วันพุธ, กันยายน 11, 2567
บันทึกเยี่ยม “บัสบาส” ขอให้เป็นคนสุดท้ายที่โดนคดี ม.112 และจำคุกถึง 54 ปี โดยยังประสงค์สู้ต่อชั้นฎีกา
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
5 hours aago
·
บันทึกเยี่ยม “บัสบาส” ขอให้เป็นคนสุดท้ายที่โดนคดี ม.112 และจำคุกถึง 54 ปี โดยยังประสงค์สู้ต่อชั้นฎีกา
.
.
เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2567 ที่เรือนจำกลางเชียงราย ทนายความเข้าเยี่ยม มงคล ถิระโคตร หรือ “บัสบาส” นักกิจกรรมชาวเชียงรายวัย 31 ปี ภายหลังฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 คดีมาตรา 112 เป็นคดีที่ 3 ของเขา ซึ่งศาลพิพากษาลงโทษจำคุกเพิ่มจากคดีเดิมอีก 4 ปี 6 เดือน ทำให้รวมโทษในทุกคดีของเขาอยู่ที่จำคุก 54 ปี 6 เดือน แล้ว แต่ทุกคดียังไม่สิ้นสุดลง
.
บัสบาสพูดถึงความรู้สึกหลังฟังคำพิพากษามาเพียงสั้น ๆ ว่า “ผมคิดถึงประเทศไทยว่าประเทศน่าจะดีกว่านี้ ประเทศเสียโอกาสตรงนั้นไป ส่วนตัวบาสเองไม่ได้กังวลอะไร และจะต่อสู้คดีให้ถึงศาลฎีกา”
.
บัสบาสยืนยันว่า เขายังมีความหวังกับนิรโทษกรรมคดีทางการเมืองอยู่เสมอ และเชื่อว่าหากมีพื้นที่สามารถพูดคุยกันได้อย่างเปิดเผยจะสามารถหาทางออกกันได้ แม้ว่าหลายคนจะกลัวในการพูดถึง แต่ก็ควรจะมีเสรีภาพให้คนสามารถถกเถียงกัน สำหรับตัวของบัสบาสเองไม่ได้กังวลว่าจะถูกลงโทษจำคุก เขามีความหวังกับเยาวชนรุ่นใหม่ ๆ และอยากจะให้ตนเองเป็นกรณีสุดท้ายที่ถูกพิพากษาจำคุกอย่างยาวนานถึง 54 ปี
.
การยกเลิกมาตรา 112 อาจจะยังเป็นเรื่องที่ยาก แต่เขาคิดว่าควรจะสามารถแก้ไขได้ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางความคิดของคนในสังคม และสายตาของนานาชาติมองว่าประเทศไทยล้าหลัง ป่าเถื่อน โดยบัสบาสยกตัวอย่างกรณีโฆษณาโทรศัพท์ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ก่อนหน้านี้ ซึ่งคนไทยส่วนหนึ่งเข้าไปด่าบริษัทเจ้าของ จากเนื้อเรื่องที่มีชาวต่างชาติเข้ามาทำภารกิจในประเทศไทย โดยทำสีโฆษณาโทนซีเปีย ราวกับว่าจะไปไหนก็ลำบาก ซึ่งมันเป็นความจริงที่คนไทยยอมรับไม่ได้
.
บัสบาสให้ความเห็นว่า กรณีที่เขาถูกลงโทษจำคุกสูงถึง 50 ปี ก่อนที่จะเพิ่มอีก 4 ปี รวมเป็น 54 ปีแล้ว และกรณีของบุ้ง เนติพร ที่เสียชีวิตภายในเรือนจำ อาจกลายเป็นว่าถูกสังคมมองเป็นเรื่องเฉย ๆ ไปแล้ว แม้ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครถูกจำคุกสูงขนาดนี้ หรือจากการอดอาหารประท้วงจนเสียชีวิตในเรือนจำ หากเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นในประเทศอื่น ๆ จะถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ผู้นำประเทศจะต้องรีบแก้ไข แต่ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเรามันโหดร้าย ตรงข้ามกับคนที่มีบารมี แม้จะทำผิดกฎหมายก็ไม่ผิดกฎหมายได้
.
บัสบาส ยังฝากให้กำลังใจต่อผู้ทำงานผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน ทุกคน และขอส่งกำลังใจให้ผู้ต้องขังทางการเมืองทุกคน เขารับว่าเป็นเรื่องยาก แต่มันจะมีทางไป ประเทศไทยเคยมีนิรโทษกรรมในยุค 6 ตุลา และ 14 ตุลา คนในยุคนั้นยังกลับมาเป็นรัฐมนตรีได้ ซึ่งก็รวมคดีมาตรา 112 ด้วย เขายังเชื่อมั่นในพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชน ว่าจะร่วมแก้ไขความขัดแย้งนี้จนผ่านไปได้ด้วยดี
.
