BIOTHAI
December 8, 2020 ·
หลายคนทราบดีว่าซีพีไปลงทุนในหลายประเทศทั่วโลก แต่อาจจะยังไม่ทราบว่าธุรกิจอาหารสัตว์ของซีพีนั้นใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้าบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง คาร์กิล แลนด์โอเลคส์ ของสหรัฐ และบราซิลฟู้ดของบราซิล ในขณะที่การเลี้ยงหมูใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก ไก่ไข่อันดับ 4 และ ไก่เนื้ออันดับ 6 ของโลก (ที่มา http://cpfrussia.ru)
การเติบโตของซีพีมาจากรากฐานการเติบโตจากภายในประเทศ และค่อยๆขยายไปสู่การลงทุนในต่างประเทศ จนก้าวมาเป็นเบอร์ต้นของโลกในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์และการเลี้ยงสัตว์ในปัจจุบัน
ยุทธศาสตร์การเติบโตของซีพีมี 3 ประการ
ประการแรก คือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำและฝ่ายกำหนดนโยบายของประเทศ เราเห็นสิ่งนี้ได้จากสิ่งที่ซีพีทำในประเทศไทย หรือจีน
ประการที่สอง คือการร่วมทุนกับบรรษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่ ซึ่งซีพีจะสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและการจัดการสมัยใหม่ เช่น การร่วมกับอาร์เบอร์เอเคอร์ในอุตสาหกรรมสัตว์ ดีคาล์พ/มอนซานโต้ในอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ เซเว่นอิเลฟเว่นในค้าปลีก เป็นต้น
ประการที่สาม คือการเริ่มการลงทุนในประเทศที่ยังไม่มี "อิทธิพลเหนือการตลาด" ในอุตสาหกรรมเดียวกัน ตัวอย่างนี้ทำให้ซีพีกลายเป็นผู้นำใน อินโดนีเซีย เวียดนาม รวมทั้งการเจาะตลาดยุโรปผ่านรัสเซีย เนื่องจาก " ตลาดสัตว์ปีกในประเทศรัสเซียเป็นตลาดที่ไม่มีผู้ผลิตรายใหญ่ที่มีอำนาจเหนือตลาด (fragmented market) ในขณะที่อัตราการบริโภคเนื้อสัตว์ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับประเทศรัสเซียมีจำนวนประชากรสูงคือมากกว่า 140 ล้านคน นอกจากนั้น เมื่อรวมกับธุรกิจสุกรที่ซีพีเอฟได้ลงทุนอยู่แล้ว บริษัทจะมีศักยภาพในการเติบโตในอนาคตจากการเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ที่หลากหลายและมีโอกาสที่จะพัฒนาธุรกิจไปสู่การส่งออกสินค้าเนื้อสัตว์จากประเทศรัสเซียไปยังประเทศอื่นๆ"
จากมุมมองของซีพีเอง จะเห็นว่าการไม่มีอิทธิพลเหนือตลาดคือเงื่อนไขสำคัญของการลงทุนและแข่งขันทางการค้า บริษัทใดๆจะเติบโตได้ก็ด้วยเงื่อนไขดังกล่าว
แต่ในประเทศที่เป็นฐานกำเนิดของซีพีเอง ในอุตสาหกรรมเกษตร อาหาร ค้าปลีก แทบจะไม่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการอื่นได้เติบโตได้อีก เพราะอิทธิพลเหนือตลาดของซีพี นั่นเอง
มีอำนาจเหนือตลาดไทย pic.twitter.com/uQfzgQ8TQa
— redheart (@dady975) January 7, 2022