วันเสาร์, กุมภาพันธ์ 01, 2568
พอเห็นภาพนี้เด้งขึ้นมาอีก นึกถึงหนังหรือละครบางเรื่องที่ถูกวิจารณ์ว่า "ดูถูกคนดู"
สุรพศ ทวีศักดิ์
4 hours ago
·
ที่จริงไม่คิดจะล้อเลียนภาพนี้กับเขาหรอก แต่พอเห็นเด้งขึ้นมาอีก ทำให้นึกถึงหนังหรือละครบางเรื่องที่ถูกวิจารณ์ว่า "ดูถูกคนดู" (เรารู้ๆ กันว่าทักษิณมีความจำเป็นต้องแสดงบทบาทของเขาภายใต้เงื่อนไขของระบบการเมืองที่ absurd แต่บางทีแกแสดงทื่อๆ แบบดูถูกท่านผู้ชมมากเกินไป
.....
.....
Pavin Chachavalpongpun
คุณทักษิณเพิ่งหายป่วยไม่นาน ไม่อยากให้เดินทางไกลไปมาเลเซียเลยค่ะ เป็นห่วงท่าน
โยนกลองกันไปมาอยู่นั่นแหละ…. #ต้องรอให้จีนมาสั่งหรือไง
Matichon Online - มติชนออนไลน์
·
เลขาฯสมช. ยันสภาความมั่นคง ไม่มีอำนาจสั่งตัดไฟฟ้า จ่อชงข้อมูลส่งกฟภ. หารือคู่สัญญา
อ่านต่อ https://www.matichon.co.th/politics/news_5026453
...
โยนกลองกันไปมาอยู่นั่นแหละ….ไม่มีใครบอกว่า สมช.มีอำนาจสั่งตัดไฟเลย แต่ สมช.สามารถให้ความเห็นว่าการส่งไฟฟ้าไปขายที่เมียวดี ถูกใช้เพื่อสนับสนุนแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติ และกระทบต่อประเทศไทยหรือไม่ ควรตัดไฟหรือไม่ อย่าตอบว่าไม่รู้ ไม่มีข้อมูลนะคะ เพราะประชาชนจะบอกว่า งั้นก็ยุบสมช.ทิ้งเถอะ เปลืองภาษี
#ต้องรอให้จีนมาสั่่งหรือไง
Puangthong Pawakapan
อย่าให้เขาดูถูกเรา! อุ๊งอิ๊งเจอ สี จิ้นผิง ที่ปักกิ่ง
อย่าให้เขาดูถูกเรา! อุ๊งอิ๊งเจอ สี จิ้นผิง ที่ปักกิ่ง : Suthichai live 31-1-68
Streamed live 7 hours ago
จะเป็นเรื่องน่าเศร้า ถ้าประเทศไทยพลาดโอกาสดีๆในการกวาดบ้านตัวเอง และเป็นผู้นำในการกวาดจับทลายแหล่งอาชญากรรมข้ามชาติซึ่งมีเหยื่ออยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก หากเราทำได้มากสุดแค่บินไปถ่ายรูปกับสี จิ้นผิง และประกาศว่า “เราทำแล้ว” ?
The Reporters
7 hours ago
·
SPECIAL FEATURE: ศักดิ์ศรีของประเทศ
ภาพของนายหลิว จงอี (Mr.Liu Zhongyi) ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนพร้อมทีมงานชุดใหญ่ซึ่งส่วนมากเป็นผู้บริหารหน่วยงานด้านความมั่นคง เดินลุยสำรวจริมแม่น้ำเมยและยืนเมียงมองไปยังพื้นที่ฝั่งตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก ซึ่งเป็นแหล่งอาชญากรรมขนาดใหญ่ทั้งในพื้นที่ชเวโก๊กโก่และเคเคปาร์ค โดยมีทีมตำรวจและหน่วยราชการไทยเดินตามคณะเป็นการสะท้อนข้อเท็จจริงที่น่ากังวลยิ่ง
ข้อเท็จจริงที่จีนเป็นกลายเป็นผู้นำในการปราบปรามขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติทั้งการค้ามนุษย์และสแกมเมอร์ แม้กระทั่งบนแผ่นดินที่เป็นอำนาจอธิปไตยของไทย จีนก็ยังต้อง “เล่นบทนำ” ขณะที่คณะรัฐรัฐมนตรีของไทย ไม่แม้แต่คนเดียวที่มีภาพลงไปสำรวจค้นหาข้อเท็จจริงริมแม่น้ำเมย นับตั้งแต่ข่าวเหยื่อต่างชาติหลายพันคนถูกต้มตุ๋นนำพาข้ามจากฝั่งไทยไปยังเมืองเมียวดี จวบจนกระทั่งข่าว “ซิง ซิง” หรือนายหวัง ซิง ดารานักแสดงที่ถูกนำไปแหล่งอาชญากรรมเมืองเมียวดีกลายเป็นกระแสข่าวโด่งดังระดับโลก
ความเนือยนิ่งต่อปัญหาของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี “แพทองธาร” จึงกลายเป็นเรื่องที่ชวนให้น่าวิเคราะห์ด้วยเช่นกันว่า “เพราะอะไร? ” ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเคยพยายามตีปิ๊บเรื่องความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในฝั่งพม่าโดยการส่งมอบข้าวของให้ประชาชนที่หนีภัยการสู้รบในรัฐกะเหรี่ยง
แต่ทำไมความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในกรณีของเหยื่อต่างชาติมากมายที่ถูกหลอกลวงอยู่ในแหล่งอาชญากรรม กลับไม่ได้รับความเหลียวแลใดๆ ทุกอย่างทำด้วยแบบ “เสียไม่ได้” หรือเต้นไปตามเพลงในบางจังหวะเท่านั้น
รัฐบาลไทยกำลังปล่อยโอกาสสำคัญในการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนด้านตะวันตกให้ผ่านไปอย่างน่าเสียดาย เช่นเดียวกับที่เคยผิดพลาดกรณีปล่อยให้กองกำลังว้า UWSA (United Wa State Army )เข้ามายึดครองพื้นที่ชายแดน 3 จังหวัดภาคเหนือคือเชียงราย เชียงใหม่ และแม่ฮ่องสอน หลังจากกองทัพเมิงไตของขุนส่าวางอาวุธเมื่อปี 2539
ทำให้ทุกวันนี้ยาเสพติดแพร่ระบาดทุกหัวระแหงในบ้านเมืองและประเทศไทยกลายเป็นทางผ่านของยามรณะเหล่านี้ไปยังสังคมโลก เพราะพื้นที่อิทธิพลของว้าเป็นแหล่งผลิตยาเสพติดเพื่อนำรายได้ไปซื้ออาวุธ จนกลายเป็นกองกำลังที่เข้มแข็ง แม้กระทั่งรุกล้ำชายแดนไทยในหลายจุด ทางการไทยก็ยังไม่กล้าทำอะไรจนสถานการณ์ยืดเยื้อถึงวันนี้
บริเวณชายแดนไทยในพื้นที่ริมแม่น้ำเมยเมืองเมียวดี มีกองกำลังกะเหรี่ยง 3 กลุ่มหลักๆคือ KNU(Karen National Union) กองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง BGF (Karen Border Guard Force) และกองกำลังกะเหรี่ยง DKBA(Democratic Karen Buddhist Army ) โดยทั้ง BGF และ DKBA ต่างก็หากินอยู่กับแหล่งอาชญากรรมข้ามชาติ ขณะที่ KNU ต่อสู้เพื่อความเป็นอิสระจากกองทัพพม่า แต่ก็มีผู้นำบางคนของ KNU ที่หากินอยู่กับธุรกิจสีดำนี้ด้วยเช่นกัน
การช่วยเหลือเหยื่อและปราบปรามแหล่งอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงของทางการไทยแต่อย่างใด เพราะผู้นำกองกำลังกะเหรี่ยงเหล่านี้ต่างก็ต้องพึ่งพาประเทศไทยเป็นสำคัญ
มีคำพูดหนึ่งของนายหลิว จงอี ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯที่ดังทะลุห้องประชุมออกมาคือ “เล้าก์ก่ายโมเดล”
ทางการจีนได้ทลายแหล่งอาชญากรรมแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ในเมืองเล้าก์ก่าย รัฐฉานเหนือ ติดชายแดนจีน ด้วยการสนับสนุนด้านอาวุธให้อีกปีกหนึ่งของกองกำลังโกก้าง ปฏิบัติการยึดอำนาจจากกลุ่มโกก้างที่ครองอำนาจและแสวงประโยชน์จากธุรกิจสีดำ จนได้รับชนะและสามารถช่วยเหลือเหยื่อคนจีนและคนต่างชาติได้จำนวนมาก รวมถึงคนไทย อีกทั้งยังจับกุมลงโทษเหล่ามาเฟียจีนที่ต้มตุ๋นหลอกลวงได้จำนวนมากเช่นกัน
ทุกวันนี้ในเขตปกครองพิเศษโกก้างที่อยู่ติดกับชายแดนจีนจึงปลอดภัยจากแก๊งค์อาชญากรรมข้ามชาติ
ดังนั้นการที่ผู้แทนจีนพูดถึง “เล้าก์ก่ายโมเดล” จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่ง เพราะเงื่อนไขต่างๆ ในพื้นที่เมืองเมียวดีมีความคล้ายคลึงกับเมืองเล้าก์ก่ายมาก และกองกำลัง KNU เองก็พร้อมร่วมมือปฎิบัติการกวาดล้างแหล่งแหล่งอาชญากรรมเหล่านี้ หากรัฐบาลไทยให้การสนับสนุน
แต่ความ “กล้าหาญ” ในการทำเพื่อสังคมที่ดีของรัฐบาลจีนและรัฐบาลไทยมีเหมือนกันหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือคณะผู้แทนจีนชุดนี้มาพร้อมกับข้อมูลชุดใหญ่ที่พัวพันถึงระบบส่วยที่โยงใยถึงข้าราชการไทยในหลายหน่วยงาน ซึ่งหลายคนตั้งคำถามว่า “ทำไมข้อมูลเขาถึงลึก?”
ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา จีนได้ส่งทีมงานมาฝังตัวใน อ.แม่สอด อยู่นานนับเดือน เนื่องจากได้รับรายงานถึงการต้มตุ๋นหลอกลวงชาวจีนโดยมาเฟียจีน จนกระทั่งปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ทางการจีนได้ส่งเครื่องบินมาขนคนจีนจากแหล่งอาชญากรรมฝั่งเมียวดีกลับประเทศกว่า 900 คน
ซึ่งในจำนวนนี้กลุ่มหนึ่งเป็นอาชญากรซึ่งทางการจีนสามารถรีดข้อมูลต่างๆ รวมถึงเรื่องการทุจริต-ติดสินบนของหน่วยงานราชการไทย
ขณะเดียวกันมีชาวจีนที่ถูกหลอกเช่นเดียวกับดาราหนุ่มซิง ซิง จำนวนไม่น้อยที่หนีรอดออกมาจากแหล่งอาชญากรรมเมืองเมียวดีและข้ามมาฝั่งไทยได้ เพียงแต่ไม่เป็นข่าว ซึ่งเจ้าหน้าที่สถานทูตจีนจะมารับตัวไปในทันที คนเหล่านี้ก็เป็นแหล่งข้อมูลชั้นดี
ฉะนั้นการย้าย 3 ผู้กำกับสถานีตำรวจในอำเภอชายแดนตากเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา จึงไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย ตอนนี้เหลือเพียงหน่วยงานอื่นๆจะถูกเช็คบิลหรือไม่ อย่างไร
คำถามคือในวันนี้รัฐบาลไทยได้กวาดบ้านตัวเองแล้วหรือยัง โดยเฉพาะระบบส่วย ซึ่งเสมือนสายสัมพันธ์ที่ยึดโยงมาเฟียจีน-กองกำลังกะเหรี่ยงเทา-บิ๊กข้าราชการไทยไว้ด้วย
ประเทศไทยกำลังพลาดโอกาสดีๆในการกวาดบ้านตัวเอง และเป็นผู้นำในการกวาดจับทลายแหล่งอาชญากรรมข้ามชาติซึ่งมีเหยื่ออยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก
การลงพื้นที่ของนายหลิว จงอี ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมคณะโดยปราศจากผู้บริหารระดับสูงในรัฐบาลไทยเข้าร่วม จึงเป็นภาพสะท้อนที่ชัดแจ๋วถึงบทบาทนำของรัฐบาลไทยในการแก้ไขปัญหาขบวนการอาชญากรข้ามชาติ
เป็นเรื่องน่าเศร้า หากเราทำได้มากสุดแค่บินไปถ่ายรูปกับสี จิ้นผิง และประกาศว่า “เราทำแล้ว” ?
