วันอาทิตย์, ตุลาคม 25, 2563

“เค้าไม่ได้สอนให้เรารักกัน เค้าสอนให้คนที่รักเค้า เป็นศัตรูกับคนที่ไม่ได้รักเค้า ต่างหาก”


เปิดสภาวิสามัญทำห่านไร ไอตู๊บบอกยังไงก็ไม่ออก สวดมนต์แก้ปัญหาที่การสืบทอดอำนาจเกิด สะดุด แล้วชูสองนิ้วจนป้าๆ สลิ่มสยิวร้องกรี๊ดกัน หากแปลความตามแนว ฮังเกอร์เกมของฝ่ายเยาวชนปลดแอก ต้องถามว่าอะไรขาดไปหนึ่ง

ถ้าตู่ชูสามนิ้วน่าจะแทน ชาติ ศาสน์ กษัตริย์(ไม่มีประชาชน ไม่ต้องรัฐธรรมนูญ) ในเมื่อสามนิ้วของ ปลดแอกหมายถึงเสรีภาพ ความเสมอภาค และภราดรภาพ เมื่อเหลือสองนิ้วขาดอะไร คงไม่ใช่ชาติ นั่นชัวร์ๆ ของตาย และไม่ใช่ศาสน์เพราะเพิ่งสวดมนต์

หากนิ้วที่สามหดไปจากตู่คงเป็นด้วยตอนนี้นิ้วนั้นห่ามๆ อยู่ ไม่ยัก ‘coherence’ ไปด้วยกันเหมือนในโกศ แถมเล็บงามที่ติดมาด้วยดูท่าจะหยิกขบได้เจ็บเนื้ออย่างคาดไม่ถึง แน่นอนว่าถ้าเกิด เลยเถิดอย่างที่หลายคนห่วง ตู่เองจะเป็น เสือลำบากเอาไม่อยู่ อนาคตจู๋

มันจึงออกมาด้วยเล่ห์เพทุบาย เปิดประชุมวิสามัญ ๒๖-๒๗ ตุลานี้ แต่ไม่ใช่ในเรื่องที่ผู้ชุมนุมม็อบเยาวชนเรียกร้องต้องการ แต่เพื่อหนีปัญหาอย่างที่ ส.ส.ประชารัฐนายหนึ่งพยายามโบ้ย “ให้หลายๆ ส่วนมาพูดคุยหาทางออก”

แต่ “ฝากไปยังกลุ่มผู้ชุมนุม นักศึกษา นักเรียน เราต้องดูความจริงด้วย อย่าดูแต่ความหวัง” คือสามข้อให้ตู่ลาออก ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และแก้ไขอำนาจกษัตริย์ให้สอดคล้องรัฐธรรมนูญ อย่าต้องเป็นพสกนิกร ใต้ฝ่าละอองไปด้วยนั้นไม่ฟัง

สัมฤทธิ์ แทนทรัพย์ ส.ส.ชัยภูมิ ต้องการให้ ข้ามประเด็นปฏิรูประบบกษัตริย์ไปเสีย อ้าง “สังคมไทยส่วนใหญ่เขาไม่เห็นด้วย ในสังคมเรามีคนหลากหลาย เช่น คนสูงอายุ คนทำงาน ที่ไม่เห็นด้วย เราก็ควรข้ามไป” ไม่สนคนรุ่นเยาว์ ที่จะมีชีวิตอยู่ยาวกว่า

รัฐบาลประยุทธ์ จันทร์อะไร จึงกำหนดหัวข้ออภิปรายเฉพาะเรื่องต้องการ จวกม็อบ ๓ ประเด็น หนึ่งทำให้เสี่ยงโควิด-๑๙ กลับมาระบาด สอง เกิดการขัดขวางขบวนเสด็จ (คือถ้าไม่มีชุมนุม ราชินีคงไม่รู้จะวกไปหาเรื่องใคร) และสาม มีการทำลายฉายาลักษณ์

ซึ่งเหล่านั้นล้วนแต่เป็น ตอแหลนิวส์โดยเฉพาะที่ว่า “ขัดขวางขบวนเสด็จ” นักข่าวเอเอฟพีมีทั้งภาพและคลิปยืนยันว่า “เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๓ ไม่พบว่ามีการโยนสิ่งของใส่ขบวนเสด็จฯ” แต่อย่างใด มลาเดน อันทนอฟ ให้ความจริงแก่ทีมตรวจสอบ

