
Jom Petchpradab
4 hours ago
·
เบื้องหลัง "นพ.สุภัทธ ฮาสุวรรณกิจ" ถูกให้ออกจากราชการ ...เพราะความเลวระยำของนักการเมืองกับข้าราชการบางคน ..
Thitinob Komalnimi
6 hours ago
·
#นพสุภัทรต้องไม่ออกจากราชการ!
ความจริงไม่ได้อยากเขียนสุภาพ อยากตะโกนด่า "ขนาดนพ.สุภัทรโดนอย่างนี้ ต่อไปเกิดวิกฤตระบบสุขภาพ ใครจะกล้าลุกขึ้นมาทวนน้ำ ทวนกระแส ข้าราชการคนอื่นคงหัวหดหมด"
.
วันนี้มาถึงจนได้ เมื่อ “นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ” ฟ้องกับสาธารณะถึงการลงโทษไร้เหตุผล เกินกว่าเหตุ และกลั่นแกล้งขั้นขีดสุด (อาจ) “ให้ออกจากราชการ” เพียงเพราะแบ่งซื้อ ATK มาตรวจในกิจกรรม “แพทย์ชนบทบุกกรุง” 3 รอบ ในช่วง ก.ค.- ส.ค. 2564 โดยพาเพื่อนแพทย์และบุคลากรวิชาชีพต่าง ๆ จาก 33 จังหวัดกือบ 400 ชีวิตเข้ามาตัดวงจรไม่ให้กรุงเทพฯ ในฐานะ “ศูนย์กลางส่งออกเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่” กระจายเชื้อไปจังหวัดต่าง ๆ ปกป้องไม่ให้ระบบบริการสุขภาพล้มเหลว หลายโรงพยาบาลสนามในหลายจังหวัดรับมือกับผู้ป่วยไม่ไหวแล้ว
.
ย้อนกลับไปห้วงเวลานั้น, ช่วงโควิดระบาดระลอก 3 รุนแรง ภาครัฐยังใช้การตรวจแบบ RT-PCR แม้แม่นยำยืนยันการติดเชื้อ แต่ปริมาณการตรวจทำได้น้อยมาก ๆ ประชาชนทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ชุมชนเปราะบาง ทั้งชุมชนแออัด ไซต์ก่อสร้าง แคมป์แรงงาน ฯลฯ มีความวิตกกังวล ไม่มีทางออก ปฏิบัติการทีมแพทย์ชนบทบุกกรุงครั้งนั้นเข้ามาเปลี่ยนวิธีการการตรวจคัดกรองเชิงรุกโดยใช้ ATK ทำให้มีคนกรุงเทพฯ ได้รับตรวจคัดกรองหลายหมื่นคนในเวลาไม่กี่วัน และน่าจะเป็นจุดเปลี่ยนให้ภาครัฐยอมรับการใช้ ATK เป็นวิธีการคัดกรองเชิงรุกอย่างเป็นทางการในเวลาต่อมา
.
นพ.สุภัทร ให้สัมภาษณ์สื่อ ช่วงกลางปี 2564 โควิด-19 ระบาดหนักในกรุงเทพฯ ขณะที่ชุดตรวจ ATK ขาดแคลน โรงพยาบาลแกนนำในเครือข่ายแพทย์ชนบทจึงต้องจัดหามาเอง เราทำงานกันหลายโรงพยาบาล ช่วยกันจัดหา ATK คนละไม่เกิน 2 ล้านบาท เพราะอำนาจ ผอ.รพ.ชุมชนกำหนดวงเงินเท่านี้ เราซื้อกันตามความจำเป็น เพื่อรองรับผู้ป่วยจำนวนมากในปฏิบัติการตรวจคัดกรองที่กรุงเทพฯ
.
นพ.สุภัทรบอกว่า ซื้อ ATK รวม 3 รอบ เนื่องจากจำนวนผู้เข้ารับการตรวจมีมากกว่าที่คาดการณ์ “บางครั้งซื้อแล้วไม่พอ ต้องซื้อเพิ่มในหน้างานจริง” โดยยืนยันว่าไม่ได้เป็นการ “แบ่งซื้อแบ่งจ้าง” ตามที่ถูกกล่าวหาทั้งยังซื้อในราคาถูกกว่าที่สปสช.จัดหาด้วยซ้ำ
.
