วันอาทิตย์, มกราคม 31, 2559

สศจ.แห่ง'เจียมนิวส์' แจกนิยาย 'โรงงานปลากระป๋อง' หรือ 'นิยายยายไฮ' ฟื้นความหลังทศวรรษที่แล้ว




ขุดนิยายแย้งยุค ‘ยายไฮ’ ทศวรรษที่แล้วฟื้นความหลัง ฝรั่งว่าเป็น ‘Narrative Sedition’ หรือเรื่องเล่าปลุกปั่นต่อเนื่อง

สศจ. แจกพีดีเอฟครบชุดทั้งซีรี่ส์ แบ่งเป็นสองภาค ตอนที่ ๑ ถึง ๑๖๙ กับตอนที่ ๑๗๐ ถึง ๑๙๙

https://www.facebook.com/notes/somsak-jeamteerasakul/ย้อนรอยวิกฤติ-10-ปี-นิยายในตำนาน-โรงงานปลากระป๋อง-หรือ-นิยายยายไฮ-แจก-pdf-รวมครบ/1035947026448526




SOMSAK JEAMTEERASAKUL•SATURDAY, JANUARY 30, 2016 เกริ่นว่า

“ตั้งแต่หลังรัฐประหารครั้งหลังมา ผมก็นึกถึงเป็นพักๆ ในแง่ที่ว่า แปลกใจเหมือนกันว่า คสช. ตามไล่ล่ากวาดจับแทบทุกกรณีที่เกี่ยวกับเรื่องหมิ่นฯ (คฑาวุธ, บรรพต และอีกหลายกรณี) แต่ไม่ยักมีข่าวการตามจับเรื่องนี้

หรือว่า (ก) คสช. ไม่รู้จัก (ข) รู้จัก แต่ตามล่าไม่ได้ หรือ (ค) เป็นไปตามที่มีการลือๆกันว่า คนเขียน ‘เส้นใหญ่’?”

จะอย่างไรก็ตามซีรี่ส์ ‘ยายไฮ’ หรือ ‘Hi s’ ที่ปรากฏทางเว็บบอร์ด ‘ฟ้าเดียวกัน’ และภายหลังเป็น ‘คนเหมือนกัน’ ตั้งแต่ช่วงปี ๒๕๕๒ ถึง ๒๕๕๖ ที่ สศจ. บอกว่า “เป็นกระทู้เว็บบอร์ดที่ยอดวิวสูงที่สุดในประวัติศาสตร์”




และที่เรียกข้อเขียนเล่าความเป็นตอนๆ สืบเนื่องกัน กระชั้นบ้าง ทิ้งช่วงบ้าง รวมเวลาสามปีครึ่งนี้ว่า นิยาย เนื่องจากเป็น "กึ่งเรื่องจริง กึ่งเรื่องแต่ง คือคนเขียนเล่าในลักษณะใช้ ‘ชื่อปลอม’ เช่น ‘ลุง’ ‘ป้า’ ‘จ่า’ ‘เมพ’ฯลฯ แต่ทุกคนที่อ่านก็รู้ดีว่ากำลังพูดถึง” ใครกันบ้าง รวมทั้ง ‘ลูกจ้าง’ และ ‘ผู้จัดการคนก่อน’

นิยาย ‘ยายไฮ’ นี้ “เริ่มปรากฏครั้งแรกเมื่อวันที่ กันยายน 2552 เมื่อมีผู้ใช้ชื่อล็อคอินว่า ‘Hi s’ โพสต์กระทู้ทางบอร์ดฟ้าเดียวกันในชื่อกระทู้ว่า ‘รายงานความคืบหน้าอาการป่วยของ xxx’...

ตั้งแต่เดือนตุลาคม ผู้เขียนได้หันมาใช้ ‘ชื่อ’ แทนตัวอักษร เช่น ‘สมชาย’ (แทน xxx) หรือ ‘รัศมีจันทร์’ (ที่การโพสต์ในเดือนนั้นเกือบทั้งหมดเป็นการเล่าเรื่องของเธอ) หรือ ‘จูลี่’ (ซึ่งคนอ่านทุกคนคาดเดากันได้ว่าหมายถึงใคร)

- ลักษณะการสมมุติชื่อขึ้นมาแทนตัวคนจริงๆนี้ จะกลายเป็น ‘เสน่ห์’ สนุกๆของข้อเขียนนี้ คือบางครั้งที่มี ‘ตัวละคร’ เพิ่มขึ้นมา แล้วชื่อที่ตั้งไม่สามารถเห็นชัดทันทีว่าหมายถึงใคร ก็จะมีการเดา-ถามๆ กันว่า ผู้เขียนกำลังพูดถึงใคร

ปลายเดือนธันวาคม มีการกลับไปใช้คำ xxx อีกเป็นช่วงสั้นๆ (แทน ‘สมชาย’) แต่จากกลางเดือนมกราคม ๒๕๕๓ เป็นต้นไป ก็หันไปใช้คำว่า ‘ลุง’ และคำนี้จะกลายเป็นคำเรียก…ประจำไปตลอดที่เหลือของนิยายนี้”

“ความดังของ ‘นิยายยายไฮ’ (นี่คือชื่อที่ชาวเว็บบอร์ดเริ่มหันมาเรียกกัน โดยเอามาจากชื่อล็อคอินคนเขียน ‘Hi s’) โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกของปี ๒๕๕๓ มีมากขนาดไหน นอกจากดูที่ยอดวิวและยอดผู้มาคอย ‘เฝ้ากระทู้’ ตามอ่านเป็นประวัติการณ์แล้ว ยังแสดงออกในที่ที่ไม่คาดคิดด้วย

วันที่ ๑๓ สิงหาคมปีนั้น ‘ปอง’ อัญชะลี ไพรีรัก ได้เขียนในคอลัมน์ ‘เด็ดดอกไม้รายทาง’ ของเธอใน นสพ.ผู้จัดการ โดยขึ้นหัวชื่อข้อเขียนในวันนั้นว่า ‘โรงงานปลากระป๋อง’” ดังตัวอย่าง




“ตัวละครในโรงงานปลากระป๋องจึงใช้เรื่องจริงปนข่าวลือและมีชื่อคนจริงๆ ยศถาบรรดาศักดิ์จริง ทุกคนล้วนเป็นคนในชนชั้นที่ผู้เขียนสาธยายว่า ‘ผู้ดีแแปดสาแหรก เก้าไม้คาน’

แต่ก็มีที่ตัวละครบางตัวใหญ่โตโอ่อ่ามากมาย จนต้องหยิบบุคคลิกมาผสมกับ ‘นามสัญลักษณ์’ ที่พยายามอธิบายความมีตัวตนเสียจนคนอ่านสามารถนึกไปได้ว่า เป็นคน...คนนั้นจริงๆ...

ความน่าสนุกของนวนิยายเรื่องนี้ อยู่ตรงที่ผู้เขียนตีแผ่ตัวละครทุกตัว ด้วยถ้อยคำเจ็บแสบ แดกดัน และฉีกหน้ากากให้คนอ่านเข้าถึงอารมณ์เกรี้ยกราด หงุดหงิด จิตริษยา ชิงดีชิงเด่น โป้ปดตลบตะแลง และอยากได้ใคร่ดี ... คนเหล่านี้ซุกซ่อน ‘ตัวตน’ ไว้ภายใต้หน้ากากแสนสวย สูงส่งของกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า ‘ผู้ดี’”

(บทความนี้ไม่สามารถเข้าถึงทางไซเบอร์ได้แล้ว แต่ไม่เร็วไปกว่า สศจ. ที่เก็บภาพเป็น hard copy ไว้ให้ชมกันเป็นขวัญตา)

ครั้งนั้นเป็นการบรรยายทีเมื่อ แอนดรูว์ ว้อคเกอร์ แห่งวารสารออนไลน์ ‘นิวแมนดาล่า’ นำไปตีแผ่บนเว็บไซ้ท์ http://asiapacific.anu.edu.au/…/seditious-tales-in-thailand/ เมื่อ ๑๓ เมษายน ๒๕๕๔ ก็กล่าวถึงไว้คล้ายคลึงกัน

ปอง อัญชะลี กลับไปเขียนถึง ‘โรงงานปลากระป๋อง’ อีกครั้งในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ ซึ่ง สศจ. ตั้งข้อสังเกตุว่า “คราวนี้ชัดเจนว่าเธอรู้ตัวแล้วว่านิยายเรื่องนั้นพูดถึงใคร (บทความของเธอยังสามารถอ่านได้ออนไลน์ ที่นี่)”

บทความของ ‘E-Pong’ ชื่อที่คนเสื้อแดงเรียกเธอ คราวนี้ลงใน ‘แนวหน้า’ โดยโยงใยเข้ากับกรณี ‘คลิปถั่งเฉ้า’ ที่กำลังฮึกฮักในขณะนั้น ก็เลยพาดพิงไปถึงคนที่ภายหลังถูกเอามาล้อเลียนกันอย่างติดปากว่า ‘อะไรๆ ก็มาลงที่กรู’

คราวนี้อัญชะลีเขียนอย่างจงใจสุมไฟเผาฝ่ายการเมืองตรงข้าม “แก๊งเสื้อแดงใต้ดินฉบับล้มเจ้า เคยเขียนเรื่องโรงงานปลากระป๋องลงในเฟซบุ๊คเป็นตอนๆ หลายตอนจบ จบแล้วก็พิมพ์จำหน่ายจ่ายแจกกันในหมู่เสื้อแดงล้มเจ้าด้วยกันหนีบรักแเร้คนละชุดสองชุด

นวนิยายเรื่องโรงงานปลากระป๋องว่าด้วยเรื่องความแออัดยัดเยียดบนชั้น ๑๖ ศิริราช ที่เต็มไปด้วยผู้รับใช้ใกล้ชิดอันอุดมไปด้วยความอิจฉา ริษยา นินทาว่าร้ายซึ่งกันและกัน ผสมกับความคืบหน้าของพระอาการ

ผู้เขียนเหมือนนั่งอยู่บนชั้น ๑๖ รพ.ศิริราช เลยทีเดียว เพราะบรรยายถึงห้องหับ-คณะแพทย์–การใช้ยารักษาพระอาการ-ใครเข้า ใครออก ใครว่าใคร ใครร้าย ใครเลว และใครทรยศ” จริงไม่จริงอี๊ปองเธอว่าไม่ยั้ง

ดังมีคอมเม้นต์รายหนึ่งบนหน้าเฟชบุ๊คของ สศจ. เชื่อว่าต้องเป็นขาเก่ายายไฮ โพสต์ไว้ให้สำเหนียก

“จุดเสื่อมของ Hi s คือเรื่องที่บอกว่า ‘ป้า’ ป่วยจนไม่สามารถทำอะไร (ความหมายคือเป็นผัก) แต่แล้ววันนึง ‘ป้า’ ก็ปรากฏตัว พร้อมๆกับการจากหายไปของนักเขียนนิยายที่ชื่อว่า Hi s

ป.ล. จริงๆยังมีอีกหลายตอน ที่เรียกได้ว่า Hi s มั่วข้อมูล ทั้งๆที่มันก็เป็นการถ่ายทอดสด”

ถึงอย่างไร การนำซีรี่ส์ยายไฮมาเสนอในวาระครบรอบสิบปีโดย สศจ. นี้ ฟื้นความหลังอย่างรื่นเริงของบรรดาแฟนขลับที่เคยติดตามกระชั้นชิดกันชนิคตอนพี้คนับ ๓ ล้าน ได้ไม่เบาเลยเชียว

แต่กระนั้น นิยายก็คือนิยาย จะ based on true story หรือว่า adapted from true event ก็เป็นเรื่องราวที่สามารถติดกันงอมแงม และเป็น best seller ได้ และท้ายสุดอาจกลายเป็น classics ได้เสมอ

เราจึงนำตอนที่ ๑๙๗ เมื่อวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๖ มาให้อ่านกันเป็นกระสาย สำหรับผู้ที่ไม่เคยอ่านได้สัมผัสว่าซีรี่ส์นี้เด็ดจริงไหม

“การเปลี่ยนผ่านใกล้เข้ามาทุกขณะ
#35693 Posted 05 September 2012 - 04:53 PM

วันนี้จะขอรายงานความคืบหน้าอาการป่วยของลุงกันต่อหลังจากที่ไม่ได้รายงานมาหลายเดือน แต่ครั้งนี้จะขอรายงานอาการป่วยของป้าเพิ่มเติมด้วยอีกคน

อาการของลุงโดยสรุป ในการป่วยล่าสุดที่เริ่มทรุดลงในระยะเวลา 2 เดือนกว่าๆ ที่ผ่าน มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

เดิมที ลุงที่มีอาการของ Minor Stroke โดยที่ทราบกันดี และหลังจากนั้น ลุงก็มีอาการของ NPH (น้ำในโพรงสมองอุดตัน) และหมอได้ผ่าตัดวางท่อระบายน้ำไปแล้ว โดยที่ลุงมีอาการของโรคพาร์กินสัน (อาทิ นั่งตัวเอียง และเดินได้แค่ก้าวสั้นๆ)

ซึ่งภาวะทั้งสองนี้ ทีมอภิบาลลงความเห็นว่า มีโอกาสที่จะเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของลุงมากที่สุด

ไม่นับโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน 3 เส้น (ลุงทำ Bypass แล้ว) โรคอัลไซเมอร์ โรคช่องกระดูกไขสันหลังตีบกดทับเส้นประสาท ที่อาการจะกำเริบได้ทุกเมื่อ

โดยโรคพาร์กินสัน ตอนนี้ลุงได้รับการรักษาโดยการทำกายภาพบำบัด ใช้ยา โดยกินประมาณ 3-4 อย่าง ร่วมกับการทำ DBS ( Deep Brain Stimulation ) ในส่วนของ DBS ลุงจะทำสัปดาห์ละสองครั้ง แต่การรักษาโรคพาร์กินสันของลุงด้วยวิธีการดังกล่าวกลับไม่เป็นที่น่าพอใจ เพราะอาการของโรคนับวันจะรุนแรงมากขึ้น ลุงเป็นชนิดที่ดื้อต่อการรักษา

