วันเสาร์, สิงหาคม 02, 2568

4 นัยต่อประเทศไทย จากอัตราภาษีนำเข้า 19% ที่ไทยตกลงได้กับสหรัฐฯ



4 นัยต่อประเทศไทย จากอัตราภาษีนำเข้า 19% ที่ไทยตกลงได้กับสหรัฐฯ

ปณิศา เอมโอชา
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
เมื่อ 9 ชั่วโมงที่แล้ว

รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยเมื่อวันที่ 31 ก.ค. ตามเวลาท้องถิ่น อยู่ที่ 19% ลดลงจากตัวเลขเดิมที่ 36%

ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, กัมพูชา และมาเลเซีย ต่างก็ได้รับตัวเลขเดียวกันกับไทย ขณะที่เวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศแรกที่มีรายงานว่าทำข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ได้ มีอัตราภาษีอยู่ที่ 20%

บีบีซีไทยพูดคุยกับนักวิเคราะห์และตัวแทนภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจริง เพื่อตอบคำถามว่าอัตราภาษีนำเข้าที่น้อยลงจากตัวเลข 36% มาอยู่ที่ 19% แปลว่าประเทศไทยสบายใจได้แล้วจริงหรือไม่

1. ไทยหนีกรณีเลวร้ายสำเร็จ

ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด บอกกับบีบีซีไทยว่า ในภาพใหญ่ ข้อตกลงที่ไทยได้มาหมายความว่า ไทยสามารถหนีจากกรณีที่เลวร้ายที่สุดได้แล้ว

เขาอธิบายว่า หากไทยโดนภาษีระดับ 31%-36% จะส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งปีอยู่ในระดับ 0%-0.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

นักเศรษฐศาสตร์รายนี้มองว่าจีดีพีรวมทั้งปีของไทยตอนนี้น่าจะเติบโตอยู่ที่ราว 1.8% เมื่อเทียบกับตัวเลขปีก่อน พร้อมเสริมว่า ตอนนี้ภาคธุรกิจจะได้เริ่มเตรียมตัวรับมือและปรับโครงสร้างกันได้ "สักที"

ด้าน ภัคธร เนียมแสง ผู้จัดการฝ่ายเศรษฐกิจและโลจิสติก สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยกับบีบีซีไทยว่า สำหรับผู้ส่งออก ตัวเลข 19% ถือว่า "ยังพอต่อรองกับลูกค้าได้บ้าง"

"ถามว่ากลับไปจุดเดิม [ก่อนสหรัฐฯ ประกาศภาษีตอบโต้] ไหม ไม่ เหนื่อยกว่า แต่เหนื่อยน้อยกว่า 36% แน่นอน" ภัคธร ระบุ

แถลงการณ์ล่าสุดจาก สรท. ระบุว่า เนื่องจากไทยได้รับอัตราภาษีที่ใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งสำคัญในภูมิภาค ทำให้สินค้าไทยยังคงสามารถแข่งขันได้ และความชัดเจนของอัตราภาษีทำให้คาดว่าจะส่งผลดีต่อการส่งออกของไทยในครึ่งปีหลังให้สามารถเติบโตได้อย่างน้อย 5-7%

2. สหรัฐฯ ตั้งภาษี 'เหมาเข่ง' ไม่สนมิติอื่น
  • หมดยุคพี่ช่วยน้อง ไม่มีสิทธิพิเศษอีกต่อไป
ตัวเลขภาษีที่ออกมานั้น หากไม่นับสิงคโปร์ ลาว และเมียนมา ประเทศในกลุ่มอาเซียนล้วนได้อัตราภาษีในระดับเดียวกันที่ 19%-20% ทั้งสิ้น

สำหรับภัคธร เขามองว่านี่คือการทำนโยบายการค้าแบบ "ทรัมป์ 2.0" กล่าวคือ ไม่มีการให้สิทธิประโยชน์พิเศษจากการเป็นประเทศกำลังพัฒนาหรือประเทศด้อยพัฒนา

"ตามหลักสากล ประเทศที่พัฒนาแล้วก็ต้องพี่ช่วยน้องบ้าง แต่ว่าในมุมของนักธุรกิจ เขาไม่ได้มองแบบนั้น เขามองว่าตัวเองเสียเปรียบ ไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นประเทศพัฒนาแล้ว" ผู้จัดการฝ่ายเศรษฐกิจและโลจิสติก สรท. กล่าวกับบีบีซีไทย

บีบีซีไทยพบว่า จากเอกสารของผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ในปี 2563 สหรัฐฯ เคยใช้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป หรือ Generalized System of Preferences (GSP) กับประเทศในอาเซียน รวมถึงไทยในฐานะประเทศกำลังพัฒนา หรือกัมพูชาในฐานะ "ประเทศกำลังพัฒนาที่ได้รับสิทธิประโยชน์และอยู่ในกลุ่มพัฒนาน้อยที่สุด"

