แรกก็แปลกใจที่รองนายกฯ ดูแลงานเศรษฐกิจ พูดได้ไง ‘ของแพงเพราะเงินเฟ้อ’ แทนที่จะใช้หลักเศรษฐศาสตร์ตามความจริงที่ว่าอุปสงค์มากไป อุปทานไม่พอ เช่น อหิวาห์ระบาดหมูตายเป็นเบือ ที่เหลืออยู่ราคาก็ขึ้น
หรือว่าน้ำมันแพงเพราะการแซกแซงตลาด ปั่นราคา โรงกลั่นส่งออกนอกก่อนแล้วค่อยอ้อมกลับมาขาย เอากำไรเยอะๆ ในประเทศ ทำให้กระทรวงพาณิชย์อ้างว่า “เงินเฟ้อเกิดขึ้นจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น” ซึ่งก็ไม่ตรงกับความจริงอีก
สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ผู้ควบตำแหน่ง รมว.พลังงานอีกขาหนึ่ง บอกว่า “อัตราเงินเฟ้อของประเทศไทยจะอยู่ในระดับ ๑-๓ เปอร์เซ็นต์ โดยไม่สามารถดูเฉพาะเจาะจงในรายการสินค้าได้ ต้องดูภาพรวม” แต่ภาพรวมที่ว่ามาจากรายการจำเพาะ
จากน้ำมันแพง แล้วก็มาหมูแพง จากนั้นส่งผลกระทบต่อไปยังผลิตผลที่เกี่ยวเนื่องอื่นๆ ค่าขนส่ง ลงไปไปยังปลายทางลูกโซ่ ก๋วยเตี๋ยวและข้าวราดแกง เป็นต้น อันนี้ไม่ต้องไปดูสถานการณ์โลกอย่างที่รัฐมนตรีอ้าง เพราะน้ำมันโลกถูกกว่าน้ำมันไทย และหมูไทยไม่ได้มาจากนอก (ต่อจากนี้ไปอาจมี)
แล้วยิ่งอ้างว่าของแพงเป็นข่าวดี ยิ่งเป็นการเล่นลิ้นโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชนผู้บริโภคระดับล่าง เศรษฐกิจรากหญ้าของไทยไม่ได้ผูกพันเศรษฐกิจโลก หรือได้รับผลกระทบทางใดทางหนึ่งมากขนาดนั้น
ดังที่สุพัฒน์พงษ์เอามาเทียบ “เรื่องนี้แสดงถึงการที่ประชากรโลกมีการบริโภคมากขึ้น หรือแสดงถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจึงทำให้เกิดความต้องการบริโภคสูงขึ้น” ไม่ใช่เลย ถ้าจะทำได้ ปล่อยน้ำมันในคลังสำรองออกมาตรึงราคาให้ได้ เช่นเดียวกับการเปิดขายเนื้อหมูราคาถูกให้ท่วมตลาด
ประชาชนจะร้องเย้ ถ้าคณะรัฐมนตรีอนุมัติตัดงบกลาโหม ที่จะใช้ไปซื้อเครื่องบินขับไล่ มาประจำการแทนเครื่อง เอฟ-๑๖ ล็อตแรก ๑.๓๘ หมื่นล้านบาท เอามาซื้อเนื้อหมูจากนอกประเทศเข้ามาขายให้ประชาชนในราคาถูก สักพักจนกว่าการผลิตในประเทศไล่ทัน
เรื่อง ครม.ลักหลับเมื่อ ๑๑ มกรา อนุมัติจัดงบประมาณปี ๖๖ ให้กองทัพอากาศซื้อเครื่องบินขับไล่นี่ ชั่วช้ากว่าที่คิดกัน ถ้าไม่ได้รองหัวหน้าพรรคก้าวไกลโวยขึ้นมา ประชาชนคงได้กินแกลบกินหญ้ากันอีก จากที่ พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ สาธยายไว้
โครงการซื้อเครื่องบินใหม่ ๔ ลำนี้ “จะทำให้เกิดภาระงบประมาณในปี ๒๕๖๖ ที่ ๒,๗๖๐ ล้านบาท และ ในปี ๒๕๖๗-๒๕๖๙ อีกปีละประมาณ ๓,๖๘๐ ล้านบาท” แล้วยังจะมีการจัดซื้อต่อเนื่องไปอีกจนครบ ๑๒ ลำ ดังมุ่งหมายตั้งใจกันไว้
“เพราะโครงการนี้เป็นการแบ่งซื้อ ๓ ระยะ ระยะละ ๔ ลำ ในปีงบประมาณต่อๆ ไป ดังนั้น สิ่งเรากำลังพูดถึงความจริงในโครงการนี้ก็คืองบประมาณที่จะต้องใช้ทั้งสิ้น ประมาณ ๔๑,๔๐๐ ล้านบาท” ในขณะที่กรอบวงเงินงบประมาณทั้งสิ้นของปี ๖๖ อยู่ที่ ๓.๑๘๕ ล้านล้าน
“เราคาดการณ์ว่าจะไม่สามารถจัดเก็บรายได้ได้ตามเป้า และจะต้องกู้เงินเพื่อชดเชยขาดดุลงบประมาณอีกจำนวนมาก” พิจารณ์ชี้ โดยนำการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลปีงบ ๖๓-๖๔ มาพิเคราะห์ “จะเห็นว่าการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลพลาดเป้ามาแล้วสองปีติดต่อกัน”
ไม่เท่านั้น ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกลยังท้าวความถึงงบประมาณกองทัพเรือด้วย “การที่กองทัพเรือยอมถอย ไม่เสนอซื้อเรือดำน้ำ ในปีงบ ๒๕๖๖ นั้น คงต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องที่น่ายกย่อง หรือต้องขอบคุณใคร” เพราะถึงไม่ซื้อเรือดำน้ำก็ยังจะใช้งบฯ เช่นเดิม
“เหตุผลที่ถอยการซื้อเรือดำน้ำ ก็เพราะว่าโครงการนี้ถูกสังคมจับจ้อง หากเสนอเข้ามาอาจถูกสภาผู้แทนราษฎรตัดลดงบประมาณ ซึ่งจะทำให้งบของกองทัพเรือลดลง เสียโอกาสในการใช้เงินก้อนนี้” ก็เลย “ตั้งงบประมาณไปที่โครงการอื่นดีกว่า”
นี่เขาเรียกเป็นวิธีคิดแบบ ‘ปรสิต’ หรือเปล่าเนี่ย ตั้งหน้าแต่จะโกยกินเพราะคิดว่ามีเงินเหลือเฟือให้จับจ่าย (เป็นเงินเฟ้อสำหรับผู้ใช้เงินได้ตามอำเภอใจ) ขณะที่เวลานี้ความเดือดร้อนอันเกิดจากของแพง ที่ รมว.พลังงานอ้างว่ามาจากเงินเฟ้อนั้น
Decharut Sukkumnoed แนะให้ รมว.ไปอ่านบทความ ‘ตะกร้าการบริโภค คำตอบของภาพลวงเงินเฟ้อ’ ที่ว่า “เงินเฟ้อขาขึ้น โดยเฉพาะในหมวดอาหารจะกระทบกับคนจนมากกว่าคนรวย” ภาพรวมเงินเฟ้อ “อาจจะดี” ดังสุพัฒน์พงษ์ว่า
“จึงอาจจะเท่ากับภาพลวงได้ครับ”
(https://www.facebook.com/decharut.sukkumnoed/posts/4720255688066345 และ https://www.matichon.co.th/politics/news_3131122)