วันพฤหัสบดี, กรกฎาคม 31, 2568

เวลานี้คนไทยทั้งประเทศปักใจว่า มาลี โสเจียตา โฆษกกลาโหมกัมพูชาแถลงอะไรออกมาโกหกทั้งเพ หากฉุกคิดสักนิดจะรู้สึกว่า เอ๊ะ ใครหลอกเรากันแน่

บนหน้าสื่อสังคมออนไลน์ มีจำนวนไม่น้อยที่แสดงความเห็นว่าประชาชนไทยไม่ควรผลีผลาม กับข่าวการยั่วยุ การละเมิดคำมั่น และการให้ข้อมูลเท็จตรงข้ามกับที่เราได้ยินอย่างสิ้นเชิงของกัมพูชา หากฉุกคิดสักนิดจะรู้สึกว่า เอ๊ะ ใครหลอกเรากันแน่

แน่นอนว่าเวลานี้คนไทยทั้งประเทศปักใจว่า มาลี โสเจียตา โฆษกกลาโหมกัมพูชาแถลงอะไรออกมาโกหกทั้งเพ จนข่าวว่าชาวบ้านสุรินทร์เอาชื่อเธอไปทำคำผวน แต่ถ้าคิดอีกทีเราได้ฟังแต่แถลงข่าวของกองทัพไทย แน่ใจหรือว่าไม่มีตีไข่ใส่ขิง

ถ้าใครอ่านโพสต์ของ Pravit Rojanaphruk จะพบว่าเขารับฟังข่าวจากฝั่งกัมพูชามากพอควร “เหยื่อสงคราม มีมากกว่าที่ตายและบาดเจ็บ” เขาว่าสงครามกับเขมรครั้งนี้รวมเอาสงครามข่าวสารไว้ด้วย ทั้งข่าวปลอมและการบิดเบือนเนื้อหาข่าว

“ล่าสุดกรมประชาสัมพันธ์กัมพูชาได้โพสต์ประกาศเตือนว่า ที่กองทัพไทยอ้างว่ายึดปราสาทตาเมือนธม (ซึ่งเป็นหนึ่งใน ๔ พื้นที่พิพาท) ได้สำเร็จแล้ว และล้อมด้วยแนวลวดหนามมิให้ฝั่งกัมพูชาเข้า นั้นเป็นข่าวปลอม และขอให้ชาวกัมพูชาอย่าหลงเชื่อ”

เป็นตัวอย่างให้ เอ๊ะ ใครหลอกใครเนี่ย “เรามีกองเชียร์ทหารทั้งสองฝ่ายมากเกินพอแล้ว ประชาชนทั้งสองชาติ สูญเสียมากพอแล้ว ถอดหมวกรักชาติอย่างมิรู้จักพอเพียง สวมหมวกคิดเท่าทัน (critical thinking)...แล้วรับข้อมูลให้หลากหลาย”

เขายกกรณีโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ที่อุบลราชธานี ประกาศไม่รับผู้ป่วยและไม่จ่ายยาให้แก่ชาวเขมร “แม้แต่ในภาวะสงคราม หน่วยแพทย์ทหารยังรักษาทหารฝ่ายตรงข้าม หรือศัตรูที่บาดเจ็บเลย” ประกาศนี้จะเพิ่มความเกลียดชังต่อกันมากขึ้น

แต่ก็นั่นละ ทางฝ่ายกัมพูชาก็เหลี่ยมจัดแยบยลในการสื่อสารมากกว่าไทย ดัง Pavin Chachavalpongpun ว่ากัมพูชา “มักทำก้าวนึงก่อนไทย ทำให้สามารถกำหนดวาระการพูดคุยและสร้างความประทับใจแรกให้กับผู้รับสาร” จึงควบคุม narrative ได้ก่อน

“การเชิญผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารหรือผู้แทนต่างประเทศเข้าไปในพื้นที่ปะทะก่อน เป็นการแสดงหลักฐาน 'เชิงประจักษ์' ที่สร้างความน่าเชื่อถือในมุมมองของตนเอง” รวมทั้ง “การมีส่วนร่วมและสนับสนุนการประท้วงหรือการเคลื่อนไหวของชาวกัมพูชาในต่างประเทศ”

เช่น การประท้วงไทยที่เมลเบิร์น เจนีวาและออสโล กำหนดโอกาสวาดภาพไทยโดยง่าย ว่าเป็นผู้รุกราน และหิวสงคราม แม้แต้การเสนอ ข่าวปลอม ที่เน้นความสูญเสีย ความเดือดร้อนของประชาชนฝ่ายตน ก็ “สร้างการสนับสนุนจากสาธารณชนระหว่างประเทศได้ง่ายขึ้น”

ต่างกับการแถลงข่าวของกองทัพภาค ๒ หรือศูนย์ประสานกรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาของกองทัพ ที่ว่าตอบโต้ฝ่ายกำพูชาถอยร่นลงภูไป หรือยึดพื้นที่โน่นนีนั่นได้เพิ่มขึ้น อาจสร้างความฮึกเหิม สะใจกองเชียร์ฝ่ายอนุรักษ์

แต่ก็ทำให้ถูกฝ่ายกัมพูชาเอาไปอ้างว่าพวกเขาถูกรังแกโดยง่ายด้วย

(https://www.facebook.com/pavinchachavalpongpun/posts/JxGZHWDjx และhttps://www.facebook.com/pravit.rojanaphruk.5/posts/DdCowxKYfuM)

มีประเทศไหนบ้างที่ต้องออกมาเตือนกันเรื่องแบบนี้ ประเทศกูมีจริงๆ กองทัพก็ทำตัวให้มีความเป็นมืออาชีพหน่อย พวกพลเรือนหิวแสงมันปั่นอะไรไม่ได้หรอกถ้ากองทัพไม่ทำตัวเป็นเด็กเล่นขายของด้วย


https://www.facebook.com/photo/?fbid=1284956459760550&set=a.189090046013869

thaiarmedforce.com
8 hours ago
·
Night Vision คืออุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการปฏิบัติงานทางทหาร โดยเฉพาะการปฏิบัติงานในเวลากลางคืน แต่ก็เช่นเดียวกับโดรน ขึ้นชื่อว่าใช้งานทางทหารแล้ว ไม่มีคำว่าถูก และคนธรรมดาซื้อไม่ได้

เพราะ Night Vision ทางทหารนอกจากจะรับประกันว่าใช้งานทางทหารได้อย่างเหมาะสมแล้ว ยังมีความทนทานสูง และความน่าเชื่อถือสูง ไม่พังง่าย ๆ คุณภาพคงตัวอยู่เป็นระยะเวลานาน แต่เกรดพลเรือนหรือเกรดบีบีกันแม้ดูผิวเผินจะคล้าย ๆ กัน แต่ความน่าเชื่อถือจะต่ำกว่า