หมอนิพนธ์ได้ให้การรักษาล่าสุดที่ใช้คือ การนำเซลล์จากสมองออกไปเพาะที่ห้องทดลอง เพื่อเพิ่มเซลล์สมอง และนำกลับกลับมาฉีดเข้าไปในสมองของลุง เพื่อหวังผลให้ลุงอาการดีขึ้น ถ้าจำกันได้จะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ทางสภากาชาดจะขอให้ช่วยกันบริจาค Stem cell ให้เป็นกุศลให้ลุง ก็เพื่อที่ต้องการคัดเลือก Stem cell ที่ตรงและสามารถใช้ได้กับลุง

แต่ผลลัพธิ์ไม่เป็นเช่นนั้นเพราะลุงเกิดภาวะแทรกซ้อน หลังฉีดครั้งล่าสุด ลุงมีอาการเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองชั้นกลาง (subarachnoid hemorrhage SAH)

เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าลุงอายุมาก และมีภาวะสมองฝ่อ เลยทำให้ง่ายต่อการที่จะเลือดออกในสมอง

ภาวะ SAH นี้ ค่อนข้างอันตรายอยู่แล้ว แต่กับลุงที่มีโรคทางสมองเป็นพื้นฐานยิ่งทำให้ความเสียหายของสมองเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว

ช่วงแรกลุงมีอาการโคมา ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ แต่เกรงว่าจะดูไม่ดี ลุงจึงใช้มาร์สแทนในช่วงแรก หลังจากนั้นมีอาการปอดบวมแทรก แต่ปัจจุบันลุงไม่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ทำแบบนี้ทำให้สมองได้รับความเสียหายมาก

ปัจจุบันคาดการณ์ว่าสมองเหลือฟังชั่นได้เต็มที่ไม่ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ โดยสมองความคุมความคิด และการทรงตัว จะได้รับผลกระทบมากที่สุด

ซึ่งหลังจากที่ลุงป่วย ถ้าเราจำไม่ผิดน่าจะเป็นช่วงต้นๆ ของเดือน กค. ครอบครัวของลุง ที่ป้า ต้องการ ให้ตั้ง Regent ขึ้นมา โดยเหตุผลที่ว่าลุงจะเป็นคนทุพลภาพ ที่คนที่จะชี้ขาดว่าลุงเป็นคนพิการ ก็คือนาย ป. และพวก

ซึ่งป้าต้องการเป็น Regent แต่เมพและ...ไม่เห็นด้วย เมพทะเลาะกับป้าอย่างหนักหน่วง (คนในชั้น 16 ที่คอยรับใช้เป็นพยานได้ดี เพราะเหตุการณ์วันนั้น มี มึง กู สัตว์เลื้อยคลานเต็มไปหมด) เพราะเมพคิดว่าการที่ป้าเป็น น่าจะก่อให้เกิดปัญหาตามมา

ในช่วงเวลานั้นจ่าทำพลาด ในเรื่องที่จ่ามีคำสั่งออกมาแล้วว่า โรงเรียนจ่าอากาศจะย้ายไปกองบิน บน. 4 ตาคลี และโรงเรียนนายเรืออากาศจะย้ายไปมวกเหล็ก

ในการนี้ ที่จ่าต้องการเอาที่ดินของทัพฟ้า โรงเรียนทั้งสอง ไปสร้างวังให้เมียน้อย ทำให้ทัพฟ้าไม่พอใจในตัวจ่า ทำให้จ่าอาจจะขาดแรงหนุนจากทัพฟ้าได้ง่ายๆ

ตอนนี้เอง เมพต้องการดึงกองทัพอากาศให้มาอยู่ในอำนาจของเมพแทนจ่า เพราะสีเขียวเมพได้ control เรียบร้อยแล้ว

หลังจากที่ลุงป่วยหนักในครั้งนี้ ป้ามั่นใจในการขึ้นเป็น Regent แต่โชคชะตาก็ไม่ได้เข้าข้างป้า เพราะล่าสุด เมื่อเช้ามืดของวันที่ 21 กค. ระหว่างที่ป้ากำลังออกกำลังในสวนหย่อม

ป้าเกิดมีอาการ ล้มลงหมดสติ หมอรีบพาป้าเข้าอุโมงค์ ผล MRI ปรากฎว่า

เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองน้อยตีบ (Cerebellum Infarction ) สมองน้อยด้านขวาขาดเลือดขนาด 5 cm 86I คุณหัทยา นักกายภาพบำบัดจาก รพ. จุฬา ถูกเรียกเข้าพบเป็นการด่วน (ตอนนี้ใครรักษากับคุณหัทยาก็ต้องรอไปก่อน)

ความหวังในการเป็น Regent ของป้า ไกลห่างออกไป…เมพได้โอกาส เมพเรียกนาย ป. เข้าพบเป็นการด่วนของคืนถัดมา

จะขอกลับมา Update เหตุการร์ล่าสุดของลุง เราขอรอผลการทำ MRI ล่าสุดของป้าก่อน"

วาทะเด็ด... ปัญหาประเทศไทยเป็นเพราะคน 3-4 อาชีพ




https://www.youtube.com/watch?v=zBsuU4ZCly4

ปัญหาประเทศไทยเป็นเพราะคน 3-4 อาชีพ คิดว่าตัวเองมีอำนาจตัดสินการเมืองแทนประชาชนผู้โง่เขลา อาชีพแรกคือทหารมีไว้ทำไม อาชีพถัดมาคือพวกหมอ เห็นประชาชนเป็นคนไข้ ถัดมาคือสื่อ สมองกลวงมองโลกขาวดำแต่คิดว่าตัวเองเป็นตะเกียง แต่ร้ายที่สุดคือตุลาการ ซึ่งคิดว่าตนเป็นคนดีแต่ทำลายความยุติธรรมและหลักนิติรัฐ



Atukkit Sawangsuk

โพสต์เต็ม

เมื่อเช้าขับรถอยู่แล้วบังเอิญได้ฟังจรัญ ภักดีธนากุล ออกวิทยุ 96.5 ทำเสียงขรึมขลังเชียร์ รธน.มีชัยให้อำนาจศาล ปิดเลย ขี้เกียจฟังแม่-

ตะกี้เปิดทีวีช่อง Sony บังเอิญเจอหนังซีรีส์ Bad Judge หนังตลกล้อวงการศาล เรื่องของผู้พิพากษาสาวโสด เปรี้ยว แสบ เซ็กส์ แถมซัดบราวนีใส่กัญชา (Kate Walsh) ซึ่งถ้าเป็นหนังไทยคงไม่กล้าสร้าง เพราะสร้างไปก็ไม่ได้ฉาย ฐานบ่อนทำลายความมั่นคง ความสงบเรียบร้อย วัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม

น่าเสียดายว่าหนังฉายได้ปีเดียวก็ถูก cancel เพราะบทห่วย คำวิจารณ์แย่ แต่สิ่งที่สะท้อนออกมาในหนังศาลอเมริกัน ไม่ว่าหนังซีเรียส The Good Wife หนังตลก Ally McBeal หรือ Boston Legal คือศาลไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ โต้ได้เถียงได้ แม้ท้ายที่สุดศาลเป็นผู้ชี้ขาด (ระบบอเมริกันมันใช้ลูกขุนด้วย) ศาลเป็นมนุษย์ (ในหนังตลกยังเป็นตัวตลก) มีถูกมีผิด แล้วก็มีระบบคณะกรรมการตรวจสอบศาลด้วย

ไม่เหมือนเมืองสารขัณฑ์แค่เหยียบเข้าไปในศาลก็เหมือนย้อนยุคร้อยฟีพันปี มีแต่ขุนหลวงพระพระยา ศักดินาห้าหมื่นไร่ ทั้งคู่ความทั้งทนาย ทางที่ดีต้องกุมไข่ไว้ก่อน ต่อให้คำพิพากษาหรือการใช้อำนาจในศาลอ่อนเหตุผลเพียงไร เจอคนมีเหตุผลก็ดีไป เจอผู้พิพากษาหลงตัวเอง หรือไม่เคยตรวจสอบสภาพจิต ก็เคราะห์ร้าย

รุ่นน้องผมคนหนึ่งเป็นทนาย เล่าให้ฟังว่าเคยเจอผู้พิพากษาบ้าอำนาจ เอะอะก็ขู่จับขัง ต้องอ่อนน้อมค้อมหัวทั้งวัน และตลอดทั้งวันก็พาวนอยู่เรื่องเดียว คือวงเงินประกัน ไม่ยอมจบซักที หลังเลิกศาลเจ้าหน้าที่กระซิบ แกเป็นอย่างนี้แหละ เขารู้กันทั่ว อีก 1-2 ปีต่อมาก็ได้ข่าวว่าเส้นเลือดแตกตาย

ปัญหาประเทศไทยเป็นเพราะคน 3-4 อาชีพ คิดว่าตัวเองมีอำนาจตัดสินการเมืองแทนประชาชนผู้โง่เขลา อาชีพแรกคือทหารมีไว้ทำไม อาชีพถัดมาคือพวกหมอ เห็นประชาชนเป็นคนไข้ ถัดมาคือสื่อ สมองกลวงมองโลกขาวดำแต่คิดว่าตัวเองเป็นตะเกียง แต่ร้ายที่สุดคือตุลาการ ซึ่งคิดว่าตนเป็นคนดีแต่ทำลายความยุติธรรมและหลักนิติรัฐ


ทลายทุกวงการดีไซน์!... มาดูอินโฟกราฟิกแหวกแนว โดดเด่น ไม่เหมือนใครในโลกของรัฐบาล'บิ๊กตู่'



ทลายทุกวงการดีไซน์! 5เทคนิคสร้างสรรค์อินโฟกราฟิกพันธุ์ใหม่สไตล์ท่านนายกฯ

Chotiros Lookkaew Naksut
29th January 2016
ที่มา Minimore.com

ในห้วงเวลาที่เราทุกคนเสพข่าวสาร (และเรื่องชาวบ้าน) ผ่านการเลื่อนหน้าจอด้วยนิ้ว (หรือเมาส์) อย่างรวดเร็ว ถ้ามีแต่ข้อมูลข่าวสารที่เป็นตัวหนังสือยาวพรืด เราก็คงเลื่อนผ่านมันไปอย่างไม่ใยดีได้อย่างรวดเร็วพอ ๆ กัน อินโฟกราฟิก (Infographic) จึงเป็นทางเลือกสำคัญที่บรรดาคนทำคอนเทนต์ทั้งหลายใช้ดึงดูดมนุษย์ (สมาธิสั้นแสนสั้น)อย่างพวกเรามาหยุดอ่าน เพราะอย่างนั้นอินโฟกราฟิกที่ดีจึงต้องเวรี่สร้างสรรค์สุด ๆ

วันนี้มินิมอร์เลยอาสาพาไปเรียนรู้เทคนิคการทำอินโฟกราฟิกสุดเก๋ตามแบบ สมุดภาพ Infographics รัฐบาลเพื่อประชาชน อินโฟกราฟิกแบบใหม่ล่าสุด ที่ท่านนายกฯเพิ่งเปิดตัวสด ๆ ร้อน ๆ บอกได้เลยว่าทลายทุกทฤษฎีดีไซน์ทั่วโลก! (ก็แน่ล่ะ ความคิดสร้างสรรค์มันต้องแหวกแนว มันต้องเปลี่ยนโลก จะมาซ้ำที่เดิมได้ไงเล่า)(ปรบมือให้ยาว ๆ เลย)




สำหรับใครที่ยังงง ๆ ว่าอินโฟกราฟิกคืออะไร อินโฟกราฟิก มาจากคำว่า Information (ข้อมูล) รวมร่างกับ graphics (ภาพ) อินโฟกราฟิกจึงเป็นการนำข้อมูลที่เยอะ ยาก ชวนปวดหัว มาสรุป เรียบเรียง วิเคราะห์ แจกแจง แล้วนำมาทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นโดยใช้ภาพในการช่วยสื่อสารนั่นเอง

อย่าเพิ่งดูถูกอินโฟกราฟิกเชียวนะเพราะจากผลสำรวจ 5 ปีที่ผ่านมามีคนเสิชหาอินโฟกราฟิกจาก google เพิ่มขึ้น 25 เท่า แถมเว็บไซต์ไหนที่ใช้อินโฟกราฟิกเป็นตัวสื่อสารจะมียอดคนเข้ามาอ่านเพิ่ม 12% เลยล่ะ รู้อย่างนี้คงต้องรีบเรียนรู้เทคนิดสุดแหวกแนวก่อนจะตกเทรนด์ซะแล้ว (กราฟิกดีไซเนอร์แบบเดิม ๆ เตรียมตกงาน!)

ว่าแล้วมินิมอร์จะเปรียบเทียบทฤษฎีแบบอินโฟกราฟิกแบบบ้าน ๆ ทั่วไปกับของท่านนายกให้เห็นกันชัด ๆ (แถมใช้เทคนิคท่านนายกฯให้ดูด้วย) จะได้รู้กันไปเลยใครอินใครเอาท์!

1.ทฤษฎีอินโฟกราฟิกต้องกระชับ ชัดเจน Vs. ข้อมูลต้องแน่น ยาว ยืด!





