ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
Yesterday at 12:23 AM ·
ก่อนจะถึงนัดตรวจพยานหลักฐานคดีที่อานนท์ นำภา ปราศรัยในงานครบรอบ 1 ปี ม็อบแฮร์รี่พอตเตอร์ เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 64 บริเวณลานหน้าหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพ ในวันที่ 13 ธ.ค. 64 เวลา 9.00 น. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้
.
ศูนย์ทนายชวนอ่านคำฟ้องในคดีดังกล่าว ซึ่งอานนท์ถูกอัยการตั้งแต่เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2564 ใน 4 ข้อหา ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112, ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ และใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยเป็นการฟ้องขณะที่เขาถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำ
.
อัยการบรรยายฟ้องระบุ สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันซึ่งเป็นศูนย์รวมทางจิตใจของคนไทยทั้งชาติและเป็นสถาบันหลักของชาติที่อยู่คู่กับประเทศไทยมาเป็นเวลานานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พระมหากษัตริย์ทรงดํารงอยู่ในฐานะพระประมุขของชาติ อันเป็นที่เคารพสักการะของปวงชนชาวไทย ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ ผู้ใดจะนําสถาบันพระมหากษัตริย์มาล้อเลียนมิได้
.
คนไทยทุกคนต่างล้วนสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ มีความจงรักภักดีและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ รวมถึงการกล่าวถึงพระนามของพระมหากษัตริย์ต้องแสดงออกด้วยความเคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ตามขนบธรรมเนียมโบราณราชประเพณีอันเป็นสิ่งที่คนไทยโดยทั่วไปพึงปฏิบัติสั่งสมกันตลอดมา
.
อัยการได้ตัดตอนคำปราศรัยบางส่วนของอานนท์มาประกอบและสรุปความเห็นว่า ข้อความดังกล่าว กล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 และสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งถ้อยคําหรือข้อความดังกล่าวมีความหมายแสดงว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ซึ่งเป็นผู้ใช้อํานาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยผ่านทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรีและศาลตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ นั้นทรงมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับรัฐบาล หรือมุ่งใส่พระทัยในผลประโยชน์โดยมิชอบ ในทางทรัพย์สินส่วนพระองค์ร่วมกันกับรัฐบาลในการบริหารราชการแผ่นดิน และการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อร้ายแรงภายในประเทศ โดยมิได้ใส่พระทัยในความเป็นอยู่ที่ยากลําบาก หรือการเจ็บป่วยล้มตายของประชาชน
.
แม้เป็นการกล่าวในลักษณะว่าร้ายโดยเจาะจงแก่นายกรัฐมนตรี แต่ด้วยการกล่าวถึงเหตุผลประกอบต่างๆ แล้ว การกล่าวถึงนายกรัฐมนตรีจึงเป็นเพียงลักษณะของการใช้สํานวนโวหารเพื่อให้บรรลุความประสงค์แท้จริงในการใส่ความพระมหากษัตริย์ของจําเลยเท่านั้น อันเป็นการเสื่อมเสียอย่างมากต่อพระเกียรติ และภาพลักษณ์ของพระองค์
.
ทั้งนี้ การกล่าวปราศรัยอันปรากฏถ้อยคํา และข้อความที่กล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 และสถาบันพระมหากษัตริย์ในลักษณะการใส่ความ และยืนยันข้อเท็จจริงของจําเลยข้างต้นนั้น เป็นการใช้เสรีภาพ ในทางใดๆ อันเป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมืองหรือปวงชนชาวไทยที่จะต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์
.
คดีนี้ในข้อหา ม.112 มีนายนพดล พรหมภาสิต ซึ่งปัจจุบันเป็นประธานกลุ่ม ศชอ. เป็นผู้แจ้งความ
.
ศาลอาญากรุงเทพใต้นัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 13 ธ.ค. 2564 เวลา 9.00 น.
.
อ่านคำฟ้องฉบับเต็มในเว็บไซต์ : https://tlhr2014.com/archives/38737
.....