โดย ภาสกร จำลองราช
#TheReporters #เดอะรีพอร์ตเตอร์ #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #ข่าว
https://www.facebook.com/photo/?fbid=977791214542914&set=a.534942245494482
7 hours ago
·
SPECIAL FEATURE: ศักดิ์ศรีของประเทศ
ภาพของนายหลิว จงอี (Mr.Liu Zhongyi) ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนพร้อมทีมงานชุดใหญ่ซึ่งส่วนมากเป็นผู้บริหารหน่วยงานด้านความมั่นคง เดินลุยสำรวจริมแม่น้ำเมยและยืนเมียงมองไปยังพื้นที่ฝั่งตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก ซึ่งเป็นแหล่งอาชญากรรมขนาดใหญ่ทั้งในพื้นที่ชเวโก๊กโก่และเคเคปาร์ค โดยมีทีมตำรวจและหน่วยราชการไทยเดินตามคณะเป็นการสะท้อนข้อเท็จจริงที่น่ากังวลยิ่ง
ข้อเท็จจริงที่จีนเป็นกลายเป็นผู้นำในการปราบปรามขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติทั้งการค้ามนุษย์และสแกมเมอร์ แม้กระทั่งบนแผ่นดินที่เป็นอำนาจอธิปไตยของไทย จีนก็ยังต้อง “เล่นบทนำ” ขณะที่คณะรัฐรัฐมนตรีของไทย ไม่แม้แต่คนเดียวที่มีภาพลงไปสำรวจค้นหาข้อเท็จจริงริมแม่น้ำเมย นับตั้งแต่ข่าวเหยื่อต่างชาติหลายพันคนถูกต้มตุ๋นนำพาข้ามจากฝั่งไทยไปยังเมืองเมียวดี จวบจนกระทั่งข่าว “ซิง ซิง” หรือนายหวัง ซิง ดารานักแสดงที่ถูกนำไปแหล่งอาชญากรรมเมืองเมียวดีกลายเป็นกระแสข่าวโด่งดังระดับโลก
ความเนือยนิ่งต่อปัญหาของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี “แพทองธาร” จึงกลายเป็นเรื่องที่ชวนให้น่าวิเคราะห์ด้วยเช่นกันว่า “เพราะอะไร? ” ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเคยพยายามตีปิ๊บเรื่องความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในฝั่งพม่าโดยการส่งมอบข้าวของให้ประชาชนที่หนีภัยการสู้รบในรัฐกะเหรี่ยง
แต่ทำไมความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในกรณีของเหยื่อต่างชาติมากมายที่ถูกหลอกลวงอยู่ในแหล่งอาชญากรรม กลับไม่ได้รับความเหลียวแลใดๆ ทุกอย่างทำด้วยแบบ “เสียไม่ได้” หรือเต้นไปตามเพลงในบางจังหวะเท่านั้น
รัฐบาลไทยกำลังปล่อยโอกาสสำคัญในการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนด้านตะวันตกให้ผ่านไปอย่างน่าเสียดาย เช่นเดียวกับที่เคยผิดพลาดกรณีปล่อยให้กองกำลังว้า UWSA (United Wa State Army )เข้ามายึดครองพื้นที่ชายแดน 3 จังหวัดภาคเหนือคือเชียงราย เชียงใหม่ และแม่ฮ่องสอน หลังจากกองทัพเมิงไตของขุนส่าวางอาวุธเมื่อปี 2539
ทำให้ทุกวันนี้ยาเสพติดแพร่ระบาดทุกหัวระแหงในบ้านเมืองและประเทศไทยกลายเป็นทางผ่านของยามรณะเหล่านี้ไปยังสังคมโลก เพราะพื้นที่อิทธิพลของว้าเป็นแหล่งผลิตยาเสพติดเพื่อนำรายได้ไปซื้ออาวุธ จนกลายเป็นกองกำลังที่เข้มแข็ง แม้กระทั่งรุกล้ำชายแดนไทยในหลายจุด ทางการไทยก็ยังไม่กล้าทำอะไรจนสถานการณ์ยืดเยื้อถึงวันนี้
บริเวณชายแดนไทยในพื้นที่ริมแม่น้ำเมยเมืองเมียวดี มีกองกำลังกะเหรี่ยง 3 กลุ่มหลักๆคือ KNU(Karen National Union) กองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง BGF (Karen Border Guard Force) และกองกำลังกะเหรี่ยง DKBA(Democratic Karen Buddhist Army ) โดยทั้ง BGF และ DKBA ต่างก็หากินอยู่กับแหล่งอาชญากรรมข้ามชาติ ขณะที่ KNU ต่อสู้เพื่อความเป็นอิสระจากกองทัพพม่า แต่ก็มีผู้นำบางคนของ KNU ที่หากินอยู่กับธุรกิจสีดำนี้ด้วยเช่นกัน
การช่วยเหลือเหยื่อและปราบปรามแหล่งอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงของทางการไทยแต่อย่างใด เพราะผู้นำกองกำลังกะเหรี่ยงเหล่านี้ต่างก็ต้องพึ่งพาประเทศไทยเป็นสำคัญ
มีคำพูดหนึ่งของนายหลิว จงอี ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯที่ดังทะลุห้องประชุมออกมาคือ “เล้าก์ก่ายโมเดล”
ทางการจีนได้ทลายแหล่งอาชญากรรมแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ในเมืองเล้าก์ก่าย รัฐฉานเหนือ ติดชายแดนจีน ด้วยการสนับสนุนด้านอาวุธให้อีกปีกหนึ่งของกองกำลังโกก้าง ปฏิบัติการยึดอำนาจจากกลุ่มโกก้างที่ครองอำนาจและแสวงประโยชน์จากธุรกิจสีดำ จนได้รับชนะและสามารถช่วยเหลือเหยื่อคนจีนและคนต่างชาติได้จำนวนมาก รวมถึงคนไทย อีกทั้งยังจับกุมลงโทษเหล่ามาเฟียจีนที่ต้มตุ๋นหลอกลวงได้จำนวนมากเช่นกัน
ทุกวันนี้ในเขตปกครองพิเศษโกก้างที่อยู่ติดกับชายแดนจีนจึงปลอดภัยจากแก๊งค์อาชญากรรมข้ามชาติ
ดังนั้นการที่ผู้แทนจีนพูดถึง “เล้าก์ก่ายโมเดล” จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่ง เพราะเงื่อนไขต่างๆ ในพื้นที่เมืองเมียวดีมีความคล้ายคลึงกับเมืองเล้าก์ก่ายมาก และกองกำลัง KNU เองก็พร้อมร่วมมือปฎิบัติการกวาดล้างแหล่งแหล่งอาชญากรรมเหล่านี้ หากรัฐบาลไทยให้การสนับสนุน
แต่ความ “กล้าหาญ” ในการทำเพื่อสังคมที่ดีของรัฐบาลจีนและรัฐบาลไทยมีเหมือนกันหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือคณะผู้แทนจีนชุดนี้มาพร้อมกับข้อมูลชุดใหญ่ที่พัวพันถึงระบบส่วยที่โยงใยถึงข้าราชการไทยในหลายหน่วยงาน ซึ่งหลายคนตั้งคำถามว่า “ทำไมข้อมูลเขาถึงลึก?”
ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา จีนได้ส่งทีมงานมาฝังตัวใน อ.แม่สอด อยู่นานนับเดือน เนื่องจากได้รับรายงานถึงการต้มตุ๋นหลอกลวงชาวจีนโดยมาเฟียจีน จนกระทั่งปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ทางการจีนได้ส่งเครื่องบินมาขนคนจีนจากแหล่งอาชญากรรมฝั่งเมียวดีกลับประเทศกว่า 900 คน
ซึ่งในจำนวนนี้กลุ่มหนึ่งเป็นอาชญากรซึ่งทางการจีนสามารถรีดข้อมูลต่างๆ รวมถึงเรื่องการทุจริต-ติดสินบนของหน่วยงานราชการไทย
ขณะเดียวกันมีชาวจีนที่ถูกหลอกเช่นเดียวกับดาราหนุ่มซิง ซิง จำนวนไม่น้อยที่หนีรอดออกมาจากแหล่งอาชญากรรมเมืองเมียวดีและข้ามมาฝั่งไทยได้ เพียงแต่ไม่เป็นข่าว ซึ่งเจ้าหน้าที่สถานทูตจีนจะมารับตัวไปในทันที คนเหล่านี้ก็เป็นแหล่งข้อมูลชั้นดี
ฉะนั้นการย้าย 3 ผู้กำกับสถานีตำรวจในอำเภอชายแดนตากเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา จึงไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย ตอนนี้เหลือเพียงหน่วยงานอื่นๆจะถูกเช็คบิลหรือไม่ อย่างไร
คำถามคือในวันนี้รัฐบาลไทยได้กวาดบ้านตัวเองแล้วหรือยัง โดยเฉพาะระบบส่วย ซึ่งเสมือนสายสัมพันธ์ที่ยึดโยงมาเฟียจีน-กองกำลังกะเหรี่ยงเทา-บิ๊กข้าราชการไทยไว้ด้วย
ประเทศไทยกำลังพลาดโอกาสดีๆในการกวาดบ้านตัวเอง และเป็นผู้นำในการกวาดจับทลายแหล่งอาชญากรรมข้ามชาติซึ่งมีเหยื่ออยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก
การลงพื้นที่ของนายหลิว จงอี ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมคณะโดยปราศจากผู้บริหารระดับสูงในรัฐบาลไทยเข้าร่วม จึงเป็นภาพสะท้อนที่ชัดแจ๋วถึงบทบาทนำของรัฐบาลไทยในการแก้ไขปัญหาขบวนการอาชญากรข้ามชาติ
เป็นเรื่องน่าเศร้า หากเราทำได้มากสุดแค่บินไปถ่ายรูปกับสี จิ้นผิง และประกาศว่า “เราทำแล้ว” ?
โดย ภาสกร จำลองราช
#TheReporters #เดอะรีพอร์ตเตอร์ #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #ข่าว
https://www.facebook.com/photo/?fbid=977791214542914&set=a.534942245494482
ปิยบุตร แสงกนกกุล : การเลือกนายก อบจ.68 คือ การเลือกการเมืองท้องถิ่น 2 แนวทาง
Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล
11 hours ago
·
[การเลือกนายก อบจ.68 คือ การเลือกการเมืองท้องถิ่น 2 แนวทาง]
การเลือกตั้งนายก อบจ.ในวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 นี้ นอกจากประชาชนใน 47 จังหวัด จะได้เลือกผู้บริหารสูงสุดเพื่อมาบริหารราชการแผ่นดิน จัดทำบริการสาธารณะ และบริหารจัดการงบประมาณในพื้นที่จังหวัดของตนแล้ว การเลือกตั้งนายก อบจ.ครั้งนี้ ยังเป็นการเลือกการเมืองท้องถิ่น 2 แนวทาง ใน 2 ประเด็น ดังนี้
.