ซึ่งเรื่องนี้อันตราย เพราะถ้าซื้อ Night Vision เกรดพลเรือนไปแจกทหารใช้งาน พอต้องใช้ถ้าใช้ไม่ได้ นั่นคือหายนะของภารกิจหรืออาจอันตรายถึงชีวิต และเป็นการลดศักยภาพของหน่วย เพราะการวางแผนการใช้งานบางทีเราวางตามของที่มี พอมาถึงของใช่ไม่ได้ ก็ทำให้หน่วยทำงานไม่ได้

ความน่าเชื่อถือคือตัวแบ่งของเกรดพลเรือนและของเกรดทหาร

ดังนั้นเราเรียกร้องอีกครั้ง กองทัพมีงบประมาณ มีสายวิทยาการ มีระบบส่งกำลังบำรุงที่ดูแลอยู่แล้ว แม้ว่าจะมีเจตนาดี แต่ไม่ควรจะต้องจัดหายุทโธปกรณ์มาให้ทหารเอง โดยเฉพาะจัดหาโดยผู้ที่ไม่มีความรู้และไม่เชี่ยวชาญ ซึ่งสุดท้ายจะเป็นอันตรายต่อทหารที่ใช้งานในแนวหน้าทั้งสิ้น

อย่างน้อยที่สุด ถ้าพลเรือนไปจัดหา พลเรือนกลุ่มนั้นก็ต้องมีความรู้ด้านยุทโธปกรณ์ในระดับที่พอสมควร

เราเรียกร้องอีกครั้งว่า ไม่ควรซื้ออาวุธบริจาค ถ้าทนไม่ได้แล้วอยากบริจาคให้ทหาร ให้บริจาคให้องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก หรือโรงพยาบาลของแต่ละเหล่าทัพ เพื่อนำเงินไปดูแลคุณภาพชีวิตของทหารผ่านศึกที่เป็นผู้มีบุญคุณต่อแผ่นดิน จะดีกว่ามากครับ

ภัควดี วีระภาสพงษ์
8 hours ago
·
มีประเทศไหนบ้างที่ต้องอกมาเตือนกันเรื่องแบบนี้
ประเทศกูมีจริงๆ
กองทัพก็ทำตัวให้มีความเป็นมืออาชีพหน่อย พวกพลเรือนหิวแสงมันปั่นอะไรไม่ได้หรอกถ้ากองทัพไม่ทำตัวเป็นเด็กเล่นขายของด้วย


กองทัพควรหยุดพฤติกรรมแบบนี้ มันสะท้อนความไม่เป็นมืออาชีพของกองทัพเอง หรือว่า กองทัพภาคภูมิใจกับเรื่องนี้ ไม่มีบังเกอร์จอมพลัง ทหารคงตายมากกว่านี้ ?


กันจอมพลัง
13 hours ago
·
โคตรสะใจทหารจาก ร31พัน2 ที่รอดชีวิตจริงเพราะบังเกอร์ที่ผมและFCสร้างไว้ตรงปราสาทตาเมือนธมเดินมาขอบคุณแบบตัวเป็นๆผมต้องขอกอดเลยอะมันโคตรซึ้ง น้องและคนในทีมเปิดภาพเปิดคลิปให้ผมดูคือรถที่น้องขับมาโดนเขมร กราดบึ้มจนกลายเป็นซาก หลังจากน้องก้าวลงรถเพียงแปปเดียวแล้วเข้าไปหลบในบังเกอร์ มีบึ้มหลายลูกตกลงมาที่บังเกอร์แต่ไม่เป็นอะไร ทหารทุกคนบอกเลยว่า ถ้าไม่มีบังเกอร์ที่สร้างไว้คงสูญเสียมากกว่านี้ เพราะตรงปราสาทตาเมือนธมไม่มีที่หลบเลย ปัจจุบันบังเกอร์ที่ผมและfcสร้าง กลายเป็นที่ตั้งมั่นคงไปแล้ว ทหารในสนามรบตรงนี้จึงตั้งนามบังเกอร์ตรงตาเมือนธมว่าบังเกอร์กันจอมพลัง หลังจากจบเหตุการณ์ ผมจะต่อยอดบังเกอร์นี้ให้ดีกว่านี้อีกครับ สิ่งที่พวกเราทำ ช่วยชีวิตทหารตำรวจได้มากมายสุดยอดจริงๆ

กันจอมพลัง
ผู้ใช้งานจริงรีวิวหลังจากรอดสิ่งที่พวกเราทำมันสุดยอดและยิ่งใหญ่มากๆหลังจากนี้บังเกอร์พวกเราจะเป็นตำนานที่ตาเมือนธม

ภัควดี วีระภาสพงษ์
11 hours ago
·
เราว่ากองทัพควรหยุดพฤติกรรมแบบนี้นะคะ การปล่อยให้คนนอกที่ไม่มีความรู้แท้จริงเข้าไปยุ่งเกี่ยว มันสะท้อนความไม่เป็นมืออาชีพของกองทัพเอง ถ้ายังปล่อยให้เป็นแบบนี้ งั้นก็ลดงบประมาณกองทัพลงเถอะ

Atukkit Sawangsuk
7 hours ago
·
ถามจริง กองทัพภาคภูมิใจกับเรื่องนี้
ไม่มีบังเกอร์จอมพลัง ทหารคงตายมากกว่านี้ ?
ไม่มีรถกระบะส่งกระสุน อาจขาดแคลนยิงทหารเขมรไม่ทัน?
จริงๆเหรอ


https://www.facebook.com/photo?fbid=1361345415552172&set=a.371818277838229


 

เรื่องราวของสุนัขที่ชื่อ "เจ้าจ๋า" หมาจรจากภูมะเขือ เป็นเรื่องสมมติที่ถูกแต่งขึ้น โดยมีเจตนาอยากให้ผู้คนรักหมามากขึ้น จนเป็นไวรัล

https://www.facebook.com/BBCnewsThai/videos/1532716961085025
.....


อีจัน บันเทิง
12 hours ago
·
ทำเอาอึ้งกันทั้งประเทศ! สำหรับเรื่องราวของ #เจ้าจ๋า สุนัขจรพันธุ์ไทย ฮีโร่ 4 ขาแห่งภูมะเขือ สรุปแล้วเป็นเรื่องแต่ง! คนฟังอึ้ง! ลูกเพจอึ้ง! แอดเองก็อึ้ง!

