วันอังคาร, กันยายน 10, 2567

กัณวีร์ ขอสังคมเปิดใจ อย่าปิดศูนย์เรียนรู้ลูกแรงงานเมียนมา จากเหตุการณ์ การ “ร้องเพลงชาติพม่า” กระทบเด็กอีก2หมื่น เข้าไม่ถึงสิทธิการศึกษา


9 กันยายน 2567
มติชน

กัณวีร์ ขอสังคมเปิดใจ กรณีปิดศูนย์การเรียนรู้เด็กลูกแรงงานข้ามชาติเมียนมา จะกระทบเด็กอีกกว่า 2 หมื่นคน เข้าไม่ถึงสิทธิการศึกษา ที่เด็กทุกคนควรได้รับสิทธิอย่างมีมนุษยธรรม

วันที่ 9 กันยายน นายกัณวีร์ สืบแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม กล่าวถึงเหตุการณ์การปิดศูนย์การเรียนมิตตาเย๊ะ บางกุ้ง อ.เมือง จ.สุราษฎร์ฯ ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์ประสานงานจัดการศึกษาให้เด็กเคลื่อนย้ายถิ่นฐานจากประเทศเมียนมาใน จ.สุราษฎร์ธานี โดยมีเด็กมากกว่าพันคน แต่ศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้ไม่ได้จดทะเบียนเป็นศูนย์การเรียนรู้ตามมาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาตินั้น กำลังถูกพูดถึงในแวดวงการศึกษา วงกฎหมาย คนทำงานด้านสิทธิมนุษยชน มนุษยธรรม และสังคมในวงกว้างโดยทั่วไป

นายกัณวีร์ กล่าวว่า กรณีนี้มีความคิดแตกต่างหลากหลาย หากมองในมุมกฎหมายแล้ว ถ้าไม่จดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมายที่มีอยู่ ต้องมีความผิดและ มีโทษปิด ปรับ ดำเนินคดีต่อผู้เกี่ยวข้องทุกคน

“แต่หากมองมุมกว้างๆ ขอให้ทุกคนเปิดใจในเรื่องดังกล่าวจากเหตุการณ์ การ “ร้องเพลงชาติพม่า” กันก่อนนะครับ มองให้ดีครับ ตามข่าวที่ออกมา มีศูนย์การศึกษาอย่างนี้ที่ดูแลเด็กๆ ซึ่งเป็นลูกๆ ของแรงงานข้ามชาติและผู้ลี้ภัยจากเมียนมาทั้งหมด 63 แห่งทั่วไทย ที่ดูแลเด็กๆ ทั้งหมดเกือบสองหมื่นคน และยังมีอีกส่วนมากที่ยังไม่ได้เข้าระบบ และในขณะเดียวกันระบบการศึกษาของไทยก็ไม่สามารถโอบรัดเด็กจำนวนหลายหมื่นคนที่ยังมีพื้นฐานที่แตกต่างกับเด็กไทยเข้าระบบด้วยเช่นกัน” นายกัณวีร์ กล่าว

นายกัณวีร์ กล่าวว่า มีเด็กที่เป็นลูกของแรงงานข้ามชาติและผู้ลี้ภัยจากเมียนมา ที่เรียนอยู่ในศูนย์การเรียนรู้ 63 แห่ง มีจำนวนกว่า 2 หมื่นคน หากเจ้าหน้าที่ตามไล่ปิด แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ตนเองจึงขอตั้งคำถามว่า ยิ่งปิด จะยิ่งหายไปหรือไม่ ปิดแล้วใครได้ประโยชน์ เด็กประมาณ 2 หมื่นคน หรือสังคมไทยจะได้ประโยชน์อะไร ปิดแล้วหากเด็กๆ สองหมื่นคนนี้เดินทางกลับประเทศต้นกำเนิดไม่ได้ สามารถเข้าสถานศึกษาในไทยได้ไหมหากเข้าไม่ได้ พวกเขาจะเป็นกลุ่มคนที่มีคุณภาพอย่างไร แล้วหากต้องอยู่ในไทยอีกหลายสิบปีหรือตลอดไป และไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาได้ เขาจะเป็นอะไรในสังคมไทย จะส่งผลที่ดีต่อสังคมไทยหรือไม่ หากพวกเขายังไงก็ต้องอยู่ในสังคมไทย เอาพวกเขาเข้ามาเป็นประชากรที่มีคุณภาพของไทยดีกว่าหรือไม่