ประเด็นแรก การเมืองท้องถิ่นของครอบครัว กับ การเมืองท้องถิ่นของประชาชน
ในอดีตที่ผ่านมา การเมืองท้องถิ่นมักผูกพันกับระบบ “บ้านใหญ่” ประจำจังหวัด ตำแหน่งนายกฯท้องถิ่นตกอยู่กับผู้มีอำนาจ อิทธิพล (ทั้งทางเงินทองและทางกลไกรัฐ) และตำแหน่งก็จะวนเวียนกันอยู่ในตระกูลตนเอง เช่น พ่อเป็นแล้ว-ลูกเป็นต่อ, สามีเป็นแล้ว-ภรรยาเป็นต่อ, พี่เป็นแล้ว-น้องเป็นต่อ, ลุงเป็นแล้ว-หลานเป็นต่อ, พ่อตาเป็นแล้ว-ลูกเขยเป็นต่อ เป็นต้น หากคนในตระกูลหมดแล้ว ในกรณีที่ตกลงผลประโยชน์กันได้ลงตัว ก็อาจผ่องถ่ายอำนาจไปให้ลูกน้องคนสนิทที่ไว้วางใจได้อย่างราบรื่น แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ ลูกน้องรอไม่ไหว รับใช้นายมานานแล้ว อยากขึ้นมามีอำนาจเองบ้าง ก็จะเกิดความขัดแย้งกันขึ้น ถ้าสันติสักหน่อย ลูกน้องก็ออกมาตั้งทีมแข่งกับอดีตลูกพี่ เมื่อเอาชนะได้ ก็เริ่มสร้าง “บ้านใหญ่” หลังใหม่ประจำจังหวัด สืบทอดกันในวงตระกูลต่อ แต่ถ้ารุนแรงขึ้น ก็อาจ “สั่งเก็บ” ฆ่ากันตาย
การเมืองท้องถิ่นของครอบครัวอาจใช้งานได้ดี อาจทำประโยชน์ให้กับประชาชนอยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคสมัยที่อำนาจรวมศูนย์อยู่ที่ส่วนกลาง สาธารณูปโภคและสาธารณูปการไม่ทั่วถึง ทำให้ประชาชนในพื้นที่ไม่สามารถพึ่งพิงอำนาจรัฐแบบทางการได้ ต้องอาศัยอำนาจ อิทธิพล บารมี เครือข่ายของ “บ้านใหญ่”
อย่างไรก็ตาม โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี ต่อให้ “บ้านใหญ่” ใจดี มีน้ำใจ ช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่เท่าไรก็ตาม ก็ไม่มี “บ้านใหญ่” ที่ไหน หลังไหน ช่วยเหลือประชาชนฟรีๆ
ทุกการช่วยเหลือที่มาจากอิทธิพลหรือเงินของครอบครัว “บ้านใหญ่” ย่อมตามมาด้วย “บุญคุณ”
ทุกการช่วยเหลือที่มาจากอิทธิพลหรือเงินของครอบครัว “บ้านใหญ่” ย่อมตามมาด้วยการซื้อใจ/การได้ใจ เพื่อทำให้ครอบครัวตนเองได้รับเลือกตั้งกลับมาเรื่อยๆ
ทุกการช่วยเหลือที่มาจากอิทธิพลหรือเงินของครอบครัว “บ้านใหญ่” ย่อมตามมาด้วยการเข้าไปถอนทุนคืน ทุจริต เบียดบังงบประมาณ ผ่านการจัดซื้อจัดจ้างโครงการต่างๆ
วิธีการแบบนี้ คือ การลงทุนทางการเมืองแบบ “แบ่งสัมปทานอำนาจรัฐ” ใช้ทุนก้อนหนึ่ง เพื่อหาโอกาสเข้าไปมีอำนาจรัฐ แล้วก็เบียดบังงบประมาณแผ่นดิน ถอนทุนคืน เพื่อเอาทุนมาทำงานการเมืองต่อ วนเวียนอยู่แบบนี้เรื่อยไป
การเมืองท้องถิ่นในลักษณะนี้ ส่งผลเสียอย่างไร?
งบประมาณแผ่นดินไม่ถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนและส่วนรวมอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ต้องถูกแบ่งไปให้กับนักการเมือง
โครงการต่างๆ ด้อยประสิทธิภาพลง เพราะ เอกชนผู้รับเหมา ต้องเอาต้นทุนจำนวนหนึ่งหักออกไปส่งเป็น “เงินทอน” 20-30 เปอร์เซนต์
“เงินทอน” ต้องมาก่อน หากโครงการไหนจำเป็นต่อประชาชน แต่ใช้งบน้อย หรือเป็นโครงการที่หาเงินทอนไม่ได้หรือได้น้อย ก็ต้องตกไป โครงการต่างๆ จึงวนเวียนอยู่กับการหาผู้รับเหมา สร้าง ซ่อม สร้าง ซ่อม ภายใต้สูตรคิดคำนวณแบ่ง “เงินทอน” ให้นักการเมือง
อำนาจถูกผูกขาดไว้กับ “บ้านใหญ่” หากใครไม่ใช่คนในตระกูล ไม่ใช่คนในเครือข่าย ก็ไม่มีโอกาสได้เติบโต บีบบังคับให้ใครอยากเป็นนักการเมืองท้องถิ่น ใครอยากทำธุรกิจในจังหวัด ใครอยากได้โครงการ ก็ต้องสวามิภักดิ์บ้านใหญ่
เมื่อการเมืองท้องถิ่นกลายเป็นการเมืองของครอบครัว ของบ้านใหญ่ เช่นนี้แล้ว ภาพลักษณ์ของการเมืองท้องถิ่นก็เสียหาย เมื่อไรที่มีเสียงเรียกร้องให้ “ยุติรัฐราชการรวมศูนย์ ทวงคืนอำนาจสู่ท้องถิ่น” ฝ่ายที่ไม่ต้องการให้มีการกระจายอำนาจ ก็จะอ้างว่า การเอาอำนาจ เอางาน เงิน คนไปให้ท้องถิ่นมากๆ สุดท้ายก็มีแต่ “บ้านใหญ่” ที่ได้ไป และนำไปใช้สร้างอาณาจักรของตนเอง
ทั้งหมดนี้ คนที่ได้รับผลร้ายที่สุด คือ ประชาชน
ประชาชนบางคนบางกลุ่ม อาจได้รับความช่วยเหลือจาก “บ้านใหญ่” อาจได้พึ่งบารมี อิทธิพล เครือข่าย ของ “บ้านใหญ่” แต่ถ้าหากเรากลับมาสร้างการเมืองท้องถิ่นแบบใหม่ให้ถูกต้องตามระบบ ประชาชน ทุกคน ทุกกลุ่ม ก็จะได้รับการดูแลอย่างถ้วนหน้า โดยไม่ต้องเสียค่านายหน้า ค่าโสหุ้ย ส่วย งบประมาณในแต่ละปีที่มาจากภาษีของประชาชน ก็ไม่ต้องถูกแบ่งไปเป็นเงินทอนให้นักการเมือง ในขณะที่นักการเมืองทั้งหลายก็ถูกบีบให้กลับมาแข่งขันกันในเส้นทางที่ถูกต้อง
การเมืองท้องถิ่นในแนวทางแบบใหม่ คือ การเมืองท้องถิ่นของประชาชน
“ประชาชน” มีโอกาสเข้าสู่การเมือง มีอำนาจบริหารจัดการจังหวัดของตนเองได้ โดยไม่ต้องดูว่ามาจากครอบครัวไหน นามสกุลอะไร สังกัด “บ้านใหญ่” หรือไม่ ไม่ต้องไปสวามิภักดิ์ผู้มีอิทธิพล หรือเดินหิ้วกระเป๋าตาม “บ้านใหญ่”
ผู้สมัครแข่งขันกันเสนอนโยบายที่ตนจะทำหากได้เป็นนายกท้องถิ่น วางแผนงาน จัดสรรงบประมาณ ภายในกี่ปี จะทำเรื่องใด ใช้งบประมาณเท่าไร ในขณะที่ประชาชนได้ติดตาม ตรวจสอบ ทวงถามว่า งบประมาณในแต่ละปี ถูกนำไปใช้ในเรื่องใดบ้าง
นายกท้องถิ่นผูกมัดกับประชาชนด้วยนโยบายที่รณรงค์หาเสียงเอาไว้ ไม่ใช่ผูกมัดผ่านเงินทองหรืออิทธิพล
นักการเมืองท้องถิ่นไม่ต้องนำเงินส่วนตัว หรือเงินของครอบครัวมาช่วยเหลือประชาชน แต่จัดสรรงบประมาณซึ่งมาจากภาษีของประชาชนมาจัดทำบริการสาธารณะและดูแลประชาชนอย่างทั่วถึง เท่าเทียม ให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวมสูงสุด
เมื่อนายกท้องถิ่นไม่ได้นำเงินส่วนตัวมาลงทุนทำการเมืองแบบ “แบ่งสัมปทนาอำนาจรัฐ” พวกเขาก็ไม่ต้องตั้งหน้าตั้งตา “ถอนทุน” คืน การคิดอ่านจัดทำโครงการต่างๆ ก็กลับมาสู่เส้นทางที่ถูกต้อง ไม่ต้องวนเวียนกับ “สร้าง-ซ่อม” หาเงินทอน
นายกท้องถิ่นไม่ได้มีบุญคุณต่อประชาชน แต่มีหน้าที่ต้องดูแลประชาชน เงินที่นำมาใช้ก็เป็นเงินภาษีของประชาชน ความสัมพันธ์เช่นนี้ จะเปลี่ยนให้ประชาชนเป็นเจ้านายนักการเมือง
การเมือง ในภาษาอังกฤษคือ Politics มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก Polis ที่แปลว่าเมือง เมื่อเป็นเรื่องของ “เมือง” แล้ว จึงมิใช่เรื่องของ “ครอบครัว” การเมือง จึงเป็นการใช้อำนาจเพื่อตัดสินใจในเรื่องส่วนรวม เรื่องสาธารณะ การตัดสินใจต่างๆต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของประโยชน์สาธารณะ การนำเรื่องส่วนตัว ครอบครัว พรรคพวก มาเป็นปัจจัยในการตัดสินใจในเรื่องการเมือง จึงเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ ใช้อำนาจส่วนรวมที่ต้องตัดสินใจเพื่อส่วนรวม ไปเป็นประโยชน์ส่วนตน
อำนาจหน้าที่ของ อบจ. มีมากมาย ตั้งแต่การคมนาคม ขนส่งมวลชน การศึกษา สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม การจัดการขยะ กีฬา วัฒนธรรม สาธารณูปโภค สาธารณูปการ น้ำ ไฟ ถนน ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของประชาชน ตั้งแต่ตื่นเช้ายันเข้านอน ตั้งแต่เกิดยันตาย งบประมาณซึ่งมาจากภาษีของประชาชน มากมายหลายพันล้านบาท เรื่องเหล่านี้สำคัญมากเกินกว่าที่เราจะมอบให้กับคนไม่กี่คนในครอบครัวเดียวกันได้มีอำนาจผูกขาดตัดสินใจ
การเลือกตั้งนายก อบจ. ครั้งนี้ จึงมีความสำคัญ เพราะ ประชาชนจะมีโอกาสตัดสินใจเลือกระหว่าง
การเมืองท้องถิ่นของครอบครัว vs การเมืองท้องถิ่นของประชาชน
การเมืองท้องถิ่นที่แข่งขันกันผ่านอิทธิพล vs การเมืองท้องถิ่นที่แข่งขันกันผ่านนโยบาย
การเมืองท้องถิ่นที่สร้าง “บุญคุณ” กับประชาชน เพื่อให้ประชาชน “ตอบแทนบุญคุณ” เลือกพวกตนเองได้เข้าไปมีอำนาจแล้วเบียดบังงบประมาณมาเข้ากระเป๋าตนเอง vs การเมืองท้องถิ่นที่ต้องทำ “หน้าที่” จัดทำบริการสาธารณะ ดูแลประชาชนอย่างทั่วถึง เท่าเทียม
การเมืองท้องถิ่นที่ประชาชนต้องหวาดกลัวและเกรงใจอิทธิพลของ “บ้านใหญ่” ต้องกังวลว่าวันไหนจะไปเหยียบตีนบ้านใหญ่หรือไม่ vs การเมืองท้องถิ่นที่นักการเมืองต้องอ่อนน้อมถ่อมตนกับประชาชน
.