โดยทางเพจ #หลอนจากเรื่องจริงStoryDog ผู้แต่งเรื่อง “เจ้าจ๋า” ได้ออกมาชี้แจง โดยบอกว่าเรื่องนี้ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากเรื่องราวของทหารที่สามารถยึดพื้นที่ และขึ้นไปปักธงบน #ภูมะเขือ มาได้สำเร็จ ซึ่งในเรื่องดังกล่าวจะมีน้องหมาอยู่ในเหตุการณ์จริงๆ 1 ตัว ซึ่งไม่ได้เสียชีวิต และไม่เกี่ยวกับเรื่องของ #เจ้าจ๊อด #หมาแขวนตะกรุด ที่ #ปราสาทตาเมือนธม

เพจ หลอนจากเรื่องจริงStoryDog กล่าวว่า “ตามเจตนารมณ์ของทางเพจ จะเป็นเรื่องราวของของคนรักหมา และอยากให้คนที่มักจะทำร้ายพวกมัน เปลี่ยนเป็นความเมตตา และไม่ทำร้ายมันอีก จึงมีเรื่องนี้ขึ้นมา และสุนัขตัวนั้นไม่ทราบว่ามันชื่ออะไร แอดมินจึงตั้งชื่อว่าเจ้าจ๋า”

งานนี้ทำเอาทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “เอาน้ำตาผมคืนมาาา”

อย่างไรก็ตาม #อีจันบันเทิง ก็ต้องขออภัยในฐานะหนึ่งในเพจที่ได้นำเสนอเรื่องราวนี้ โดยไม่ไตร่ตรองให้ดีก่อน จนอาจทำให้เกิดความสับสน และขอออกมาแก้ไขข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดอีกต่อไปค่ะ



เสียงจาก “พรชัย”: ผิดหวังต่อนิรโทษกรรมที่ไม่รวม ม.112 กับปัญหาสุขอนามัยในเรือนจำที่ยังไม่ถูกแก้ไข


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
15 hours ago
·
เสียงจาก “พรชัย”: ผิดหวังต่อนิรโทษกรรมที่ไม่รวม ม.112 กับปัญหาสุขอนามัยในเรือนจำที่ยังไม่ถูกแก้ไข
.
.
เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2568 ทนายความเข้าเยี่ยมพรชัย วิมลศุภวงศ์ ผู้ต้องขังในคดีมาตรา 112 ที่เรือนจำกลางเชียงใหม่ เขาถูกจำคุกตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 ด้วยโทษรวม 12 ปี จากการถูกกล่าวหาว่าโพสต์เฟซบุ๊ก 4 ข้อความ และถูกคุมขังมาตั้งแต่วันที่ 4 เม.ย. 2567 ถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลา 1 ปี 3 เดือนเศษแล้ว
.
.
ปัญหานักโทษแออัด – โรคระบาด – ขาดแคลนน้ำยังคงดำเนินต่อไป
.
หลังจากถามไถ่สารทุกข์ พรชัยเล่าอีกครั้งถึงสภาพความเป็นอยู่ด้านในแดน 5 ของเรือนจำ ว่ามีความแออัดมาก ผู้ต้องขังมีกว่า 1,700 คนแล้ว แต่ละห้องต้องนอนเบียดเสียดกัน ทำให้เกิดโรคระบาดได้ง่ายไม่ว่าจะเป็นวัณโรค หรือผื่นคัน
.
พรชัยกังวลว่าตนจะติดโรคติดต่อต่าง ๆ อยู่ไม่น้อย ก่อนหน้านี้เขาเป็นผื่นคันตามขา เนื่องจากอากาศชื้นและโรคผื่นคันระบาดข้างใน แต่เขาก็ได้ซื้อยามาทานและทาจนหายเองแล้ว ที่จำเป็นต้องซื้อเพราะหากต้องการพบแพทย์เพื่อได้รับยาจะใช้เวลานานมากกว่าจะได้
.
เรื่องปัญหาการขาดแคลนน้ำยังคงไม่ดีขึ้น จากเดิมที่น้ำไม่สะอาด ไม่สามารถดื่มได้อยู่แล้ว ตอนนี้น้ำยังไม่พอใช้เลย เนื่องจากแดนที่พรชัยอยู่ชั้น 3 เจ้าหน้าที่ก็อ้างว่าแรงดันน้ำไม่เพียงพอ ทำให้น้ำขาดแคลนบ่อย ๆ แต่พรชัยก็ตั้งข้อสงสัยว่าเครื่องสูบน้ำมีปัญหาหรือไม่
.
ปัจจุบันพรชัยแก้ปัญหาด้วยการซื้อน้ำขวดในเรือนจำเพื่อนำมาใช้อุปโภค บริโภค ซึ่งก็ต้องใช้ค่าใช้จ่ายเยอะพอสมควร แต่เพื่อสุขอนามัยและป้องกันการติดเชื้อโรคต่าง ๆ ที่มาจากน้ำไม่สะอาดด้วย ก็ต้องยอม
.
“ทั้งน้ำ อาหาร และการรักษาที่ไม่เพียงพอ ทำให้สุขภาวะหรือสุขภาพของคนข้างในเรือนจำแย่มาก หรือการเข้าถึงการรักษาโรคหรือปฐมพยาบาลที่ล่าช้า บางกรณีก็ถูกละเลยเลย” พรชัยเล่าสถานการณ์
.
.
พรชัยผิดหวังสภาผ่านร่างนิรโทษกรรม ที่ไม่รวม ม.112
.
เมื่อพรชัยได้ฟังข่าวผลการอภิปรายในวาระพิจารณาร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฯ ของสภาผู้แทนราษฎร โดยสภาโหวตคว่ำร่างนิรโทษกรรมฉบับของประชาชน และของอดีตพรรคก้าวไกล โดยรับหลักการร่างกฎหมายเฉพาะ 3 ฉบับ คือฉบับพรรครวมไทยสร้างชาติ อดีตพรรคครูเพื่อประชาชน และพรรคภูมิใจไทย ซึ่งจะไม่รวมคดี ม.112
.
พรชัยถอนหายใจยาวพร้อมกล่าวว่า “มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้นแหละ… การที่สมาชิกผู้แทนราษฎรพยายามเน้นการนิรโทษกรรมเฉพาะแต่ส่วนที่สังคมยอมนับได้ก่อน มันน่าสังเกตว่า คดีเกี่ยวกับ ม.112 มันไม่ใช่การใช้เสรีภาพในทางการเมืองหรือ หรือมันคือการใช้เสรีภาพทางการเมืองที่สังคมไม่ยอมรับเท่านั้นเอง”
.
พรชัยนึกย้อนไปตอนที่แพรทองธาร ชินวัตร หาเสียงไว้ก่อนเลือกตั้ง เรื่องการคืนเสรีภาพให้นักโทษการเมือง ปัจจุบันจะเข้าปีที่ 3 ที่รัฐบาลเพื่อไทยเข้ามาบริหารแล้ว แต่ก็ยังไม่มีอะไรที่คืบหน้าหรือสำเร็จเลย
.
“อย่างนั้นผมจะได้อยู่ในนี้ไปอีกนานแค่ไหนกัน… ผมไม่สมควรมาอยู่ที่ตรงนี้เลยจริง ๆ นะ เราไม่ใช่อาชญากร เราไม่มีกำลังจะโค่นล้มอะไรได้ เราเพียงแต่พูด แสดงออกแบบที่เราอยากให้ประชาธิปไตยเดินหน้าไปทางใดเท่านั้นเอง
.
“ผมไม่มีอิทธิพลอะไรหรอกครับ ผมก็คนไทยคนหนึ่งที่มี 1 เสียงเท่ากัน และตั้งใจอยากจะเปลี่ยนแปลงประเทศไปในทางที่ดีขึ้นก็เท่านั้น”
.
.
ความขัดแย้งเป็นเรื่องของชนชั้นนำ แต่คนรับกรรมคือประชาชน
.
หลังจากนั้น พรชัยกล่าวถึงประเด็นสถานการณ์ไทย-กัมพูชาที่กำลังเป็นข่าวร้อน เขามองว่าเมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นรัฐไทยก็มีอำนาจตอบโต้ได้ตามมาตรฐาน และตามหลักการสากล แต่สุดท้ายแล้วเขาก็เห็นว่าควรแก้ไขปัญหาด้วยการเจรจากันอย่างสันติ
.
“อย่าลืมว่า ไม่ว่าจะมีการตอบโต้ทางการทหารมากน้อยเพียงใด ผู้ที่เสียหายโดยตรงคือประชาชน”
.
พรชัยเล่าให้ฟังว่าเขามีคนรู้จักประเทศใกล้เคียงไม่ว่าจะเป็นเมียนมา หรือกัมพูชา เมื่อเป็นประเทศใกล้เคียงกันก็ย่อมจะต้อมพึ่งพาอาศัยกัน เขาไม่อยากให้เกิดความเสียหายทั้งกายและจิตใจของทั้งสองฝ่าย
.
“ผมว่าการสนับสนุนสงครามไม่ใช่การรักชาตินะ เพราะถ้าเกิดสงครามจริง ๆ มันสร้างความเสียหายมหาศาลแก่ชาติไม่ใช่หรือ ทั้งเศรษฐกิจ ชีวิต ร่างกาย ความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน งบประมาณ การบริหารประเทศ ไหนจะเรื่องทรัพยากร สิ่งแวดล้อมอีก ดังนั้นผมมองว่า การรักชาติไม่จำเป็นต้องสนับสนุนให้เกิดสงครามหรอกครับ”
.
ก่อนจากกัน พรชัยยังฝากถึงสื่อต่าง ๆ ที่มีบทบาทสร้างความรับรู้ของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นสื่อกระแสหลักหรือไม่ก็ตาม ควรจะนำเสนอข่าวที่หลีกเลี่ยงเนื้อหาสร้างความเกลียดชังต่อพี่น้องประชาชนทั้งสองฝ่าย
.
“ความเสียหายไม่ได้เกิดกับผู้นำหรือคนเริ่มเรื่องหรอก แต่ทุกอย่างตกอยู่แก่ประชาชน เป็นความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย เศรษฐกิจยามสงคราม ฯลฯ ทุกอย่างตกอยู่กับประชาชนทั้งนั้น”
.
.
อ่านบนเว็บไซต์https://tlhr2014.com/archives/77120