เปิดคำฟ้องคดี ม.112 “อานนท์” ปราศรัย 1 ปี ม็อบแฮร์รี่ พอตเตอร์
10/12/2564
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
ตั้งแต่เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2564 อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 4 ได้มีความเห็นสั่งฟ้องคดีของอานนท์ นำภา ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ จากกรณีการปราศรัยในงานครบรอบ 1 ปี ม็อบแฮร์รี่พอตเตอร์ เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2564 บริเวณลานหน้าหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพ อานนท์ถูกฟ้อง 4 ข้อหา ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112, ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ และใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยเป็นการฟ้องขณะที่เขาถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำ
>> “ในนัดคุ้มครองสิทธิ สิทธิที่มีค่าที่สุดคือการได้ประกันตัว”: ‘อานนท์’ แถลงคดีม็อบ 1 ปีแฮร์รี่พอตเตอร์ หลังถูกขังกว่า 2 เดือน
อัยการบรรยายฟ้องระบุ ก่อนเกิดเหตุวันที่ 2 ส.ค. 2564 จําเลยได้ลงประกาศเชิญชวนประชาชนทั่วไปผ่านบัญชีผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก ชื่อ “อานนท์ นําภา” มีข้อความว่า “ครบ 1 ปี แฮรี่พอตเตอร์ แต่ลอร์ดโวลเดอมอร์ยังอยู่ มาร่วมฟังปราศรัยการเมืองแบบตรงไปตรงมากันอีกครั้งครับ 16.00 น. หน้าหอศิลป์ กทม. แยกปทุมวัน” พร้อมด้วยภาพประชาสัมพันธ์ซึ่งปรากฏข้อความว่า “ลอร์ดโวลเดอมอร์ ยังไม่ตาย เสกคาถาผู้พิทักษ์ปกป้องประชาชน วันที่ 7 ส.ค. 2564 เวลา 16.00 – 19.00 น. ณ ลานด้านหน้าหอศิลปกรุงเทพฯ” อันเป็นการเชิญชวน หรือนัดหมายให้ประชาชนทั่วไปมาร่วมกิจกรรม ซึ่งมีการรวมกลุ่มของบุคคลเพื่อชุมนุมทางการเมือง โดยจําเลยได้ตั้งค่าประกาศดังกล่าวไว้เป็นสาธารณะ (Public) เพื่อให้ประชาชนโดยทั่วไปสามารถเข้าถึงประกาศดังกล่าว
วันที่ 3 ส.ค. 2564 จําเลยกับพวกรวม 7 คน เป็นผู้ร่วมกันจัดกิจกรรม จําเลยกับพวกรวม 7 คนนี้ยังได้ร่วมกันกับพวกอีก 21 คน รวมจํานวนทั้งสิ้น 28 คน ชุมนุม ทํากิจกรรม หรือมั่วสุมกันในสถานที่แออัด ภายในพื้นที่กรุงเทพมหานคร อันเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ตามคําสั่งของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19)
นอกจากนี้อัยการได้บรรยายว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้บัญญัติไว้โดยชัดแจ้งว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข องค์พระมหากษัตริย์ทรงดํารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้ และผู้ใดจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้ ตลอดจนจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพให้กระทบกระเทือนหรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐหรือให้เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของปวงชนชาวไทยในทางหนึ่งทางใดมิได้ ทั้งรัฐและพลเมืองหรือปวงชนชาวไทยต่างมีหน้าที่ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ดํารงอยู่คู่ประเทศชาติตลอดไป