ประเด็นสอง การเมืองท้องถิ่นแบบเครื่องไม้เครื่องมือรัฐบาล กับ การเมืองท้องถิ่นแบบจัดการตนเอง
พรรคเพื่อไทยรณรงค์หาเสียงนายก อบจ.ครั้งนี้ ภายใต้แนวคิดที่ว่า เลือกนายก อบจ.จากพรรคเพื่อไทย เพื่อทำงานประสานกับรัฐบาลซึ่งมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ผู้ช่วยหาเสียงของพรรคเพื่อไทยหลายคน ต่างปราศรัยหาเสียงไปในแนวทางนี้ ในทุกเวที ขอยกมาสักหนึ่งตัวอย่างพอสังเขป ดังนี้
“อย่าลืมมือไม้ผม อบจ.เป็นกลไกสำคัญที่จะเป็นมือไม้ให้ผมทำงานให้กับพี่น้องได้... เสริมมือไม้ให้ผม อบจ.ยกให้ผม” (ทักษิณ ชินวัตร ปราศรัยที่จังหวัดศรีสะเกษ วันที่ 25 มกราคม 2568)
แนวคิดการเลือกนายก อบจ.พวกเดียวกันกับพรรคแกนนำรัฐบาล โดยอ้างว่าต้องการให้นายก อบจ.เป็นเครื่องมือให้กับรัฐบาล เช่นนี้ เป็นแนวคิดที่ผิดและขัดกับหลักการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น ขัดกับหลักความเป็นอิสระขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างสิ้นเชิง
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นนิติบุคคลมหาชน แยกออกจากราชการส่วนกลาง มิใช่สังกัดส่วนกลางเหมือนพวกกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ
นายกท้องถิ่นและสภาท้องถิ่นมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนในพื้นที่ มิใช่มาจากการส่งคนมาปกครองโดยรัฐบาล
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีอำนาจการจัดทำบริการสาธารณะในพื้นที่ เป็นของตนเอง มีข้าราชการ เจ้าหน้าที่ บุคลากรเป็นของตนเอง มีรายได้ งบประมาณ เป็นของตนเอง
รัฐบาลมีความสัมพันธ์กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แบบ “กำกับดูแล” มิใช่ “บังคับบัญชา” รัฐบาลจะไปสั่งการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เหมือนกับเป็นกระทรวง มิได้
บรรดานักการเมืองที่มอง อบจ. เหมือนเป็น “เครื่องไม้เครื่องมือ” ของรัฐบาล นั่นเท่ากับว่า พวกเขามอง อบจ. เป็น กระทรวง อบจ. ที่รัฐบาลสั่งการได้ พวกเขามิได้มอง อบจ. เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีพื้นที่ครอบคลุมทั้งจังหวัด มีอำนาจ มีงาน เงิน คน ของตนเอง มีความเป็นอิสระที่จะบริหารจัดการจังหวัดได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องรอให้รัฐบาลสั่ง
หากแนวทาง “อบจ.เป็นเครื่องไม้เครื่องมือรัฐบาล” ประสบความสำเร็จ ย่อมกระทบต่อการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นที่ประเทศไทยเพียรพยายามทำกันมาตั้งแต่ 2540
ต่อไป พวกเขาจะไม่สนใจเรื่องการกระจายอำนาจ ไม่พยายามแก้ไขปรับปรุงกฎหมายและระเบียบต่างๆที่เป็นอุปสรรคต่อการกระจายอำนาจ ไม่จัดการยกเลิกอำนาจของส่วนกลางและภูมิภาคที่ทับซ้อนกับอำนาจของส่วนท้องถิ่น ไม่เพิ่มแหล่งรายได้หรือภาษีตัวใหม่ๆให้กับท้องถิ่น การจัดสรรเงินอุดหนุนให้กับท้องถิ่นขึ้นกับว่านายกท้องถิ่นมาจากพรรคไหนกลุ่มใดเป็นสำคัญ แต่พวกเขาจะสนับสนุน ดูแล อบจ.ที่เป็นเครื่องไม้เครื่องมือให้กับรัฐบาล เป็นหลัก ภายใต้ชื่อเรียกอันสวยหรูว่า “ประสานงานกับรัฐบาลอย่างไร้รอยต่อ”
การเลือกตั้งนายก อบจ. ครั้งนี้ จึงมีความสำคัญ เพราะ ประชาชนจะมีโอกาสตัดสินใจเลือกระหว่าง
อบจ.ที่จะกลายเป็น “กระทรวง อบจ.” vs อบจ.ที่เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีความเป็นอิสระ มีอำนาจ งบประมาณ บุคลากร เป็นของตนเอง
อบจ.ที่ต่อไป รัฐบาลจะสั่งการบังคับบัญชาได้ จะทำอะไรได้ต้องถามรัฐบาลก่อน vs อบจ.ที่จัดการจังหวัดของตนเองได้เพื่อประโยชน์สูงสุดของคนในจังหวัด
อบจ.ที่จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างดี หากนายก อบจ.นั้นเป็นพรรคพวกเดียวกันกับแกนนำรัฐบาล vs อบจ.ที่จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลตามกฎหมาย อย่างเสมอภาค เท่าเทียม โดยไม่เลือกปฏิบัติว่านายก อบจ.มาจากพรรคใด กลุ่มใด
การกระจายอำนาจแบบ “เต่าคลาน” ไปอย่างช้าๆ ถ่ายโอนทีละนิด ถ่ายโอนไปพลาง ดึงกลับไปพลาง ถ่ายโอนไปพลาง ส่งคนตามประกบควบคุมไปพลาง vs การกระจายอำนาจแบบ “บิ๊กแบง” ทำพร้อมกัน ทำทั่วถึง ทำทันที
.
วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นวันสำคัญ ไม่ใช่แค่เลือกนายก อบจ หรือสมาชิกสภา อบจ. เท่านั้น
แต่ยังเป็นวันกำหนดลักษณะของการเมืองท้องถิ่นไทยในอนาคตและแนวทางการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นของประเทศไทยด้วย
https://www.facebook.com/photo?fbid=1234406521378737&set=a.553423659477030
[การเลือกนายก อบจ.68 คือ การเลือกการเมืองท้องถิ่น 2 แนวทาง]
การเลือกตั้งนายก อบจ.ในวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 นี้ นอกจากประชาชนใน 47 จังหวัด จะได้เลือกผู้บริหารสูงสุดเพื่อมาบริหารราชการแผ่นดิน จัดทำบริการสาธารณะ และบริหารจัดการงบประมาณในพื้นที่จังหวัดของตนแล้ว การเลือกตั้งนายก อบจ.ครั้งนี้ ยังเป็นการเลือกการเมืองท้องถิ่น 2 แนวทาง ใน 2 ประเด็น ดังนี้
.
ประเด็นแรก การเมืองท้องถิ่นของครอบครัว กับ การเมืองท้องถิ่นของประชาชน
ในอดีตที่ผ่านมา การเมืองท้องถิ่นมักผูกพันกับระบบ “บ้านใหญ่” ประจำจังหวัด ตำแหน่งนายกฯท้องถิ่นตกอยู่กับผู้มีอำนาจ อิทธิพล (ทั้งทางเงินทองและทางกลไกรัฐ) และตำแหน่งก็จะวนเวียนกันอยู่ในตระกูลตนเอง เช่น พ่อเป็นแล้ว-ลูกเป็นต่อ, สามีเป็นแล้ว-ภรรยาเป็นต่อ, พี่เป็นแล้ว-น้องเป็นต่อ, ลุงเป็นแล้ว-หลานเป็นต่อ, พ่อตาเป็นแล้ว-ลูกเขยเป็นต่อ เป็นต้น หากคนในตระกูลหมดแล้ว ในกรณีที่ตกลงผลประโยชน์กันได้ลงตัว ก็อาจผ่องถ่ายอำนาจไปให้ลูกน้องคนสนิทที่ไว้วางใจได้อย่างราบรื่น แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ ลูกน้องรอไม่ไหว รับใช้นายมานานแล้ว อยากขึ้นมามีอำนาจเองบ้าง ก็จะเกิดความขัดแย้งกันขึ้น ถ้าสันติสักหน่อย ลูกน้องก็ออกมาตั้งทีมแข่งกับอดีตลูกพี่ เมื่อเอาชนะได้ ก็เริ่มสร้าง “บ้านใหญ่” หลังใหม่ประจำจังหวัด สืบทอดกันในวงตระกูลต่อ แต่ถ้ารุนแรงขึ้น ก็อาจ “สั่งเก็บ” ฆ่ากันตาย
การเมืองท้องถิ่นของครอบครัวอาจใช้งานได้ดี อาจทำประโยชน์ให้กับประชาชนอยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคสมัยที่อำนาจรวมศูนย์อยู่ที่ส่วนกลาง สาธารณูปโภคและสาธารณูปการไม่ทั่วถึง ทำให้ประชาชนในพื้นที่ไม่สามารถพึ่งพิงอำนาจรัฐแบบทางการได้ ต้องอาศัยอำนาจ อิทธิพล บารมี เครือข่ายของ “บ้านใหญ่”
อย่างไรก็ตาม โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี ต่อให้ “บ้านใหญ่” ใจดี มีน้ำใจ ช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่เท่าไรก็ตาม ก็ไม่มี “บ้านใหญ่” ที่ไหน หลังไหน ช่วยเหลือประชาชนฟรีๆ
ทุกการช่วยเหลือที่มาจากอิทธิพลหรือเงินของครอบครัว “บ้านใหญ่” ย่อมตามมาด้วย “บุญคุณ”
ทุกการช่วยเหลือที่มาจากอิทธิพลหรือเงินของครอบครัว “บ้านใหญ่” ย่อมตามมาด้วยการซื้อใจ/การได้ใจ เพื่อทำให้ครอบครัวตนเองได้รับเลือกตั้งกลับมาเรื่อยๆ
ทุกการช่วยเหลือที่มาจากอิทธิพลหรือเงินของครอบครัว “บ้านใหญ่” ย่อมตามมาด้วยการเข้าไปถอนทุนคืน ทุจริต เบียดบังงบประมาณ ผ่านการจัดซื้อจัดจ้างโครงการต่างๆ
วิธีการแบบนี้ คือ การลงทุนทางการเมืองแบบ “แบ่งสัมปทานอำนาจรัฐ” ใช้ทุนก้อนหนึ่ง เพื่อหาโอกาสเข้าไปมีอำนาจรัฐ แล้วก็เบียดบังงบประมาณแผ่นดิน ถอนทุนคืน เพื่อเอาทุนมาทำงานการเมืองต่อ วนเวียนอยู่แบบนี้เรื่อยไป
การเมืองท้องถิ่นในลักษณะนี้ ส่งผลเสียอย่างไร?