ว่ากันว่าอินโฟกราฟิกที่ดี (ก่อนเวอร์ชั่นท่านนายกฯจะฮิต) ข้อมูลในอินโฟกราฟิกต้องกระชับ ตรงประเด็น สั้น อ่านได้ครบถ้วนภายในเวลา 3 นาที เพราะคน(ปกติทั่วไป)จะมีสมาธิอ่านได้ไม่เกิน 3 นาทีเท่านั้น

แต่ถ้าพวกเธอไม่คิดนอกกรอบก็ไม่มีวันได้เห็นความสำเร็จที่พิเศษกว่าคนอื่นเขาได้หรอก! เทคนิคสุดลับของอินโฟกราฟิกพันธุ์ใหม่ ต้องเน้นข้อความยาว ๆ ตัวหนังสือเยอะ ๆ โดยเฉพาะการโควทข้อความที่เหมือนเจ้าของคำพูด พูดไว้ประมาณ 10 นาทีเอามาใส่ในอินโฟกราฟิกได้อย่างลงตัว เพราะการเสพอะไรสั้น ๆ มันเอาท์ไปแล้ว จะนำเสนอนโยบาย ไปประชุมอะไรที่ไหนก็ต้องว่ากันให้กระจ่างไปเลย

ตัวอย่างทฤษฎีอินโฟกราฟิกต้องกระชับ ชัดเจน




ทฤษฎีข้อมูลสั้นอ่านได้ใน 3 นาทีเลยต้องลาก่อนนะ เพราะทฤษฎีข้อมูล 10 นาทีกำลังมา! 





2.ทฤษฎีเว้นพื้นที่ว่างให้พักสายตา Vs. ว่างไปก็ใส่ให้ครบ ๆ สิ ปัดโธ๊!







ทฤษฎีแบบบ้าน ๆ เดิม ๆ มีหลักการอยู่ว่าอินโฟกราฟิกควรมีที่ว่าง ๆ เพื่อให้คนดูรู้ว่าตรงไหนกันแน่ของเราคือจุดเด่น จะได้ไปโฟกัสที่จุดเด่นที่เราอยากนำเสนอได้ถูก

คงเพราะอินโฟกราฟิกพวกแกยังเด่นไม่พอยังไงล่ะเลยต้องใช้วิธีเว้นที่พักสายตาแบบนั้น แต่สมุดภาพ Infographics รัฐบาลเพื่อประชาชนเขาเด่นทั้งเล่ม เด่นทุกหน้า เด่นทุกบรรทัด! เลยไม่จำเป็นต้องเว้นที่ว่างใด ๆ นอกจากจะอัดแน่นไปด้วยข้อมูลและภาพพื้นหลังลายพร้อยตระการตา ยังมีกิมมิคพิเศษคือการแปะหน้าบุคคลสำคัญขนาดใหญ่ ๆ ลงไป (เกี่ยวมากเกี่ยวน้อยแต่ก็ใส่ลงไปเถอะ) นี่แหละดึงดูดความสนใจได้ดีที่สุดบอกเลย

ตัวอย่าง ทฤษฎีเว้นพื้นที่ว่างให้พักสายตา





แต่ถ้าอยากดูชิคดูคูลขึ้น เจอที่ว่างไปก็ใส่หน้าคนดัง ๆไปให้ครบ ๆ สิ ปัดโธ๊!...








3.ทฤษฎีพาดหัวน่าสนใจ Vs. ไม่เห็นเป็นไรเราเน้นอธิบายชัดไว้ก่อน






อินโฟกราฟิกที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก (แต่อาจต้องพังทลายลงเร็ว ๆ นี้) บอกไว้ว่าควรใช้คำพาดหัวที่คนอ่านปุ๊ป แล้วเหมือนโดนกระชากหัวปั๊ป ต้องหยุดสายตาตะลึงงันแล้วรีบอ่านต่อเพราะอยากรู้ว่าข้างล่างจะมีอะไรอีก

แต่อินโฟกราฟิกพันธุ์ใหม่ไปไกลกว่านั้นแล้ว หัวข้อต้องรับผิดชอบต่อสังคม ไม่ใช่พาดหัวเหมือนเว็บไซต์หลอกให้เราคลิกเข้าไปเพื่อขายโฆษณา เพราะฉะนั้นต้องอธิบายชัดเจน หนักแน่น ไม่ให้ใครเข้าใจผิดได้ 'การสร้างความเชื่อมั่นในเวทีโลก มาตรการทางเศรษฐกิจ' อ่านแล้วไม่เข้าใจผิดแน่ ๆ (โห ดีงาม)

ตัวอย่าง ทฤษฎีพาดหัวน่าสนใจ




แต่ทฤษฎีเดิมมันกำลังจะเอาท์แล้ว ต้องไม่เห็นเป็นไรเราเน้นพาดหัวอธิบายชัดไว้ก่อน แบบนี้...





4.ทฤษฎีภาพเดียวเผยแพร่แสนง่ายในโลกออนไลน์ Vs. โลกจะศิวิไลซ์ถ้าเราอ่านหนังสือเยอะ





วงการดีไซน์แบบเดิม ๆ บอกเราว่าอินโฟกราฟิกต้องทำให้สามารถแชร์ไปในโลกออนไลน์ได้ง่าย ควรจะรวบรวมข้อมูลเสร็จสรรพแค่แผ่นเดียว ยิ่งทำเป็นภาพจะส่งต่อ เผยแพร่สะดวก คนจำนวนมากก็จะเข้าถึงอินโฟกราฟิกของเราได้

แต่สมุดภาพ Infographics รัฐบาลเพื่อประชาชน ล้ำลึกกว่านั้นมาก ภาพเดียวมันจะไปพออะไร 100 หน้าจึงเป็นจำนวนที่พอดีที่สุดสำหรับอินโฟกราฟิกสายพันธุ์ใหม่ แถมไม่ต้องทำเป็นภาพให้แชร์ได้ง่ายหรือไวรง ไวรัลอะไร เป็น pdf นี่แหละ คนจริง (อ่ะ แปะให้ดูอีกที สมุดภาพ Infographics รัฐบาลเพื่อประชาชน) นี่จึงไม่ใช่แค่อินโฟกราฟิกสวยงามฉาบฉวย แต่สนับสนุนให้คนไทยอ่านหนังสือเกิน 7 บรรทัดอีกด้วย (คราวนี้อ่านกันเกิน 70 บรรทัดแน่ ๆ) แค่อ่านอันข้างบนอันเดียวก็เกิน 7 บรรทัดแล้ว (ช่างหลักแหลมและแยบยลจริง ๆ)

ตัวอย่างอินโฟกราฟิก ทฤษฎีภาพเดียวเผยแพร่แสนง่ายในโลกออนไลน์





ต้องขออภัยอย่างสูงที่ตัวอย่างนี้ มินิมอร์ไม่สามารถทำ pdf จำนวนหนึ่งร้อยมาทำให้เห็นภาพได้





5.ทฤษฎีการดีไซน์ให้คนจินตนาการออก Vs. ภาพกราฟิกไม่ต้องภาพจริงเรียลที่สุด





อยากให้คนดูอินโฟกราฟิกแล้วเข้าใจง่าย ก็ต้องใช้ภาพกราฟิกที่คนเห็นแล้วจินตนาการออก เห็นภาพชัดว่าข้อมูลเรากำลังจะสื่ออะไร แถมรูปทรงก็มีความสำคัญนะ ควรใช้รูปทรงโค้ง ๆ มน ๆ มากกว่าใช้เส้นตรงหรือทรงเหลี่ยมเพราะมันจะทำให้คนดูแล้วจินตนาการได้มากกว่า

แหกกฏการดีไซน์เช่นเดิม เพราะ สมุดภาพ Infographics รัฐบาลเพื่อประชาชน เขามาพร้อมเส้นตรง และทรงเหลี่ยมล้วน ๆ แถมภาพกราฟิกให้จินตนาการต้องหลบไป ภาพจริงชัดกว่าเยอะ! เป็นการกลับมาของสไตล์พาวเวอร์พอยท์รายงานสมัยประถมได้ Retroย้อนยุคกันสุด ๆ

อยากพูดเรื่องเด็กก็เอาเด็กใส่ลงไปจะ ๆ เลย (เรียลจนแทบจะได้ยินเสียงเด็กร้องออกมา) นี่ไงล่ะ คิดนอกกรอบของจริง แถมเส้นตรง กรอบสี่เหลี่ยมเยอะ ๆ ยังแสดงความมั่นคงหนักแน่นสมกับเป็นอินโฟกราฟิกที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพีจริง ๆ

ตัวอย่าง ทฤษฎีการดีไซน์ให้คนจินตนาการออก





แต่ถ้าใช้เทคนิค ภาพกราฟิกไม่ต้องภาพจริงเรียลที่สุด ก็จะเป็นแบบนี้ ...









การออกแบบก็เป็นเรื่องรสนิยมส่วนบุคคล แบบที่เราชอบคนอื่นอาจจะไม่ชอบ แบบที่เราไม่ใช่ก็อาจมีคนที่เขาเห็นว่าโดนใจสุด ๆ ไปเลยก็ได้ รักจะสร้างสรรค์ก็ต้องศึกษาแนวทางการสร้างสรรค์เอาไว้หลาย ๆ แบบ ที่สำคัญที่สุดไม่ว่าผลงานจะออกมาเป็นแบบไหนก็ต้องเปิดใจรับคำวิจารณ์จากผู้อื่นจะได้ช่วยให้งานของเราพัฒนาไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลาเนอะ

ที่มา : blog.slideshare.net, blog.kissmetrics.com, สมุดภาพ Infographics รัฐบาลเพื่อประชาชน, thaipublica.org, thumbsup.in.th



“อุทัย”เตือน“บิ๊กตู่”ดูนักปฎิวัติรุ่นพี่ไปไม่รอดซักราย ซัดทำผิดมาตลอด-อย่ามาโทษปชช.




ที่มา มติชนออนไลน์
30 ม.ค. 59

อุทัย ตั้งชื่อ รธน.ฉบับมีชัย รธน.ใส่หมวก เพื่อปกปิดบางอย่าง ติง ส.ว.แขนคอก ไม่ใช่เพื่อ ปวงชน เหน็บบิ๊กตู่ ไม่มีความอดทน เลือกตั้งมาตกแน่ ชี้ ผู้นำต้องมีความกล้าหาญแต่ไม่ใช่กล้าหาญแบบทหาร เตือน ฟังรุ่นพี่ทหารที่เคยปฏิวัติ ไม่มีใครมีจุดจบดี อย่าอ้างปรองดองเป็นสาระสำคัญ สภาจะจัดการเรื่องนี้เอง ร้องเพลงไม่ช่วย

เมื่อวันที่ 30 มกราคม ที่โรงแรมรามา การ์เดนส์ ถ.วิภาวดีรังสิต สภาพัฒนาการเมืองได้จัดงานวันสถาปนาพัฒนการเมืองครบรอบรอบ 8 ปี ภายใต้แนวคิดที่ว่า “พลเมืองไทยร่วมใจพัฒนาการเมือง” ภายในงานประกอบผลงานการวิจัย บทความเชิงวิชารเกี่ยวกับการเมืองการปกครองในระดับชาติและระดับท้องถิ่น การสัมมนาเชิงวิชาการและการแสดงนิทรรศการต่างๆ โดยนาย ธีรภัทร์ เสรรีรังสรรค์ ประธานสภาพัฒนาการเมือง ทำหน้าที่เป็นประธานเปิดงานและกล่าวว่า สภาพัฒนาการเมืองเป็นขั้นตอนแรกของการกล่อมเกลาทางการเมืองเพื่อนำไปสู่การสร้างสรรค์วัฒนธรรมทางการเมืองในสังคมไทยต่อไป โดยสภาพัฒนาการเมือง ตั้งขึ้น ตาม พ.ร.บ.สภาพัฒนาการเมือง พ.ศ. 2551 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนากรเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อส่งเสริมการพัฒนาคุณธรรมและจริยรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ และเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีความเข้มแข็งในทางการเมือง ทั้งนี้การจัดงานในวันนี้ก็เป็นถือเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ประชาชนเป็นส่วนหนึ่งทางการเมือง

ต่อมานายอุทัย พิมพ์ใจชน อดีตประธานรัฐสภา กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในเรื่อง การพัฒนาการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ว่า การเมืองทุกวันนี้ถูกย่ำยี น่าอับอายขายหน้า จนคนไม่เห็นประโยชน์ของการเมือง คำว่านักการเมืองถูกมองเป็นเหมือนตัวเสนียดจัญไรของบ้านเมือง ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ตนต้องมาพูดในวันนี้และตนรอไม่ได้ให้บ้านเมืองไม่มีการเมือง โดยหากพูดถึงการเมืองระบอบประชาธิปไตย บางคนไม่เข้าว่าคืออะไร นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของของสหรัฐอเมริกาได้อธิบาย ว่าคือ การปกครองเพื่อประชาชนโดยประชาชนของประชาชน จะขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้ ไม่ใช่การปกครองโดยประยุทธเพื่อประยุทธ อันนั้นไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่ทั้งนี้ท่านก็เข้าใจว่าตัวเองไม่ใช่ประชาธิปไตย รอเพียงเวลาเปลี่ยน แต่เวลาเปลี่ยนผ่านนั้นจะนานเท่าไหร่เราก็เดาใจยากเพราะเลื่อนไปเรื่อยๆ

นายอุทัย กล่าวว่า การปกครองเพื่อประชาชนโดยประชาชนของประชาชน นั้นต้องมีการตกลงปรึกษาหารือกัน มีการเลือกตั้ง มีสภาที่ดี โดยสภา คือ ที่พูด ให้พูดกันเพื่อไม่ให้ตีกันหรือคว้างแฟ้มกัน ซึ่งตรงนี้อยากให้นักการเมืองอธิบายให้ประชาชนเจ้าใจ ว่าทำไมสภาถึงมีแต่คนเลว เปิดสภาก็มีแต่การพูดเรื่องเลว ขอทำความเข้าใจ ว่าเพราะสภาเป็นที่พูด ให้พูดเรื่องเลวกับคนเลวเท่านั้น เรื่องดีไม่ต้องพูด มีคนเลวช่วยกันรุม เพื่อป้องกันคนเลวกระเทือนความเป็นอยู่ของประชาชน ทำให้ประชาชนเสียโอกาส ทำหน้าที่ปกป้องประชาชน ใครมาทำร้ายประชาชนผู้แทนต้องสู้อภิปรายอย่าทำเลย ไม่ควรอยู่ไปเลยจึงมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ อย่างไรก็ดีคนทั้งสภาไม่มีเสียหมด อย่างดีก็เสียเพียงสองสามคน และการพูดในที่สภาก็จะทำให้เราทราบว่าต่อไปอย่าเลือกคนเลวนี้มาอีก และโอกาสนี้เพื่อให้ประชาชนเป็นใหญ่