ภัคธร อธิบายถึงระบบ GSP ก่อนหน้านี้ว่า สมมติเปรียบเทียบไทยกับกัมพูชา ส่งออกสินค้าประเภทเดียวกันไปยังสหรัฐฯ ในฐานะประเทศกำลังพัฒนา สหรัฐฯ อาจคิดภาษีนำเข้าจากไทย 10% แต่คิดกับกัมพูชาแค่เพียง 2% โดยนับเป็นการช่วยเหลือด้านการส่งออกและการพัฒนาเศรษฐกิจได้
  • ความมั่นคงและธุรกิจเป็นคนละเรื่อง
นอกจากประเด็นด้านการค้า ที่สะท้อนชัดถึงมุมมอง "อเมริกาต้องมาก่อน" (America first) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ วิลเลียม เจ.โจนส์ จากมหาวิทยาลัยมหิดล ยังเสริมด้วยว่า ประธานาธิบดีทรัมป์มองการทำนโยบายเศรษฐกิจแยกออกจากมิติความมั่นคง


พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ (ซ้าย) จับมือกับ กิลเบิร์ต เตโอโดโร รัฐมนตรีกลาโหมฟิลิปปินส์ (ขวา) ระหว่างการเยือนค่ายอากินัลโด เมืองเกซอน กรุงมะนิลา เมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา โดยมุ่งเน้นการเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคง และหารือเกี่ยวกับข้อกังวลในทะเลจีนใต้

ผศ.วิลเลียม ยกตัวอย่างว่า แม้แต่ในประเทศที่มีความร่วมมือทางความมั่นคงหรือการทหาร อย่างกรณีของสิงคโปร์หรือฟิลิปปินส์ หรือแม้แต่ประเทศที่มีสายสัมพันธ์ทางการทูตมายาวนานอย่างไทย ทรัมป์ก็ไม่นำเข้ามารวมในสมการ อีกทั้งภาษาและท่าทางทางการทูตที่ทรัมป์ใช้ก็ยังมีความ "ไม่เหมาะสม" อยู่ในน้ำเสียงและท่าทีด้วย

สำหรับฟิลิปปินส์ บีบีซีไทยพบว่ามีข้อตกลงการขยายความร่วมมือด้านการทหาร (Enhanced Defense Cooperation Agreement - EDCA) กับสหรัฐฯ ซึ่งมีการลงนามไปตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งอนุญาตให้สหรัฐฯ เข้ามาลงทุนและใช้ฐานทัพ 5 แห่งของฟิลิปปินส์แบบหมุนเวียน ก่อนที่ในภายหลังจะเพิ่มเป็น 9 แห่ง

สำหรับสิงคโปร์ ทั้งสองประเทศมีการลงนามที่บังคับใช้ถึงปี 2035 ให้สหรัฐฯ สามารถแวะจอดเรือเพื่อซ่อมบำรุง เติมเสบียงหรือเชื้อเพลิง และเป็นฮับของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้

ผศ.วิลเลียม อธิบายกับบีบีซีไทยเพิ่มเติมว่า แม้แต่สิงคโปร์ที่ได้รับข้อตกลงที่นับว่าเป็นหนึ่งในข้อตกลงที่ดีที่สุด ในอัตรา 10% ก็ยังมีช่วงเวลาที่ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนว่าอาจจะโดนภาษีในระดับ 20%-25% เช่นเดียวกัน และนั่นก็ทำให้ฝั่งสิงคโปร์ "ไม่พอใจ" เช่นเดียวกัน

สำหรับกรณีของประเทศไทย ผศ.วิลเลียม วิเคราะห์ว่าท่าทีเช่นนี้กำลังผลักให้ "กลุ่มชนชั้นนำของไทย" ซึ่งแท้จริงแล้วยังให้ความเคารพกับคุณค่าแบบตะวันตกอยู่ต้องหันไปหาจีนมากขึ้น "ทั้ง ๆ ที่ก็ระแวงจีนอยู่เหมือนกัน"

3. เงื่อนไขที่แลกมา ภาคเกษตรรับผลกระทบแน่นอน

นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานหอการค้าไทย บอกกับบีบีซีไทยว่า แม้ตัวเลข 19% จะช่วยให้ธุรกิจจำนวนมากพอ "หายใจหายคอได้" แต่ธุรกิจของไทยที่ต้องแข่งขันกับสินค้าที่กำลังจะเข้ามาจากสหรัฐฯ "ทั้งเข้ามาแล้วสามารถทดแทน[ของเดิม]ได้ หรือเข้ามาแข่งขัน" จะได้รับผลกระทบหนักเป็นพิเศษ​