งบประมาณแผ่นดินไม่ถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนและส่วนรวมอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ต้องถูกแบ่งไปให้กับนักการเมือง
โครงการต่างๆ ด้อยประสิทธิภาพลง เพราะ เอกชนผู้รับเหมา ต้องเอาต้นทุนจำนวนหนึ่งหักออกไปส่งเป็น “เงินทอน” 20-30 เปอร์เซนต์
“เงินทอน” ต้องมาก่อน หากโครงการไหนจำเป็นต่อประชาชน แต่ใช้งบน้อย หรือเป็นโครงการที่หาเงินทอนไม่ได้หรือได้น้อย ก็ต้องตกไป โครงการต่างๆ จึงวนเวียนอยู่กับการหาผู้รับเหมา สร้าง ซ่อม สร้าง ซ่อม ภายใต้สูตรคิดคำนวณแบ่ง “เงินทอน” ให้นักการเมือง
อำนาจถูกผูกขาดไว้กับ “บ้านใหญ่” หากใครไม่ใช่คนในตระกูล ไม่ใช่คนในเครือข่าย ก็ไม่มีโอกาสได้เติบโต บีบบังคับให้ใครอยากเป็นนักการเมืองท้องถิ่น ใครอยากทำธุรกิจในจังหวัด ใครอยากได้โครงการ ก็ต้องสวามิภักดิ์บ้านใหญ่
เมื่อการเมืองท้องถิ่นกลายเป็นการเมืองของครอบครัว ของบ้านใหญ่ เช่นนี้แล้ว ภาพลักษณ์ของการเมืองท้องถิ่นก็เสียหาย เมื่อไรที่มีเสียงเรียกร้องให้ “ยุติรัฐราชการรวมศูนย์ ทวงคืนอำนาจสู่ท้องถิ่น” ฝ่ายที่ไม่ต้องการให้มีการกระจายอำนาจ ก็จะอ้างว่า การเอาอำนาจ เอางาน เงิน คนไปให้ท้องถิ่นมากๆ สุดท้ายก็มีแต่ “บ้านใหญ่” ที่ได้ไป และนำไปใช้สร้างอาณาจักรของตนเอง
ทั้งหมดนี้ คนที่ได้รับผลร้ายที่สุด คือ ประชาชน
ประชาชนบางคนบางกลุ่ม อาจได้รับความช่วยเหลือจาก “บ้านใหญ่” อาจได้พึ่งบารมี อิทธิพล เครือข่าย ของ “บ้านใหญ่” แต่ถ้าหากเรากลับมาสร้างการเมืองท้องถิ่นแบบใหม่ให้ถูกต้องตามระบบ ประชาชน ทุกคน ทุกกลุ่ม ก็จะได้รับการดูแลอย่างถ้วนหน้า โดยไม่ต้องเสียค่านายหน้า ค่าโสหุ้ย ส่วย งบประมาณในแต่ละปีที่มาจากภาษีของประชาชน ก็ไม่ต้องถูกแบ่งไปเป็นเงินทอนให้นักการเมือง ในขณะที่นักการเมืองทั้งหลายก็ถูกบีบให้กลับมาแข่งขันกันในเส้นทางที่ถูกต้อง
การเมืองท้องถิ่นในแนวทางแบบใหม่ คือ การเมืองท้องถิ่นของประชาชน
“ประชาชน” มีโอกาสเข้าสู่การเมือง มีอำนาจบริหารจัดการจังหวัดของตนเองได้ โดยไม่ต้องดูว่ามาจากครอบครัวไหน นามสกุลอะไร สังกัด “บ้านใหญ่” หรือไม่ ไม่ต้องไปสวามิภักดิ์ผู้มีอิทธิพล หรือเดินหิ้วกระเป๋าตาม “บ้านใหญ่”
ผู้สมัครแข่งขันกันเสนอนโยบายที่ตนจะทำหากได้เป็นนายกท้องถิ่น วางแผนงาน จัดสรรงบประมาณ ภายในกี่ปี จะทำเรื่องใด ใช้งบประมาณเท่าไร ในขณะที่ประชาชนได้ติดตาม ตรวจสอบ ทวงถามว่า งบประมาณในแต่ละปี ถูกนำไปใช้ในเรื่องใดบ้าง
นายกท้องถิ่นผูกมัดกับประชาชนด้วยนโยบายที่รณรงค์หาเสียงเอาไว้ ไม่ใช่ผูกมัดผ่านเงินทองหรืออิทธิพล
นักการเมืองท้องถิ่นไม่ต้องนำเงินส่วนตัว หรือเงินของครอบครัวมาช่วยเหลือประชาชน แต่จัดสรรงบประมาณซึ่งมาจากภาษีของประชาชนมาจัดทำบริการสาธารณะและดูแลประชาชนอย่างทั่วถึง เท่าเทียม ให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวมสูงสุด
เมื่อนายกท้องถิ่นไม่ได้นำเงินส่วนตัวมาลงทุนทำการเมืองแบบ “แบ่งสัมปทนาอำนาจรัฐ” พวกเขาก็ไม่ต้องตั้งหน้าตั้งตา “ถอนทุน” คืน การคิดอ่านจัดทำโครงการต่างๆ ก็กลับมาสู่เส้นทางที่ถูกต้อง ไม่ต้องวนเวียนกับ “สร้าง-ซ่อม” หาเงินทอน
นายกท้องถิ่นไม่ได้มีบุญคุณต่อประชาชน แต่มีหน้าที่ต้องดูแลประชาชน เงินที่นำมาใช้ก็เป็นเงินภาษีของประชาชน ความสัมพันธ์เช่นนี้ จะเปลี่ยนให้ประชาชนเป็นเจ้านายนักการเมือง
การเมือง ในภาษาอังกฤษคือ Politics มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก Polis ที่แปลว่าเมือง เมื่อเป็นเรื่องของ “เมือง” แล้ว จึงมิใช่เรื่องของ “ครอบครัว” การเมือง จึงเป็นการใช้อำนาจเพื่อตัดสินใจในเรื่องส่วนรวม เรื่องสาธารณะ การตัดสินใจต่างๆต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของประโยชน์สาธารณะ การนำเรื่องส่วนตัว ครอบครัว พรรคพวก มาเป็นปัจจัยในการตัดสินใจในเรื่องการเมือง จึงเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ ใช้อำนาจส่วนรวมที่ต้องตัดสินใจเพื่อส่วนรวม ไปเป็นประโยชน์ส่วนตน
อำนาจหน้าที่ของ อบจ. มีมากมาย ตั้งแต่การคมนาคม ขนส่งมวลชน การศึกษา สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม การจัดการขยะ กีฬา วัฒนธรรม สาธารณูปโภค สาธารณูปการ น้ำ ไฟ ถนน ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของประชาชน ตั้งแต่ตื่นเช้ายันเข้านอน ตั้งแต่เกิดยันตาย งบประมาณซึ่งมาจากภาษีของประชาชน มากมายหลายพันล้านบาท เรื่องเหล่านี้สำคัญมากเกินกว่าที่เราจะมอบให้กับคนไม่กี่คนในครอบครัวเดียวกันได้มีอำนาจผูกขาดตัดสินใจ
การเลือกตั้งนายก อบจ. ครั้งนี้ จึงมีความสำคัญ เพราะ ประชาชนจะมีโอกาสตัดสินใจเลือกระหว่าง
การเมืองท้องถิ่นของครอบครัว vs การเมืองท้องถิ่นของประชาชน
การเมืองท้องถิ่นที่แข่งขันกันผ่านอิทธิพล vs การเมืองท้องถิ่นที่แข่งขันกันผ่านนโยบาย
การเมืองท้องถิ่นที่สร้าง “บุญคุณ” กับประชาชน เพื่อให้ประชาชน “ตอบแทนบุญคุณ” เลือกพวกตนเองได้เข้าไปมีอำนาจแล้วเบียดบังงบประมาณมาเข้ากระเป๋าตนเอง vs การเมืองท้องถิ่นที่ต้องทำ “หน้าที่” จัดทำบริการสาธารณะ ดูแลประชาชนอย่างทั่วถึง เท่าเทียม
การเมืองท้องถิ่นที่ประชาชนต้องหวาดกลัวและเกรงใจอิทธิพลของ “บ้านใหญ่” ต้องกังวลว่าวันไหนจะไปเหยียบตีนบ้านใหญ่หรือไม่ vs การเมืองท้องถิ่นที่นักการเมืองต้องอ่อนน้อมถ่อมตนกับประชาชน
.
ประเด็นสอง การเมืองท้องถิ่นแบบเครื่องไม้เครื่องมือรัฐบาล กับ การเมืองท้องถิ่นแบบจัดการตนเอง
พรรคเพื่อไทยรณรงค์หาเสียงนายก อบจ.ครั้งนี้ ภายใต้แนวคิดที่ว่า เลือกนายก อบจ.จากพรรคเพื่อไทย เพื่อทำงานประสานกับรัฐบาลซึ่งมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ผู้ช่วยหาเสียงของพรรคเพื่อไทยหลายคน ต่างปราศรัยหาเสียงไปในแนวทางนี้ ในทุกเวที ขอยกมาสักหนึ่งตัวอย่างพอสังเขป ดังนี้
“อย่าลืมมือไม้ผม อบจ.เป็นกลไกสำคัญที่จะเป็นมือไม้ให้ผมทำงานให้กับพี่น้องได้... เสริมมือไม้ให้ผม อบจ.ยกให้ผม” (ทักษิณ ชินวัตร ปราศรัยที่จังหวัดศรีสะเกษ วันที่ 25 มกราคม 2568)
แนวคิดการเลือกนายก อบจ.พวกเดียวกันกับพรรคแกนนำรัฐบาล โดยอ้างว่าต้องการให้นายก อบจ.เป็นเครื่องมือให้กับรัฐบาล เช่นนี้ เป็นแนวคิดที่ผิดและขัดกับหลักการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น ขัดกับหลักความเป็นอิสระขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างสิ้นเชิง
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นนิติบุคคลมหาชน แยกออกจากราชการส่วนกลาง มิใช่สังกัดส่วนกลางเหมือนพวกกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ
นายกท้องถิ่นและสภาท้องถิ่นมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนในพื้นที่ มิใช่มาจากการส่งคนมาปกครองโดยรัฐบาล
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีอำนาจการจัดทำบริการสาธารณะในพื้นที่ เป็นของตนเอง มีข้าราชการ เจ้าหน้าที่ บุคลากรเป็นของตนเอง มีรายได้ งบประมาณ เป็นของตนเอง
รัฐบาลมีความสัมพันธ์กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แบบ “กำกับดูแล” มิใช่ “บังคับบัญชา” รัฐบาลจะไปสั่งการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เหมือนกับเป็นกระทรวง มิได้
บรรดานักการเมืองที่มอง อบจ. เหมือนเป็น “เครื่องไม้เครื่องมือ” ของรัฐบาล นั่นเท่ากับว่า พวกเขามอง อบจ. เป็น กระทรวง อบจ. ที่รัฐบาลสั่งการได้ พวกเขามิได้มอง อบจ. เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีพื้นที่ครอบคลุมทั้งจังหวัด มีอำนาจ มีงาน เงิน คน ของตนเอง มีความเป็นอิสระที่จะบริหารจัดการจังหวัดได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องรอให้รัฐบาลสั่ง
หากแนวทาง “อบจ.เป็นเครื่องไม้เครื่องมือรัฐบาล” ประสบความสำเร็จ ย่อมกระทบต่อการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นที่ประเทศไทยเพียรพยายามทำกันมาตั้งแต่ 2540
ต่อไป พวกเขาจะไม่สนใจเรื่องการกระจายอำนาจ ไม่พยายามแก้ไขปรับปรุงกฎหมายและระเบียบต่างๆที่เป็นอุปสรรคต่อการกระจายอำนาจ ไม่จัดการยกเลิกอำนาจของส่วนกลางและภูมิภาคที่ทับซ้อนกับอำนาจของส่วนท้องถิ่น ไม่เพิ่มแหล่งรายได้หรือภาษีตัวใหม่ๆให้กับท้องถิ่น การจัดสรรเงินอุดหนุนให้กับท้องถิ่นขึ้นกับว่านายกท้องถิ่นมาจากพรรคไหนกลุ่มใดเป็นสำคัญ แต่พวกเขาจะสนับสนุน ดูแล อบจ.ที่เป็นเครื่องไม้เครื่องมือให้กับรัฐบาล เป็นหลัก ภายใต้ชื่อเรียกอันสวยหรูว่า “ประสานงานกับรัฐบาลอย่างไร้รอยต่อ”
การเลือกตั้งนายก อบจ. ครั้งนี้ จึงมีความสำคัญ เพราะ ประชาชนจะมีโอกาสตัดสินใจเลือกระหว่าง
อบจ.ที่จะกลายเป็น “กระทรวง อบจ.” vs อบจ.ที่เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีความเป็นอิสระ มีอำนาจ งบประมาณ บุคลากร เป็นของตนเอง
อบจ.ที่ต่อไป รัฐบาลจะสั่งการบังคับบัญชาได้ จะทำอะไรได้ต้องถามรัฐบาลก่อน vs อบจ.ที่จัดการจังหวัดของตนเองได้เพื่อประโยชน์สูงสุดของคนในจังหวัด
อบจ.ที่จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างดี หากนายก อบจ.นั้นเป็นพรรคพวกเดียวกันกับแกนนำรัฐบาล vs อบจ.ที่จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลตามกฎหมาย อย่างเสมอภาค เท่าเทียม โดยไม่เลือกปฏิบัติว่านายก อบจ.มาจากพรรคใด กลุ่มใด
การกระจายอำนาจแบบ “เต่าคลาน” ไปอย่างช้าๆ ถ่ายโอนทีละนิด ถ่ายโอนไปพลาง ดึงกลับไปพลาง ถ่ายโอนไปพลาง ส่งคนตามประกบควบคุมไปพลาง vs การกระจายอำนาจแบบ “บิ๊กแบง” ทำพร้อมกัน ทำทั่วถึง ทำทันที
.
วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นวันสำคัญ ไม่ใช่แค่เลือกนายก อบจ หรือสมาชิกสภา อบจ. เท่านั้น
แต่ยังเป็นวันกำหนดลักษณะของการเมืองท้องถิ่นไทยในอนาคตและแนวทางการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นของประเทศไทยด้วย
https://www.facebook.com/photo?fbid=1234406521378737&set=a.553423659477030
การเมืองบ้านใหญ่ เวียงรัฐ เนติโพธิ์ ไขรหัสอิทธิพล ‘บ้านใหญ่’ ต่อแต่นี้ไปจะจางลง หรือยังคงอยู่
เวียงรัฐ เนติโพธิ์: ไขรหัสอิทธิพล ‘บ้านใหญ่’ ต่อแต่นี้ไปจะจางลง หรือยังคงอยู่
30 ม.ค. 68
Thairath Plus
คิดเห็นอย่างไรที่มีกระแสพูดถึงการเลือกตั้ง อบจ. ครั้งนี้ว่าจะเป็นสารตั้งต้นของการเมืองปี 2570
มีผลแน่นอน อย่างที่บอกว่า อบจ. ได้พรรคไหน พรรคนั้นจะมีโอกาสเยอะ เช่น เชียงใหม่ ตอนนี้พรรคเพื่อไทยได้ สส. มา 2 ที่นั่ง พรรคประชาชนได้ สส. มา 7 ที่นั่ง ถ้า อบจ. รอบนี้เป็นของพรรคประชาชน ก็จะพอคาดคะเนได้ว่าสามารถรักษาไว้ได้ 7 ที่นั่งหรืออาจจะเพิ่มมากขึ้น แต่ว่าไม่น่าจะน้อยไปกว่าเดิม
แต่ถ้าเพื่อไทยได้ อบจ. เชียงใหม่ขึ้นมา เขาก็จะรู้สึกว่าครั้งหน้าเขามีลุ้นมากขึ้น แปลว่าคนยังไม่ได้รังเกียจเพื่อไทยขนาดนั้น อีกอย่างหนึ่งคือที่พรรคเพื่อไทยชอบพูดตอนไปหาเสียงว่า ถ้าได้ทำงานด้วยกัน โครงการที่เรามีอยู่จะได้ทำงานประสานกันไป มันแสดงให้ประชาชนเห็นว่านโยบายรัฐบาลเพื่อไทย กับ อบจ. สอดคล้องกัน อันนี้ถ้าเห็นผลจริงและได้ประโยชน์กับชาวบ้านจริง พรรคเพื่อไทยก็จะได้เปรียบ
ส่วนของพรรคภูมิใจไทย ถ้าเขาได้ อบจ. เขาก็มีโอกาสเพิ่มที่นั่งในจังหวัดนั้นๆ
ดังนั้นการเลือกตั้ง อบจ. ครั้งนี้มีผลต่อภาพการเมืองใหญ่ปี 2570 แน่นอน แต่ก็เป็นเพียงครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งก็ต้องเห็นผลงานด้วย
คิดว่าการกระจายอำนาจในแบบที่ไม่ต้องมีส่วนกลางมาครอบงำอย่างในปัจจุบัน จะมีส่วนช่วยในการลดอิทธิพลของระบบบ้านใหญ่บ้างหรือไม่
อาจารย์ก็คิดว่าอย่างนั้นนะ แต่ต้องพูดในบริบทที่ว่า ‘ถ้าเรามีการกระจายอำนาจเต็มที่บทบาทของข้าราชการจะน้อย’
ให้นึกภาพว่า สมมติว่าคุณเป็นนักธุรกิจรับเหมาก่อสร้างท้องถิ่น คุณรับเหมาโครงการมาจาก อบจ. ซึ่งถ้าคุณไม่มีเส้นสายกับราชการเลยคุณจะมีปัญหา คุณอาจจะมีปัญหากับผู้ว่าราชการจังหวัด คุณอาจจะมีปัญหากับกระทรวงทรัพยากร ว่าไปตัดผ่านพื้นที่ที่มีปัญหา เพราะว่าส่วนกลางยังมีอำนาจในการตัดสินใจเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างได้ คุณมีปัญหาแน่นอน
เพราะฉะนั้นถ้าเกิดมีอิสระเต็มที่ในการตัดสินใจในพื้นที่นั้นๆ โดยไม่มีส่วนกลางเข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่มีผู้ว่าฯ ไม่มีนายอำเภอ อันนี้จะกลายเป็นเรื่องนโยบายชัดๆ แล้ว ฉะนั้นพรรคหรือกลุ่มการเมืองที่ทำนโยบายได้ดีโดยไม่ต้องใช้เส้นสายเจรจาก็จะทำผลงานได้เต็มที่ในบริบทที่ระบบราชการไม่ค่อยมีอำนาจในภูมิภาคนอกศูนย์กลาง
ในญี่ปุ่น ส่วนกลางมีอำนาจเรื่องความมั่นคง มีอำนาจเรื่องการค้าระหว่างประเทศ มีอำนาจเรื่องการต่างประเทศ นโยบายต่างประเทศ เวลาเขาหาเสียงเขาจึงพูดเรื่องเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ เพราะว่า สส. และรัฐบาลมีหน้าที่กำหนดนโยบายใหญ่ๆ ส่วนท้องถิ่นเป็นเรื่อง ถนน โรงเรียน น้ำสะอาด ฯ พอเป็นแบบนี้ก็จะเป็นเรื่องของกลุ่มการเมือง พรรคการเมืองที่ทำนโยบาย บ้านใหญ่ไม่มีความหมายเลย
อีกอย่างหนึ่ง พอระบบราชการไม่มีความหมาย เลยทำให้คุณสามารถเสนอนโยบายที่ดีกว่าและเข้าไปทำได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีเส้นสายที่คอยแก้ปัญหาอะไรให้ชาวบ้านมาก่อน
แต่เมืองไทยระบบราชการนี่เปลี่ยนยาก ถ้าคุณคิดจะเปลี่ยนคุณก็จะถูกโละ อาจารย์คิดว่าทักษิณพยายามจะเปลี่ยนตรงนี้ เพราะทำงานยาก พรรคการเมืองจะเติบโตขึ้นไปได้ต้องทะลุอำนาจรัฐที่เยอะมากๆ แล้วพอถูกรัฐประหารไป 2 ครั้ง ข้าราชการก็ยิ่งกลับมามีอำนาจมาก
ดังนั้นการที่บอกว่าจะเปลี่ยนแปลงเป็นการกระจายอำนาจเต็มที่ต้องค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ ทะลุทะลวงไป ระบบราชการนี่เป็นเรื่องใหญ่เลยล่ะ
แล้วอาจารย์คิดว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจเหล่านี้อย่างไรได้บ้าง
มันเห็นได้จากการที่มีการกระจายอำนาจในปี 2540 มีการทำให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง อาจารย์คิดว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงทั้งแบบอุดมคติ ไอเดีย และ movement
กระบวนการเยาวชนในปี 2563 และ 2-3 ปี ของการเคลื่อนไหว ก็เป็นการผลักดันของกระบวนการประชาชนจริงๆ สิ่งนี้มันเปลี่ยนไอเดียคนไปแล้ว คนเข้าใจอะไรเยอะขึ้น อันนี้ประสบความสำเร็จแล้ว
แต่ในเรื่องของพรรคการเมืองยังต้องการการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงประเทศโดยการทำให้คนหายจน ให้คนรวยกระจายเงิน มันต้องเป็นนโยบาย นโยบายจะสำเร็จได้ต้องทำผ่านพรรคการเมืองที่เข้มแข็ง และพรรคการเมืองจะเข้มแข็งได้ มันอยู่บนตระกูลไม่ได้ แต่ต้องอยู่บนองค์กรของพรรค คือการสร้างพรรคให้มีโครงสร้างที่เข้มแข็ง ต้องมีคนที่เป็นหน่วย think tank หน่วยคัดสรรคนอย่างเป็นระบบ
"ทั้งพรรคเก่า พรรคใหม่ จะต้องสร้างความเป็นพรรคให้เข้มแข็ง ที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าของพรรค ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนบริหารไม่กี่คน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล สร้างนโยบายที่ดี เข้าไปมีอำนาจรัฐ และค่อยๆ เปลี่ยน อันนี้แหละคือการเปลี่ยนโครงสร้าง"
ญี่ปุ่นเขาก็ไม่ได้ปฏิวัติล้มโครงสร้าง ถ้าเกิดปฏิวัติล้มโครงสร้างด้วยขบวนการเคลื่อนไหวแบบบอลเชวิค แบบจีน ในที่สุดแล้วก็เป็นเผด็จการรัฐ แต่ถ้าจะเปลี่ยนภายใต้ระบบทุนนิยม และระบบประชาธิปไตย ก็ต้องสร้างพรรคการเมืองให้เข้มแข็ง
ตอนนี้มันคือยุคหลังรัฐประหาร เราต้องกลับมากอบกู้ความเป็นสถาบันทางการเมือง การเลือกตั้ง พรรคการเมือง กลุ่มการเมือง ให้มันเข้มแข็งขึ้นก่อน
ท้องถิ่นก็พยายามหาแนวทางพัฒนาพื้นที่อย่างมาก เช่น การจัดการขยะแบบมี นวัตกรรม การวางผังเมือง มีวงออร์เคสตรา มีโรงเผาขยะที่ใช้เทคโนโลยีสูง แต่มันก็ยังไปตันที่ ป.ป.ช. แต่อาจารย์คิดว่ามันจะดีขึ้น พอมีการเลือกตั้งระบบการเมืองจะเอื้อให้เราเดินหน้าไปข้างหน้าได้
เราต้องเชื่อมั่นในการเลือกตั้งและค่อยๆ เดินไปข้างหน้า ครั้งนี้อาจจะบ้านใหญ่ ครั้งต่อไปบ้านใหญ่จะถูกบีบให้สะอาด ถูกแซงหน้าด้วยคู่แข่งที่มีความสามารถมากกว่า เพราะฉะนั้นขอแค่มีการเลือกตั้งต่อมันจะลงตัวกว่านี้
อาจารย์มองแนวโน้มการดำรงอยู่ของบ้านใหญ่ไว้อย่างไรหลังจากนี้
คิดว่าขึ้นอยู่กับรัฐบาลชุดนี้ และการทำงานของ อบจ. ถ้าพยายามเต็มที่ ทำงานให้แข็งขัน การเลือกตั้งครั้งต่อไปจะขึ้นอยู่กับผลงาน ขึ้นอยู่กับนโยบาย ขึ้นอยู่กับ branding ของพรรคที่สามารถทำนโยบายได้สำเร็จ
สมมติว่าถ้าพรรคเพื่อไทยทำนโยบายได้สำเร็จจริง ตัวพรรคก็จะได้เปรียบมากกว่าบ้านใหญ่ ก็จะมีอำนาจต่อรองที่จะไปเลือกคนที่เก่งกว่าได้ มีหลายที่นะที่เป็นบ้านใหญ่แต่ก็ไม่มีประสิทธิภาพ แต่พรรคก็ไม่สามารถเอาใครก็ไม่รู้มาลงแล้วหวังให้ชนะได้ ดังนั้นมันอยู่ที่ว่าหากพรรคมีอำนาจเต็มที่ มีความเป็นสถาบันที่ชัดเจน ก็สามารถเลือกคนได้
อาจารย์อยากเห็นการเมืองแบบที่พรรคการเมืองเข้มแข็ง อาจจะไม่ต้องใหญ่แบบเดิม แต่พรรคประชาชนเข้มแข็ง พรรคเพื่อไทยเข้มแข็ง พรรคภูมิใจไทยเข้มแข็ง และพรรคเหล่านี้แหละจะคัดคนที่เก่ง ไม่ใช่ครอบครัวที่ใหญ่ แต่ตอนนี้พรรคมันอ่อนแอ ตระกูลก็เลยสำคัญกว่าเสื้อพรรค
อ่านบทสัมภาษณ์เต็ม
https://plus.thairath.co.th/topic/politics&society/105135
คุณ Te Neti ผู้ลี้ภัยท่านหนึ่ง (และคงมีอีกหลายๆท่าน) อยากดูผล 3 จังหวัดที่พวกบ้านใหญ่มีพฤติกรรมทุจริต อาชญกรรมโจ่งแจ้ง ว่ายังจะเลือกพวกนี้อยู่หรือไม่
Te Neti
19 hours ago
·
เข้าใจชาวบ้านบางที่ต้องเลือกนักการเมือง บ้านใหญ่เพราะรู้จัก สนิทสนมพึ่งพากัน แต่ไอ้พวกจังหวัดที่พวกบ้านใหญ่มีพฤติกรรมทุจริต อาชญกรรมโจ่งแจ้ง ก็ยังจะเลือกอยู่นี่ไม่เข้าใจ
เลือกตั้ง นายก อบจ วันเสาร์นี้ เลยอยากรู้สามจังหวัดนี้ จะเปลี่ยนหรือเปล่า
ชลบุรี
นายกเดิม วิทยา คุณปลื้ม ลงชิงชัยอีก ตระกูลคุณปลื้มนี่แถบผูกขาด ชลบุรี ทั้งๆที่กำนันเป๊าะ พ่อโดนตัดสินจำคุก ทั้งคดีทุจริตในการจัดซื้อที่ดิน คดีจ้างวานฆ่า แถมเส้นใหญ่โดนตัดสินคดีขนาดนี้ นอนแต่โรงพยาบาลไม่เคยนอนคุก แต่ชาวชลบุรียังตะบี้ตะบันเลือกตระกูลนี้อยู่ ล่าสุดนี่อดีตนายกเมืองพัทยา อิทธิพล คุณปลื้ม ทุจริตออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคารวอเตอร์ฟร้อนท์ หนีคดีไปไม่กี่วันก่อนคดีหมดอายุความก่อนกลับมาลอยนวล เลยอยากรู้ชาวชลบุรียังจะตะบี้ตะบันเลือกตระกูลนี้เข้าไปอีกรึเปล่า
จริงอยากรู้ความคิดนะคนที่เลือกนี่ คิดยังไง ประมาณว่า อ๋อ รู้แหละพ่อเขาจ้างวานฆ่าคนตายและทุจริตโกงเงินจากภาษีพวกเรานี่แหละ แต่พอดีเค้าทำบางแสนพัฒนาดีขึ้นเลยเลือก WTF ?!?