นายอุทัย กล่าวว่า ทั้งนี้การเลือกตั้งใกล้เข้ามา รัฐธรรมนูญกำลังจะคลอด โดยรัฐธรรมนูญหลายฉบับมีฉายา บางฉบับก็ว่าฉบับฟันปลอม มาคราวนี้นายมีชัย ฤชุพันธ์ ประธาน กรธ.กลับมาร่างอีกและเมื่อเวลาร่างก็ใส่หมวกทุกครั้ง ฉบับนี้จึงน่าจะมีฉายาฉบับใส่หมวก การใส่หมวกเพื่อปกปิดบางอย่าง จะกันลมเพราะกระหม่อมบางเป็นไปได้ กันเย็นเป็นไปได้ก็แล้วแต่ แต่ทั้งนี้การใส่หมวกนั้นก็เพื่อปกปิดอะไรบ้างอย่าง เช่น การบอกว่าให้ผู้แทนมาจากการคัดสรรดีกว่าเลือกตั้ง ซึ่งคนภูมิใจ ว่าการคัดสรรบุคคลมาเป็น ส.ว. คือ ได้ตัวแทนแต่ละกลุ่มอาชีพมีความรู้จริง แต่ท่านรู้ไหมผู้แทนกลุ่มอาชีพมา กลายเป็นผู้แทนแขนคอก คือ ยืดแขนไกลตัวไม่ได้ เข้าหาตัวได้ แต่ไกลตัวไปไม่ได้ ดังนั้นเลือกคนจากกลุ่มอาชีพก็จะเกาะอาชีพตัวเป็นหลักไม่ไปอย่างอื่นไม่งั้นเสียประโยชน์ กลายเป็นคอกใครคอกมัน อย่างรัฐธรรมนูญ ปี 50 มีผู้แทนแขนคอกเข้ามา ยืดอายุข้าราชการจาก 60 ปีเป็น 70 ปี ซึ่งผู้แทนกลุ่มอาชีพเป็นผู้แทนปวงชนไม่ได้ เป็นผู้แทนอาชีพใครผู้แทนอาชีพมัน ดังนั้นจึงให้มีการเลือกตั้งเพราะการเลือกตั้งเป็นระบบคัดผู้นำ

นายอุทัย กล่าวต่อว่า เราเป็นมนุษย์และมนุษย์เป็นสัตว์ฝูง สัตว์ไปไปไหนไปตามกันเพราะผู้นำชำนาญ โดยมนุษย์ต้องมีผู้นำ ซึ่งการหาผู้นำก็ด้วยการเลือกตั้งเป็นระบบคัดผู้นำที่ดี โดยพระพุทธเจ้ากล่าวว่าการเป็นผู้นำที่ดีตามหลักพุทธศาสนานั้นสามารถนำมาจับกับการเมืองได้คือ ต้องมีความกล้าหาญ แต่ต้องขอทำความเข้าใจ ว่า ทหารกับความกล้าหาญคนละเรื่องกัน ซึ่งผู้ที่มีความกล้าหาญต้องมีคุณสมบัติในตัว 5 อย่าง คือ 1.มีศรัทธา เช่น หากบอกว่ามาเพื่อความจำเป็นก็ให้รีบไปให้เร็ว ถ้าบอกว่ามาเพราะชอบเชื่อ มั่นใจ ข้อที่หนึ่งผ่าน 2.มีศีล 3.รู้มาก ฟังมากเห็นมาก และที่เขาบังคับให้หาเสียก็เพื่อให้คุณรู้มาก ฟังมาก เห็นมาก บางที่ตำบลนั้นเราไม่รู้เป็นไงก็ไปฟังให้รู้ ไม่รู้เขาสอนก็ต้องฟัง แล้วนำมาประกอบการพิจารณาการปกครอง 4.มีความอดทน โดยเฉพาะความอดทนกับประชาชน ถึงแม้จะโดนด่าก็ต้องทนฟัง แต่นายกรัฐมนตรีเราเก่งนะแต่ความอดทนไม่มี ถ้าเลือกตั้งก็ตกแน่ แต่ดีที่ท่านไม่คิดเลือกตั้ง อีกอย่างผู้ช่วยรัฐมนตรีท่านหนึ่งไปฟังปัญหายางไปไม่ถึงครึ่งทาง คนถามอะไรไม่รู้หนีเลย นี้ขาดภาวะผู้นำแต่ตนไม่ว่าท่านนะเพราะท่านไม่คิดเป็นผู้นำและ 5.มีปัญญา คือต้องเป็นคนฉลาด แต่ทั้งนี้ซึ่งที่เหนือกว่าปัญญา คือ ปาก หากรู้ดีแต่ปากหมาก็เจ๊งเหมือนกัน

นายอุทัย กล่าวว่า ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้กล่าวว่าคนที่จะเป็นผู้นำได้ต้องมีความกล้าหาญและคนที่มีความกล้าหาญได้ต้องเป็นคนที่มีคุณสมบัติสำคัญดังข้างต้น ซึ่งทหารกล้าหาญมันคนละเรื่อง ทั้งนี้เพื่อความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตย ว่ามีความสำคัญอย่างไร เพราะหลายคนมองว่าประชิปไตยไว้ก่อน ปากท้องก่อน เนื่องจากคนจนเยอะ ทำให้คณะปฏิวัติทุกคณะที่ประสบความสำเร็จเนื่องจากบอกว่าขณะนี้บ้านเมืองแตกความสามัคคีประชาชนยากจน คนเลวเข้าสภา ก็เข้ามาปฏิวัติ แต่ถามว่านักปฏิวัติอยู่รอดปลอดภัยกี่คน อย่าง จอมพล ป. พิบูลสงคราม ประชาชนขับไล่ด้วยซ้ำ จอมพล ผินไปไหน นี้ระดับจอมพล จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ดียมบาลนำตัวไปก่อนอยู่นานก็โดนประชาชนขับไล่เหมือนกัน นี่ทหารทั้งนั้นที่ยุ่งการเมืองไปไม่รอดสักราย ไปไม่ช้าด้วยไปเร็ว

“ไหนพูดแล้วมีทหารมาฟังหรือไม่ ถ้าฟังขอบใจมาก ถ้าไม่มีพูดแล้วไร้ค่า ผมอยากปรับทัศนคติบางคน ว่า นี่ดูรุ่นพี่ๆบ้างนะ ล้วนเป็น พล.อ. จอมพลทั้งนั้นจุดจบตรงไหน คุณก็เป็นรุ่นน้อง หากคิดว่าเก่งกว่าเขาก็อยู่ต่อไปแต่หากคิดว่าไม่เก่งกว่าเขาก็รีบถอยออกไป และทุกวันนี้อย่าไปเชื่อคำพูดคนสองพวกที่พูดว่าอยู่ต่ออย่างนี้ต่อไปดีแล้ว และที่บอกว่าให้อยู่ต่อเพราะยังทำหลายเรื่องที่ไม่เรียบร้อยจะทำให้การปฏิรูปเสียของ แต่ผมห่วงว่าจะเสียคนมากกว่าซึ่งเป็นการเสียคนทางการเมือง และผมอยากให้มีคนดีเหลือไว้บ้าง เพื่อมีวิกฤติจะได้เข้ามาได้อีก ทั้งนี้คนที่บอกนายกฯว่าให้อยู่ต่อไป คนพวกนั้นคือคนที่สบายแล้ว มีอันจะกิน แต่คนพวกอื่นนั้นเขาสบายหรือไม่ก็ไม่รู้ และหากเรื่องที่ค้างอยู่ เรื่องที่ทำไม่ได้ก็ปล่อยให้รัฐบาลที่เขามาจากการเลือกตั้งทำต่อไปก็ได้”นายอุทัยกล่าว

นายอุทัย กล่าวว่า ทั้งนี้คำพูดของผู้นำถือเป็นสัญญาประชาคม ท่านพูดทำตามโรดแมป ทำไปเถอะ ไม่มีบ้านเมืองไหนเรียบร้อยร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะในต่างประเทศแม้จะสถานการณ์ไม่สงบ มีสงครามกับต่างประเทศก็ยังมีเลือกตั้ง และการเลือกตั้งทำให้ผู้มีข้อขัดแย้งได้มาพบกันในสภา ไม่งั้นคนที่มีความขัดแย้งคงต้องไปพบกันตามป่าเขา และอย่าห่วงเรื่องการปรองดอง ตนเป็นห่วงแทนฟังที่ท่านพูดเพลงที่ท่านร้อง ท่านคงยังไม่รู้ว่าปรองดองไม่ได้เกิดได้เพราะเสียงเพียง เพราะงั้นอย่าเอาคำว่าปรองดองมาเป็นสาระสำคัญมากนัก ขนาดพี่น้องพ่อแม่เดียวกันมีปัญหาเรื่องผลประโยชน์ยังไม่ปรองดองกันเลย บางครั้งฆ่ากัน แล้วประชาชนผลประโยชน์ต่างกันจะปรองดองได้อย่างไร อย่าฝืนธรรมชาติเป็นไปไม่ได้ หากต้องการทำให้บ้านเมืองสงบหาผลประโยชน์ให้ลงตัว โดยวิธี คือ ปล่อยให้เลือกตั้ง อยู่ในสภาเจอกัน มันต้องพูดกันได้ด้วยเหตุผลชัดเจน ตรงนี้คือที่มาของความปรองดอง ตรงนี้ทั่วโลกห่วงไทย เนื่องจากประชาธิปไตยมีค่า มีราคา มีความหมาย แต่ตนก็ยังกังวลว่าหากมีการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใส่หมวกอย่างนี้ก็ไม่แน่ใจ แต่ทั้งนี้คนไทยไม่ได้กินแกล็บ ซ้อนอะไรไว้เขาเห็น และนี่ก็ใกล้วันรับฟังความเห็นจากฝ่ายต่างๆซึ่งคิดว่าจะไม่มีการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญเพราะเขาคิดว่าเขาทำดีแล้ว แต่ถ้าประชาชนบอกไม่ดีก็อย่ามาโทษประชาชน เพราะคุณทำผิดมาตลอด และ อย่าบอกว่าที่ไปไม่รอดต้องโทษคนที่บอกว่าไปไม่รอด เพราะมันจะเหมือนทำของบูดให้กินแล้วคนท้องเสีย จะโทษคนกินไม่ได้ และนี่ก็พูดเพื่อผู้นำทั้งหลาย ใครทำไม่ดีก็ไปไม่รอด เพราะสภาทำให้คนไม่ดีไปไม่รอดอย่างจอมพลถนอม เจอสภาเล่าความเลวร้ายก็อยู่ไม่ได้ ดังนั้น หากมีประชาธิปไตย อย่าห่วง ทั้งนี้การที่ผู้นำจะอยู่ได้นานเมื่อมีปัญหา ต้องมีการถ่ายยา นั้น คือการยุบสภา โดยในยุคพล.อ.เปรม ที่ถือว่าอยู่นานสุด ก็ยุบสภาบ่อยสุดเพราะถ่ายยานั้นเอง ซึ่งถือว่าเป็นประชาธิปไตยที่สุด ยุบเอาคนไม่ดีออก คนดีเข้ามาแทน

ต่อมานายอุทัย ได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า ร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านประชามติหรือไม่ผ่าน ตนไม่อยากชี้นำ เดี๋ยวร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านจะมาโทษตนอีก ซึ่งแนวทางประชาธิปไตยจะไปอย่างไร คิดว่าประชาชนมีความรู้เยอะอยู่แล้ว โดยตนเสนอว่าหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านก็อาจให้นายกฯมาจากการเลือกตั้งโดยตรงแล้วอยู่ต่อ 4 ปีและถ้านายกฯมาจากการเลือกตั้งโดยตรงก็ไม่ต้องห่วงว่า ส.ส.จะมีความผูกพันกับรัฐบาลอย่างไรเพราะสามารถแยกฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารได้ และให้ฝ่ายนิติบัญญัติมีวาระดำรงตำแหน่ง 2 ปี โดยทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล รวมถึงการตรวจสอบงบประมาณว่าเหมาะสมหรือไ

ooo

วันสถาปนาสภาพัฒนาการเมือง ครบรอบ 8 ปี และงานสมัชชาพัฒนาการเมือง ประจำปี พ.ศ. 2559

https://www.youtube.com/watch?v=S7H84U6WV54

pdcvdo

Streamed live 16 hours ago
วันสถาปนาสภาพัฒนาการเมือง ครบรอบ 8 ปี และงานสมัชชาพัฒนาการเมือง ประจำปี พ.ศ. 2559
พลเมืองไทย ร่วมใจพัฒนาการเมือง



วันเสาร์, มกราคม 30, 2559

ฉายแล้ว ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ ‘มีชัย ไม่ปลอก’ ฉบับ ‘ตามใจ คสช.’ โร้ดแม็พ ‘งอก’ สังคมคง ‘เสื่อมสลาย’




ฉายแล้ว ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ ‘มีชัย ไม่ปลอก’ (ถ้างง ‘ปลอก’ อะไร ย้อนไปดูโพสต์วันที่ ๑๙ ม.ค. นะครัช)

ฉบับที่ปู่มีชัย ฤชุพันธุ์ บอกว่าเป็นฉบับปฏิรูป แต่สื่อสายหลักหลายแห่งเรียกเวอร์ชั่น ‘ปราบคอรัปชั่น’ ทั้งนี้เพราะ “ยึดกรอบตามมาตรา ๓๕ แห่งรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ๒๕๕๗ ใน ๑๐ ข้อ

มีทั้งกลไกที่มีประสิทธิภาพในการป้องกัน ตรวจสอบ และขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบ ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน” แล้วยังปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดตาม directives ที่ คสช.ให้ไว้ ๕ ข้อ