https://www.facebook.com/photo?fbid=1156593682977767&set=a.656922399611567



ข้อคิดเห็นบางประการ กรณีศาลยกคำร้องถอดโซ่ตรวนทนายอานนท์ นำภา



ข้อคิดเห็นบางประการ กรณีศาลยกคำร้องถอดโซ่ตรวนทนายอานนท์ นำภา

29 กรกฎาคม 2568
ประชาไท
ศราวุฒิ ประทุมราช

เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2568 ศาลอาญาได้นัดไต่สวนคำร้องของนายธงชัย วินิจจะกูล ที่ขอให้ไต่สวนเพื่อยุติการใส่กุญแจเท้าและโซ่ต่อนายอานนท์ นำภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน คำร้องระบุว่าการใส่โซ่ตรวนและกุญแจข้อเท้าถือเป็นการปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม ตามมาตรา 6 และมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 โดยศาลได้ยกคำร้องและให้เหตุผลว่า แม้จะเห็นว่า(การใส่โซ่ข้อเท้าหรือตรวน)กระทบต่อจิตใจทั้งทนายความอานนท์และครอบครัว แต่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์มีอำนาจตาม ม.21 พ.ร.บ.ราชทัณฑ์และไม่ได้เป็นการย่ำยีศักดิ์ศรีมนุษย์ คำร้องนี้คำร้องเพื่อให้ศาลไต่สวนฝ่ายเดียวตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565

พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 (ต่อไปจะเรียกว่า พ.ร.บ.ห้ามทรมานฯ) มีที่มาจากการที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2550 และต่อมาในวันที่ 9 มกราคม 2555 ประเทศไทยลงนามในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ ผลจากการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ 2 ฉบับดังกล่าว ทำให้ประเทศไทยต้องดำเนินการนำสาระสำคัญที่บัญญัติไว้ในอนุสัญญาฯ มาจัดทำเป็นกฎหมายในรูปของพระราชบัญญัติ เพื่อให้รัฐไทยมีผลผูกพันตามอนุสัญญา

ในทางปฏิบัติรัฐที่เข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศจะยอมรับหรือไม่ยอมรับให้กฎหมายระหว่างประเทศนำมาบังคับใช้ในประเทศทันทีหรือไม่ มีทฤษฎีหรือแนวคิด 2 ระบบที่เกี่ยวข้อง คือ แนวคิดตามทฤษฎีเอกนิยม (monism) และแนวคิดตามทฤษฎีทวินิยม (dualism)

แนวคิดตามทฤษฎีเอกนิยมเห็นว่ากฎหมายทั้งสองระบบไม่มีความแตกต่างกันเพราะต่างก็มีเจตนารมณ์เดียวกัน จึงถือเป็นกฎหมายที่อยู่ในระบบเดียวกันโดยที่กฎหมายระหว่างประเทศ มีศักดิ์แห่งกฎหมายสูงกว่ากฎหมายภายในประเทศ ดังนั้นภายใต้แนวคิดนี้กฎหมายระหว่างประเทศจึงสามารถมีผลใช้บังคับภายในประเทศ (domestic legal system) โดยตรงเสมือนเป็นกฎหมายภายในได้เลยเพราะกฎหมายภายในไม่อาจขัดกับกฎหมายระหว่างประเทศที่ถือว่ามีศักดิ์แห่งกฎหมายสูงกว่าได้ ดังนั้นภายใต้แนวคิดนี้การที่รัฐให้อำนาจทั่วไปแก่ผู้ใช้กฎหมาย ในการนำกฎหมายระหว่างประเทศมาปรับใช้ก็ถือว่าเพียงพอแล้วที่จะให้กฎหมายระหว่างประเทศมีผลบังคับใช้ในประเทศ