สมุทรปราการ
จังหวัดนี้ตระกูลอัศวเหม นี่ชาวสมุทรปราการก็ตะบี้ตะบันเลือกเหมือนกัน ตัวพ่อ วัฒนา อัศวเหม โดนคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินและโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน หนีไปต่างประเทศจนหมดอายุความพึ่งกลับมา ส่วนลูกชาย ชนม์สวัสดิ์ ที่ตายไปก็เคยถูกจำคุกในคดีทุจริตการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล แต่พอส่งเมีย นันทิดามาลงเป็น นายก อบจ คนก็ยังเลือก กูละงึด รอดูคราวนี้ ส่ง สุนทร ปานแสงทอง คนสนิทในตระกูลอัศวเหม วัฒนาออกโรงเชียร์เอง คนสมุทรปราการยังจะเลือกอีกรึเปล่า
อีกจังหวัดนึงที่อยากดูคือ ปราจีนบุรี นี่ล่าสุด
ตระกูลวิลาวัลย์ คงไม่ได้ลงคราวนี้ หลังจากครองพื้นที่มานานและหักกับลูกน้องคนสนิท สจ โต้ง จนฆ่ากันตาย จังหวัดปราจีนบุรีนี่ตระกูลวิลาวัลย์กับแก๊งค์ลูกน้อง สจ โต้งนี่ ก็วนๆเวียนๆ โดนทั้งคดีรุกป่า ฮั้วประมูลในจังหวัด และจากคลิปเสียง สจ โต้งเผยความในใจ ทำให้รู้ว่ายังมีการจ้างวานฆ่าผู้รับเหมา ยิงหัีวคะแนน 13-14 ศพ แต่รอดมาได้เพราะมีรัฐประหาร! เลือกตั้งคราวนี้ เมีย สจ โต้ง ลงอยากเป็น นายก อบจ ตามความตั้งใจ ของ สจ โต้ง ไม่รู้ตั้งใจอะไรบ้าง แต่ฟังจากคลิปพูดกันชัดถ้อยชัดคำ เตรียมเงินไว้ซื้อเสียงแล้ว พฤติกรรมโจ่งแจ้งครบทั้งฆ่าคน คอรัปชั่น ซื้อเสียง ขนาดนี้แล้ว อยากรู้ชาวปราจีนบุรี ยังจะเลือกรึเปล่า
นี่ไม่ใช่ผัวตายเพราะโดนเผด็จการยิงเหมือน คอราซอน อากีโน นะถึงจะได้แห่กันไปเลือกเมีย นี่พวกมาเฟียในจังหวัดขัดผลประโยชน์ยิงกันตายเอง เลยอยากรู้ว่าชาวปราจีนบุรี ยังจะเลือกรึเปล่า
เขียนแบบนี้ เดี๋ยวจะโดนพวกชอบโอ๋ชาวบ้านมากระแหนะกระแหนมั้ยว่า เป็นพวกชนชั้นกลางไม่รู้อะไร ไม่เข้าใจชาวบ้าน คือถึงเป็นชาวบ้าน ถึงจะอ้างว่าเป็นคนต่างจังหวัด ต้องพึ่งพาระบบอุปถัมภ์พวกนี้ แต่ชีวิตมันก็ต้องรู้ถูกรู้ผิดบ้างมั้ย พฤติกรรมทั้งตระกูลโจ่งแจ้งขนาดนี้ ยังเลือกกันลงรึเปล่า คือถ้าไม่รู้ว่าการคอรัปชั่น การฆ่าคนเป็นเรื่องผิด แล้วยังสนับสนุนคนพวกนี้อยู่ ก็ไม่รู้จะว่าไงแล้วครับ
https://www.facebook.com/Neti.Wichian/posts/8876817315763603
เหมือนต้องการฟ้องให้โลกรู้ว่า เมืองไทยมีกม.ประหลาดที่เอาผิดร้ายแรงกับคนที่วิจารณ์ #สถาบันกษัตริย์ #France24 ทบทวนสถาการณ์การเรียกร้องประชาธิปไตยที่มีแกนนำเป็นเยาวชน
Atukkit Sawangsuk
3 hours ago
·
France 24 นี่มานั่งคุยในสตูดิโอ Friends Talk เลย
Pipob Udomittipong
4 hours ago
·
เหมือนต้องการฟ้องให้โลกรู้ว่า เมืองไทยมีกม.ประหลาดที่เอาผิดร้ายแรงกับคนที่วิจารณ์ #สถาบันกษัตริย์ #France24 ทบทวนสถาการณ์การเรียกร้องประชาธิปไตยที่มีแกนนำเป็นเยาวชน โดยเริ่มจากเรื่องราวของ #ทานตะวัน ที่ทุกวันนี้ต้องมานั่งชาร์จแบตกำไลอีเอ็ม เป็นการควบคุมเสรีภาพในขั้นพื้นฐานสุด ไม่ต่างจากอีก 200+ คนที่โดนฟ้อง #มาตรา112
คนต่างชาติที่ดูสารคดีความยาวเกือบ 17 นาทีนี้จะได้รู้ว่า ไทยไม่ได้เป็นสยามเมืองยิ้ม แต่เราเป็นประเทศที่กักขังเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่เรียกร้องการปฏิรูปสถาบันทางการเมือง รวมทั้งสถาบันกษัตริย์ มายด์ ที่โดนคดี112 2 คดีบอกในสารคดีเช่นกันว่า หลายคนที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาร้ายแรงที่มีโทษจำคุกสูงถึง 15 ปี ไม่ได้วิจารณ์กษัตริย์ด้วยซ้ำ
เมื่อมีการกล่าวถึงฝ่ายก้าวหน้า นักข่าวก็ต้องกล่าวถึงฝ่ายอนุรักษ์นิยมเช่นกัน ด้วยการไปสัมภาษณ์หลวงพ่อพยอม กัลยาโณ ซึ่งบอกว่าการมีสถาบันกษัตริย์เท่ากับมีศูนย์รวมจิตใจของประชาชนที่มาจากต่างศาสนาและวัฒนธรรม ไม่ต้องทะเลาะเบาะแว้งกันเหมือนบางประเทศ
ท่านมองว่า ทุกสังคมต้องมีผู้นำและผู้ตาม คนรุ่นใหม่ลบหลู่ดูหมิ่นกษัตริย์ เพราะต้องการทำตัวให้เท่าเทียม ซึ่งไม่สามารถทำได้ ถ้าไม่มีกม. หมิ่นกษัตริย์ คนจะขัดแย้งและทะเลาะกันมากกว่านี้อีก
#France24 ขมวดปมตอนท้ายว่า แม้การต่อสู้ในท้องถนนจะเบาบางลง แต่ก็ย้ายมาต่อสู้กันในโลกโซเชียล แบบรายการ #ถึกกับมายด์ ซึ่งมายด์บอกว่า “เรายังโชคดีที่ยังทำอะไรได้ข้างนอก เราไม่สามารถนั่งเฉย ๆ โดยไม่ทำอะไรได้” ในขณะที่เพื่อนเราติดคุก
แต่ก็มีคนแบบบุญเกื้อหนุน เป้าทอง หรือ ฟรานซิส ที่ปัจจุบันเข้าร่วมกับการประท้วงน้อยลง และต้องการเป็นที่ปรึกษาทางการเมืองมากกว่า เขาเห็นว่า เราจำเป็นต้อง move on “ตอนนี้คนไม่ได้สนใจที่จะประท้วง แต่ไม่ได้หมายความว่าการต่อสู้จะตายไปแล้ว เราทุกคนต่างเป็นทายาทของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และจะมีคนอื่น ๆ ต่อสู้ต่อไป” https://youtu.be/kozyO_IqZb4
https://www.facebook.com/photo/?fbid=10162135404381649&set=a.10150096728651649
Thailand’s youth-led pro-democracy movement torn between hope and disillusion • FRANCE 24
Jan 31, 2025
In 2020, at the height of the Covid-19 pandemic, hundreds of thousands of students took to the streets of the Thai capital Bangkok, leading to huge demonstrations and an unprecedented protest movement in the "land of smiles". These young Thais defied the biggest taboo in the kingdom by calling for a reform of the monarchy. Five years on, some of the protesters are still fighting for more democracy. Others, disheartened by the severe crackdown, have lost hope of changing their country's politics.
Read more about this story in our article: https://f24.my/AuiV.y
https://www.youtube.com/watch?v=kozyO_IqZb4
มาเรียนรู้และเตรียมความพร้อม "การสังเกตการณ์วันเลือกตั้ง" Election Day Training by We Watch
https://www.facebook.com/watch/?v=1807394163135859
We Watch was live.
6 hours ago
·
เชิญชวนนักสังเกตการณ์ทุกท่านและผู้ที่สนใจ เข้าร่วมรับฟัง Election Day Training "การสังเกตการณ์วันเลือกตั้ง" by We Watch
มาเรียนรู้และเตรียมความพร้อมก่อนปฏิบัติภารกิจสำคัญ!
We Watch จะมาแชร์ความรู้เกี่ยวกับ:
ประเด็นสำคัญที่น่าจับตาในวันเลือกตั้ง
เทคนิคการเตรียมตัวสำหรับนักสังเกตการณ์
การดูแลความปลอดภัยของตัวเอง
Do & Don’t
วิธีรับมือสถานการณ์ต่าง ๆ พร้อม Case Study จากเหตุการณ์จริง
ช่องทางและวิธีการรายงานข้อมูล
มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างวัฒนธรรมการมีส่วนร่วม ในกระบวนการประชาธิปไตยไปด้วยกัน
สามารถรับชมผ่าน Facebook live ที่หน้าเพจ We Watch เวลา 18:00 - 19:00 น.
#เลือกตั้งอบจ #จับตาอบจ #เลือกตั้งท้องถิ่น #จับตาท้องถิ่น #สังเกตการณ์เลือกตั้ง #WeWatch #SAVEourVOTE
.....
We Watch
Yesterday
·
"1 ก.พ. นี้ เตรียมตัวไป #จับตาอบจ เอาอะไรไปบ้าง!?"
สมุดบันทึก ปากกา โทรศัพท์มือถือ พร้อมแบตสำรอง
บันทึกเบอร์ สายด่วน We Watch: 02-114-3189
แต่งกายสุภาพ หลีกเลี่ยงสัญลักษณ์พรรคการเมือง
พกหมวก พกเสื้อคลุม ไว้กันแดด กันฝน กันฝุ่น *อย่าลืมใส่แมสก์กันด้วยนะ
น้ำดื่ม ขนม ยาดม เผื่ออยู่ยาว
ไฟฉายส่องสว่าง นับคะแนนถึงค่ำ ก็ไม่กลัวมืด
เคารพกฎ ไม่รบกวน หลีกเลี่ยงการถ่ายภาพผู้ใช้สิทธิ์
มีเพื่อนชวนเพื่อน มีแฟนชวนแฟน ไปกันทั้งครอบครัวยิ่งดี! ช่วยกันเป็นหูเป็นตา เพื่อเซฟสิทธิ เซฟเสียง ของพวกเรา แล้วเจอกันที่หน่วยเลือกตั้ง!
#เลือกตั้งอบจ #จับตาอบจ #เลือกตั้งท้องถิ่น #จับตาท้องถิ่น #สังเกตการณ์เลือกตั้ง #WeWatch
https://www.facebook.com/photo?fbid=1009246397904234&set=a.621001693395375
We Watch was live.
6 hours ago
·
เชิญชวนนักสังเกตการณ์ทุกท่านและผู้ที่สนใจ เข้าร่วมรับฟัง Election Day Training "การสังเกตการณ์วันเลือกตั้ง" by We Watch
มาเรียนรู้และเตรียมความพร้อมก่อนปฏิบัติภารกิจสำคัญ!
We Watch จะมาแชร์ความรู้เกี่ยวกับ:
ประเด็นสำคัญที่น่าจับตาในวันเลือกตั้ง
เทคนิคการเตรียมตัวสำหรับนักสังเกตการณ์
การดูแลความปลอดภัยของตัวเอง
Do & Don’t
วิธีรับมือสถานการณ์ต่าง ๆ พร้อม Case Study จากเหตุการณ์จริง
ช่องทางและวิธีการรายงานข้อมูล
มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างวัฒนธรรมการมีส่วนร่วม ในกระบวนการประชาธิปไตยไปด้วยกัน
สามารถรับชมผ่าน Facebook live ที่หน้าเพจ We Watch เวลา 18:00 - 19:00 น.
#เลือกตั้งอบจ #จับตาอบจ #เลือกตั้งท้องถิ่น #จับตาท้องถิ่น #สังเกตการณ์เลือกตั้ง #WeWatch #SAVEourVOTE
.....