นอกจากนี้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันซึ่งเป็นศูนย์รวมทางจิตใจของคนไทยทั้งชาติและเป็นสถาบันหลักของชาติที่อยู่คู่กับประเทศไทยมาเป็นเวลานานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พระมหากษัตริย์ทรงดํารงอยู่ในฐานะพระประมุขของชาติ อันเป็นที่เคารพสักการะของปวงชนชาวไทย ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ ผู้ใดจะนําสถาบันพระมหากษัตริย์มาล้อเลียนมิได้ คนไทยทุกคนต่างล้วนสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ มีความจงรักภักดีและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ รวมถึงการกล่าวถึงพระนามของพระมหากษัตริย์ต้องแสดงออกด้วยความเคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ตามขนบธรรมเนียมโบราณราชประเพณีอันเป็นสิ่งที่คนไทยโดยทั่วไปพึงปฏิบัติสั่งสมกันตลอดมา
กลุ่มจำเลยกับพวก ได้ขึ้นกล่าวปราศรัยสลับสับเปลี่ยนกันไปตามลําดับ โดยพูดผ่านไมโครโฟนที่เชื่อมต่อกับลําโพง แสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล และประเด็นการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ บนเวทีปราศรัยชั่วคราวที่ติดตั้งเครื่องขยายเสียง อยู่บริเวณส่วนตอนท้ายกระบะบรรทุกของรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล
อัยการได้ตัดตอนคำปราศรัยบางส่วนของอานนท์มา ประกอบด้วย
” เราเปลี่ยนวิธีคิดของกษัตริย์จากเดิมเป็นเจ้าชีวิต เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิ่งที่แตะต้องไม่ได้ เราก็เปลี่ยนความคิดกลายเป็นคนเท่ากัน มึงกูเท่ากัน … หนึ่งปีหลังจากนั้นสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ได้มีการตอบโต้พวกเราอย่างรุนแรงเช่นกัน …. เราเรียกร้องให้ในหลวงเสด็จกลับมาอยู่ในประเทศไทย ไม่ต้องไปอยู่เยอรมัน สุดท้ายท่านก็กลับมา
“แต่ไม่ได้กลับมาเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง มีการระดมคนใส่เสื้อเหลืองมาเข้าเฝ้ามาให้กําลังใจมาวัดกันว่าใครเยอะกว่ากัน ท่านหน้าแตกไปครั้งหนึ่งแล้ว คือ คนมาแค่หยิบมือ ไม่เป็นไร ท่านก็ยังไปต่อ … สุดท้ายหน้าแตกเป็นครั้งที่สอง น้องมัธยมชูสามนิ้วกันหมด”
อัยการบรรยายว่า ข้อความดังกล่าว กล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 และสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งถ้อยคําหรือข้อความดังกล่าวมีความหมายแสดงว่า พระองค์ทรงมิได้ดํารงตนอยู่เหนือการต่อสู้ขับเคลื่อนทางการเมือง ทรงอยู่เบื้องหลัง สั่งการ หรือสนับสนุนให้ภาครัฐ และประชาชนอีกกลุ่มซึ่งไม่ได้มีทัศนคติทางการเมืองตรงกันกับกลุ่มของจําเลย เข้าตอบโต้ต่อสู้กับกลุ่มของจําเลยอย่างรุนแรง อันเป็นการเสื่อมเสียอย่างมากต่อพระเกียรติ และภาพลักษณ์ของพระองค์
“..การชุมนุมของพวกเราได้ถูกตีแผ่ออกไปทั่วโลกถึงปัญหาของสถาบันกษัตริย์ …. เราพูดถึงการที่ กษัตริย์โอนเอาทรัพย์สินของหลวงไปเป็นของตัวเอง ทําให้พวกเราโดนคดีหลายคน สถาบันก็ยังอยู่เหมือนเดิม คือ ยังไม่ยอมปรับตัว”
“คุณจุลเจิมจะกล้าพิพากษาไหมว่าในหลวงรัชกาลที่ 10 ไม่เคยโอนเอาทรัพย์สินของสาธารณะไป เป็นของตัวเอง หุ้นไทยพาณิชย์ เป็นต้น…”
“พวกเขาตอบโต้สิ่งที่สถาบันกษัตริย์ทํากับประชาชน .. หนึ่งปีผ่านไปนอกจากเราจะไม่ได้รับคําตอบว่าท่านจะยอมปรับตัวหรือไม่ แต่เรากลับถูกตอบโต้อีกหลายอย่าง … ในหลวงท่านยังไม่ได้มีท่าทีที่จะหยุดพฤติการณ์ที่เราเรียกร้องให้ท่านหยุด ยังมีการถ่ายโอนทรัพย์สินเดิมเป็นของพวกเราที่ใช้ร่วมกันไปอยู่ในการครอบครองของตัวเอง … ผมยกตัวอย่างง่ายๆ ลานพระบรมรูปทรงม้า หลายคนที่รักศรัทธาก็ไปกราบไหว้ ไปทํากิจกรรม ไปชุมนุม ตอนนี้ในหลวงรัชกาลที่ 10 ล้อมรั้วเป็นของตัวเองแล้ว … ไม่รวมถึงรัฐสภาเดิม สวนสัตว์ หรือแม้แต่สนามม้านางเลิ้ง ตอนนี้ก็มีการปรับปรุงไปเป็นของตัวเอง…”