จึงรวมความได้ว่าเป็นฉบับ ‘ตามใจ คสช.’ แค่นั้นไม่พอ ยังอ้อล้อจัดเสลี่ยงนั่งห้างไว้ให้ คสช.ด้วย ข้อนี้นายมีชัยพูดเอง

“ไม่ให้แม้น้ำสี่สาย คณะรัฐมนตรี คสช. สนช. สปท. ต้องเว้นวรรคการเมือง ๒ ปีเหมือน กรธ. เพราะแม่น้ำสี่ สายไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการร่างรัฐธรรมนูญ หาก คสช.ต้องการลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ก็ต้องลาออกจากตำแหน่งคสช. ใน ๙๐ วันหลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้”

(http://www.matichon.co.th/news/18623)

ที่แน่ๆ ร่าง รธน.ฉบับนี้เจอกับแรงต้านทันทีที่ออกมา ไม่เฉพาะแต่ฝ่ายการเมืองที่ถูก คสช. กดหัวมาตลอด แม้แต่ฝ่ายที่ได้อานิสงค์รัฐประหารมานานกว่าปี เพิ่งมาอัตคัตเล็กน้อยในระยะหลังๆ และขัดสนอย่างยิ่งในร่างฯ นี้ ก็แสดงอาการฮึดฮัดขัดข้องกันบ้างแล้ว

เริ่มจากพรรคเพื่อไทย ตั้งโต๊ะโต้ทันควันเลยทีเดียว โดยแถลงว่าไม่เป็นประชาธิปไตยทั้งในหลักสากล และ “ไม่เป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ” ด้วย

(รายละเอียดเต็มโปรดดูที่ http://www.matichon.co.th/news/18552)




ข้อขัดข้องอื่นๆ เนื้อความตามสรุปคำให้สัมภาษณ์ของนายภูมิธรรม เวชชยชัย เมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ที่บอกว่าเป็นร่าง รธน. อำนาจแฝง และไม่เห็นหัวประชาชน เนื่องจาก

หนึ่ง นายกรัฐมนตรีซึ่งควรจะเป็นผู้ถือธงนำในการบริหารปกครองประเทศ กลับไม่มีความหมายในร่าง รธน.ฉบับนี้

สอง เป็นบทบัญญัติที่ทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอ และองค์กรอิสระทั้งหมดล้วนมีอำนาจแฝง ไม่เฉพาะแต่ศาลรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจล้นหลาม

ดังนี้เมื่อถูกถามย้ำว่าพรรคเพื่อไทยจะร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ในการคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้หรือไม่ เลขาธิการพรรคเพื่อไทยตอบว่า พร้อมที่จะร่วมมือกับทุกพรรคการเมือง และทุกองค์กรการเมือง หากยังไม่มีการแก้ไขร่างฯ แล้วเข้าสู่ประชามติในรูปแบบที่เป็นอยู่นี้

(http://www.matichon.co.th/news/18290)

ทางพรรคประชาธิปัตย์ก็มีนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคที่ออกมาแสดงการไม่เห็นด้วย ดังที่ อธึกกิต แสวงสุข นำไปอ้างในรายการ ‘โอเวอร์วิว’ ของเขาทางว้อยซ์ทีวีว่า มีการกำหนดเวลาร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญอีก ๑๐ ฉบับถึงแปดเดือน จะเป็นวาระซ่อนเร้นในการยืดเวลาออกไปหรือไม่

โดยเฉพาะนายนิพิฏฐ์นั้นเปรียบเปรย รธน. กับกฎหมายลูกว่าเหมือนแม่กับลูก ถ้าต้องใช้เวลามากมายไปร่างใหม่โดยไม่ยึดตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้แล้วในกฎหมายแม่ ก็แสดงว่าไปมีชู้

ประเด็นการยืดเวลากว่าจะถึงเลือกตั้งไม่ใช่ ๖+๔+๖+๔ เสียแล้วนี้ พาดหัว นสพ.บางกอกโพสต์ว่าไว้เช่นเดียวกัน “ร่างฯ จุดกระแสความหวาดหวั่นว่าเลือกตั้งจะยืดออกไปอีกถึงปี ๒๕๖๑”

(http://www.bangkokpost.com/…/draft-sparks-fear-election-wil…)

เนื้อข่าวบางกอกโพสต์ชี้ว่า มาตรา ๒๕๙ และ ๒๖๐ ในร่าง ๒๗๐ มาตรา ว่าถึงการร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญจะใช้เวลาราว ๘ เดือน แล้วให้ สนช.พิจารณาอีก ๒ เดือน ซึ่งถ้าเป็นไปตามกำหนดนี้ ก็จะมีการเลือกตั้งได้ในราว ตุลา-พฤศจิกา ๒๕๖๐

แต่ว่า ถ้า กรธ. ไม่สามารถร่างกฎหมายลูกให้เสร็จภายในกำหนดแปดเดือน รธน. ‘ไม่ปลอก’ ของนายมีชัยสั่งให้ยุบ กรธ.ชุดนี้ แล้ว คสช. ตั้งกรรมการร่างชุดใหม่มาร่างต่อให้เสร็จ โดยไม่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอนไว้

เช่นนี้จะทำให้ไม่สามารถมีการเลือกตั้งได้จนกระทั่งต้นปี ๒๕๖๑ เป็นอย่างเร็ว




ซึ่งในข้อนี้ ‘ใบตองแห้ง’ ได้เตือนไว้ด้วยว่า “ตลอดเวลา ๘+๒+๕+......... คสช.ยังมีอำนาจเต็มตาม ม.๔๔ รัฐธรรมนูญมีแค่แขวนไว้ แต่ไม่ได้ใช้ ของจริงใช้ รธน. (ชั่วคราว) ๕๗ เรื่อยไป จนกว่าจะเลือกตั้งเสร็จ”

ซ้ำร้าย ตายห่ เมื่อนักข่าวถามนายมีชัยว่า ถ้าร่างฯ ไม่ผ่านประชามติจะมีมาตรการอะไรแก้ไข ปู่ไม่ปลอกตอบว่า “ไม่รู้ อย่าให้ผมตอบ เดี๋ยวตกใจ” นักข่าวย้อนว่าเอาน่า ตอบให้ตกใจหน่อยนะ ก็ได้รับคำตอบอีกว่า “อย่าเลย เดี๋ยวเป็นลม”

ตานี้ ปัญหามันอยู่ที่ คสช. ทั้งที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าสุดยอดเพิ่งย้ำว่า ถ้าประชามติคว่ำร่างฯ มีชัย ก็จะไม่อยู่ต่อ จะให้มีเลือกตั้งภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐ ตะเองอยากให้ผ่าน แต่ถ้าใครไม่อยากให้ผ่านต้องไปคุยกันหน่อย

อ้าว พูดแบบนี้เหมือนกับที่บอกว่าทหารปกป้องแผ่นดิน ๕ แสนตารางกิโลเมตร ไว้ให้พวกที่ถามมีทหารไว้ทำไมพูดหมาๆ กัน

ยิ่งกว่านั้นพอรุ่งขึ้นอีกวัน บร๊ะพูดอีกอย่าง พอไปเมืองทองธานี จ้อเรื่อง ‘อาชีวะศึกษา ทวิภาคีชาติ’ ทั่นหัว คสช. ดันบอก “ว่าการสร้างคนต้องสร้างการเรียนรู้การใช้สมอง

ที่ไม่ใช่สมองที่คิดแต่เรื่องความขัดแย้งการละเมิดสิทธิมนุษยชนการละเมิดกฎหมาย คิดแต่ประชาธิปไตย เพราะถ้ายังติดกับเรื่องเหล่านี้ ประเทศจะเดินหน้าไม่ได้ถอยหลังไปเรื่อย”

(http://www.matichon.co.th/news/18474)

“โอ้ ปากหนอปาก” นึกถึงเพลงสุนทราภรณ์ขึ้นมาทันที แต่ว่าช้าก่อน ยังไม่หมด เท่านั้นไม่พอ มีอีกตอน

Sunai @sunaibkk ทวี้ต :ประยุทธ์พูด “ทุกคนบอกว่าต้องสร้างความเป็นธรรมให้ผู้หญิงผู้ชายมีสิทธิเท่ากัน...สังคมไทยจะเสื่อมสลายถ้าคิดแบบนี้”

ชิหาย นี่ใครกันล่ะที่ ‘ถอยหลัง’ ถ้าไม่ถอยก็คงยังไมผุดโผล่จากโคลนตมใต้น้ำ ทั่วโลกเขาพยายามกำหนดสิทธิเท่าเทียมทางเพศ แต่หัวโจกไทยฮุนต้ากลับทำตัว ‘ติดกับ’ ความคิดแบบโลกล้านปีเสียเอง

แม้แต่ปู่มีชัย คนรุ่น ‘ไม่ปลอก’ ก็ยังบอกว่า “ที่ผ่านมาสิทธิผู้หญิงไม่เคยถูกกีดกัน เช่นเดียวกับในกรธ.ที่มีผู้หญิงเข้าไปมีส่วนร่วม แม้จะมีเพียง ๒ คนแต่สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ”

(ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญไปพูดบนเวทีเสวนา ‘ขบวนผู้หญิงปฏิรูปประเทศไทย’ เมื่อ ๓๐ ม.ค. นี้ http://www.matichon.co.th/news/19058)

บังเอิญทั่นประธานพูดในหัวข้อ ‘รัฐธรรมนูญ :ยุทธศาสตร์การปฏิรูปประเทศและการมีส่วนร่วมของประชาชน’ ทั่นจึง ‘ไม่มีหูรูด’ เอาอย่างหัวหน้าสูงสุด เลยเถิดไปถึง

“คนอเมริกันไม่มีวันเข้าใจคนเอเชียเพราะวิธีคิดไม่เหมือนกัน ดังนั้นเมื่อคนอเมริกันเข้ามาจึงทำให้เกิดความวุ่นวาย ซึ่งวิธีคิดทั้งหลายของอเมริกันไม่สามารถนำมาใช้กับคนไทยได้”

ทั่นคงไม่รู้หรอกว่า วิธีคิดแบบอเมริกันเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญน่ะ เป็นที่ยอมรับของทั่วโลกว่า universal ไม่ใช่อยู่ในกระดองหรือกะลานะฮัฟ

ปู่กับป้าพูดเป็นพิมพ์เดียวกันอย่างนี้ ขืนปล่อยให้โร้ดแม็พ ‘งอก’ คสช.ได้อยู่ยาวกันจริงๆ อย่างที่อธึกกิตว่า สังคมคง ‘เสื่อมสลาย’ อย่างที่ประยุทธ์พล่ามแน่ๆ



Thailand: We want Democracy! สารคดีเรื่องเผด็จการทหารไทย ภาษาเยอรมัน ฝรั่งเศษ อังกฤษ





ลิงค์ สารคดีเรื่องเผด็จการทหารไทย ภาษาเยอรมัน ฝรั่งเศษ อังกฤษ

http://linkis.com/info.arte.tv/de/ZJDbl

Credit 
ประวิตร โรจนพฤกษ์ ทวิต


"ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า ประเทศเรานี้เป็นของราษฎร มิใช่ของทหารตามที่เขาหลอกลวง" อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นของปวงชน อย่าปล่อยให้ใครทึกทักแย่งชิงไป !


ภาพจาก มติชน


ข้อสังเกตบางประการ : ร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย โดยสังเขป 

โดยพุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล

ที่มา ประชาไท Blogazine
29 มกราคม, 2016 - 21:29


หลังจากที่ผมได้อ่านร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย ( http://prachatai.org/journal/2016/01/63769 )
ผมมีข้อสังเกตบางประการเบื้องต้น ดังนี้

 ๑.เรื่อง องคมนตรีและผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ 

 ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ยืนยันคติความคิดตามรัฐธรรมนูญเดิมที่ว่า การเข้ารับหน้าที่ขององคมนตรีนั้น เป็นการเข้ารับหน้าที่โดยมีพันธะหน้าที่ต่อกษัตริย์ในฐานะที่เป็นองค์กรของรัฐ มิใช่ต่อกษัตริย์ในฐานะ "บุคคล" แต่ละพระองค์ ดังนี้ แม้ว่า กษัตริย์ที่แต่งตั้งองคมนตรีนั้นได้พ้นจากตำแหน่งไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม ก็หาเป็นเหตุให้องคมนตรีพ้นจากตำแหน่งไปด้วย[๑] (โปรดสังเกตคำปฏิญาณ ตามเชิงอรรถที่ ๑)   
แต่สำหรับกรณีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ การเข้ารับหน้าที่ของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นั้น เป็นการเข้ารับหน้าที่โดยมีพันธะหน้าที่ต่อกษัตริย์เฉพาะพระองค์ในฐานะที่เป็น "บุคคล"[๒] (โปรดสังเกตคำปฏิญาณ ตามเชิงอรรถที่ ๒) ดังนี้ เมื่อกษัตริย์พระองค์เดิมซึ่งเกิดเหตุให้จำต้องแต่งตั้งองคมนตรีขึ้นไม่ว่าจะแต่งตั้งโดยพระองค์เองหรือโดยความเห็นชอบของรัฐสภา เมื่อกษัตริย์พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ การดำรงอยู่ของ "ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์" จึงหมดสิ้นลงไปพร้อมกัน 

๒.เรื่องหลักประกันสิทธิเสรีภาพ 

มาตรา ๒๖ ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้[๓] ทำลายล้างหลักประกันสิทธิเสรีภาพของราษฎรอย่างถึงราก เนื่องจากบทบัญญัตินี้วางอยู่บนคติความคิดที่ว่า แม้รัฐธรรมนูญมิได้ให้อำนาจตรากฎหมายจำกัดสิทธิเสรีภาพของราษฎร ฝ่ายนิติบัญญัติหรือฝ่ายปกครองสามารถตรากฎหมายจำกัดสิทธิเสรีภาพของราษฎรได้โดยการอ้าง "นามธรรม" (คำว่า "นิติธรรม") ขึ้นมาเป็นเหตุผลในการตรากฎหมาย (หมายถึง กฎหมายที่มีลำดับชั้นต่ำกว่ารัฐธรรมนูญลงมาทุกลำดับชั้น) จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน 

จากฐานคติเดิมตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี ๔๐ จะวางหลักไว้ว่า ฝ่ายนิติบัญญัติหรือฝ่ายปกครองจะตรากฎหมายจำกัดสิทธิเสรีภาพของราษฎรได้ก็ต่อเมื่อรัฐธรรมนูญกำหนดเท่านั้น[๔] กล่าวคือ มีหลักคิดว่า ราษฎรมีสิทธิเสรีภาพดำรงอยู่แล้วตามธรรมชาติ การจำกัดสิทธิเสรีภาพของราษฎรก็ต้องกระทำโดย "เจตจำนงทั่วไป" ของราษฎรในการสถาปนารัฐธรรมนูญขึ้นมาปกครองตนเอง ดังนี้ จึงเป็นสัญญาประชาคมที่ผู้ปกครองซึ่งเข้าสู่อำนาจโดยความยินยอมของราษฎรจะจำกัดสิทธิเสรีภาพของราษฎรเกินไปกว่าที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้มิได้ 

เมื่ออ่านร่างรัฐธรรมนูญมีชัยแล้ว กลับกลายเป็นว่า "ทำลาย" หลักการพื้นฐานของสิทธิเสรีภาพไปโดยสิ้นเชิง กลับให้อำนาจตรากฎหมายจำกัดสิทธิเสรีภาพของราษฎร กระทำได้โดยอ้างอิง "นามธรรม" ที่เรียกว่า "นิติธรรม" ซึ่งคำ ๆ นี้เป็นคำที่ "เบลอ" ในสังคมไทย หากเรายินยอมให้ "ความไม่ชัดเจน" มาเป็นเกณฑ์ในการจำกัดสิทธิเสรีภาพของราษฎรได้แล้ว เช่นนี้ ความมั่นคงแน่นอนแห่งนิติฐานะของบุคคล (legal security) ก็จะไม่มีอีกต่อไป จะยังคงเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนดังเช่นปัจจุบัน 

 ๓.เรื่องการยุบสภาและการกำหนดวันเลือกตั้ง 

 หากเป็นไปตามร่างรัฐธรรมนูญมีชัย ย่อมเป็นอันว่า ต่อแต่นี้ไปหลังจากใช้รัฐธรรมนูญฉบับมีชัยแล้ว เมื่อนายกรัฐมนตรี(ตามรัฐธรรมนูญมีชัย)ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ นายกรัฐมนตรีเองก็จะไม่ทราบว่าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นเมื่อไหร่ (เดิม การยุบสภาทุกครั้งต้องกำหนดวันเลือกตั้งลงไปใน พรฎ.ยุบสภา) เพราะร่างรัฐธรรมนูญมีชัย กำหนดให้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง เป็นผู้กำหนดวันเลือกตั้ง (ดู มาตรา ๙๘) หมายความว่า เมื่อนายกรัฐมนตรีตราพระราชกฤษฎีกายุบสภาแล้ว จะไม่มีการกำหนดวันเลือกตั้งลงไปในพระราชกฤษฎีกาอีกต่อไป แต่การกำหนดการเลือกตั้งเป็นอำนาจของ กกต. 

เรามาพิจารณากันว่า ทำไมต้องบัญญัติเช่นนี้? ผมสันนิษฐานว่า การบัญญัติร่างรัฐธรรมนูญมาตรา ๙๘ เช่นนี้ เพื่อมุ่งหมายว่า ในภายหน้า นักล้มการเลือกตั้ง จะได้ยื่นฟ้องคดีเพิกถอนวันเลือกตั้งต่อศาลปกครองได้ เพราะการกำหนดวันเลือกตั้งนั้นกระทำโดยประกาศ กกต. ซึ่งมีสถานะเป็นฝ่ายปกครองที่เป็นอิสระ และประกาศ กกต. กำหนดวันเลือกตั้ง มีอาจจะวินิจฉัยได้ว่ามีลักษณะเป็น "คำสั่งทางปกครองทั่วไป" ซึ่งอาจตกเป็นวัตถุแห่งคดีในการฟ้องเพิกถอนคำสั่งได้โดยศาลปกครอง นับว่าเป็นการขจัดอุปสรรคในความพยายามล้มล้างการเลือกตั้งนับแต่ปี ๒๕๔๙ เป็นต้นมาจนถึงปี ๒๕๕๖ ๒๕๕๗ ที่มีนักฟ้องคดีล้มเลือกตั้ง ไปยื่นคำฟ้องขอให้ศาลปกครองเพิกถอนพระราชกฤษฎีกายุบสภา โดยศาลปกครองสูงสุดได้วางบรรทัดฐานเสมอมาว่า พระราชกฤษฎีกายุบสภา มิใช่ "กฎ" หากแต่เป็น "การกระทำทางรัฐบาล" (การกระทำในความสัมพันธ์ระหว่างคณะรัฐมนตรีกับรัฐสภา หรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ) ซึ่งมิใช่วัตถุแห่งคดีที่ศาลปกครองจะรับพิจารณาวินิจฉัยเพิกถอนให้ได้ และยกฟ้องทุกคดี 

ดังนี้ ร่างรัฐธรรมนูญมีชัย จึงปรุงให้สะดวกโยธินยิ่งขึ้นโดยการเปลี่ยนระดับของบรรทัดฐานทางกฎหมาย จาก "พระราชกฤษฎีกาที่เป็นการกระทำทางรัฐบาล" ให้กลายเป็นการใช้อำนาจปกครอง ของ คณะกรรมการการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้จำต้องหยิบยกขึ้นอภิปรายถึงผลในทางกฎหมายต่อไปในภายหน้า 

๔. เรื่อง ผีเน่ากับโลงผุ : คสช.จะดำรงคู่รัฐธรรมนูญฉบับมีชัยต่อไป (และคสช.จะยังคงตามหลอกหลอนรังควานราษฎรไทยต่อไปเรื่อย ๆ แม้จะยกเลิกรัฐธรรมนูญ ๕๗ ไปแล้ว) 

ตามบทเฉพาะกาลของร่างรัฐธรรมนูญมีชัย มาตรา ๒๕๗ ประกอบมาตรา ๒๗๐ เมื่อประกาศใช้ร่างรัฐธรรมนูญมีชัยแล้ว ให้ คสช.ดำรงสถานะและมีอำนาจอยู่ต่อไปจนกว่า คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ "เข้ารับหน้าที่" นั่นแปลว่า หากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ผลการเลือกตั้งไม่เป็นที่สบอารมณ์ของ คสช. หรือระหว่างที่กำลังเลือกตั้งกันอยู่ คสช.เห็นว่าสังคมไม่สงบ ดังนี้ หัวหน้าคสช.ก็ทรงอำนาจตามมาตรา ๔๔ ตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๗ สั่งยุติการเลือกตั้งหรือแม้กระทั่ง คสช.มีอำนาจ "แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมีชัย" ในระหว่างนั้นอีกด้วย 

..... 

ร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย มีปัญหาอย่างยิ่ง ซึ่งโดยเวลาอันจำกัดของผู้เขียน คงไม่อาจเรียบเรียงอย่างพิศดารได้ ในประเด็นอื่นอีกหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีบทบาทในเชิงรุก และทำหน้าที่เป็นองค์กรออกประมวลจริยธรรมบังคับองค์กรของรัฐฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ฯลฯ อำนาจตรวจสอบการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ อำนาจเหนือรัฐธรรมนูญที่มอบให้แก่ศาลรัฐธรรมนูญเช่นนี้เป็นชนวนความวุ่นวายทางการเมืองในรอบสิบปีที่ผ่านมาที่ถูกตอกย้ำให้ถลำลึกยิ่งขึ้นไปอีกในร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัยนี้ 

ดังนี้ ผมคงกล่าวรวบรัดได้เพียงว่า บรรดาข้อความคิดที่ปรากฏในร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย สะท้อนให้เห็นถึงความเสื่อมถอยทางสติปัญญาและระดับความรู้ในทางกฎหมายของผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้เป็นอย่างดี 

ประชาชนแต่ละคนไม่จำต้องตกอยู่ภายใต้ตัวเลือก ระหว่าง รัฐธรรมนูญมีชัย (อุจจาระของเผด็จการ) หรือรัฐธรรมนูญ ๕๗ (ขี้ของเผด็จการ) เพราะทั้งสองสิ่งล้วนเป็นสิ่งปฏิกูลทั้งสิ้น ประชาชนแต่ละคนสามารถบงการชะตาชีวิตของท่านได้โดยมิต้องให้ผู้เผด็จการคอยบงการยัดเยียดตัวเลือกให้แก่ท่าน 

"ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า ประเทศเรานี้เป็นของราษฎร มิใช่ของทหารตามที่เขาหลอกลวง" อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นของปวงชน อย่าปล่อยให้ใครทึกทักแย่งชิงไป !

______________________________ 

เชิงอรรถ 

[๑] ร่างรัฐธรรมนูญมีชัย มาตรา ๑๓ "ก่อนเข้ารับหน้าที่ องคมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำ ดังต่อไปนี้ "ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความ..."" 

[๒] ร่างรัฐธรรมนูญมีชัย มาตรา ๑๙ "ก่อนเข้ารับหน้าที่ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามมาตรา ๑๖ หรือมาตรา ๑๗ ต้องปฏิญาณตนในที่ประชุมรัฐสภาด้วยถ้อยคำดังต่อไปนี้ "ข้าพเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอปฏิญาณว่า ข้าพเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ (พระปรมาภิไธย) และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความ..."" 

[๓] ร่างรัฐธรรมนูญมีชัย มาตรา ๒๖ "การตรากฎหมายที่มีผลเป็นการจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคล ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่รัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติเงื่อนไขไว้ กฎหมายดังกล่าวต้องคำนึงถึงหลักนิติธรรม..." 

[๔] รัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ มาตรา ๒๙ วรรคหนึ่ง "การจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะเพื่อการที่รัฐธรรมนูญนี้กำหนดไว้และเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และจะกระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพนั้นมิได้" 


Crazy Strikes Back : ทั่นผู้นำประยุทธ์'น็อตหลุด' #ทหารมีไว้ทำไม “มีไว้รักษาแผ่นดินกว่า 5 แสน ตร.กม.ให้หมาพูด” 'หมา' เลยเห่ากันลั่นเน็ต






https://www.youtube.com/watch?v=nZqvApLdBhA

ปากหมาแท้ๆ !
ยุทธ์ กล่าวในงาน "อาชีวศึกษาทวิภาคีไทย"
ติงคนวิจารณ์ทหารมีไว้ทำไม ว่า
มีไว้รักษาแผ่นดิน
กว่า 5แสน ตร.กม.ให้ หมาพูด
อย่าคิดแต่เรื่อง ปชต.โดยไม่คำนึงถึง กฏหมาย
ประชาชน ก็ไม่ได้จ่ายภาษี - ซื้ออาวุธ
ให้หมา เอามาใช้ปล้นอำนาจเหมือนกัน
และประชาชนไม่ได้ไม่เคารพกฏหมาย
แต่เขาไม่เคารพกฏโจรต่างหาก
คนไม่เคารพกฏหมายแต่เสือกแหกปาก
ให้คนอื่น เคารพกฏหมาย ถุยยยย

ก็ถูกแล้วนะครับ ผมก็เห็น หมาพูดทุกวันๆ จนเบื่อ แล้วเนี่ย

รักษาแผ่นดิน กองทัพก้ควรไปตั้งอยู่ชายแดนค่ะ จะมาอยู่อะไรกลางเมืองหลวง ถ่วงความเจริญล่ะมากกว่า

รู้สึกจะมีพวกแดกภาษีจากหมาเป็นเงินเดือนด้วยนะครับ

ปชช เป็น หมา
สื่อมวลชน เป็น หมาขี้เรื้อน

ภาวะผู้นำไม่มีเลยจริงๆ

คำถามคือ รักษาให้ใคร?

เคยพูดอะไรตรงกะงานที่ไปออกบ้างมั้ยเนี่ย

เรามีนายกฯที่ป่วยทางจิตนะครับ

555 คนอย่างมัน ฟังหมาพูดรู้เรื่อง แดรกเงินที่หมาหาให้.

เด็กว่ะ ระดับนายกวุฒิภาวะ มีแค่เนี้ยะ..