ในขณะที่แนวคิดตามทฤษฎีทวินิยมกลับเห็นว่ากฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายภายในต่างก็เป็นระบบกฎหมายคนละระบบที่แยกออกจากกัน ดังนั้นกฎหมายระหว่างประเทศจะสามารถนำมาใช้บังคับภายในประเทศได้ก็ต่อเมื่อรัฐได้พิจารณาและออกกฎหมายภายในโดยชัดแจ้งเพื่อรองรับกฎหมายระหว่างประเทศแต่ละฉบับ โดยเฉพาะเสียก่อน

แนวคิดตามทฤษฎีทวินิยมจึงเป็นแนวคิดที่ค่อนข้างให้ความสำคัญกับหลักอำนาจอธิปไตยของรัฐ (national sovereignty) เป็นหลัก (ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.จิรนิติ หะวานนท์ อมรชัย ศิริถาพร ,บทบาทของกฎหมายระหว่างประเทศต่อระบบกฎหมายภายใน การบริหารสำนวนคดีและบทบาทหน้าที่ของศาลสูง อิทธิพลภายนอกกับความเป็นอิสระของตุลาการ สงครามต่อต้านการก่อการร้ายและหลักนิติรัฐ , ดุลพาห เล่ม 2 ปีที่ 62 , สืบค้นจากเว็ปไซต์ศาลยุติธรรม https://dunlaphaha.coj.go.th/upload/2558/2/2558_2_a2.pdf)

แนวทางของรัฐไทยยอมรับทฤษฎีทวินิยม จากทฤษฎีทวินิยมดังกล่าว มีผลให้ทุกรัฐมีหน้าที่ในการปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศและไม่อาจอ้างความไม่สอดคล้องกันของกฎหมายภายในกับพันธกรณีระหว่างประเทศเป็นข้อยกเว้นในการไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีดังกล่าวได้ มิฉะนั้นย่อมนำมาสู่ความรับผิดชอบของรัฐในทางระหว่างประเทศ เมื่อรัฐใดยอมรับหรือเข้าเป็นภาคีกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว

ความหมายของรัฐที่มีหน้าที่ข้างต้นย่อมผูกพันรัฐบาลและรวมไปถึงฝ่ายตุลาการซึ่งเป็นองค์กรภายในองค์กรหนึ่งของรัฐด้วย หากฝ่ายตุลาการ ปรับใช้กฎหมายในระบบกฎหมายภายในในทางที่ไม่สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ จึงอาจเป็นการกระทำของรัฐซึ่งอาจละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศอันจะก่อให้เกิดความรับผิดชอบของรัฐในทางระหว่างประเทศได้ (ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายระหว่างประเทศและ กฎหมายภายใน : ศึกษาทางปฏิบัติของตุลาการไทย ,สิรีธร ราชเดิม ,วิทยานิพนธ์ นิติศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชากฎหมายระหว่างประเทศ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2561 , สืบค้นจากเว็ปไซต์ ห้องสมุดมหาวิทยาลับธรรมศาสตร์ https://ethesisarchive.library.tu.ac.th/thesis/2018/TU_2018_5801032714_10935_10891.pdf )

ข้อพิจารณาคำวินิจฉัยของศาล

ประการที่หนึ่ง ศาลไม่ได้ให้เหตุผลว่าการละเมิดศักดิ์ศรีของมนุษย์คืออย่างไร แต่เห็นว่าการใส่โซ่ตรวนไม่ได้เป็นการย่ำยี

ศักดิ์ศรีของมนุษย์ โดยให้เหตุผลว่า “การกระทำที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ (มาตรา 6 พ.ร.บ.ห้ามทรมานฯ)จะต้องกระทำเกินเลยไปกว่าความจำเป็นความปกติในการควบคุมตัว และมีลักษณะเป็นการจงใจลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของผู้ถูกกระทำเป็นสำคัญ และ ประเด็นที่เจ้าหน้าที่อาจมิได้จัดทำบันทึกเหตุผลความจำเป็นในการใช้เครื่องพันธนาการเป็นไปตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ มาตรา 21 อนุ 4 โดยศาลเห็นว่า แม้บันทึกเหตุผลจะเป็นหลักการปฏิบัติที่สำคัญ แต่ก็ยังมิอาจนำมาเป็นเหตุผลชี้ขาดว่าเป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ตามมาตรา 6 ได้โดยในทันที เพราะการวินิจฉัยความผิดตามมาตรา 6 ยังคงต้องพิจารณาจากลักษณะของการกระทำและผลการกระทำที่เกิดขึ้นเป็นสำคัญ แต่จากการไต่สวนในชั้นนี้ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว”

พ.ร.บ.ห้ามการทรมานฯ มาตรา 6 บัญญัติไว้อย่างชัดเจนถึงความหมายของการละเมิดศักดิ์ศรีมนุษย์ที่สอดคล้องกับอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ กล่าวคือ เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใด ลงโทษหรือกระทำด้วยประการใด อันเป็นเหตุให้ผู้อื่นถูกลดทอนคุณค่าหรือละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานความเป็นมนุษย์ หรือเกิดความเจ็บปวดหรือความทุกข์ทรมานแก่ร่างกายหรือจิตใจหรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ที่มิใช่การกระทำความผิดตามมาตรา 5 ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

ดังนั้นศาลควรวินิจฉัยให้ชัดเจนเสียก่อนว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หมายถึง คุณค่าของคนที่เกี่ยวข้องและขึ้นอยู่กับความเป็นมนุษย์โดยไม่คำนึงถึงฐานะตำแหน่งทางสังคม การละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หมายถึง การเหยียดหยาม การลดทอน หรือการปฏิบัติต่อบุคคลเสมือนไม่ใช่มนุษย์ หรือลดฐานะมนุษย์เป็นเพียงวัตถุ สิ่งของ

การที่รัฐหรือเจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติต่อบุคคลเสมือนบุคคลนั้นเป็นสิ่งของ วัตถุ หรือสัตว์ จึงเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ซึ่งมีตัวอย่างทั้งในทางตำราจากต่างประเทศและคำพิพากษาศาลปกครองในอดีต เช่น การลงโทษบุคคลด้วยวิธีการ เฆี่ยนตี ตัดอวัยวะ เป็นการลงโทษด้วยวิธีการที่ทารุณโหดร้าย ไร้มนุษยธรรม การปล่อยให้นักโทษดํารงชีวิต กินอยู่หลับนอนในห้องขังที่เลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปด้วยอุจาระ ปัสสาวะ เพราะส้วมเต็มและสิ่งปฏิกูลเหล่านี้เอ่อล้นมาเรี่ยราดอยู่ในห้องขัง ธุรกิจบันเทิงที่ให้ผู้หญิงเปลือยกายล่อนจ้อนเข้าไปอยู่ในห้องหรือในตู้เล็ก ๆ ที่มีช่องให้คนข้างนอกห้องส่องเข้าไปดูได้ กรณีรถไฟฟ้าที่โฆษณาสินค้าที่หน้าต่าง จนผู้โดยสารไม่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ภายนอกได้ จึงทำเสมือนหนึ่งผู้โดยสารเป็นพัสดุภัณฑ์ (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 231/2550) หรือกรณีการสอบเพื่อเข้าเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ (หญิง) โดยให้ผู้สอบผ่านต้องเข้ารับการตรวจร่างกาย ต้องถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมดเพื่อให้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะให้แพทย์ทันทีเมื่อถึงคิวของตนและยืนเข้าแถวรออยู่ที่ประตูห้องตรวจ ซึ่งในขณะนั้นมีกรรมการคุมสอบและผู้รอรับการตรวจคนอื่นอยู่ด้วย จำนวน 5 - 10 คน ซึ่งศาลเห็นว่า

