วันศุกร์, มีนาคม 07, 2568

นักสิทธิร้อง UN ถอดไทยจากคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ หลังส่งอุยกูร์ไปจีน


งานเสวนาในประเด็นการส่งกลับชาวอุยกูร์ ซึ่งมีวิทยากรเป็นนักสิทธิมนุษยชน รวมถึงนายแพทย์ ซึ่งเคยเข้าไปดูแลชาวอุยกูร์ในสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ที่อาคารรัฐสภา วันที่ 4 มีนาคม 2568

นักสิทธิร้อง UN ถอดไทยจากคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ หลังส่งอุยกูร์ไปจีน

นนทรัฐ ไผ่เจริญ
2025.03.04
กรุงเทพฯ

นักสิทธิมนุษยชน เรียกร้องให้ สหประชาชาติ (United Nations-UN) ถอดไทยออกจากสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Human Rights Council - HRC) หลังจากรัฐบาลไทยตัดสินใจส่งคนอุยกูร์ 40 คนจากห้องกัก สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ไปยังประเทศจีน

“เป็นถึงคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนของ UN คุณละเมิดสิทธิมนุษยชนเต็มที่ ขอให้ UN พิจารณา ปลดประเทศไทยออกจากการเป็นคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนด้วย หวังว่าจะไม่มีการส่งอุยกูร์กลับไปเป็นรอบที่สาม สองรอบก็อัปยศเหลือเกินอย่าให้เกิดครั้งที่สามอีก” นางชลิดา ทาเจริญศักดิ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิศักยภาพชุมชน กล่าว

นางชลิดา กล่าวข้อความดังกล่าวระหว่างการเสวนา “ไม่เหลือใครให้ปกป้องแล้ว : เปิดหมดเปลือกกว่า 11 ปีที่ภาคประชาชนและครอบครัวของชาวอุยกูร์ที่ไม่เคยได้บอกเล่า” ซึ่งจัดขึ้นที่อาคารรัฐสภา ในเช้าวันอังคารนี้

การเสวนาครั้งนี้จัดขึ้นหลังจากที่ เมื่อวันที่ 27 ก.พ. ที่ผ่านมา รถบรรทุกซึ่งถูกปิดเทปสีดำ 6 คัน เคลื่อนออกจาก สตม. สวนพลู มุ่งหน้าไปยังท่าอากาศยานดอนเมือง มีการกีดกันผู้สังเกตการณ์ และสื่อมวลชนที่พยายามติดตามรถคันดังกล่าว ต่อมารัฐบาลไทยได้แถลงในภายหลังว่า ได้ตกลงร่วมกับรัฐบาลจีนในการส่งคนอุยกูร์ 40 คนกลับ

หลังการส่งกลับ รัฐบาลสหรัฐฯ, สหภาพยุโรป, องค์กรสิทธิมนุษยชน และองค์กรอิสลามหลายองค์กรจากนานาชาติ ได้ประณามการตัดสินใจของรัฐบาลไทย และแสดงความกังวลว่า คนอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับไปทั้งหมดอาจต้องเผชิญความเสี่ยงต่อการถูกละเมิดด้านร่างกาย และสิทธิเสรีภาพ

ต่อมา น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แถลงต่อสื่อมวลชน ยืนยันว่า คนอุยกูร์ทุกคนสมัครใจที่จะกลับไปจีน

“จีนมีการยืนยันอย่างเป็นทางการว่า ถ้าเราส่งตัวคนอุยกูร์กลับไป เขาจะไม่ถูกดำเนินคดี และสามารถกลับเข้าไปอยู่กับครอบครัวในสังคมได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขาให้คำมั่นสัญญากับทางไทยแล้วว่า ทุกคนที่กลับไปจะปลอดภัย ไม่มีประเทศที่สามมาเสนอในการขอรับตัวอุยกูร์เลย ประเทศไทยก็ต้องส่งกลับคนจีนไปประเทศจีน” น.ส. แพทองธาร กล่าวในวันที่ 28 ก.พ.

รัฐบาลไทยยังยืนยันว่า จีนพร้อมให้ไทยเข้าไปติดตามความเป็นอยู่ของคนอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับไปได้ตลอดเวลา และ พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จะเชิญสื่อมวลชนเดินทางไปติดตามสภาพความเป็นอยู่ของคนอุยกูร์ทั้งหมดที่จีนในเร็วๆนี้ ซึ่งนักสิทธิมนุษยชนมองว่า มาตรการดังกล่าวยังไม่เพียงพอ