“เราต้องเริ่มตอบคำถามทีละคำถามด้วยใจที่เปิดกว้างครับ แล้วเราจะเห็นคำตอบที่ปลายทางด้วยตัวคำตอบในแต่ละคำถามมันเอง โดยปราศจากอคติใดๆ ครับ ต้องถือโอกาสนี้ในการจัดระบบศูนย์การศึกษาต่างๆ เหล่านี้ทั้งระบบไปเลยครับ หากเค้าไปไหนไม่ได้ ทำให้ถูกต้องเข้าระบบ ตรวจสอบ และสนับสนุนตามนโยบายการศึกษาของเรา ผู้ปกครองพวกเค้าที่เป็นแรงงานข้ามชาติต้องนำบุตรเข้าระบบอย่างถูกต้องและต้องไม่เป็นภาระให้ใครอีกต่อไป ยืนด้วยขาตัวเอง” นายกัณวีร์ กล่าว

นายกัณวีร์ กล่าวว่า เหมือนหลายๆ เรื่องที่มีอยู่ในไทยมาอย่างยาวนานแต่เราเอามาอยู่ใต้พรมตลอดเวลาเป็นหลายทศวรรษ ทำให้เกิดการกวาดล้างเป็นเทศกาล แต่ไม่เคยหายไปอย่างมีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหา สุดท้ายผู้ที่ได้รับผลกระทบคือ กลุ่มเปราะบางที่ควรจะมีการบริหารจัดการที่ดีกว่านี้ ที่มีประสิทธิภาพและสร้างประสิทธิผลได้มากกว่านี้ และพวกเขาจะกลับมาช่วยพัฒนาสังคมที่พวกเค้าเข้ามาอยู่อย่างสร้างสรรค์

“ตามที่ผมได้พูดไว้เสมอครับ เปลี่ยนภาระ ให้เป็นพลัง จะตามเรื่องนี้ให้ติดอีกเรื่องหนึ่งครับ ถึงแม้จะมีเสียงเดียวในสภาฯ แต่จะพยายามทำให้เต็มที่ครับผม” นายกัณวีร์ กล่าว

https://www.matichon.co.th/politics/news_4780652
.....



Atukkit Sawangsuk
6 hours ago
·
เพิ่งเห็นข่าวนี้ตอนที่ กสม.แสดงความห่วงใย
Thai PBS ลงข่าวเมื่อ 3 วันก่อน
อ่านคอมเมนท์แล้วเต็มไปด้วยพวกคลั่งชาติด่ากราดระบายอารมณ์
ศูนย์การเรียนมิตตาเย๊ะ ไม่ได้เป็นโรงเรียนของรัฐ เป็นศูนย์ประสานงานจัดการศึกษาให้เด็กพม่า ทั้งที่เป็นลูกหลานแรงงานและลี้ภัยสงคราม ซึ่งมีแบบนี้ทั่วประเทศ 63 แห่ง มีเด็ก 20,000 คน
เขาไม่ได้ใช้งบของรัฐ การจัดการเรียนการสอนก็เพื่อช่วยดูแลฝึกอบรมเด็กดีกว่าปล่อยให้เป็นปัญหา
แม่-บ้าจี้แค่ร้องเพลงชาติพม่า บอกว่าแผ่นดินไทยร้องเพลงพม่าไม่ได้ แล้วก็ไปสั่งปิดข้อหาไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมาย
หวงชาติหวงแผ่นดินกันจัง
ทั้งที่เด็กไทยรุ่นหลังอยากไปอยู่ต่างประเทศกันหมดแล้ว