บัสบาสยังเห็นว่าในระยะยาว สถาบันกษัตริย์ยังคงจะต้องมีการปฏิรูป ต่อสถานการณ์โลกและบ้านเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปมาก จะเห็นได้ว่าสถาบันฯ ในประเทศอังกฤษหรือญี่ปุ่นมีการปรับตัวและเข้าหาประชาชนตลอด เขาเพียงอยากให้ประเทศไทยเหมือนกับประเทศที่พัฒนาแล้วเหล่านั้น
.
บัสบาสยังคงกังวลเรื่องจดหมายที่คนทั่วไปส่งไปหาเขา แต่เหมือนว่าจะไม่ได้รับเลยแม้แต่ฉบับเดียวในช่วงหลายเดือนมานี้ และเมื่อเขาพยายามจะเขียนจดหมายส่งออกนอกเรือนจำ 2 ฉบับ ฉบับแรกเขาเขียนเรื่องหลักการใช้บังคับมาตรา 112 ส่วนฉบับที่สองเขาเขียนข้อความสั้น ๆ ว่า “ผม (บัสบาส) ดูเหมือนอาชญากรด้วยหรือไม่” ซึ่งจดหมายทั้งสองฉบับนี้ เจ้าหน้าที่เรือนจำวินิจฉัยว่าเนื้อหาเป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคง จึงไม่ได้รับอนุญาตให้ส่งออกไปข้างนอกได้
.
บัสบาสยังย้ำว่าหากจะส่งหนังสือมาให้เขาอ่าน ขอให้ส่งมาในชื่อของ “แดน 1 ควบคุมพิเศษ เรือนจำกลางเชียงราย” โดยไม่ต้องระบุชื่อของตน เพราะก่อนหน้านี้เขาทราบมาว่ามีคนบริจาคหนังสือเข้ามา แต่ถูกส่งกลับอย่างน่าเสียดาย เพียงเพราะระบุชื่อของบัสบาสเป็นผู้รับ
.
สำหรับอาการโรคซึมเศร้าแม้ว่าบัสบาสจะบอกว่าเขาสบายดี แต่ตอนนี้หมอปรับยารักษา ทำให้วัน ๆ หนึ่ง เขาต้องกินยาหลายเม็ดอยู่เหมือนกัน ตอนนี้อาการยังคงที่ แต่ยังต้องพบแพทย์อยู่เรื่อย ๆ บัสบาสยังเฝ้ารอจดหมายและหนังสือบริจาคอยู่เสมอ
.
--------------------
.
สามารถส่งจดหมายถึงบัสบาสไปที่ มงคล ถิระโคตร แดน 1 เรือนจำกลางเชียงราย เลขที่ 222 หมู่ที่ 3 ต.ดอยฮาง อ.เมือง จ.เชียงราย 57000
สามารถบริจาคหนังสือส่งไปที่ แดน 1 เรือนจำกลางเชียงราย เลขที่ 222 หมู่ที่ 3 ต.ดอยฮาง อ.เมือง จ.เชียงราย 57000
.
.
อ่านบนเว็บไซต์ https://tlhr2014.com/archives/69768
.
ธนิต บุญญนสินีเกษม
วันนี้ ( 10/9/2567 ) เวลาประมาณ บ่ายโมงครึ่ง ผมได้ไปเยี่ยม พ่อ-แม่ บัสบาส ที่บ้านเขา เจอแต่พ่อซึ่งอายุ 70 + ปีแล้ว แต่ไม่เจอแม่เขา เพราะไปขายอาหารเหนือเล็กๆน้อยๆ เท่าที่คนอายุ 60 + จะทำได้ แม่อุ๊ย ต้องไปขายอีกหมู่บ้านหนึ่ง ห่างจากบ้านประมาณ 2-3 ก.ม. เขาทั้งสองไม่มีรายได้จากส่วนอื่น ผมได้มอบเงินจากที่มีผู้บริจาคมา ไปให้ จำนวน 500 บาท ก็ผมมีแค่นี้เนาะ คงจะยืดชีวิตให้ทั้งพ่อใหญ่ แม่อุ๊ย และบัสบาส ไปได้ นิดหน่อย แต่ก็เป็นสัญญาลักษณ์ ว่า"เราไม่ทิ้งกัน"