะเบียนกัน ทำให้ต้องให้พี่สาวรับรองความสัมพันธ์ และนำเอกสารมาทำเรื่องอีกครั้ง หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องเล็ก แค่ทำให้จบไป แต่สำหรับขุนแผนกลับเห็นว่าการที่ผู้คนมองว่าเป็นเรื่องเล็กนี่แหละที่ทำให้สิ่งเหล่านี้ยังคงอยู่เสมอมา ทั้งที่ในระเบียบหรือข้อกำหนดต่าง ๆ ก็ไม่มีอย่างชัดเจน
.
การพูดคุยกลับไปเรื่องหน้ากากอนามัย เป็นอีกประเด็นที่ขุนแผนมองว่าเป็นปัญหา ก่อนออกมาเยี่ยมญาติหรือทนายความ ผู้ต้องขังต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย ในขณะที่เขามองว่าโควิดไม่ได้ระบาดแล้ว และการป้องกันก็ไม่ได้จริงจังขนาดนั้น เพราะอยู่ข้างในก็ไม่ได้ใส่ “มันใช่เรื่องที่ผมจะต้องไปตามหาแมสหรือ” เขาตั้งคำถาม “บางคนที่ไม่มี ก็ต้องวิ่งไปหายืม หรือขอจากคนที่รู้จัก ผมก็อยากรู้ถ้าผมหาไม่ได้และเดินออกมาแบบนั้น เจ้าหน้าที่จะให้คำตอบเช่นไร จะไม่ให้ผมออกไปเยี่ยมใช่ไหม”
.
ขุนแผนมองว่าหากเรือนจำกำหนดมาแบบนี้ ก็ควรมีหน้าที่ในการจัดเตรียมหน้ากากอนามัยให้ เพราะไม่ใช่ผู้ต้องขังทุกคนที่ทางบ้านจะมีเงินมากพอ อย่างไรก็ตาม เขาชื่นชมบางสิ่งที่เรือนจำทำ โดยเฉพาะการแจกเสื้อสีฟ้าให้กับคนที่ไม่มีญาติ ปีละ 1 ตัวต่อคน “อันนี้ผมว่าดี อย่างน้อยมันต้องแจกจริง ๆ ไม่งั้นเขาก็ไม่มีเสื้อใส่แน่นอน”
.
สำหรับการติดตามข่าวสารภายนอก ส่วนใหญ่จะได้รับทราบข้อมูลจากภรรยาเมื่อมาเยี่ยม แต่ก็ไม่ได้รายละเอียดมากนัก เช่น เรื่องที่ชายแดนมีคนเสียชีวิต เขาทราบแค่นั้น ซึ่งเขาอยากทราบสถานการณ์มากขึ้นกว่านั้น
.
เมื่อพูดถึงเรื่องอภัยโทษ ขุนแผนรับทราบข้อมูลจากประกาศของเรือนจำ และแสดงความดีใจกับผู้ที่ได้รับประโยชน์ ส่วนตัวเขาเองไม่ได้หวังมากนัก เนื่องจากคดียังไม่สิ้นสุดลง “คงอยู่เต็มโทษมั้ง” เขากล่าวพร้อมเสียงหัวเราะเบา ๆ
.
ระหว่างการสนทนา ขุนแผนนึกถึงเรื่องแปลก ๆ ของเรือนจำอีกเรื่องหนึ่ง คือช่วงแรกที่เข้าเรือนจำ มีการให้กรอกแบบฟอร์มต่าง ๆ โดยมีคำถามทำนองว่า “มีการสำนึกในการกระทำความผิดหรือไม่” เขาเห็นว่าเป็นคำถามที่น่าขำ เพราะเป็นคำถามที่ไม่ควรมาถาม จะรู้ได้อย่างไรว่าสำนึกจริงหรือไม่จริง และในกรณีของผู้ที่เป็นแพะรับบาป ที่ไม่ได้ทำตั้งแต่แรก เขาจะต้องมาสำนึกผิดเรื่องอะไร และผู้ต้องขังที่ถูกย้ายมาเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ หลายคน ก็คดียังไม่ได้สิ้นสุด
.
อีกทั้งขุนแผนยังไม่ทราบว่าคำถามเหล่านี้จะถูกนำไปใช้กับเรื่องอะไร ที่แปลกยิ่งกว่าคือทำไมผู้ที่ถามคำถามเหล่านี้ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ แต่กลับเป็นผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ซึ่งก็คือผู้ต้องขังด้วยกัน

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1173993714571097&set=a.656922399611567