พอเพลี่ยงพล้ำก็ทำเป็นโอด นี่เองนิสัยซ้ำซาก
(ดูเหมือนทั่วไปเรียกว่า ‘สันดาน’) ของพวกขี้ข้าเผด็จการ ธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐปกติมักคุยโต
เย้ยเยาะ และทับถมพรรคการเมืองฝ่ายไม่เอาทหารสืบทอดอำนาจ แต่คราวนี้มีออดอ้อน
บ่นการเมืองเข้าสู่วังวน เสียงก่นโจมตีกระหึ่ม
ส่วนใหญ่กระสุนตกใส่พรรค พปชร.และประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าใหญ่ของตน
อ้างว่าอย่างนี้ทำให้บ้านเมืองบอบช้ำหนักลงไปกว่าเก่า ประเทศไม่เดินไปข้างหน้า
ขอให้ทุกฝ่ายยอมรับกติกาบ้านเมือง
เพิ่งรู้ว่าประยุทธ์และ พปชร. นี่กลายเป็นประเทศไปแล้ว
เพราะความมักได้ของตัวเองแท้ๆ พอฝ่ายถูกกระทำไม่ยอมกระแทกกลับ ก็พูดด้านๆ ว่าทำให้บ้านเมืองไปต่อไม่ได้
ที่ว่า พปชร.ไม่เคยให้ร้ายใครเพราะมีตัวช่วยทำแทนน่ะสิ
อย่างศรีสุวรรณ จรรยา นั่นทำเนียน
ฟ้องดะทั้งสองฝ่าย คดีของพวกประชารัฐและคณะยึดอำนาจ ‘ยื่นแล้วลืม’ แต่คดีฝ่ายไม่เอา คสช. เกาะติดกัดต่อทุกราย
เฉพาะที่ฟ้องพรรคอนาคตใหม่ออกหลายลีลาสำนวน ขยายผลเป็นว่าเล่น
ล่าสุดศรีสุวรรณจะยื่นฟ้องว่าที่ ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่
๑๑ ราย กล่าวหา “เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชน
ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามไม่ให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร”
ไม่ว่าจะเป็นเพียงแซะกลับเบาๆ อย่างที่
ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ ว่า “ตราบใดที่คุณศรีฯ ไม่ร้องเรียนฝ่ายพลังประชารัฐ
คนที่ระแวงว่าคุณศรีสุวรรณกลั่นแกล้งธนาธร (จึงรุ่งเรืองกิจ) และพรรคคงมีเยอะเลย”
หรือซัดใส่แรงๆ อย่าง Devil
In The Bush @devilarrme ที่ว่า “บางทีการต่อสู้กับคนประเภทนี้
มันก็ต้องใช้วิธี ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’
ไอ้เแบบ ‘เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร’ มันใช้ไม่ได้หรอก คนพวกนี้มันสันดานหยาบเกินกว่าจะสำนึก”
เห็นได้จากที่มีการขยายผลคดีของธนาธรไปถึงข้อหา
“หัวหน้าพรรคไม่ตรวจสอบคุณสมบัติ” ของผู้สมัครอนาคตใหม่ที่เขต ๒ สกลนคร เสียก่อน “โดยศาลชี้ว่าขาดคุณสมบัติ
และอาจไปถึงขั้นยุบพรรคอนาคตใหม่” ได้
ธนาธรย้อนเอาว่า “ตนก็มีข้อมูลผู้สมัคร
ส.ส.พลังประชารัฐ กับพรรคประชาธิปัตย์ที่เข้าข่ายกรณีแบบเดียวกัน
ถ้ากรณีแบบนี้ต้องยุบพรรค ก็ต้องยุบทุกพรรค เราก็จะฟ้องผู้สมัคร พปชร.