อัยการบรรยายว่าข้อความดังกล่าว กล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 และสถาบันพระมหากษัตริย์ มีความหมายแสดงว่า พระองค์ทรงมีพฤติกรรมไม่ชอบในทางทรัพย์สิน หรือมุ่งแสวงหาประโยชน์ส่วนพระองค์เป็นสําคัญ กล่าวคือ พฤติการณ์การถ่ายโอนเอาทรัพย์สินของแผ่นดิน หรือทรัพย์สินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันไปเป็นของพระองค์แต่เพียงผู้เดียวในทํานองการยักยอกทรัพย์ซึ่งเป็นของหลวงของแผ่นดิน อันเป็นการเสื่อมเสียอย่างมากต่อพระเกียรติและภาพลักษณ์ของพระองค์
“ไอ้ประยุทธ์มันเชื่อว่ามันห้อยพระดี ที่ชื่อว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ ในวันที่มันสาบานตน เข้ารับหน้าที่ สาบานไม่ครบ ก็มีการชูรูปชูข้อความของในหลวงรัชกาลที่ 10 บอกว่านี่กูมีแบ็ค เพราะอะไร การมีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับสถาบันพระมหากษัตริย์ …ถ้าบริษัทสยามไบโอไซน์ ไม่ใช่คนที่ถือหุ้นใหญ่ ชื่อ วชิราลงกรณ์ ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเอาเงินภาษีเราไปอุดหนุนไหม … ถ้าบริษัทนั้นไม่ใช่ของกษัตริย์ ทําไมประยุทธ์ไม่นําวัคซีนดีๆ มาฉีดให้พวกเราทุกคน เหตุผลเดียวก็คือ มันกลัววัคซีนของกษัตริย์ขายไม่ได้
“ถ้ามีการนําวัคซีน mRNA Pfizer ก็ดี Moderna ก็ดีเข้ามา มาฉีดให้พวกเรา มาฉีดป้องกันให้พวกเรา แล้วพวกเราหาย พวกเราไม่เป็นโควิด วัคซีนของกษัตริย์ก็ขายไม่ได้ เรื่องมันมีอยู่แค่นี้จริงๆ – ขอแค่ว่าให้มีซีนให้สถาบันกษัตริย์มาโปรยวัคซีนเมตตาให้พวกเรา เขาคิดแค่นั้น…”
อัยการบรรยายว่าข้อความดังกล่าว กล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 และสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งถ้อยคําหรือข้อความดังกล่าวมีความหมายแสดงว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ซึ่งเป็นผู้ใช้อํานาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยผ่านทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรีและศาลตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ นั้นทรงมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับรัฐบาล หรือมุ่งใส่พระทัยในผลประโยชน์โดยมิชอบ ในทางทรัพย์สินส่วนพระองค์ร่วมกันกับรัฐบาลในการบริหารราชการแผ่นดิน และการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อร้ายแรงภายในประเทศ โดยมิได้ใส่พระทัยในความเป็นอยู่ที่ยากลําบาก หรือการเจ็บป่วยล้มตายของประชาชน แม้เป็นการกล่าวในลักษณะว่าร้ายโดยเจาะจงแก่นายกรัฐมนตรี แต่ด้วยการกล่าวถึงเหตุผลประกอบต่างๆ แล้ว
การกล่าวถึงนายกรัฐมนตรีจึงเป็นเพียงลักษณะของการใช้สํานวนโวหารเพื่อให้บรรลุความประสงค์แท้จริงในการใส่ความพระมหากษัตริย์ของจําเลยเท่านั้น อันเป็นการเสื่อมเสียอย่างมากต่อพระเกียรติ และภาพลักษณ์ของพระองค์
ทั้งนี้ การกล่าวปราศรัยอันปรากฏถ้อยคํา และข้อความที่กล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 และสถาบันพระมหากษัตริย์ในลักษณะการใส่ความ และยืนยันข้อเท็จจริงของจําเลยข้างต้นนั้น เป็นการใช้เสรีภาพ ในทางใดๆ อันเป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมืองหรือปวงชนชาวไทยที่จะต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์