แต่โรงพยาบาลอื่นที่จัดซื้อในคราวนั้นด้วยไม่ถูกสอบสวนนะ (แปลกไหมหล่ะ)
.
และ “การให้ออกจากราชการ” คือบทลงโทษหลังจากที่ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขใช้ความพยายามทุกทางในการ ย้าย นพ.สุภัทร จากโรงพยาบาลจะนะ มารพ.สะบ้าย้อย สำเร็จมาครั้งหนึ่งแล้ว ทำไมต้องรุนแรงกันขนาดนี้ จะค่อย ๆ แทรกอธิบาย
.
เฉพาะหน้า หาก นพ.สุภัทร “ถูกให้ออกจากราชการ” ด้วยข้อหา “ทุจริตต่อหน้าที่": หมายถึง การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น ไม่ว่าประโยชน์ที่แสวงหานั้นจะเป็นเงินทอง สิ่งของ หรือบริการก็ตาม
.
ในแง่ “ส่วนตัว” นพ.สุภัทร จะไม่มีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญ ซึ่งถือเป็นสิทธิประโยชน์ที่สำคัญของข้าราชการที่ทำงานมาทั้งชีวิต ส่วนตำแหน่งหน้าที่ราชการ: การถูกให้ออก หรือไล่ออกจากราชการหมายถึงการสูญเสียสถานะความเป็นข้าราชการอย่างสิ้นเชิง จะไม่สามารถกลับเข้ารับราชการในอนาคตได้
.
ซ้ำอาจโดนโทษทางกฎหมายอาญา: การกระทำทุจริตต่อหน้าที่ราชการถือเป็นความผิดอาญาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และมีความผิดวินัยร้ายแรง ซึ่งอาจมีโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2,000 ถึง 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งหมดทั้งมวลถือเป็นประวัติเสียหายอย่างร้ายแรงในอาชีพราชการ และย่อมส่งผลกระทบต่อโอกาสในการทำงานอื่นในอนาคตด้วย จะสมัคร สส. สว. หรือข้าราชการการเมืองตำแหน่งอื่นใดในองค์กรอิสระก็ลำบาก นี่คือการประหารชีวิตข้าราชการคนหนึ่งที่ทำงานเพื่อบ้านเมืองที่มีผลงานประจักษ์ พิสูจน์ได้
.
กล่าวอีกบทบาทหนึ่งของ นพ.สุภัทร, การขึ้นเป็นประธานชมรมแพทย์ชนบท ตั้งแต่ปี 2563
.
#ปิดปากสุภัทรคือเด็ดหัวชมรมแพทย์ชนบท
.
“ชมรมแพทย์ชนบท” นั้น (เดิมคือ กลุ่มสหพันธ์แพทย์ชนบท) ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2519 จากการรวมตัวของแพทย์เพื่อทำงานในชนบท โดยมีรากฐานมาจาก โครงการสัมผัสชนบท ของนักศึกษาแพทย์ในปี 2511 และการเคลื่อนไหวของแพทย์ใช้ทุนรุ่นแรกที่ประสบปัญหาการทำงานในชนบท
.
ชมรมนี้ก่อตั้งขึ้นด้วยวัตถุประสงค์เพื่อ ส่งเสริมการแพทย์และสาธารณสุขในชนบท และผลักดันนโยบายด้านสุขภาพ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทางสุขภาพ จนถึงปัจจุบัน, มีส่วนสำคัญในการวางรากฐานระบบสุขภาพของประเทศไทย โดยเฉพาะระบบสุขภาพปฐมภูมิ
.
ไม่นับบทบาทการถ่วงดุลอำนาจนักการเมืองที่เข้ามาครอบงำข้าราชการ เป็นเสมือนผู้ตรวจสอบระบบภายในหรือ “หมาเฝ้าบ้าน” ของ “กระทรวงสาธารณสุข” ตรวจสอบโครงการทุจริตมามากมาย และเคยร่วมกับชมรมเภสัชชนบทตรวจสอบการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์จนจับนักการเมืองติดคุก ถอดถอนข้าราชการระดับสูงมาแล้ว
.
เป็นวัฒนธรรมองค์กรที่กระทรวงอื่นอยากให้เกิดขึ้น แต่ไม่สามารถสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็งเช่นนี้ได้ เพราะมี “ความเป็นวิชาชีพ” เข้ามาเกี่ยวข้อง อีกประการ, ข้าราชการสธ. สมัยก่อนยังพอมีกระดูกสันหลัง และหิริโอตะปะอยู่บ้าง จึงยืนระยะจัดการความสัมพันธ์กับนักการเมืองได้พอดิบพอดี
.