We Watch
Yesterday
·
"1 ก.พ. นี้ เตรียมตัวไป #จับตาอบจ เอาอะไรไปบ้าง!?"
สมุดบันทึก ปากกา โทรศัพท์มือถือ พร้อมแบตสำรอง
บันทึกเบอร์ สายด่วน We Watch: 02-114-3189
แต่งกายสุภาพ หลีกเลี่ยงสัญลักษณ์พรรคการเมือง
พกหมวก พกเสื้อคลุม ไว้กันแดด กันฝน กันฝุ่น *อย่าลืมใส่แมสก์กันด้วยนะ
น้ำดื่ม ขนม ยาดม เผื่ออยู่ยาว
ไฟฉายส่องสว่าง นับคะแนนถึงค่ำ ก็ไม่กลัวมืด
เคารพกฎ ไม่รบกวน หลีกเลี่ยงการถ่ายภาพผู้ใช้สิทธิ์
มีเพื่อนชวนเพื่อน มีแฟนชวนแฟน ไปกันทั้งครอบครัวยิ่งดี! ช่วยกันเป็นหูเป็นตา เพื่อเซฟสิทธิ เซฟเสียง ของพวกเรา แล้วเจอกันที่หน่วยเลือกตั้ง!
#เลือกตั้งอบจ #จับตาอบจ #เลือกตั้งท้องถิ่น #จับตาท้องถิ่น #สังเกตการณ์เลือกตั้ง #WeWatch
https://www.facebook.com/photo?fbid=1009246397904234&set=a.621001693395375
📍We Watch เชิญชวนประชาชน จับตาดูคะแนนเลือกตั้ง อบจ. 👀 1 กุมภาฯ นี้ ใกล้ที่ไหน ไปเป็น อาสาฯ เฝ้าหน่วยนับคะแนนให้ We Watch ที่นั่น ! #SAVEourVOTE
https://www.facebook.com/weareonwatch/posts/1010116664483874
We Watch
rotSepsdnomcmm3t3ma021ctua5tu40h54hal18f9844925m5411i05gf031 ·
เชิญชวนประชาชน #SAVEourVOTE "เซฟสิทธิ เซฟเสียง" จับตาดูคะแนนเลือกตั้ง อบจ.
วิธีการกรอกฟอร์ม เพื่อส่งข้อมูล สำหรับ "จับตาการเลือกตั้ง อบจ. "
1.) สแกน เพื่อใช้ google form สำหรับการจับตาการเลือกตั้ง อบจ. หรือ คลิกลิงค์ https://docs.google.com/.../1FAIpQLSeo8YfdB2FmCJ.../viewform
2.) เลือกจังหวัดที่ไปเฝ้าหน่วยเลือกตั้ง
3.) กรอกข้อมูลหน่วยเลือกตั้ง
4.) เช็คความพร้อมหน้าหน่วยเลือกตั้ง
5.) ระบุสาเหตุของบัตรเสีย
6.) อัพโหลดภาพถ่าย ใบขีดกระดานคะแนน (ส.ถ./ผ.ถ.5/6 ของทั้งนายก อบจ. และ ส.อบจ.)
7.) อัพโหลภาพถ่ายใบรายงาน ผลคะแนนอย่างเป็นทางการ (ส.ถ./ผ.ก. 5/7 ของทั้งนายก อบจ. และ ส.อบจ.)
1 กุมภาฯ นี้ ใกล้ที่ไหน ไปเป็น อาสาฯ เฝ้าหน่วยนับคะแนนให้เราที่นั่น !
#SAVEourVOTE "เซฟสิทธิ เซฟเสียง" ไปด้วยกัน
#เลือกตั้งอบจ #จับตาอบจ #เลือกตั้งท้องถิ่น #จับตาท้องถิ่น #สังเกตการณ์เลือกตั้ง #WeWatch #SAVEourVOTE
We Watch
rotSepsdnomcmm3t3ma021ctua5tu40h54hal18f9844925m5411i05gf031 ·
เชิญชวนประชาชน #SAVEourVOTE "เซฟสิทธิ เซฟเสียง" จับตาดูคะแนนเลือกตั้ง อบจ.
วิธีการกรอกฟอร์ม เพื่อส่งข้อมูล สำหรับ "จับตาการเลือกตั้ง อบจ. "
1.) สแกน เพื่อใช้ google form สำหรับการจับตาการเลือกตั้ง อบจ. หรือ คลิกลิงค์ https://docs.google.com/.../1FAIpQLSeo8YfdB2FmCJ.../viewform
2.) เลือกจังหวัดที่ไปเฝ้าหน่วยเลือกตั้ง
3.) กรอกข้อมูลหน่วยเลือกตั้ง
4.) เช็คความพร้อมหน้าหน่วยเลือกตั้ง
5.) ระบุสาเหตุของบัตรเสีย
6.) อัพโหลดภาพถ่าย ใบขีดกระดานคะแนน (ส.ถ./ผ.ถ.5/6 ของทั้งนายก อบจ. และ ส.อบจ.)
7.) อัพโหลภาพถ่ายใบรายงาน ผลคะแนนอย่างเป็นทางการ (ส.ถ./ผ.ก. 5/7 ของทั้งนายก อบจ. และ ส.อบจ.)
1 กุมภาฯ นี้ ใกล้ที่ไหน ไปเป็น อาสาฯ เฝ้าหน่วยนับคะแนนให้เราที่นั่น !
#SAVEourVOTE "เซฟสิทธิ เซฟเสียง" ไปด้วยกัน
#เลือกตั้งอบจ #จับตาอบจ #เลือกตั้งท้องถิ่น #จับตาท้องถิ่น #สังเกตการณ์เลือกตั้ง #WeWatch #SAVEourVOTE
อนุทินลุยตัดไฟแซงหน้าอิ๊ง ทำหนังสือถาม "สภาความมั่นคง" จุดไหนส่งไฟให้เครือข่ายยาเสพติด การฟอกเงิน แก๊งคอลเซ็นเตอร์การค้ามนุษย์ เตรียมพิจารณางดจ่ายไฟ
·
อนุทินลุยตัดไฟแซงหน้าอิ๊ง ทำหนังสือถาม "สภาความมั่นคง" จุดไหนส่งไฟให้เครือข่ายยาเสพติด การฟอกเงิน แก๊งคอลเซ็นเตอร์การค้ามนุษย์ เตรียมพิจารณางดจ่ายไฟ
31 ม.ค.2568 - นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.1) ทำหนังสือด่วนที่สุด ที่ มท0211.5/2022 ถึง เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เรื่อง ขอสอบถามข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงในพื้นที่การจำหน่ายพลังงานให้กับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
โดยมีรายละเอียดว่า
"ตามมติคณะรัฐมนตรีในคราวประชุมเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 1/253 (ครั้งที่ 55) เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2539 "ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ขายไฟฟ้าให้ประเทศเพื่อนบ้านในบริเวณหมู่บ้านที่ใกล้กับเขตชายแดนของประเทศไทย โดยไม่ต้องขออนุมัติในระดับนโยบายอีก แต่ทั้งนี้ให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อทราบ ยกเว้นจะมีประเด็นนโยบายที่สำคัญให้เสนอเพื่อพิจารณา"
ตามที่มีประเด็นปัญหาเรื่องที่มีเครือข่ายยาเสพติด การฟอกเงิน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การค้ามนุษย์ และอื่นๆ ในประเทศใกล้เคียงซึ่งมีการใช้ไฟฟ้าจากประเทศไทยที่จ่ายไฟโดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในบริเวณอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และบริเวณอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของทั้งสองประเทศ นั้น
ปัจจุบัน การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคมีจุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณชายแดนประเทศไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา จำนวน 5 จุดซื้อขาย ได้แก่
1. จุดซื้อขายบริเวณบ้านเจดีย์สามองค์ - เมืองพญาตองชู รัฐมอญ โดยบริษัท Mya Pan Investment and Manufacturing Company Limited เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
2. จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณบ้านเหมืองแดง - เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน โดยบริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป(พีแอนด์อี) จำกัด เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
3. จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณสะพานมิตรภาพไทย - พม่า - เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน โดยบริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป (พีแอนด์อี) จำกัด เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
4. จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณสะพานมิตรภาพไทย - พม่า แห่งที่2 - อ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยบริษัท Nyi Naung Oo Company Limited และ บริษัท Enova Grid Enterprise (Myanmar) Company Limited เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
5. จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณบ้านห้วยม่วง - อ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง โดยบริษัท Shwe Myint Thaung Yinn Industry and Manufacturing Company Limited (SMTY) เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
ในการนี้ กระทรวงมหาดไทยจึงขอเรียนสอบถามสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติว่าในพื้นที่ 5 จุดซื้อขายไฟฟ้าดังกล่าวที่จุดไหนบ้าง มีเครือข่ายยาเสพติด การฟอกเงิน แก๊งคอลเซ็นเตอร์การค้ามนุษย์ และอื่นๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของประเทศหรือไม่ อย่างไร เพื่อนำมาใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาในการงดจ่ายกระแสไฟฟ้าต่อไป"
#ศิโรตม์ทอล์ก #ตาสว่างกว่า #SiroteTalk
https://www.facebook.com/photo?fbid=1184877522985217&set=a.738500567622917
อนุทินลุยตัดไฟแซงหน้าอิ๊ง ทำหนังสือถาม "สภาความมั่นคง" จุดไหนส่งไฟให้เครือข่ายยาเสพติด การฟอกเงิน แก๊งคอลเซ็นเตอร์การค้ามนุษย์ เตรียมพิจารณางดจ่ายไฟ
31 ม.ค.2568 - นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.1) ทำหนังสือด่วนที่สุด ที่ มท0211.5/2022 ถึง เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เรื่อง ขอสอบถามข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงในพื้นที่การจำหน่ายพลังงานให้กับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
โดยมีรายละเอียดว่า
"ตามมติคณะรัฐมนตรีในคราวประชุมเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 1/253 (ครั้งที่ 55) เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2539 "ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ขายไฟฟ้าให้ประเทศเพื่อนบ้านในบริเวณหมู่บ้านที่ใกล้กับเขตชายแดนของประเทศไทย โดยไม่ต้องขออนุมัติในระดับนโยบายอีก แต่ทั้งนี้ให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อทราบ ยกเว้นจะมีประเด็นนโยบายที่สำคัญให้เสนอเพื่อพิจารณา"
ตามที่มีประเด็นปัญหาเรื่องที่มีเครือข่ายยาเสพติด การฟอกเงิน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การค้ามนุษย์ และอื่นๆ ในประเทศใกล้เคียงซึ่งมีการใช้ไฟฟ้าจากประเทศไทยที่จ่ายไฟโดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในบริเวณอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และบริเวณอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของทั้งสองประเทศ นั้น
ปัจจุบัน การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคมีจุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณชายแดนประเทศไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา จำนวน 5 จุดซื้อขาย ได้แก่
1. จุดซื้อขายบริเวณบ้านเจดีย์สามองค์ - เมืองพญาตองชู รัฐมอญ โดยบริษัท Mya Pan Investment and Manufacturing Company Limited เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
2. จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณบ้านเหมืองแดง - เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน โดยบริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป(พีแอนด์อี) จำกัด เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
3. จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณสะพานมิตรภาพไทย - พม่า - เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน โดยบริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป (พีแอนด์อี) จำกัด เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
4. จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณสะพานมิตรภาพไทย - พม่า แห่งที่2 - อ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยบริษัท Nyi Naung Oo Company Limited และ บริษัท Enova Grid Enterprise (Myanmar) Company Limited เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
5. จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณบ้านห้วยม่วง - อ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง โดยบริษัท Shwe Myint Thaung Yinn Industry and Manufacturing Company Limited (SMTY) เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
ในการนี้ กระทรวงมหาดไทยจึงขอเรียนสอบถามสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติว่าในพื้นที่ 5 จุดซื้อขายไฟฟ้าดังกล่าวที่จุดไหนบ้าง มีเครือข่ายยาเสพติด การฟอกเงิน แก๊งคอลเซ็นเตอร์การค้ามนุษย์ และอื่นๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของประเทศหรือไม่ อย่างไร เพื่อนำมาใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาในการงดจ่ายกระแสไฟฟ้าต่อไป"
#ศิโรตม์ทอล์ก #ตาสว่างกว่า #SiroteTalk
https://www.facebook.com/photo?fbid=1184877522985217&set=a.738500567622917
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)