จากข้อความทั้งหมด เป็นเหตุ นายนพดล พรหมภาสิต ประชาชนซึ่งติดตามสถานการณ์การชุมนุมผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ เฟซบุ๊ก (Facebook) และผู้เข้าร่วมชุมนุม หรือประชาชนโดยทั่วไป เมื่อได้รับฟังแล้วอาจเกิดความเคลือบแคลงสงสัยในบรรดาพฤติกรรมซึ่งจําเลย กล่าวหาองค์พระมหากษัตริย์อย่างร้ายแรง หรือเสื่อมความเคารพศรัทธา หรือดูหมิ่น ดูแคลนในพระจริยวัตร และพระเกียรติยศของพระมหากษัตริย์ได้ อันเป็นการกล่าวให้ร้าย ใส่ความ กล่าวหา จาบจ้วง ล่วงเกิน ดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ หรือมุ่งหมายที่จะทําลายสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยประการที่น่าจะทําให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ซึ่งทรงดํารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนชาวไทยนั้น เสื่อมพระเกียรติ ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง ทําให้ประชาชนชาวไทย เสื่อมศรัทธา ไม่เคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และพระมหากษัตริย์ ซึ่งได้รับการรับรองจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ให้ดํารงอยู่ในฐานะที่ผู้ใดจะละเมิดกล่าวหา หรือฟ้องร้องในทางใดๆ มิได้
อัยการได้สั่งฟ้องใน 4 ข้อหา ประกอบด้วย
1. “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์” ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
2. ร่วมกันฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ศ. 2548 มาตรา 9 (2) ฉบับที่ 15 ข้อ 3 “ร่วมกันชุมนุมหรือทํากิจกรรมในสถานที่แออัด ภายในเขตพื้นที่ที่หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคงประกาศกําหนด” และฉบับที่ 30 ข้อ 4 (1) “ร่วมกันจัดกิจกรรมซึ่งมีการรวมกลุ่มกันของบุคคลที่มีจํานวนมากกว่าห้าคนในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด”
3. ร่วมกันฝ่าฝืน พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558
4. ร่วมกันโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกําลังไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
คดีนี้ศาลอาญากรุงเทพใต้นัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 13 ธ.ค. 2564 เวลา 9.00 น.
อ่านคดีนี้เพิ่มเติม
‘อานนท์ นำภา’ เข้ามอบตัวคดี ม.112 เหตุปราศรัยย้ำข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ชุมนุมครบ 1 ปี #ม็อบแฮร์รี่พอตเตอร์
“ในนัดคุ้มครองสิทธิ สิทธิที่มีค่าที่สุดคือการได้ประกันตัว”: ‘อานนท์’ แถลงคดีม็อบ 1 ปีแฮร์รี่พอตเตอร์ หลังถูกขังกว่า 2 เดือน
...
อัยการอธิบายขยายความแบบนี้ ก็ต้องพิสูจน์ว่าไม่จริงตามที่อานนท์พูด พรบ.โอนทรัพย์สินฯ จึงเป็นวัตถุแห่งคดี ที่อัยการต้องนำสืบให้เห็นว่า ทรัพย์สินที่มีการโอนไปของพรบ.ดังกล่าว ยังเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินอยู่ หรือมันเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ทั้งหมดมาก่อนออกพรบ.นี้ ไม่เช่นนั้นคำกล่าวอ้างของอัยการก็จะเป็นเรื่องลอยๆ ไม่มีน้ำหนัก งานนี้นักวิชาการกฎหมายที่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ หรือกระทั่งผู้ร่างหรือผู้เสนอกฎหมายนี้ก็ต้องมาเป็นพยานในศาล / การสืบพยานในคดีนี้จึงน่าจะเป็นประวัติศาสตร์ที่ต้องบันทึกไว้อีกคดี
ความเห็นท่านหนึ่ง
...
Pruay Saltihead
Yesterday at 3:37 AM ·
อัยการบรรยายว่าข้อความดังกล่าว กล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 และสถาบันพระมหากษัตริย์ มีความหมายแสดงว่า พระองค์ทรงมีพฤติกรรมไม่ชอบในทางทรัพย์สิน หรือมุ่งแสวงหาประโยชน์ส่วนพระองค์เป็นสําคัญ กล่าวคือ พฤติการณ์การถ่ายโอนเอาทรัพย์สินของแผ่นดิน หรือทรัพย์สินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันไปเป็นของพระองค์แต่เพียงผู้เดียวในทํานองการยักยอกทรัพย์ซึ่งเป็นของหลวงของแผ่นดิน "อันเป็นการเสื่อมเสียอย่างมากต่อพระเกียรติและภาพลักษณ์ของพระองค์"
อ้าวอัยการบรรยายฟ้องแบบนี้ น่าถามนะครับว่าระหว่างการกระทำของกษัตริย์กับมีคนพูดถึงการกระทำนั้น อันไหนทำให้กษัตริย์เสื่อมเสีย?