“ผมอยู่ตรงนั้นตอนที่ขบวนเสด็จขับผ่าน มีกลุ่มผู้สนับสนุนสถาบันยืนเรียงกันเป็นแถวเพื่อกันพื้นที่ให้ขบวนเสด็จฯ...กลุ่มผู้ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยยืนอยู่ข้างหลังพวกเขา บางคนก็ชูสามนิ้ว...(แต่) ไม่มีการโยนวัตถุ (ขวดน้ำและรองเท้า) ใส่รถ

ดังนั้นการที่ “นักเคลื่อนไหวสองคนได้ถูกจับและดำเนินคดีในข้อหาประทุษร้ายต่อเสรีภาพของพระราชินี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๐” หนึ่งในนั้นคือ เอกชัย หงส์กังวาน ที่ศาลไม่ยอมให้ประกันปล่อยตัวชั่วคราว จึงถูกแจ้งความเท็จ


ยังมีผู้ชุมนุมระดับแกนอีกเกือบสิบที่ศาลไม่ยอมให้ประกัน อ้างว่า “การกระทำตามข้อกล่าวหา...อาจก่อให้เกิดความวุ่นวาย ส่งผลกระทบวงกว้าง ชักนำให้ ปชช.ละเมิด กม.” เป็นเหตุผลมั่วซั่วสิ้นดี ในเมื่อความวุ่นวายมีแต่เกิดจากฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล

ผู้ถูกคุมขังในกลุ่มนี้มากหน้าเป็นนักกิจกรรมรุ่นใหม่ที่ทนไม่ไหว เห็นความบิดเบี้ยวในการบังคับใช้กฎหมาย  พร้อมไปกับวิธีการอำนาจนิยมในมิติการเมืองและสังคม จึงเป็นดั่งพลังบริสุทธิ์ออกมาเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแก้ไข

พริษฐ์ ชีวารักษ์ ถูกขังมาแล้ว ๑๐ วันจากการขึ้นปราศรัยตามที่ชุมนุมต่างๆ เช่นเดียวกับปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือภาณุพงศ์ จาดนอก (๘ วัน) กับ ปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม (๖ วัน) และสุรนาถ แป้นประเสริฐ (๔ วัน) หากนับอานนท์ นำภา และสมยศ พฤกษาเกษมสุข เป็นขาเก่า

คนเหล่านี้ถูกการถูกจองจำบ่มเพาะพลังใจให้กลั่นกล้า เป็นนักต่อสู้ที่จะพัฒนาจากการเรียกร้องปฏิรูป ซึ่งร้องเท่าไรกี่ครั้งกี่หนไม่เคยได้รับการใส่ใจ นำไปสู่การชักชวนคนส่วนมากในสังคม ที่ตระหนักต่อการถูกกดขี่เอาเปรียบให้ออกมาร่วมกัน ปฏิวัติ ก็ได้

มันเป็นเพราะชนชั้นปกครองยุคนี้ สองในสามนิ้วรวมถึงตุลาการที่เอาใจรัฐบาลเป็นตัวการกดดัน แยกเขาแยกเรา อ้างบังคับใช้กฎหมายโดยไม่เป็นธรรมกับผู้ที่ไม่เห็นพ้องหรือไม่นบนอบหมอบคลาน การเรียกร้องที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงกลายเป็นการต่อสู้ไม่สิ้นสุด

ดังข้อความโพสต์ของนักแสดงหญิงคนหนึ่งว่า “เค้าไม่ได้สอนให้เรารักกัน เค้าสอนให้คนที่รักเค้า เป็นศัตรูกับคนที่ไม่ได้รักเค้า ต่างหาก” (จาก ไอจีของ โฟกัส จิระกุล)

(https://factcheckthailand.afp.com/these-photos-do-not-show-thai-pro-demoracy-protesters-throwing-shoes-and-bottles-royal-motorcade-th, https://www.matichon.co.th/politics/news_2411495, https://twitter.com/TLHR2014/status/1319867460267339777 และ https://www.facebook.com/.../a.1015054.../10164479482285551/)