แต่หลังจากที่มีการรัฐประหาร 2557 ทหารครองเมือง เกิด “รัฐราชการ” ทุกอย่างว่ากันด้วยโครงสร้างอำนาจแนวดิ่ง ข้าราชการทุกกระทรวงอ่อนไหวกันไปหมด ต้องรักษาความปลอดภัยของตนเองก่อน วัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็งก็สยบยอมอำนาจที่เหนือกว่า บริบทเช่นนี้, เราเคยเห็นใจผู้บริหาร สธ. แต่การกวาดล้างกันถึงที่สุดแบบนี้ มันเริ่มไม่ใช่แล้ว
.
กลับมาที่บทบาท นพ.สุภัทร หลังขึ้นเป็นประธานชมรมแพทย์ชนบทในอีกหมวกหนึ่ง ทำหน้าที่ทักท้วงเสนอแนะเรื่องราวใน สธ. อาทิ การไม่เห็นด้วยต่อนโยบายกัญชาเสรี การโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม การบริหารจัดการโควิดและวัคซีน
.
โดยเฉพาะการตั้งข้อสงสัย “รพ.สต.ไม่ใช่ถังขยะทิ้งวัคซีนโควิด 16 ล้านโดส” หลังพบหนังสือมติที่ประชุม ศบค. ให้กระจายวัคซีนโควิด-19 ทั้งซิโนแวค แอสตราเซเนกา และไฟเซอร์รวม 16 ล้านโดส ไปเก็บไว้ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ทั่วประเทศ ห่วงหมดอายุไม่ทันใช้ สิ้นเปลืองงบฯ ข่าวและเอกสารแนบดังนี้ (https://theactive.thaipbs.or.th/news/covid19-20220602) การไม่ลงนามงบส่งเสริมป้องกันปี 2566 รวมทั้งการซื้อ ATK ที่มีข้อสงสัย สิ่งเหล่านี้สร้างความหงุดหงิดต่อใครบางคน จนนำมาสู่คำสั่งให้ย้ายนพ.สุภัทรให้ได้ก่อนยุบสภา เดือนมีนาคม 2565
.
#ความขัดแย้งที่ยอมกันไม่ได้สูญเสียทุกฝ่าย
#นักการเมืองลอยตัว
.
ในสมรภูมิกระทรวงสาธารณสุข, เพื่อจัดการ นพ.สุภัทร หรือพูดให้ถึงที่สุดคือ เด็ดหัว “ชมรมแพทย์ชนบท” ยุทธการเทก้อนกรวดออกจากรองเท้า ทำให้ สธ. ต้องสถาปนาอำนาจพิเศษ หรือโครงสร้างอัปลักษณ์ขึ้นมาจัดการ เพื่อย้าย ผอ.โรงพยาบาลชุมชนคนหนึ่ง มีคนได้รับผลกระทบไปด้วยจำนวนไม่น้อย
.
ก่อนหน้านี้ สธ.ได้วางระบบไว้ว่า ตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมชนและแพทย์สามารถขึ้นได้ถึงระดับวิชาการเชี่ยวชาญ ซึ่งไม่ใช่ตำแหน่งบริหารจึงไม่มีวาระที่ต้องย้าย และนพ.สุภัทรก็ไม่ได้สมัครใจย้าย ปลัดสธ.จึงไม่กล้าลงนามเอง เพราะกลัวผิดกฎหมายอาญา ม. 157 จึงมีการสั่งการให้ผู้ตรวจราชการเป็นคนเซ็น ใครลงนามจะได้เลื่อนชั้นรวดเร็ว เรื่องราวจึงโกลาหล
.
7 ธันวาคม 2565 สธ.ลงนามคำสั่งโยกย้ายผู้ตรวจราชการทั่วประเทศ ผู้ตรวจสวัสดิ์ อภิวัจนีวงค์ ได้ขึ้นที่เขต 4 (สระบุรี) ส่วนเขต 12 ยังเป็นผู้ตรวจฯ นพสุเทพ เพชรมาก ไม่ยอมลงนาม ด้วยเห็นว่าไม่มีเหตุให้สั่งย้าย ผลก็คือ วันที่ 11 มกราคม 2566 ปลัดกระทรวงมีคำสั่งย้ายผู้ตรวจฯ นพ.สุเทพไปอยู่เขตอื่น เอาผู้ตรวจฯ นพ.สวัสดิ์ อภิวัจนีวงค์ จากเขต 4 มาเขต 12 ทั้งที่เพิ่งไปเขต 4 ได้เดือนเดียว เพื่อมาเป็นคนลงนาม
.