."เป็นวิธีการเข้าตรวจร่างกายที่ยังไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้กับผู้เข้ารับการตรวจร่างกายที่เป็นเพศหญิง เพราะก่อให้เกิดภาพที่ไม่สมควรและอาจเป็นการล่วงละเมิดต่อสิทธิส่วนตัวเกินจำเป็น"(คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 1113/2561) เป็นต้น (เรียบเรียงจากเฟสบุ๊คบรรทัดฐานคดีปกครองและคดีรัฐธรรมนูญhttps://www.facebook.com/Constitution.2016)

การที่ศาลวินิจฉัยในคำร้องว่า”(การใช้โซ่คล้องเท้าและตรวน) ..จะต้องกระทำเกินเลยไปกว่าความจำเป็น ความปกติในการควบคุมตัว และมีลักษณะเป็นการจงใจลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของผู้ถูกกระทำเป็นสำคัญ” น่าจะเป็นการตีความกฎหมายในลักษณะเพิ่มเติมหรือขยายความเกินกว่าข้อความที่บัญญัติไว้ในกฎหมายที่มีโทษทางอาญา ซึ่งต้องตีความโดยเคร่งครัด

ประการที่สอง การที่ศาลวินิจฉัยว่าจากการไต่สวนในชั้นนี้ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าการใช้โซ่ตรวนมีลักษณะเป็นการล่วงละเมิดสิทธิจนเกินขอบเขตแห่งความจำเป็น เพราะ พ.ร.บ. ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 21 ได้ให้อำนาจหน้าที่ในการใช้เครื่องพันธนาการเมื่อคุมตัวผู้ต้องขังไปนอกเรือนจำ เพื่อความปลอดภัยและเพื่อป้องกันการหลบหนีได้ ดังนั้นการกระทำของเจ้าหน้าที่จึงเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายบัญญัติไว้

ประเด็นนี้ศาลต้องไต่สวนถึงความจำเป็นในการใช้โซ่ตรวนเพื่อความปลอดภัยและเพื่อป้องกันการหลบหนีให้ชัดเจน ก่อนมีคำวินิจฉัย โดยการเรียกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์มาให้ข้อมูลว่า ในอดีตมีสถิติผู้ต้องขังหลบหนีไปจากการควบคุมระหว่างเดินทางจากเรือนจำมาศาล มากน้อยแค่ไหน และมีมาตรการควบคุมและป้องกันการหลบหนีวิธีการอื่นอีกหรือไม่

เมื่อพิจารณากฎกระทรวงกําหนดประเภทชนิดและขนาดของเครื่องพันธนาการที่ใช้แก่ผู้ต้องขัง พ.ศ. 2563 พบว่าการใส่โซ่ตรวนเป็นมาตรการท้ายๆ ของการใช้เครื่องพันธนาการที่กฎหมายกำหนด กล่าวคือ ข้อ 2 ของกฎกระทรวงดังกล่าวกำหนดประเภทของเครื่องพันธนาการที่ใช้แก่ผู้ต้องขังมี ดังต่อไปนี้ (1) สายรัดข้อมือ (2) เสื้อพันธนาการ (3) กุญแจมือ (4) กุญแจเท้า (5) ชุดกุญแจมือและกุญแจเท้า (6) ตรวน (7) โซ่ล่าม ซึ่งเห็นได้ว่ามาตรการป้องกันการหลบหนีอาจใช้กุญแจมือ สายรัดข้อมือหรือเครื่องพันธนาการอื่นที่ไม่ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ต้องขังก็ได้

นอกจากนี้คดีความของทนายอานนท์ ก็เป็นคดีที่เกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกที่แตกต่างจากค่านิยมของคนส่วนใหญ่ในสังคม อันถือได้ว่าเป็นนักโทษทางความคิดในความหมายสากล จึงมิใช่การประกอบอาชญากรรมร้ายแรงต่อชีวิตและทรัพย์สินของบุคคล ดังนั้นนายอานน์จึงไม่มีเหตุผลในการหลบหนี มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งที่รัฐสามารคตรวจสอบและเข้าควบคุมความเคลื่อนไหวได้ ดังกรณีที่เกิดขึ้นกับเยาวชนหลายคนที่ถูกดำเนินคดีทางความคิดเช่นนายอานน์ จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายความมั่นคง คอยสอดส่องความเคลื่อนไหวทั้งที่บ้านและสถานศึกษาหรือที่ทำงาน ตรวจสอบความเคลื่อนไหวในโซเชียบมีเดีย รวมทั้งติดตามสอบถามความเคลื่อนไหวจากบุคคลในครอบครัว ญาติสนิท เพื่อน อันเสมือนเป็นการคุกคามความเป็นส่วนตัวของบุคคล

ประการสุดท้าย การที่ศาลวินิจฉัยว่าแม้บันทึกเหตุผลจะเป็นหลักการปฏิบัติที่สำคัญ แต่ก็ยังมิอาจนำมาเป็นเหตุผลชี้ขาดว่าเป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ตามมาตรา 6 ได้โดยในทันที เพราะการวินิจฉัยความผิดตามมาตรา 6 ยังคงต้องพิจารณาจากลักษณะของการกระทำและผลการกระทำที่เกิดขึ้นเป็นสำคัญ นั้น แม้บันทึกเหตุผลฯมิอาจนำมาเป็นเหตุผลชี้ขาดว่าการตีตรวนเป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ก็จริง เหตุผลที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องบันทึกเหตุผลความจำเป็นในการตีตรวน ย่อมนำมาประกอบการวินิจฉัยได้ว่าจำเป็นต้องตีตรวนเพื่อป้องกันการหลบหนีหรือไม่ หรือมีวิธีอื่น ดังนั้นศาลควรเรียกผู้บัญชาการเรือนจำหรือพัศดีผู้มีอำนาจสั่งให้ใช้เครื่องพันธนาการเข้ามาในคดีเพื่อไต่สวนและชี้แจงเหตุผลหรือความจำเป็นที่ต้องใช้เครื่องพันธนาการกับนายอานนท์ มิใช่เป็นการวินิจฉัยจากตัวบทกฎหมายเท่านั้น เพราะการได้ไต่สวนความจริงจากผู้ปฏิบัติ เป็นหลักการสำคัญประการหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมที่ดี ที่ศาลควรทำหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องในการปฏิบัติตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม

ข้อสังเกตดังกล่าวจะเป็นบทพิสูจน์บทบาทของตุลาการในการปักธงความหมายแห่ง “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”และความผูกพันธ์ของรัฐในการปรับใช้กฎหมายภายในให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ ที่รัฐตามความหมายของกฎหมายระหว่างประเทศรวมถึงฝ่ายตุลาการซึ่งเป็นองค์กรของรัฐองค์กรหนึ่งด้วย

https://prachatai.com/journal/2025/07/113931



ดนตรีไร้พรมแดน ความหวังไร้เส้นแบ่ง ศิลปินหลายชีวิตร่วมขับร้องบทเพลงสันติภาพ ส่งกำลังใจให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบและสูญเสียจากสงครามชายแดนไทย-กัมพูชา


iLaw
6 hours ago
·
30 กรกฎาคม 2568 เวลาประมาณ 16.00-20.30 น. หลายกลุ่มคนดนตรีร่วมจัดการแสดงดนตรี Harmony Beyond Borders ดนตรีไร้พรมแดน ความหวังไร้เส้นแบ่ง តន្ត្រីគ្មានព្រំដែន ក្តីសង្ឃឹមគ្មានការបែងចែក ที่หน้าองค์การสหประชาชาติ
.
ศิลปินหลายชีวิตร่วมขับร้องบทเพลงสันติภาพ ส่งกำลังใจให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบและสูญเสียจากสงครามชายแดนไทย-กัมพูชา นำโดย วงสามัญชน, กลุ่มประชาชนกัญชา, เอ้-กุลจิรา ทองคง, กาย-กานนท์, น้ำ-คีตาญชลี, โฮป แฟมิลี่ เพลงที่ใช้ขับร้องอาทิเช่น เพลงเสียงจากคีตาญชลี, เพลงสันติภาพ, เพลงธูปดอกสุดท้าย, เพลงกำลังใจ, เพลงดอกไม้แห่งกาลเวลา
.
เวลา 20.13 น. กิจกรรมสุดท้าย วงสามัญชนเชิญชวนประชาชนโดยร่วมจุดเทียนล้อมรอบตราสัญลักษณ์สันติภาพและดอกกุหลาบร่วมกัน เพื่อไว้อาลัยให้กับการสูญเสียทั้งทหารและประชาชน และเพื่อส่งเสียงเรียกร้องสันติภาพ

https://www.facebook.com/iLawClub/posts/1162418902598394









https://www.facebook.com/watch/?v=749183957847148
วงสามัญชน was live.
11 hours ago
·
Harmony Beyond Borders
ดนตรีไร้พรมแดน ความหวังไร้เส้นแบ่ง
តន្ត្រីគ្មានព្រំដែន ក្តីសង្ឃឹមគ្មានការបែងចែក
___________________________________
พุธที่ 30 กรกฎาคม 2568 เวลา 16.00 - 20.00
หน้าองค์การสหประชาชาติ สะพานมัฆวานรังสรรค์
.
บทเพลงสันติภาพ
กล่อมดวงวิญญานผู้กระหายสงคราม
ส่งกำลังใจให้พี่น้องชาวไทยและกัมพูชา
ที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม


3 ข้อเตือนใจเพื่อนๆ สายเสรีนิยม : 1. ต้องยอมรับความจริงว่า ในการปะทะกับเขมรรอบนี้ รัฐบาลสอบตก กองทัพสอบผ่าน 2. ในห้วงนี้ แทนที่จะถามว่า "ทหารมีไว้ทำไม" ถาม "รัฐบาลประชาธิปไตยมีไว้ทำไม" 3. ต้องเข้าใจสงคราม เพราะนี่คืออนาคตของเรา - เพื่อนผู้หวังดีแนะนำ