การโอนหุ้นไปเป็นของตัวเองก็เป็นเรื่องจริง
การยึดเอาลานพระรูปและพื้นที่รัฐสภาเดิมไปก็เป็นเรื่องจริง
ตกลงเสื่อมเสียจากการระทำหรือเสื่อมเสียเพราะมีคนพูดถึงการกระทำนั้น
“แต่ไม่ได้กลับมาเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง มีการระดมคนใส่เสื้อเหลืองมาเข้าเฝ้ามาให้กําลังใจมาวัดกันว่าใครเยอะกว่ากัน ท่านหน้าแตกไปครั้งหนึ่งแล้ว คือ คนมาแค่หยิบมือ ไม่เป็นไร ท่านก็ยังไปต่อ … สุดท้ายหน้าแตกเป็นครั้งที่สอง น้องมัธยมชูสามนิ้วกันหมด”
อัยการบรรยายว่า ข้อความดังกล่าว กล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 และสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งถ้อยคําหรือข้อความดังกล่าวมีความหมายแสดงว่า พระองค์ทรงมิได้ดํารงตนอยู่เหนือการต่อสู้ขับเคลื่อนทางการเมือง ทรงอยู่เบื้องหลัง สั่งการ หรือสนับสนุนให้ภาครัฐ และประชาชนอีกกลุ่มซึ่งไม่ได้มีทัศนคติทางการเมืองตรงกันกับกลุ่มของจําเลย เข้าตอบโต้ต่อสู้กับกลุ่มของจําเลยอย่างรุนแรง อันเป็นการเสื่อมเสียอย่างมากต่อพระเกียรติ และภาพลักษณ์ของพระองค์
“..การชุมนุมของพวกเราได้ถูกตีแผ่ออกไปทั่วโลกถึงปัญหาของสถาบันกษัตริย์ …. เราพูดถึงการที่ กษัตริย์โอนเอาทรัพย์สินของหลวงไปเป็นของตัวเอง ทําให้พวกเราโดนคดีหลายคน สถาบันก็ยังอยู่เหมือนเดิม คือ ยังไม่ยอมปรับตัว”
“คุณจุลเจิมจะกล้าพิพากษาไหมว่าในหลวงรัชกาลที่ 10 ไม่เคยโอนเอาทรัพย์สินของสาธารณะไป เป็นของตัวเอง หุ้นไทยพาณิชย์ เป็นต้น…”
“พวกเขาตอบโต้สิ่งที่สถาบันกษัตริย์ทํากับประชาชน .. หนึ่งปีผ่านไปนอกจากเราจะไม่ได้รับคําตอบว่าท่านจะยอมปรับตัวหรือไม่ แต่เรากลับถูกตอบโต้อีกหลายอย่าง … ในหลวงท่านยังไม่ได้มีท่าทีที่จะหยุดพฤติการณ์ที่เราเรียกร้องให้ท่านหยุด ยังมีการถ่ายโอนทรัพย์สินเดิมเป็นของพวกเราที่ใช้ร่วมกันไปอยู่ในการครอบครองของตัวเอง … ผมยกตัวอย่างง่ายๆ ลานพระบรมรูปทรงม้า หลายคนที่รักศรัทธาก็ไปกราบไหว้ ไปทํากิจกรรม ไปชุมนุม ตอนนี้ในหลวงรัชกาลที่ 10 ล้อมรั้วเป็นของตัวเองแล้ว … ไม่รวมถึงรัฐสภาเดิม สวนสัตว์ หรือแม้แต่สนามม้านางเลิ้ง ตอนนี้ก็มีการปรับปรุงไปเป็นของตัวเอง…”
อัยการบรรยายว่าข้อความดังกล่าว กล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 และสถาบันพระมหากษัตริย์ มีความหมายแสดงว่า พระองค์ทรงมีพฤติกรรมไม่ชอบในทางทรัพย์สิน หรือมุ่งแสวงหาประโยชน์ส่วนพระองค์เป็นสําคัญ กล่าวคือ พฤติการณ์การถ่ายโอนเอาทรัพย์สินของแผ่นดิน หรือทรัพย์สินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันไปเป็นของพระองค์แต่เพียงผู้เดียวในทํานองการยักยอกทรัพย์ซึ่งเป็นของหลวงของแผ่นดิน อันเป็นการเสื่อมเสียอย่างมากต่อพระเกียรติและภาพลักษณ์ของพระองค์
“ไอ้ประยุทธ์มันเชื่อว่ามันห้อยพระดี ที่ชื่อว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ ในวันที่มันสาบานตน เข้ารับหน้าที่ สาบานไม่ครบ ก็มีการชูรูปชูข้อความของในหลวงรัชกาลที่ 10 บอกว่านี่กูมีแบ็ค เพราะอะไร การมีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับสถาบันพระมหากษัตริย์ …ถ้าบริษัทสยามไบโอไซน์ ไม่ใช่คนที่ถือหุ้นใหญ่ ชื่อ วชิราลงกรณ์ ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเอาเงินภาษีเราไปอุดหนุนไหม … ถ้าบริษัทนั้นไม่ใช่ของกษัตริย์ ทําไมประยุทธ์ไม่นําวัคซีนดีๆ มาฉีดให้พวกเราทุกคน เหตุผลเดียวก็คือ มันกลัววัคซีนของกษัตริย์ขายไม่ได้
“ถ้ามีการนําวัคซีน mRNA Pfizer ก็ดี Moderna ก็ดีเข้ามา มาฉีดให้พวกเรา มาฉีดป้องกันให้พวกเรา แล้วพวกเราหาย พวกเราไม่เป็นโควิด วัคซีนของกษัตริย์ก็ขายไม่ได้ เรื่องมันมีอยู่แค่นี้จริงๆ – ขอแค่ว่าให้มีซีนให้สถาบันกษัตริย์มาโปรยวัคซีนเมตตาให้พวกเรา เขาคิดแค่นั้น…”
