กัณวีร์ สืบแสง : หากเราใช้มนุษยธรรมนำการเมือง กรณีของชาว #อุยกูร์ อาจไม่ลงเอยแบบนี้ : กล่าวปิดงาน
UDD News Thailand
Mar 4, 2025
หากเราใช้มนุษยธรรมนำการเมือง กรณีของชาวอุยกูร์อาจไม่ลงเอยแบบนี้
CLIP 🔴 กัณวีร์ สืบแสง : กล่าวปิดงาน “ไม่เหลือใครให้ปกป้องแล้ว: เปิดหมดเปลือกกว่า 11 ปีที่ภาคประชาชนและครอบครัวของชาวอุยกูร์ที่ไม่เคยได้บอกเล่า”
.
ผมขอขอบคุณมูลนิธิศักยภาพชุมชน และมูลนิธิสิทธิเพื่อสันติภาพ ที่ร่วมกันงานเสวนา “ไม่เหลือใครให้ปกป้องแล้ว: เปิดหมดเปลือกกว่า 11 ปีที่ภาคประชาชนและครอบครัวของชาวอุยกูร์ที่ไม่เคยได้บอกเล่า” ที่อาคารรัฐสภาในวันนี้ และเชิญผมมากล่าวปิดงาน เพื่อพูดแทนชาวอุยกูร์ที่ไม่สามารถส่งเสียงของพวกเขาได้อีกต่อไปแล้วครับ
.
ขอขอบคุณคำยึดมั่นของทุกคนที่จะทำงานเพื่อสิทธิมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชน วันนี้มีผู้มีคุณสมบัติมากกว่าผมในการมากล่าวปิดงานนี้ แต่การกล่าวปิดงานวันนี้ไม่ใช่แค่กล่าวปิดแล้วจบไป แต่จะเป็นการกล่าวปิดงานเพื่อเริ่มงานใหม่ เราทุกคนจะต้องทำงานด้านมนุษยธรรมต่อไป งานวันนี้จะไม่เกิดขึ้นหากทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้เอาเรื่องการเมืองมานำ
.
ก่อนหน้านี้ผมแถลงข่าวว่าจะเอาเอกสารหลักฐานที่บอกว่าเป็นหนังสือฉบับจริงของชาวอุยกูร์ในห้องกักมาแสดงในวันนี้ แต่ผมรู้สึกว่าหากทำอย่างนั้นจะเป็นการทำงานด้านการเมืองอย่างเดียว งานวันนี้จะไม่เกิดขึ้น หากเรานำหลักการมนุษยธรรมมานำการเมือง วันนี้จะเป็นวันที่เราไม่ต้องมานั่งคุยกันว่าทำไมเหตุการณ์ต่าง ๆ ต้องเกิดขึ้น
.
ผมจึงขอใช้โอกาสนี้ ในการเป็นนักการเมืองคนหนึ่งที่ไปเจอชาวอุยกูร์ในวันที่ 12 มีนาคม 2557 วันแรกที่เขาเข้ามาในประเทศไทย และวันสุดท้ายตนเองก็เป็นนักการเมืองที่ต้องมาเห็นการผลักดันกลุ่มคนชาวอุยกูร์ที่เหลืออยู่ 40 คนกลับไปที่ประเทศจีน จึงขอใช้โอกาสพูดถึงเพื่อนผมคนหนึ่งที่ไม่รู้จักชื่อ เจอที่ตม.6 จังหวัดสงขลา เขาเป็นผู้นำ วันแรกที่เจอกันเขาไม่เคยมองเห็นตนเองเป็นมิตร แม้จะไม่ใช่ส่วนราชการและใส่เสื้อ UNHCR สุดท้ายตนเองได้ประสานงานผ่านสถานเอกอัครราชทูตตุรกีในประเทศไทย จึงเป็นรอยยิ้มรอยแรกที่ตนเองได้เห็น
.
ส่วนรอยยิ้มสุดท้ายคือ รอยยิ้มของเขาในห้องกัก ตม.สะเดา ผมบอกลาเพื่อน เพราะผมจะไปทำงานที่ประเทศซูดานใต้ ซึ่งเพื่อนคนนี้เป็นหนึ่งใน 109 คนที่ถูกผลักดันกลับประเทศจีนเมื่อปี 2558 เขาพูดภาษาอังกฤษว่า “thank you” ทั้งที่ที่ผ่านมาไม่เคยพูดภาษาอังกฤษด้วยกัน เรากอดลากันโดยที่มีน้ำตา คนที่เดินทางมา 2,000 กิโลเมตร สุดท้ายอยู่ในห้องกัก ชะตากรรมของเขาเป็นสิ่งที่หลายคนคาดการณ์คือการถูกผลักดันกลับ
.
และเมื่อวันที่ 27 ก.พ.68 เป็นอีกหนึ่งวันที่เรายังใช้การเมืองนำเรื่องมนุษยธรรม หากเรานำหลักการมนุษยธรรมมานำการเมือง วันนี้จะไม่มี ถ้าการตัดสินใจนโยบายรัฐเอาความเป็นกลาง ความไม่เอนเอียง คิดถึงประโยชน์ของประชาคมโลก วันนี้ภาครัฐขาดอิสระ เนื่องจากถูกกดทับด้วยความสัมพันธ์บางอย่างที่เรียกว่า เราเป็นรองตลอดเวลา
.
มนุษยธรรมต้องนำการเมือง ไม่ว่าจะการเมืองฝ่ายไหน แต่เป็นการระดมวาทกรรมที่ทำให้มนุษยธรรมถูกด้อยค่า ผมไม่อยากเห็นเช่นนี้ เราไม่รู้ว่าชาวอุยกูร์อีก 10 คนที่เหลืออยู่ในประเทศไทยอนาคตจะเป็นอย่างไร จึงขอส่งเสียงน้อย ๆ จากนักการเมืองคนหนึ่ง พรรคการเมืองเล็ก ๆ พรรคหนึ่ง และเป็น สส.คนเดียวของพรรค อยากส่งเสียงให้ก้องไปถึงฝ่ายบริหารและประชาคมระหว่างประเทศว่า วันนี้เราจะไม่ยอมทนให้การเมืองมานำมนุษยธรรมอีกต่อไป ในอนาคตอันใกล้เชื่อมั่นว่าคำว่า “มนุษยธรรม” ทุกคนต้องตระหนักรู้ว่ามีความสำคัญ
4 มีนาคม 2568 ณ อาคารรัฐสภา
https://www.youtube.com/watch?v=c9omrd6FiCY