“ปัญหาคือ ถ้าเป็นการติดตามผลโดยไทยเพียงลำพังไม่มีใครเชื่อ ไทยน่าจะช่วยเจรจาต่อให้จีนเปิดพื้นที่ UN เปิดพื้นที่ให้เข้าไปร่วมสังเกตการณ์ ให้สื่อมวลชนนานาชาติเข้าไปได้อย่างอิสระ ผู้แทนของรัฐบาลต่างชาติเข้าพื้นที่ซินเจียง” นายสุณัย ผาสุข ที่ปรึกษาองค์กรฮิวแมนไรท์วอทช์ประจำประเทศไทย กล่าว

นายสุณัย ชี้ว่า ไทยไม่ได้ประโยชน์ใดๆจากการตัดสินใจดังกล่าว ทั้งยังถูกตำหนิจากนานาชาติในประเด็นนี้

“พฤติกรรมแบบนี้ ทำให้ไทยถูกประณามจากนานาชาติที่ไทยส่งคนอุยกูร์กลับไป จนถึงตอนนี้ผมยังมองไม่เห็นว่า ไทยได้อะไร(จากการส่งคนอุยกูร์ไปจีน) นอกจากทำตามสิ่งที่จีนชี้สั่งมา มันลดทอนสถานะของไทยกลายเป็นรัฐบริวารของจีนไปแล้ว” นายสุณัย ระบุ

เมื่อเดือน ต.ค. 2567 ที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ประกาศเลือกไทยเป็นหนึ่งในสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนฯ วาระปี 2568-2570 โดยเป็นหนึ่งใน 18 ประเทศ ที่ได้รับเลือกในวาระนี้

ไทยพยายามไม่พอในการหาประเทศที่สามให้คนอุยกูร์

“การที่รัฐบาลบอกว่า ไม่มีตัวเลือกอื่นๆ หรือประเทศที่สามที่พร้อมรับ(คนอุยกูร์) อยากตั้งคำถามว่า ได้ให้เวลากับเจ้าหน้ากระทรวงการต่างประเทศที่มากพอหรือยัง ตั้งแต่ได้รับการร้องขอจากจีน และมีนโยบายชัดเจนไหมว่า เราอยากส่งไปประเทศที่สาม ถ้าประเทศไทยมีเจตจำนงมากพอ ท้ายที่สุดแล้ว เชื่อว่า เราจะสามารถหาประเทศที่สามให้กับบุคคลเหล่านี้ได้” นายฟูอาดี้ พิศสุวรรณ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ กล่าว

ขณะที่ นายสุณัย มองว่า รัฐบาลไทยและจีนมีส่วนที่ทำให้ไม่มีประเทศที่สามเสนอรับคนอุยกูร์เหล่านี้ให้ไปลี้ภัยเนื่องจากกีดกันไม่ให้องค์กรสิทธิมนุษยชน และนานาชาติเข้าถึงคนอุยกูร์ขณะที่ถูกคุมตัวในห้องกัก

“หลักสากลในการคุ้มครองผู้ลี้ภัยไม่ได้สนใจว่าเขาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายหรือไม่ ขอเพียงว่าเขาแสดงเจตจำนงว่ากลับบ้านไม่ได้ ขอลี้ภัย UN ก็ไม่อยากทำประเด็นเรื่องอุยกูร์ เพราะต้องการเงินบริจาคจากจีน ไทยก็ไม่ยอมให้ UN เข้าถึงอุยกูร์ แต่มีประเทศจำนวนไม่น้อย เช่น ตุรกี แสดงเจตจำนงรับ แต่ไม่มีโอกาสได้สานต่อถึงขั้นทำคำขออย่างเป็นทางการ เพราะไทยปิดทาง” นายสุณัย กล่าว

ก่อนหน้านี้ Justice For All องค์กรสิทธิมนุษยชนสากลเรียกร้องให้ ไทยยุติความพยายามที่จะส่งผู้ลี้ภัยอุยกูร์ 48 คน ไปยังประเทศจีน โดยระบุว่า ต้นเดือน ม.ค. 2568 เจ้าหน้าที่ได้ถ่ายรูป และนำเอกสารเกี่ยวกับการสมัครใจกลับจีนมาให้ผู้ต้องกักชาวอุยกูร์กรอก พูดกดดันว่าจะเนรเทศพวกเขาไปจีน ทำให้ผู้ต้องกักประท้วงด้วยการอดอาหาร

นพ. นิติวุฒิ วงศ์เสงี่ยม ตัวแทนกลุ่มแพทย์อาสาซึ่งมีโอกาสได้เข้าไปตรวจสุขภาพของคนอุยกูร์ในห้องกัก สตม. ตั้งแต่ปี 2566 ยืนยันว่า คนอุยกูร์ไม่เคยต้องการกลับไปจีน

“ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ทีมผลัดกันเข้าไปตรวจน่าจะประมาณ 15 ครั้ง ได้พูดคุยกับผู้ต้องกักชาวอุยกูร์เกือบทุกคน ยืนยันว่า ไม่มีซักครั้งเดียว หรือซักคนเดียวว่าอยากกลับจีน ทั้งที่สภาพในห้องกักย่ำแย่มาก เมื่อเดือนมกราคม ก็มีการอดอาหารประท้วงข่าวที่ว่าจะมีการส่งกลับ เราก็ได้แต่หวังว่าพี่น้องอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับได้รับความปลอดภัยจริงๆ” นพ. นิติวุฒิ กล่าว

เมื่อเดือน ม.ค. 2568 นายชูชาติ กันภัย ทนายความของจำเลยชาวอุยกูร์ ในคดีระเบิดราชประสงค์ ปี 2558 ได้ร้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ขอให้ปล่อยตัวชาวอุยกูร์ 43 คน จากห้องกัก สตม. เพราะ ทั้งหมดรับโทษจากการเข้าเมืองผิดกฎหมายครบแล้ว ซึ่งศาลเองก็เห็นว่า คำร้องมีมูลจึงนัดไต่สวน เจ้าหน้าที่ สตม. ในวันที่ 27 มี.ค. 2568 แต่คนอุยกูร์ถูกส่งไปจีนเสียก่อน

“อยากให้รัฐบาลเปิดเผยข้อเท็จจริง วันที่การนำตัวชาวอุยกูร์กลับ เจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองถูกสั่งให้ออกนอกพื้นที่ และมีหน่วยปฏิบัติการเข้าไป อยากให้รัฐบาลเปิดเผยบันทึกภาพและเสียงระหว่างการนำตัวชาวอุยกูร์ 40 คน ไปสนามบิน เรื่องนี้เป็นบทที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ. ป้องกันการทรมานและบังคับให้สูญหายฯ ถ้าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายก็ต้องมีเทปไว้ อยากรู้ว่า มีพันธนาการไหม ถูกทรมานหรือเปล่า” นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา และอดีตกรรมการสิทธิมนุษยชน กล่าวในการเสวนา

นางอังคณา ระบุว่า หลังจากนี้ ตนเองในฐานะประธาน คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน (กมธ.พัฒนาการเมืองฯ) จะนำประเด็นนี้เข้าสู่การพิจารณา และขอตรวจสอบหลักฐานการนำตัวคนอุยกูร์ส่งกลับจีนจากเจ้าหน้าที่

ชาวอุยกูร์ คือ กลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ (Xinjiang Uyghur Autonomous Region - XUAR) ในภาคตะวันตกของจีน เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่นับถือศาสนาอิสลาม และมีภาษาพูดเป็นของตัวเอง

ในปี 2557 ไทยเคยผลักดันคนอุยกูร์เพศชาย 109 คน กลับไปยังจีน ขณะที่ส่งคนอุยกูร์เพศหญิง และเด็กไปยังตุรกี 173 คน มีการเปิดเผยภาพว่า คนอุยกูร์ที่ถูกส่งไปจีนถูกคลุมศีรษะ และคุมตัวคล้ายนักโทษ

ต่อมา เดือน ส.ค. 2558 ได้เกิดเหตุระเบิดศาลพระพรหมเอราวัณ สี่แยกราชประสงค์ ซึ่งฝ่ายความมั่นคงเชื่อว่า เป็นการกระทำเพื่อตอบโต้การส่งคนอุยกูร์กลับจีน เพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวซึ่งได้รับความนิยมจากคนจีน ปัจจุบัน คดีระเบิดราชประสงค์ยังคงอยู่ในการพิจารณาของศาลอาญากรุงเทพใต้

ปัจจุบัน มูลนิธิศักยภาพชุมชน ระบุว่า มีคนอุยกูร์เหลืออยู่ในประเทศไทย 10 คน ประกอบด้วย คนอุยกูร์ 5 คน ที่อยู่ในเรือนจำคลองเปรม จากความผิดฐานแหกห้องกัก สตม. จ.มุกดาหาร เมื่อเดือน ม.ค. 2563 คนอุยกูร์ 2 คนซึ่งเป็นจำเลยคดีระเบิดราชประสงค์ ปี 2558 และอีก 3 คนซึ่งอยู่ในห้องกัก สตม. สวนพลู เนื่องจากถือหนังสือเดินทางของชาติอื่นที่ไม่ใช่จีน

สี่อุยกูร์ที่เหลือในไทยร่ำไห้ หลังเพื่อนร่วมเชื้อชาติถูกส่งกลับจีน
นักวิเคราะห์ชี้ ส่งคนอุยกูร์กลับ กระชับความสัมพันธ์จีน แต่หักหน้าอเมริกา
องค์กรสิทธิกังวล ไทยส่งอุยกูร์ 40 คน กลับจีน

https://www.benarnews.org/thai/news/th-deportation-china-rights-03042025051938.html