อัยการบรรยายว่าข้อความดังกล่าว กล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 และสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งถ้อยคําหรือข้อความดังกล่าวมีความหมายแสดงว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ซึ่งเป็นผู้ใช้อํานาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยผ่านทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรีและศาลตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ นั้นทรงมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับรัฐบาล หรือมุ่งใส่พระทัยในผลประโยชน์โดยมิชอบ ในทางทรัพย์สินส่วนพระองค์ร่วมกันกับรัฐบาลในการบริหารราชการแผ่นดิน และการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อร้ายแรงภายในประเทศ โดยมิได้ใส่พระทัยในความเป็นอยู่ที่ยากลําบาก หรือการเจ็บป่วยล้มตายของประชาชน แม้เป็นการกล่าวในลักษณะว่าร้ายโดยเจาะจงแก่นายกรัฐมนตรี แต่ด้วยการกล่าวถึงเหตุผลประกอบต่างๆ แล้ว
การกล่าวถึงนายกรัฐมนตรีจึงเป็นเพียงลักษณะของการใช้สํานวนโวหารเพื่อให้บรรลุความประสงค์แท้จริงในการใส่ความพระมหากษัตริย์ของจําเลยเท่านั้น อันเป็นการเสื่อมเสียอย่างมากต่อพระเกียรติ และภาพลักษณ์ของพระองค์
ทั้งนี้ การกล่าวปราศรัยอันปรากฏถ้อยคํา และข้อความที่กล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 และสถาบันพระมหากษัตริย์ในลักษณะการใส่ความ และยืนยันข้อเท็จจริงของจําเลยข้างต้นนั้น เป็นการใช้เสรีภาพ ในทางใดๆ อันเป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมืองหรือปวงชนชาวไทยที่จะต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์
จากข้อความทั้งหมด เป็นเหตุ นายนพดล พรหมภาสิต ประชาชนซึ่งติดตามสถานการณ์การชุมนุมผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ เฟซบุ๊ก (Facebook) และผู้เข้าร่วมชุมนุม หรือประชาชนโดยทั่วไป เมื่อได้รับฟังแล้วอาจเกิดความเคลือบแคลงสงสัยในบรรดาพฤติกรรมซึ่งจําเลย กล่าวหาองค์พระมหากษัตริย์อย่างร้ายแรง หรือเสื่อมความเคารพศรัทธา หรือดูหมิ่น ดูแคลนในพระจริยวัตร และพระเกียรติยศของพระมหากษัตริย์ได้ อันเป็นการกล่าวให้ร้าย ใส่ความ กล่าวหา จาบจ้วง ล่วงเกิน ดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ หรือมุ่งหมายที่จะทําลายสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยประการที่น่าจะทําให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ซึ่งทรงดํารงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนชาวไทยนั้น เสื่อมพระเกียรติ ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง ทําให้ประชาชนชาวไทย เสื่อมศรัทธา ไม่เคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และพระมหากษัตริย์ ซึ่งได้รับการรับรองจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ให้ดํารงอยู่ในฐานะที่ผู้ใดจะละเมิดกล่าวหา หรือฟ้องร้องในทางใดๆ มิได้
อัยการได้สั่งฟ้องใน 4 ข้อหา ประกอบด้วย
1. “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์” ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
2. ร่วมกันฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ศ. 2548 มาตรา 9 (2) ฉบับที่ 15 ข้อ 3 “ร่วมกันชุมนุมหรือทํากิจกรรมในสถานที่แออัด ภายในเขตพื้นที่ที่หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคงประกาศกําหนด” และฉบับที่ 30 ข้อ 4 (1) “ร่วมกันจัดกิจกรรมซึ่งมีการรวมกลุ่มกันของบุคคลที่มีจํานวนมากกว่าห้าคนในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด”
3. ร่วมกันฝ่าฝืน พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558
4. ร่วมกันโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกําลังไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
คดีนี้ศาลอาญากรุงเทพใต้นัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 13 ธ.ค. 2564 เวลา 9.00 น.