ในเคสเดียวกันด้วยเหมือนกัน ต่างกันที่ผู้สมัครพปชร.ยังถือหุ้นอยู่ แต่ผมขายแล้ว”
แต่การที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทยรายหนึ่งยื่น
กกต.สอบสวนว่าที่ ส.ส.เขตมีนบุรี-คันนายาวของพรรคพลังประชารัฐ ถือหุ้นเป็นจำนวนมากในบริษัทที่ประกอบกิจการธุรกิจสื่อ
นั่นเป็นทั้งการป้องกันตนเองจากการถูกเอาเปรียบ และตรวจสอบคู่แข่งที่ใช้อำนาจอย่างไร้ข้อจำกัด
เมื่อปรากฏในข้อมูลของกรมธุรกิจการค้าและพาณิชย์
ว่านายชาญวิทย์ วิภูศิริ ถือหุ้นของบริษัทมหาชนที่ตนระบุไว้ในแผ่นพับหาเสียงว่าเป็นผู้บริหาร
ถึง ๒๕๐ ล้านหุ้น และมีอำนาจในการลงนามของบริษัทด้วย คดีนี้เข้าข่ายความผิดและระวางโทษเดียวกันกับคดีที่ศรีสุวรรณยื่นฟ้องธนาธร
คือ ความผิดตามมาตรา ๙๘(๓) ของรัฐธรรมนูญ
๖๐ และมาตรา ๔๒(๓) ของ พรป.เลือกตั้ง มีระวางโทษตามมาตรา ๑๕๑ “จําคุกตั้งแต่ ๑ ปีถึง
๑๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๒ หมื่นบาทถึง ๒ แสนบาท
และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกําหนด ๒๐ ปี”
นั่นยังไม่นับกรณีที่ผู้สมัครพรรคเพื่อไทยอีกราย
ปุ๊น ตรีรัตน์ ร้องเรื่องความประพฤติไม่บริสุทธิ์ยุติธรรมของ กกต.เอง
ที่เขตเลือกตั้งบางกะปิ หน่วย ๑๓ มีบัตรเกินมา ๑๘๐ ใบ
ในเมื่อการประกาศหน้าหน่วยเมื่อ ๒๔ มีนา มีผู้ใช้สิทธิ ๘๔๑ คน บัตรคะแนน ๘๖๐ ใบ
หนึ่งเดือนให้หลัง ๒๔ เมษา ผู้ใช้สิทธิเพิ่มเป็น ๙๖๘ คน บัตรคะแนน ๙๘๐ ใบ
สงสัยปาฏิหาริย์
ไม่ปาฏิหาริย์ (แต่เกือบไป) ก็ต้องการนับคะแนนใหม่ของ
กกต. ที่นครปฐม เขต ๑ ซึ่งเดิมทีผลที่แจ้งว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้อันดับหนึ่ง
๓๕,๗๖๒ คะแนน ตามด้วยอนาคตใหม่ ๓๕,๖๑๕ คะแนน
เกือบปาฏิหาริย์ก็ตรงที่ขณะกำลังนับคะแนนกันอยู่ จู่ๆ ไฟก็ดับไปแป๊บ เมื่อตอนบ่าย
๓ โมงครึ่ง
ครั้นนับต่อจนเสร็จยังไม่มีการแถลงผล
พรรคประชาธิปัตย์ประกาศชัยชนะหวุดหวิด ว่าได้มากกว่าอนาคตใหม่ ๔ คะแนน
สุดท้ายเมื่อ กกต.แถลงอย่างทางการ นายฉัตรชัย จันทร์พรายศรี
แจ้งว่าคะแนนแท้จริงคือ อนาคตใหม่ได้ ๓๕,๗๐๗ คะแนน ขณะที่ ปชป. ตกไปเป็น ๓๕,๖๔๕
ชนะกัน ๖๒ คะแนน
พวก Futuristas ผู้สนับสนุน อนค.เฮกันใหญ่ แต่แกนนำอย่างเลขาธิการพรรคบอกว่า “กรณีนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าการดำเนินการเลือกตั้งของ
กกต. มีโอกาสผิดพลาดกันได้” ปิยบุตร แสงกนกกุล เขียนบนทวิตเตอร์
“เราจึงขอให้ กกต.
เปิดผลคะแนนรายหน่วยทั้งประเทศเพื่อให้ประชาชนทุกคนและทุกฝ่ายได้ร่วมกันตรวจสอบ
เพื่อการเลือกตั้งที่โปร่งใส สุจริต และเที่ยงธรรมมากที่สุดครับ” ได้ยินไหม กกต.
ว่าไง ส่วนศรีสุวรรณ จรรยา “ชั่งหัวมัน”