แต่ระเบียบการให้อำนาจผู้ตรวจฯ สั่งย้ายผู้อำนวยการเชี่ยวชาญในโรงพยาบาลชุมชนยังไม่ชัดเจน ปลัดสธ. จึงลงนามในหนังสือหลักเกณฑ์ใหม่ลงวันที่ 23 มกราคม 2566 ให้ผู้ตรวจฯ มีอำนาจย้ายตำแหน่งวิชาการเชี่ยวชาญได้ สองวันต่อมาก็มีการประชุมคณะกรรมการย่อยพิจารณาย้าย นพ.สุภัทร และลงนามในคำสั่งย้ายไปเป็นผอ.รพ.สะบ้าย้อยทันที วันที่ 26 มกราคม 2566 คำสั่งย้ายจึงหลุดออกมาทางสื่อ โดยที่นพ.สุภัทรไม่ได้เห็นก่อน
.
และกระบวนการอันมิชอบนี้เป็นเหตุให้นพ.สุภัทรฟ้องศาลปกครองว่า ปลัดสธ. ผิดกฎหมายอาญา ม. 157 โดยมีนพ.สุเทพ เพชรมาก เมื่อถูกย้ายออกจากตำแหน่งผู้ตรวจฯ อย่างไร้เหตุผลก็ลาออกจากราชการ และลงสมัครรับตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ทั้งที่ตัวเองก็ไม่เคยคิดที่จะลาออกจากราชการมาก่อน
.
คดีปลัดสธ.ถูกฟ้องศาลปกครอง มีนพ.สุเทพ เป็นพยานให้นพ.สุภัทร
.
ต่อให้ไม่เกษียณอายุราชการ ปลัดสธ.ก็อาจต้องออกจากตำแหน่งโดยมิชอบเช่นกัน
.
ข้อหาจัดซื้อฯ โทษมีตั้งแต่ว่ากล่าวตักเตือน แต่ถูกดันไปสูงสุด คือ “ออกจากราชการ” กลายเป็นความขัดแย้งที่ยอมความกันไม่ได้ และใครจะไปไกล่เกลี่ยก็ไม่ได้เช่นกัน
.
สำหรับการสอบสวนครั้งนี้ สธ.แต่งตั้ง นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ เป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย ซึ่งล่าสุดได้มีมติให้ออกจากราชการ โดย นพ.สุภัทร จะสิ้นสุดการทำงานในเดือนกันยายนนี้ พร้อมกับ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ที่เกษียณอายุราชการ ???
.
#ยังมีทางเลือกอื่นไหม?
#เผือกร้อนพรรคเพื่อไทย
.
มติของคณะกรรมการสอบสวนจะถูกส่งต่อไปยัง คณะกรรมการชุดใหญ่อีกชุดหนึ่งพิจารณา โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน และ ปลัดกระทรวงฯ เป็นรอง (ยังไม่เห็นรายชื่อคณะกรรมการทั้งหมด) แต่เผือกร้อนมาอยู่ในมือ ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ พรรคเพื่อไทย
.
การให้ นพ.สุภัทรออกจากราชการ หรือไม่ ดูเหมือนเป็นเรื่องเล็ก แต่ท่ามกลางบริบทพรรคเพื่อไทยต้องรับศึกรอบด้าน ศึกเพื่อนบ้าน ศึกภาษี ศึกศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งกระแสการไม่เอาโครงการแลนด์บริจ และร่าง พ.ร.บ.ระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ คราวนี้ ประเด็น นพ.สุภัทร อาจ “จุดติด” เรียกประชาชนลุกฮือ ต่อต้านพรรคเพื่อไทยที่ก่อเรื่องไว้นับไม่ถ้วน
.
ปัญหาการเมืองก็ต้องแก้ด้วยการเมือง
ถ้าจะไม่แคร์อะไร ไม่สนหัวประชาชน ก็จะได้เจอสงครามกับประชาชนแน่
#saveSupat
https://www.facebook.com/thitinob/posts/10229686397452721