นายวิศิษฐ์ ย้ำว่าเทคโนโลยีในภาคการเกษตรของไทยยังต้องปรับตัวให้ทันโลกอีกมาก เรียกว่า "ต้องนับตั้งแต่หนึ่งขึ้นไปใหม่เลย"

"วัตถุดิบทางการเกษตรที่มาจากสหรัฐเนี่ย ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ถั่วเหลือง ข้าวโพด ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ กังวลมาตลอด เพราะว่าสหรัฐฯ ทำต้นทุนได้ต่ำจริง ๆ" นายวิศิษฐ์ กล่าว

นายวิศิษฐ์ ย้ำว่าเทคโนโลยีในภาคการเกษตรของไทยยังต้องปรับตัวให้ทันโลกอีกมาก เรียกว่า "ต้องนับตั้งแต่หนึ่งขึ้นไปใหม่เลย"

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่รองประธานหอการค้าไทยออกมาเตือน คือการต้องไม่ลืมว่าไทยไม่ได้มีคู่แข่งแค่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น

เขายกตัวอย่างว่า สำหรับการส่งออกสินค้าเกษตรอาหารนั้น ประเทศฝั่งอเมริกาใต้ก็เป็นคู่แข่งของไทยเช่นเดียวกัน หากประเทศแถบนั้นได้อัตราภาษีที่ต่ำกว่า ประกอบกับระยะทางการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ใกล้กว่า เกษตรกรไทยก็ยิ่งแข่งขันได้ยากขึ้น


ในการประกาศอัตราภาษีครั้งล่าสุดนี้ บีบีซีไทยพบว่า ประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรอาหารรายใหญ่ อาทิ บราซิล ถูกสหรัฐฯ ตั้งอัตราภาษีไว้ที่ 10% ขณะที่เอกวาดอร์ ถูกตั้งภาษีไว้ที่ 15%

4. ภาคอิเล็กทรอนิกส์ "อย่าเพิ่งฉลอง"

ดร.ปิยศักดิ์ ระบุว่า ภาคส่วนที่เขาค่อนข้างกังวลจากผลกระทบของอัตราภาษีทรัมป์ คือกลุ่มผู้รับจ้างผลิตสินค้าตามแบบและข้อกำหนดของลูกค้า หรือ Original Equipment Manufacturer (OEM) โดยเฉพาะในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า และกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์บางส่วน


"ผมก็บอกคนรอบข้างผม เห็นดีใจกันเหลือเกิน 19% ฉลองแล้ว ผมก็บอกใจเย็น"

เขาอธิบายว่า ผู้ประกอบการกลุ่มนี้มักอยู่ในกลุ่มขนาดกลางและขนาดเล็ก รวมถึงมีการจ้างงานในระดับแสนคน ซึ่งอาจสุ่มเสี่ยงกับแรงกดดันทางภาษีได้

นายวิบูลย์ รักสาสน์เจริญผล กรรมการบริหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) บอกกับบีบีซีไทยว่า อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบมากจากอัตราภาษีแบบตอบโต้ของทรัมป์ อาทิ กลุ่มผู้ผลิตวงจรรวมหรืออุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลถาวรที่โดนภาษีในอัตรา 10%

ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มที่ทำชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป เช่น หม้อแปลง หรือแผงวงจรสีเขียว ซึ่งจะโดนอัตราภาษี 19%

"ต้องเข้าใจว่ามันเป็น 19% แบบมีเงื่อนไขนะ คือ 'ชิ้นส่วนการผลิต' อย่าไปซื้อจากจีน" นายวิบูลย์ กล่าว

เขากล่าวต่อว่า "ถ้าคุณทำตามให้เขาไม่ได้ คุณก็อดได้ 19% คุณก็ต้องกลับไปอยู่ที่ 36% หรืออาจจะมากกว่า อาจจะเป็น 40% ก็แล้วแต่"

นายวิบูลย์กล่าวว่าปัญหาของอุตสาหกรรมไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของไทยคือการพึ่งพาชิ้นส่วนจากจีนเป็นจำนวนมาก

"ผมก็บอกคนรอบข้างผม เห็นดีใจกันเหลือเกิน 19% ฉลองแล้ว ผมก็บอกใจเย็น"

เขายอมรับว่าที่จริงภาคอุตสาหกรรมได้รับคำเตือนมาตั้งแต่ครั้งที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก แต่ภาคอุตสาหกรรมไทยซึ่งคุ้นเคยกับสินค้าราคาถูกจากจีนไม่ปรับตัว

เมื่อบีบีซีไทยถามว่า กลุ่มธุรกิจจะปรับตัวตอนนี้ทันหรือไม่ เขาตอบกลับว่า "กระจายตลาด [ส่งออก] ง่ายกว่ากระจายแหล่งที่มาของวัตถุดิบ"

https://www.bbc.com/thai/articles/c93982k10k5o