อ่านคดีนี้เพิ่มเติม
‘อานนท์ นำภา’ เข้ามอบตัวคดี ม.112 เหตุปราศรัยย้ำข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ชุมนุมครบ 1 ปี #ม็อบแฮร์รี่พอตเตอร์
“ในนัดคุ้มครองสิทธิ สิทธิที่มีค่าที่สุดคือการได้ประกันตัว”: ‘อานนท์’ แถลงคดีม็อบ 1 ปีแฮร์รี่พอตเตอร์ หลังถูกขังกว่า 2 เดือน
...
อัยการอธิบายขยายความแบบนี้ ก็ต้องพิสูจน์ว่าไม่จริงตามที่อานนท์พูด พรบ.โอนทรัพย์สินฯ จึงเป็นวัตถุแห่งคดี ที่อัยการต้องนำสืบให้เห็นว่า ทรัพย์สินที่มีการโอนไปของพรบ.ดังกล่าว ยังเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินอยู่ หรือมันเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ทั้งหมดมาก่อนออกพรบ.นี้ ไม่เช่นนั้นคำกล่าวอ้างของอัยการก็จะเป็นเรื่องลอยๆ ไม่มีน้ำหนัก งานนี้นักวิชาการกฎหมายที่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ หรือกระทั่งผู้ร่างหรือผู้เสนอกฎหมายนี้ก็ต้องมาเป็นพยานในศาล / การสืบพยานในคดีนี้จึงน่าจะเป็นประวัติศาสตร์ที่ต้องบันทึกไว้อีกคดี
ความเห็นท่านหนึ่ง
...
Pruay Saltihead
Yesterday at 3:37 AM ·
อัยการบรรยายว่าข้อความดังกล่าว กล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 และสถาบันพระมหากษัตริย์ มีความหมายแสดงว่า พระองค์ทรงมีพฤติกรรมไม่ชอบในทางทรัพย์สิน หรือมุ่งแสวงหาประโยชน์ส่วนพระองค์เป็นสําคัญ กล่าวคือ พฤติการณ์การถ่ายโอนเอาทรัพย์สินของแผ่นดิน หรือทรัพย์สินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันไปเป็นของพระองค์แต่เพียงผู้เดียวในทํานองการยักยอกทรัพย์ซึ่งเป็นของหลวงของแผ่นดิน "อันเป็นการเสื่อมเสียอย่างมากต่อพระเกียรติและภาพลักษณ์ของพระองค์"
อ้าวอัยการบรรยายฟ้องแบบนี้ น่าถามนะครับว่าระหว่างการกระทำของกษัตริย์กับมีคนพูดถึงการกระทำนั้น อันไหนทำให้กษัตริย์เสื่อมเสีย?
การโอนหุ้นไปเป็นของตัวเองก็เป็นเรื่องจริง
การยึดเอาลานพระรูปและพื้นที่รัฐสภาเดิมไปก็เป็นเรื่องจริง
ตกลงเสื่อมเสียจากการระทำหรือเสื่อมเสียเพราะมีคนพูดถึงการกระทำนั้น