ฝุ่นตลบละนี่ อย่างที่ ‘มุทิตา’ ว่า “กลายเป็นการชักเย่อของฝ่ายเดียวกัน เสียมากกว่าการสู้กับฝ่ายตรงข้าม” จากที่ ‘ภูมิธรรม’ สอนเด็กให้มีวุฒิภาวะ แต่ขาดจิตตะภาวะในภาษา เลยกลายเป็น ‘ดูแคลน’ เขา ทำให้ ‘ทนายน้อย’ เอาบ้าง
“คนที่เป็นไดโนเสาควรพักได้แล้ว มันหมดเวลาของท่านแล้ว ให้คนรุ่นใหม่ในพรรคที่ใจถึงมาทำงานเถอะครับ (ขอโทษที่พูดตรงๆ)” จึงโดนคนรุ่นเดียวกันซัดเข้าให้ การดี ศรีสุเมธ ออกลูกเด็กแว้น “ไอ้ที่ต้องกลับบ้านนั่นน่ะคือมึงนั่นแหละ...รกสังคม”
ในระลอกนี้วุฒิภาวะมากกว่าในทางจิตวิญญานแห่ง ‘คนเท่าเทียม’ น่าจะคุณ ‘เชื้อช่าง’ “ปลายทางจริงๆ แล้วอาจใกล้เคียงกัน แต่จังหวะก้าวไม่เหมือนกัน” ผู้เล่นเก่าในกระดานรู้จักประคอง กับผู้เล่นใหม่เพิ่งขึ้นสังเวียน มีความจริงใจสูง เมื่อปะทะกันอาจเสียรู้พวกกาฝาก
“ปลายทางจริงๆ แล้วอาจใกล้เคียงกัน แต่จังหวะก้าวไม่เหมือนกัน...เพราะการเลือกตั้งนี้ คือระยะเปลี่ยนผ่านของจริง จากเผด็จการซ่อนรูป ไปสู่ประชาธิปไตยที่จะกลับมาเตาะแตะอีกหน” ไม่เหมือนเก่าครั้ง ปชต.เฟื่องฟู “เพราะโดนบดขยี้มาหนักหนา”
และย่อหน้านี้เตือนใจเตือนปัญญาของทั้งสองฝ่าย “เราพูดถึงการเปลี่ยนแปลงโดยชี้นิ้วประณามกันนั้นง่ายเกินไป เราทำการบ้านกันจริงจังแค่ไหนกับความใฝ่ฝันของเรา และความฝันของเรานับรวมคนอื่นกว้างขวางแค่ไหน”
กับอีกย่อหน้า “การเมืองจะว่าน่ารังเกียจก็คงใช่โดยเฉพาะกับคนนอกสนามจริง แต่ธรรมชาติของมันป็นเรื่องผลประโยชน์และการต่อรอง...มากหรือน้อยแล้วแต่แต้มที่มีในมือ และเราไม่จำเป็นต้องปลุกปั้นเทวดาหรือซาตาน”
เธอพูดถูกว่ามีอสุรกายคอยจ้อง “เห็นเงียบๆ ไม่รู้จะฟาดเรียบแค่ไหน” อันเป็น “ตัวแปรที่ทำให้อำนาจเก่าจัดตั้งรัฐบาลได้ของจริง” พร้อมเตือน “ระวังอย่าตกร่องฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตย เพราะวิธีคิดเช่นนั้นจะทำลายตัวระบอบเอง”