ทวี้ตเมื่อเช้าของ @DuangritBunnag พูดถึง นโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล ๑ หมื่นบาท ของพรรค #เพื่อไทย ว่า “แยบยลมาก” ถึงกับตบเข่าฉาด “เข้าใจละว่าจะทำได้ยังไง โดยไม่ต้องใช้เงินจากภาษีประชาชนแม้แต่บาทเดียว”
รายการปาฐกถา ๓ แคนดิเดทนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ที่เมืองทองธานีเมื่อเย็นวาน (๕ เมษา) เศรษฐา ทวีสิน พูดถึงการยกระดับเศรษฐกิจประเทศโดยพรรคเพื่อไทย ถ้าแลนด์สไล้ด์เป็นรัฐบาลพรรคเดียว ว่าเป็นการ “เติมเงินดิจิทัลให้กับประชาชนที่มีอายุ ๑๖ ปีขึ้นไป”
เรียกว่า ‘Digital Wallet’ ไว้ “จับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน...เฉพาะกับร้านค้าชุมชนใกล้บ้าน ในรัศมี ๔ กม.เท่านั้น มีอายุการใช้งาน ๖ เดือน และร้านค้าสามารถนำเงินดิจิทัลมาแลกเป็นเงินบาทได้กับธนาคารรัฐในภายหลัง”
พรรคเพื่อไทยออกนโยบายใหม่ ๘ อย่างมาตั้งแต่กลางเดือนมีนา “ประเทศไทยเป็น Blockchain Hub แห่งอาเซียน” คือหนึ่งในนั้น ซึ่งประกาศเมื่อธันวา ๖๕ สำหรับซื้อขายสินค้าเกษตร ในระบบ ‘เอ็นเอฟที’ คราวนี้มาต่อยอดด้วยกระเป๋าดิจิทัล
แต่ครั้งนั้นมีเสียงติฉินอยู่บ้าง “ทำไมต้อง NFT กะแค่ซื้อขายสินค้าทางการเกษตรล่วงหน้า ใช้แค่ระบบ ecommerce ธรรมดา ไม่ง่ายกว่าเหรอ” iamfalan เขียนคอมเม้นต์ไว้บน ‘Blognone’ คราวนี้ ๑๘ มีนา ‘PsFreedom’ ซัดบ้าง
“NFT นี่มันจะเจ๊งละนะ คนไม่เอากันแล้ว เห็นมีแต่หยุดสนับสนุน ปิดโปรเจค ไม่เห็นมีโปรเจคใหม่แล้ว” เขาว่าเหตุที่มันจะเจ๊ง เพราะโดน AI มาแย่งงานต่างหาก ไม่ได้เกี่ยวกับมี NFT หรือไม่มี NFT เลย...คนซื้อ คน Commission งานมันก็ลดลง”
อีกราย ‘Xess’ ว่า “Blockchain ในแง่ performance มันสู้ DBMS ที่เราใช้ๆ กันอยู่ไม่ได้เลยนะ” เพื่อความแน่ใจ ไปเซ็คดูแล้ว ‘ดีบีเอ็มเอส’ (data base management system) ทำงานเก็บฐานข้อมูลดิจิทัล ทำนองเดียวกับที่บล็อคเชนเอามาทำบ้าง
ว่าไปแล้วพอจะเดาได้ว่า เศรษฐามาเน้นนโยบายแจกเงินดิจิทัลให้ประชากรวัยรุ่นนี้ คงคิดขยายฐานเสียงไปพร้อมๆ กับขยายฐานเก็บข้อมูล นัยว่าจะทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียนได้ดี แต่คงไม่หนีอารมณ์เดียวกับการ “ลด แลก แจก แถม”
ต่างแต่ว่าประชากรในวัยเป้าหมาย ๑๖-๓๕ นี่เขารู้จัก ‘บล็อคเชน’ และ ‘โท้คเก็น’ กันมากพอสมควรมาแล้ว ไม่น้อยเหนื่อยหน่ายระอากับระบบการเงินที่ยังไม่มี ‘infrastructure’ โครงสร้างพื้นฐาน ที่กว้างขวางและเข้มแข็งพอ
(https://www.blognone.com/node/133062 และ https://www.infoquest.co.th/2023/285043)