ไม่จริงม้างงง ที่รักษาชายแดนจริงๆมีไม่กี่นายหรอก ที่เหลือแดกส่วนต่างกันเพลิน อาชีพหลักมันคือยึดอำนาจ แล้วรวย

เก่ง ฉลาด สายตายาวไกล มีเหตุมีผล วาจาสุภาพ ละมุน อ่อนหวาน คมคาย ลึกซึ้งยิ่งนัก ผ่านการเลี้ยงดูฝึกฝนอบรมมาเนี้ยบ มากๆครับ


ดาวน์โหลดร่างรัฐธรรมนูญฉบับ ‘มีชัย’




ที่มา ประชาไท
Fri, 2016-01-29

29 ม.ค. 2559 เมื่อวานนี้ เว็บข่าวรัฐสภา รายงานว่า อุดม รัฐอมฤต โฆษกกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(โฆษก กรธ.) นำเอกสารสรุปสาระสำคัญร่างแรกรัฐธรรมนูญแสดงต่อสื่อมวลชน รวมจำนวน 35 หน้า ขนาดครึ่งหน้าเอ 4 แต่ยังไม่เผยเนื้อหาภายในให้ทราบ พร้อมแถลงว่า ที่ประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญอยู่ระหว่างพิจารณาทบทวนร่างรัฐธรรมนูญ ทั้ง 270 มาตรา เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของถ้อยคำ โดยไม่มีการปรับแก้เนื้อหา เพื่อให้แล้วเสร็จก่อนที่จะมีการแถลงข่าวร่างแรกรัฐธรรมนูญ ในวันพรุ่งนี้(29 ม.ค. 59) เวลา 14.00 น. ที่ห้องประชุม กรธ. (ห้องประชุมงบประมาณ) จากนั้น จะมีการนำส่งร่างแรกดังกล่าวในลักษณะหนังสือให้กับสภาขับเคลื่อนการปฏิรูป ประเทศ (สปท.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รัฐบาล รวมถึงส่วนราชการและพรรคการเมือง ส่วนสื่อมวลชนจะให้ดาวน์โหลดร่างรายมาตราได้

โฆษก กรธ. กล่าวว่าเบื้องต้นร่างยังคงมีจำนวนทั้งสิ้น 270 มาตรา ส่วนเอกสารสรุปประเด็นสำคัญร่างแรกนั้นจะแสดงความเชื่อมโยงเกี่ยวกับหลัก 10 ข้อ ที่รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 กำหนดต้องมีในร่างรัฐธรรมนูญ รวมถึงกรอบ 5 ข้อ ของ คสช. พร้อมระบุว่า กรธ.จะพยายามอธิบาย ทั้งสิ่งที่คิดว่าเป็นโครงสร้างปกติของรัฐธรรมนูญ อาทิ การกำหนดหลักการสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย รวมถึงการบัญญัติหลักการขึ้นมาใหม่ที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่รัฐ หรือแนวนโยบายของรัฐ และส่วนที่คิดว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับบ้านเมือง อาทิ การใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว ระบบการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม ส.ว.มาการเลือกตั้งทางอ้อม กรธ.จะอธิบายให้ประชาชนได้ทราบถึงเหตุผลและที่มา

อุดม กล่าวต่อไปว่า จะมีการชี้แจงถึงเรื่องสำคัญของร่างทั้งเรื่องโครงสร้างฝ่ายบริหารที่มีการ เปลี่ยนแปลงว่านายกรัฐมนตรีจะมาจากคนที่ได้รับการเสนอชื่อจากประชาชน และจะต้องได้รับความเห็นชอบจากเสียงข้างมากเกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนฯ เรื่ององค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญที่ กรธ.เสนอให้มีการทำงานในลักษณะกระฉับกระเฉงว่องไว มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ มีเรื่องกระบวนการการปฏิรูปที่ร่างฉบับนี้มุ่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการปฏิรูปการศึกษาและการบังคับใช้กฎหมาย พร้อมกันนี้ จะชี้แจงว่า หากประชาชนให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ จะมีระยะเปลี่ยนผ่านไปสู่การเลือกตั้งให้ได้ ส.ส.เข้ามาจัดตั้งรัฐบาลเมื่อใด และในระยะที่ยังไม่มีการเลือกตั้งจะมีองค์กรใดทำหน้าที่ปกติก่อนที่จะมีการ เลือกตั้งอย่างไรบ้าง

ดาวน์โหลดร่างรัฐธรรมนูญ http://bit.ly/1Snnef0


วาทะเด็ด... กูไม่ซื้อของโจร จึงจะไม่เสียเวลาหน้าโง่มานั่งคิด.. จะรับหรือไม่รับ ร่างรัฐธรรมนญโจร...



อาเมน


คำสัตย์เลือกตั้ง คอลัมน์ ใบตองแห้ง




ที่มา ข่าวสดออนไลน์
วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2559

ใบตองแห้ง

ขอปรบมือดังๆ ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ลั่น "วาจาสัตย์" ร่างรัฐธรรมนูญผ่านหรือไม่ผ่าน เดือนกรกฎาคมปี 60 ต้องมีเลือกตั้ง ไม่มีคำว่าอยู่ต่อ

ว่าที่จริงก็เสียดาย อยากให้อยู่นานๆ ถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ น่าจะล่าชื่อประชาชนซัก 10-20 ล้าน ออดอ้อนลุงตู่อยู่จนถึงอวสาน แต่พอลั่นวาจาอย่างนี้ คงไม่มีใครกล้าเรียกร้องให้ "เสียสัตย์เพื่อชาติ" เพราะท่านเคยลั่นปากไว้ คาถาประจำใจคือพูดความจริง พูดตรง กับใจ ไม่ใช้ของแบรนด์เนม (แค่มีเบนซ์กับนาฬิกา Patek)

วาจาสัตย์ลุงตู่จึงเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ตัดข้อครหา คสช.จะคว่ำร่างเสียเองเพื่ออยู่นาน เพราะคว่ำไม่คว่ำ ก็เลือกตั้ง ก.ค.60 อยู่ดี

ผู้คัดค้านทั้งหลายจึงควรเลิกครหาเสียที แต่หันมายึดคำพูดท่านเป็นสัจจะ ไม่ว่าจะเกิดอะไร ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลาย ชายชาติทหาร (ที่ห้ามถามมีไว้ทำไม) ก็จะให้เลือกตั้ง ต่อให้ต้องไปเอารัฐธรรมนูญมาจากดาวอังคาร ท่านก็จะไม่อยู่ต่อ

ซึ่งอันที่จริงก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรง เพราะดูตามโรดแม็ป 6-4-6-4 ต่อให้คว่ำร่างรัฐธรรมนูญก็เลือกตั้งทัน 6 เดือนที่เตรียมไว้ร่างกฎหมายลูกก็เปลี่ยนมาร่างใหม่หรือปัดฝุ่นของเก่า แก้กฎหมายลูกเอามาใช้เฉพาะหน้า เพียงแต่ไม่สามารถทำประชามติ ซึ่งยิ่งมีความชอบธรรมน้อยลง แต่คงพอใช้ "ลงจากหลังเสือ" ถ้าเขียนให้ใช้ชั่วคราวแล้วค่อยแก้ใหม่ ไม่ใช่เขียนมัดไว้ทุกอย่าง

คำพูดท่านหัวหน้า คสช.ด้านหนึ่งก็เป็นเรื่องดี เพราะตัดความกังวลของประชาชนว่าถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน จะมีการเลือกตั้งไหม มีเมื่อไหร่ ครั้งนี้ท่านพูดชัดเจน ประชาชนก็ตัดสินใจง่าย เอาไม่เอา ก็ลงมติไป ยังไงก็เลือกตั้งอยู่ดี

ปี 50 ไม่แฟร์เท่านี้นะครับ เพราะกรรมาธิการตะล่อมว่าถ้าไม่รับร่าง ไม่รู้จะเลือกตั้งเมื่อไหร่ ไม่รู้ คมช.จะขุดฉบับไหนมาใช้ "รับไปก่อน แก้ทีหลัง แก้ง่ายนิดเดียว" (คำพูดใครเอ่ย ต่อไปจะเป็นข้อสอบประวัติศาสตร์ไทย)

ตอนนั้นคนกำลังเบื่อหน่ายรัฐบาล ขิงแก่ อยากเลือกตั้งแทบแย่ บางคนจึงรับไปก่อน แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน เพราะประชาชนพอใจผลงาน 99.5% ขืนเอาคะแนนนิยมมาตัดสินใจ เผลอๆ คนรักลุงตู่จะโหวตคว่ำรัฐธรรมนูญล้นหลาม ท่านพูดอย่างนี้ก็ทำให้คนต้องตัดใจ ถ้ารักลุงตู่ ก็โหวตรับร่างส่งท่านกลับบ้านอย่างปลอดภัย

อ้าวพูดอย่างนี้คนไม่รับก็ซวยสิ ไม่ใช่ๆ เหตุผลในการลงประชามติมีหลากหลาย คนที่รับไม่รับเพราะเห็นด้วยไม่เห็นด้วยอย่างตรงไปตรงมาก็มีมากมาย การทำประชามติให้แฟร์จึงต้องตัดเงื่อนไขจูงใจ ให้คนโหวตในเนื้อหา ถ้าให้ดีต้องบอกว่าไม่ผ่านแล้วทำอย่างไร จะร่างใหม่หรือขุดฉบับไหนใช้ เด็กทำข้อสอบยังมี ก.ข.ให้เลือก แต่นี่เหมือนพ่อครัวแก่ๆ ยกผัดกะเพราเค็มปี๋มาให้ ถามว่ากินไม่กิน ถ้าไม่กินก็ยังไม่รู้ปู่จะให้กินไก่ย่างหรือว่ายำตีนไก่

ฉะนั้นการอุบไว้ก่อน ไม่บอกว่าไม่ผ่านจะทำอย่างไร (เพราะอยากให้ผ่าน) จึงเหมือนเจ้ามือเปิดให้แทงเดิมพัน 2 ชั้น ถ้ารอบแรกเจ้ามือกิน ก็จบกัน แต่ถ้ารอบแรกเจ้ามือแพ้ ก็ยังแจกไพ่เองกินเองอีกรอบอยู่ดี

นี่ยังไม่พูดถึงโอกาสดีเบตในประชามติ ซึ่งปี 50 ยังใจกว้างให้รณรงค์ไม่รับร่าง ชาวบ้านได้ดูถ่ายทอดสด จรัญ ภักดีธนากุล Vs นิธิ เอียวศรีวงศ์ แต่ครั้งนี้ท่านพูดว่า ใครทำให้ไม่ผ่านต้องไปพูดกับคนนั้น ท่านตั้งใจให้ผ่านเพื่อประเทศไทยและทุกคน ฟังแล้วยังงง จะมีประชามติทำไม

กระนั้นก็เอาละ เมื่อท่านให้สัจจะไม่อยู่ต่อ ก็เป็นนิมิตหมายอันดี สังคมจะได้ปักหมุด เดินหน้าตามสูตร 6-4-6-4 ระหว่างนี้ก็ช่วยกันทวงคำตอบอีก 2 ประการ คือถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านทำอย่างไร กับการทำประชามติ จะเปิดกว้างให้รณรงค์คัดค้านแค่ไหน

ถ้าประชามติไม่แฟร์ รัฐธรรมนูญก็ยิ่งไม่ชอบธรรมและสังคมยิ่งปั่นป่วน ถ้าแพ้ประชามติ วิรัตน์ กัลยาศิริ อดีต ส.ส.ปชป.ก็พูดชัดว่าจะ "ถูกรุม" แต่เปลี่ยนใจไม่ได้แล้วนะครับ ยังไงก็ต้องไปให้ถึง เลือกตั้ง ก.ค.60 จะแก้ร่างอย่างไรก็ทำกันไป แต่จะล้มโต๊ะร่างใหม่ทำกับปู่มีชัยแบบบวรศักดิ์ไม่ได้อีกแล้ว ไม่เหลือเวลา

ถ้าทำดี อย่าไปโทษใครบาปเปล่าๆ




ที่มา FB


ถ้าทำดี อย่าไปโทษใครบาปเปล่าๆ

สืบเนื่องจากสารจากใจ ฉบับที่ 19 ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ตามรายงานจากไทยรัฐออนไลน์
'บิ๊กตู่' โทษนโยบายในอดีต ทำเกิดวิกฤติภัยแล้ง (http://www.thairath.co.th/content/569495) ท่านนายกรัฐมนตรีได้โทษนโยบายในอดีตว่า เป็นต้นเหตุให้เกิดน้ำท่วมและวิกฤติแล้ง

แม้นว่า ท่านนายกฯจะมิได้ระบุอย่างชัดเจนว่า เป็นความผิดของรัฐบาลใด แต่พรรคเพื่อไทยเห็นว่า การให้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนกับสาธารณชนในเรื่องต่างๆที่ท่านนายกฯ กล่าวพาดพิงถึงเป็นเรื่องจำเป็น

ภัยแล้งที่กำลังเกิดขณะนี้มีสาเหตุมาจากปรากฏการณ์เอลนีโญผสมกับสภาวะโลกร้อนครับ ไม่ใช่ความผิดอะไรของใครทั้งสิ้น Mr.Rupa Kuma Kolli แห่งองค์กรอุตุนิยมวิทยาโลกและสำนักงานมหาสมุทรและอวกาศแห่งสหรัฐอเมริกา (NOAA) แถลงว่า เอลนีโญปีนี้เป็นหนึ่งในสี่ของปรากฎการณ์นี้ที่รุนแรงที่สุดในรอบ 50 ปี

เอลนีโญ คือ ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดจากการไหลย้อนกลับของผิวทะเลที่อุ่นจากมหาสมุทรแปซิฟิคตะวันออกไปแทนที่กระแสน้ำเย็นของฝั่งตะวันตก เมื่อเกิดเอลนีโญลมสินค้าตะวันออกจะอ่อนกำลัง กระแสลมเปลี่ยนทิศพัดจากอินโดนีเซียไปยังฝั่งเปรู (อเมริกาใต้) ผลก็คือ ฝนจะตกหนักทางฝั่งอเมริกาใต้ แต่จะเกิดความแห้งแล้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ดังนั้น ปีที่แล้วมายันปีนี้มันแล้งทั้งนั้นแหละครับ ไทย ลาว เขมร เวียดนาม อินโดนีเซียโดนหมด มันเป็นเรื่องธรรมชาติ บาปเปล่าๆครับที่จะไปโทษรัฐบาลของใครก็ตาม ความสำคัญมันอยู่ที่ว่า มีการบอกกล่าวประชาชนเพียงพอหรือยัง มีการเตรียมสรรพกำลังพร้อมเผชิญเหตุแค่ไหนเท่านั้นเอง พวกผมก็ดูอยู่และก็อยากให้ท่านทำเต็มที่และประสบผลสำเร็จประชาชนจะได้เดือดร้อนแต่น้อย

กลับมาเรื่องน้ำท่วมปี 2554 ก็เป็นเรื่องของธรรมชาติเช่นกันครับ ปีนั้นมีฝนตกถึง 1,824 มม. (สูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง 450 มม.) ฝนที่ตกลงมาเกิดเป็นน้ำท่ามากถึง 932,850 ล้านลูกบาศก์เมตร (อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล 9 อ่าง) น้ำขนาดนี้เทลงมาพร้อมๆกัน รัฐบาลไหนก็ท่วมครับ สิ่งที่รัฐบาลทำได้ดีที่สุดก็คือ ช่วยประชาชนและหาทางระบายน้ำให้เร็วที่สุด ท่านนายกประยุทธ์ก็ทราบดี เพราะขณะนั้นท่านเป็น ผบ.ทบ.เดินทางไปช่วยราษฎรกับท่านนายกยิ่งลักษณ์บ่อยครั้ง เมื่อน้ำแห้งก็ทำโครงการใหญ่เพื่อสู้น้ำท่วมที่อาจจะเกิดขึ้น แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ทำเพราะถูกรังแกเสียก่อน

สำหรับเรื่องโซนนิ่ง ขอเรียนว่า ตามประวัติศาสตร์ทุกรัฐบาลอยากทำทั้งนั้น รัฐบาลของพวกผม ท่านนายกยิ่งลักษณ์มานั่งกำกับเป็นประธานคณะทำงานเอง มีผมและท่านสุรพงษ์เป็นผู้ช่วย เราเอาปัจจัยทั้งสมรรถนะที่ดินของกรมพัฒนาที่ดินและสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานมาใช้กำหนด แต่ก็อย่างว่า คือทำไม่จบ (เพราะใครครับ) มาตอนนี้ท่านว่าจะทำให้สำเร็จ ก็ขอเชียร์ให้กำลังใจครับ แต่ขอเรียนว่าไม่หมูแน่นอน ผมเองก็มิได้เก่งกาจอะไร แต่ก็ผ่านการบริหารการปฏิรูปที่ดิน การจัดรูปที่ดิน และการพัฒนาแหล่งน้ำมาแล้วก็ยังมึนตึ๊บกุมขมับ ขอเรียนว่าถ้าท่านไม่มีสำนักงาน (เฉพาะกิจ) เพื่อการโซนนิ่ง ท่านจะไม่สามารถทำงานได้อย่างมีเอกภาพแน่นอน เพราะวิธีการตั้งกรรมการประชุมแล้วต่างคนต่างกลับบ้าน ท่านจะไม่ได้อะไรเลย

สุดท้ายท่านบ่นว่า มีนายทุนสนับสนุนให้บุกป่าเพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจ ผมขอเดาว่า ท่านคงทราบว่าเป็นใคร เอาเลยครับ ลุยเลย ขอเชียร์เต็มที่ ในยุคที่ผมเป็นอธิบดีป่าไม้ก็ได้ทำมาบ้างแล้ว และก็ได้ท่านนั่นแหละมาช่วยเกื้อหนุน ซึ่งต้องขอบคุณย้อนหลัง ตอนนี้ท่านมีอำนาจเต็มที่ เอากันให้หมดแม็กไปเลย ขอชี้เป้าเอาที่จังหวัดน่านก่อนเลย ตอนนี้มีนายทุนสนับสนุนให้ปลูกข้าวโพดในป่าไป 3 ล้านไร่แล้ว (ไม่ใช่ 3 ไร่นะครับ)

29 มกราคม เป็นวันเกิดของธอมัส เพนน์ (Thomas Paine) (1736-1809) ซึ่งถ้าไม่มีเขา คนอเมริกันอาจไม่สามารถปลดแอกจากจักรวรรดิอังกฤษในปี 1776




29 มกราคม เป็นวันเกิดของธอมัส เพนน์ (Thomas Paine) (1736-1809) ซึ่งถ้าไม่มีเขา คนอเมริกันอาจไม่สามารถปลดแอกจากจักรวรรดิอังกฤษในปี 1776 ทั้ง ๆ ที่เพนน์เป็นคนอังกฤษ อพยพมาเพนซิลเวเนียได้แค่ปีกว่า ๆ ก่อนหน้านั้นเอง ตอนเขาตายไม่มีอนุสาวรีย์ ทั้งในวอชิงตันดีซี และในฝั่งอังกฤษ ศพก็ถูกขุดขึ้นมาขนกลับไปอังกฤษ แล้วสูญหายไป หาคนทำอนุสาวรีย์ให้ไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีเขา บรรดากองทัพปลดแอกอเมริกา อาจไม่คิดล้มล้างสถาบันกษัตริย์อังกฤษที่ปกครองอยู่ก็ได้ แต่อาจยอมซูเอี๋ยกัน
เพนน์เป็นคนชั้นล่างในอังกฤษ ประกอบอาชีพหลายอย่างแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ลูกเมียตายระหว่างคลอด สุดท้ายรับราชการเก็บภาษี ดันไปเขียนใบปลิวแจกสส.ขอขึ้นเงินเดือน เลยโดนไล่ออก Benjamin Franklin เป็นคนสปอนเซอร์ให้เขามาอยู่ที่อเมริกาเมื่ออายุ 38 ปีแล้ว เขาเป็นคนชอบเถียง ไม่เคยเข้าโรงเรียน เรียนรู้ด้วยตนเอง แต่อยู่ที่เพนซิลวาเนีย เขาทำงานหนังสือพิมพ์

อยู่อเมริกันโคโลนีได้เพียงปีกว่าก็เกิดไอเดียเขียน “ใบปลิว” ยาว 48 หน้า "Common Sense" ซึ่งแรกพิมพ์เมื่อวันที่ 10 ม.ค.1776 ขายดีมาก ขายได้กว่าครึ่งล้าน มากพอ ๆ กับไบเบิล แม้นักเขียนจะโนเนม (เขาไม่ใส่ชื่อจริงในการพิมพ์) เพราะเพนน์จงใจเขียนโดยใช้ภาษาง่าย ๆ หลีกเลี่ยงคำศัพท์ละติน ใช้ศัพท์ทางศาสนาเขามาผสมบ้าง เพื่อให้คนเข้าถึงได้ง่าย ใบปลิวของเขาอ่านกันแพร่หลาย และมีพลังปลุกเร้า ความสามารถสำคัญของเพนน์ไม่ใช่ความลึกซึ้งแยบคายแบบนักวิชาการ แต่เป็นการเขียนที่ปลุกเร้าความรู้สึกคน ใบปลิวของเขาอ่านกันตั้งแต่ในโรงเหล้าจนถึงข้างถนน George Washington แม่ทัพฝ่ายปลดแอกซื้อหนังสือมาแจกให้ทหารอ่านทุกคน

หนังสือแบ่งเป็น 4 ภาค ภาคแรกว่ารัฐบาลซึ่งเป็น “necessary evil” ซึ่งเขาเสนอว่าต้องมาจากการเลือกตั้ง เพราะชอบธรรมมากสุด ประชาชนเป็นคนเลือก อันนี้เป็นพื้นฐานประชาธิปไตยอเมริกาเลย ภาคสองว่าด้วยสถาบันกษัตริย์กับการสืบสันตติวงศ์ ความที่เขาเป็นคนอังกฤษ เขาจึงเจียระไนความเลวร้ายของการใช้ระบบสืบสายโลหิตอย่างดุดัน ประโยคหนึ่งที่เขาเขียนคือ “Of more worth is one honest man to society and in the sight of God, than all the crowned ruffians that ever lived.” แปลง่าย ๆ ว่า “พลเมืองที่ซื่อสัตย์หนึ่งคนมีค่ามากกว่ากษัตริย์ที่เคยมีมารวมกันทั้งหมด” ภาคสาม พูดถึงความจำเป็นที่ต้องประกาศอิสรภาพ ไม่ใช่การประนีประนอมยอมเป็นแค่รัฐในอารักขาของอังกฤษต่อไป และภาคสี่ พูดถึงศักยภาพของอเมริกา ทรัพยากรที่มีอยู่ ซึ่งจะทำให้อเมริกาที่ปลดแอกแล้วพึ่งตนเองได้

ตอนนั้นคนในอเมริกันโคโลนีไม่มีความคิดถึงขึ้นแยกตัวจากอังกฤษ ซึ่งเป็นมหาอำนาจใหญ่สุดของโลก รบชนะฝรั่งเศสได้ และไม่คิดล้มล้างสถาบัน แต่พอได้อ่านเขียนของเขาอย่างแพร่หลาย คนเปลี่ยนใจ หลังจากเขาพิมพ์หนังสือนี้เจ็ดเดือน บิดาผู้ก่อตั้งประเทศสหรัฐฯ ก็จัดทำ ”คำประกาศอิสรภาพ” (Declaration of Independence) ขอแยกตัวจากอังกฤษอย่างเด็ดขาด แต่ยังมีสงครามต่อเนื่องมาอยู่ ภายหลังเพนน์กลับไปช่วยการปฏิวัติฝรั่งเศส กลับไปอังกฤษ เกือบถูกประหาร ถูกขังคุก เพราะนอกจากวิจารณ์กษัตริย์แล้ว เขายังวิจารณ์พระเจ้าด้วย เรียกว่าเป็น “troublemaker” อย่างแท้จริง เขาตายเงียบ ๆ ในนิวยอร์ก ไม่มีใครทำอนุสาวรีย์ให้ คนอเมริกันมาสำนึกบุญคุณเขาภายหลังเท่านั้นเอง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงเกิดจากการเปลี่ยนความคิดของมหาชน ไม่ใช่แค่ความเสียสละของชนชั้นนำเพียงไม่กี่คน

http://www.biography.com/people/thomas-paine-9431951#common-sense

https://youtu.be/J-LGxOll2zc

Pipob Udomittipong


...

Thomas Paine's Common Sense - 5 Minute History - Brief Summary

https://www.youtube.com/watch?v=J-LGxOll2zc&feature=youtu.be


นักวิชาการเสนอแยกรัฐ-ศาสนาออกจากกัน แก้ปัญหาการเมืองสงฆ์และการแต่งตั้งสังฆราช - บีบีซีไทย




https://www.youtube.com/watch?v=lWUky2KXDIU&feature=youtu.be&a

นักวิชาการเสนอแยกรัฐ-ศาสนาออกจากกัน แก้ปัญหาการเมืองสงฆ์และการแต่งตั้งสังฆราช - บีบีซีไทย

BBC Thai

Published on Jan 29, 2016

จากกรณีข้อถกเถียงเรื่องการแต่งตั้งสมเด็จ­พระสังฆราชองค์ที่ 20 ซึ่งตกเป็นข้อพิพาทระหว่างมหาเถรสมาคม (มส.) ที่เสนอชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) กับกลุ่มฆราวาสและพระป่าบางส่วนซึ่งคัดค้า­นการเสนอชื่อผู้ที่ “ไม่เหมาะสม” โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีความสัมพันธ์ใกล­้ชิดกับวัดพระธรรมกายนั้น เรื่องดังกล่าวยังคงหาข้อสรุปไม่ได้ โดยมีแนวโน้มว่าความขัดแย้งในวงการสงฆ์ครั­้งนี้จะยืดเยื้อออกไปอีกนาน

บีบีซีไทยได้พูดคุยกับนักวิชาการด้านพุทธศ­าสนาสองคน คือ สุรพศ ทวีศักดิ์ และวิจักขณ์ พานิช ซึ่งต่างก็เห็นว่า ปัญหาดังกล่าวจะแก้ไขได้ ก็ด้วยการปรับโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่า­งรัฐและศาสนาให้แยกขาดจากกัน เพื่อไม่ให้ประเด็นทางการเมืองเข้าครอบงำก­ิจการศาสนา

วันศุกร์, มกราคม 29, 2559

ยิ่งลักษณ์ เขียนหนังสือผ่านเฟสบุ๊คอีกครั้ง โต้แย้งกระบวนการสอบสวนของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด เรียกค่าเสียหายจำนำข้าว




ดิฉันมีความจำเป็นต้องเขียนหนังสือผ่านเฟสบุ๊คอีกครั้งหนึ่งในการโต้แย้งกระบวนการสอบสวนของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด โดยวันนี้ได้มอบหมายให้ทนายไปยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แม้ดิฉันจะรู้คำตอบว่าอย่างไรเสียท่านคงไม่สนใจ เพราะถ้าหากสนใจจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เพราะดิฉันได้ทำหนังสือถึงท่าน จำนวน 6 ฉบับและประธานคณะกรรมการฯ คุณจิรชัย มูลทองโร่ย ที่กำลังจะให้การกับศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในฐานะพยานฝ่ายโจทก์ที่กล่าวหาว่าดิฉันทำความเสียหาย จำนวน 6 ฉบับเช่นกัน แต่ที่ผ่านมาก็ไม่มีความเห็นหรือการกระทำใดๆ ที่บ่งบอกว่าจะนำหนังสือของดิฉันเข้าไปพิจารณา อีกทั้งไม่เคยได้รับการแจ้งผลใดๆ กลับมาว่าสั่งดำเนินการอย่างไร และยังคงทำไปตามเป้าหมายของคณะกรรมการ

ดิฉันจึงขอสรุปใจความของหนังสือโต้แย้งดังนี้

1. ดิฉันได้โต้แย้งทั้งผู้ออกคำสั่งและผู้แต่งตั้งว่าดำเนินการไม่เป็นไปตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่พ.ศ. 2539 มาตรา 8 พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2559 และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฎิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2559

2. ขณะนี้คดีความทางอาญายังไม่สิ้นสุด จึงย่อมได้รับความคุ้มครองตามสิทธิ ในกระบวนการยุติธรรม

3. การฟ้องเอาผิดให้ดิฉันชดใช้ค่าเสียหายโดยกระทรวงการคลังนั้นไม่ถูกต้องเพราะกระทรวงการคลังไม่ใช่ผู้เสียหาย

4. ยังไม่มีการประเมินค่าความเสียหายที่ได้รับการยอมรับตามกฎหมายและเป็นธรรมแก่ดิฉันที่กำลังจะถูกชดใช้ค่าเสียหายแต่ผู้เดียวทั้งที่คดีความยังไม่สิ้นสุด

ดังนั้น ดิฉันจึงขอใช้ช่องทางนี้สื่อสารไปยังทุกท่านที่เกี่ยวข้องได้โปรดพิจารณาข้อเรียกร้องและโต้แย้งของดิฉันให้ยุติตามกระบวนความของกฎหมายก่อน และโปรดอย่าพิจารณาคดีของดิฉันเหตุเพราะ มี มาตรา 44 คุ้มครองหรือกฎหมายอื่นที่จะออกมาคุ้มครองภายหลังค่ะ

ที่มา FB
Yingluck Shinawatra