Don Plooksawasdi
11 hours ago
·
3 Humble Advices to Fellow Liberals : 3 ข้อเตือนใจเพื่อนๆ สายเสรีนิยม
.
1. ต้องยอมรับความจริงว่า ในการปะทะกับเขมรรอบนี้ รัฐบาลสอบตก กองทัพสอบผ่าน
.
2. ตอบคำถาม "รัฐบาลประชาธิปไตยมีไว้ทำไม" ให้ดี ในทุกๆ วันที่ยังมีสันติภาพ
.
3. เสรีนิยมต้องเข้าใจสงคราม เพราะนี่คืออนาคตของเรา
.
1.
ทั้งๆ ที่มีหลักฐานชัดเจน ขนาดนักวิเคราะห์ต่างชาติยังหาภาพถ่ายดาวเทียมพลเรือนมาโชว์ได้ว่าเขมรเตรียมการมาตั้งแต่ต้นปี แต่รัฐบาลกลับสอบตกในการป้องปราม (deter) เขมรอย่างน่าเสียดาย
.
ความพยายามประนีประนอมผ่านหลังบ้านแบบผิดๆ ก็สอบตก
.
พอเกิดการรบแล้ว ก็สื่อสารกับประชาชนช้า ต่อต้าน io เขมรบนเวทีโลกก็ยืดยาด ถามว่าถ้าเพจข่าวต่างๆ, เพจ wild chronicles ไม่เอา โพสต์ Nathan Ruser มาลง คนแชร์กันเป็นแสน คนทั่วไปจะรู้ไหมว่ามีหลักฐานดาวเทียมที่ชัดเจนมัดเขมร
.
ขณะที่รัฐบาลปล่อยจอยด้านการสื่อสาร กองทัพกลับว่องไว ข้อมูลต่อประชาชนกระชับ ใช้ศัพท์เข้าใจง่าย กระตุ้นอารมณ์ฮึกเหิม ทุบๆๆ ถล่มๆๆ (บางทีก็มากไปนิดและมีกระทบนักการเมืองในประเทศด้วย) เห็นได้ชัดว่าพัฒนาจากยุคบิ๊กตู่มาก
.
ในระบอบประชาธิปไตย การสื่อสารของกองทัพที่มากกว่ารัฐบาลแบบนี้ไม่ดีแน่นอน อันตรายด้วย แต่จะให้ทำไงในเมื่อรัฐแทบไม่หยิบกระบอกเสียงมาจ่อปากเลย?
.
ส่วนงานหลักในการป้องกันประเทศ คุณจะเป็นซ้ายแค่ไหนก็ต้องยอมรับว่ากองทัพทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม ประสานทั้งบกอากาศได้คุ้มค่ากับที่ฝึกมากับสหรัฐทุกปี, กระทั่งที่ซื้ออาวุธจีนมาใช้แซมๆ บ้างก็ Make Sense ปรากฎว่าจรวดต่อต้านอากาศยานที่เขมรมี เราก็มี ทำให้รู้ไส้รู้พุงหมด F-16, Gripen ก็ทำงานได้ปลอดภัยขึ้น, รบก็สุภาพบุรุษไม่ใช่นิสัยเดรัจฉานแบบรัสเซีย
.
ถามว่ากองทัพมีส่วนเพิ่มความตึงเครียดชายแดนไหม กระทั่งนักวิเคราะห์ต่างประเทศก็บอกว่ามีส่วน (และควรถูกรีวิวโดยฝ่ายการเมือง) แต่เหตุการณ์จากฝั่งเราน้อยกว่าจากฝั่งเขมรหลายขุม และไม่เพิ่มระดับ Escalatory เท่ากับการขุดคูเลต,วางกับระเบิด,ขยับปืนใหญ่อัตตาจรมาครึ่งประเทศแน่นอน
.
ฉะนั้นการที่ สส ส้ม ออกมาบอกว่า อ๊ากก อย่าไว้ใจทหาร พวกมันขี้โกหก! จึงค้านกระแสความรู้สึกของประชาชนรวมถึงความเป็นจริงที่รับทราบกันในวันนี้อย่างแรง
.
คุณอุ๊งอิ๊งก็พลาดในแบบเดียวกันในบทสนทนาอังเคิล ด้วยการบอกว่า "ทหารไม่ใช่ฝ่ายเรา" โดยลืมไปว่า ถึงทหารจะไม่อยู่ฝั่งเราแต่วัดระยะความใกล้ชิด ยังไงก็ใกล้กว่าตระกูลฮุนนาจา
.
ในบริบทวันนี้ คุณไม่สามารถบอกได้เลยว่า ทหาร "ผิด" โดยบอกว่าเขาทำงานไม่ดีเมื่อเทียบกับรัฐบาล หรือ "เลวร้าย มือเปื้อนเลือด" อย่างเขมรในแบบ Bothsidesism
.
พอเห็น สศจ,ปิยบุตร เอาวาทกรรมเลนินเรื่องสงครามป้องกันตัวเองมาผลิตซ้ำแล้วได้แต่ส่ายหน้า โอ๊ย ไปด่าเขาว่าติดหล่มสงครามเย็น ตัวเองนี่หลุดมาจากยุคต้นศตวรรษที่แล้ว ของปิยบุตรนี่ยิ่งน่าสมเพชใหญ่ เพราะรีโพสต์ที่ตัวเองเขียนแบกรัสเซียกลายๆ เมื่อปี 2022 มาตะแบงอีกรอบ
.
ในประเทศที่มี รปห หลายครั้ง แต่ละครั้งสร้างความพินาศ แน่นอนว่าเราต้องระแวดระวังและตรวจสอบกองทัพอยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่สามารถบิดความจริงได้ว่ารอบนี้ใครทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีกว่ากัน ยิ่งพยายามแถ คนยิ่งเกลียดเอานะวิ
.
2.
.
เมื่อการรบเริ่มสงบแล้ว และเราตอบคำถามว่า "มีทหารไว้ทำไม" ได้ (ซึ่งก็ไม่รู้จะถามทำไม เพราะหน้าที่ชัดเจนอยู่แล้ว) เราก็ต้องตอบคำถามต่อไปว่า "รัฐบาลประชาธิปไตยมีไว้ทำไม" ให้ได้เหมือนกัน
.
ชาวบ้านในพื้นที่อพยพมาหลายวันไม่ได้ทำงาน คนชายแดนขายของไม่ได้น่าจะอีกนาน จะชดเชย ช่วยเหลือยังไง
.
การท่องเที่ยวจะกู้ท่าไหน เพราะคนจีนยังไม่หายกลัวลักพาตัวเลย ดันมีสงครามให้ชาติอื่นหวาดเสียวอีก
.
เศรษฐกิจทั้งชายแดนและ Immigrant Economy ในเมืองใหญ่ที่เปิดร้านอาหารต้องมีพม่า สร้างตึกต้องใช้เขมร แต่ตอนนี้คนงานน่าจะหายไปเป็นหลายหมื่น
.
เรื่องที่สอบตกที่สุดก่อนการปะทะคือเรื่องสื่อสาร ต้องทำให้ดีกว่านี้เสียที รัฐบาลพลเรือนต้องกลับมาเป็นตัวหลักในการให้ข้อมูล
.
ประชาชน,คนในพื้นที่ ทำยังไงให้เขาอุ่นใจที่จะกลับบ้าน
.
พิสูจน์ให้โลกเห็นว่าเขมรเริ่มก่อนยังไม่พอ ต้องพาทูต,นักข่าวนานาชาติเดินดูความเสียหาย ไม่ให้เขมรเรียกคะแนนสงสารฝ่ายเดียวจนคนลืมว่าใครเริ่มก่อน
.
กัมพูชาแพ้ในสนามรบ เสียทหารมากมาย ยึดปราสาทหรือพื้นที่มาโชว์กลุ่มคลั่งชาติในประเทศไม่ได้ คงไม่ยอมแพ้แน่นอน อย่างน้อยก็ต้องเอาชนะบนเวทีโลกหรือในการเจรจากับทรัมป์ (ณ วันนี้โดน % ภาษีน้อยกว่าไทยนิดนึง ฮุน มาเน็ตก็ประกาศชัยชนะได้แล้ว)
.
Narrative ที่เขมรจะพยายามปั่นคือฝ่ายไทยโหดร้าย ทำเกินกว่าเหตุ จะชนะในสนามรบนี้ รัฐบาลต้องหาคนพูดอังกฤษได้เดินสายพูดออก Fox News ปิดท้ายว่า thanks to president Trump, หา Celeb ท่องเที่ยวทำคลิปชายแเดนสร้าง Content Viral ว่าเราถูกโจมตีก่อนลำบากยังไง, หลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับการละเมิดหยุดยิงเอามาแสดงในแบบย่อยง่าย
.
เรื่องนี้รัฐต้องทำให้ดีกว่ากองทัพให้ได้ เพราะที่ผ่านมาโพสต์จากฝั่งทหารไทยวนอยู่แค่ในเน็ตไทย คนต่างชาติไม่ได้รับรู้หรือเชื่อ กลายเป็นคนไทยที่ออกสื่อ ตปท และพูดได้ดีสุดคืออาจารย์ ปวิน
.
ผมไมได้เลือกรัฐบาลเพื่อไทย แต่ขอภาวนาให้กู้สถานการณ์สำเร็จ ขอให้เเบกทั้งหลายช่วยกระซิบความสำคัญของการ Win the Peace ต่อรัฐบาล อย่าคิดว่ามีดีลจะไม่มีรัฐประหาร
.
ในเยอรมันขวาจัดยังกลับมาในคราบพรรค afd ได้เลย ทุกสังคมพร้อมรีเซ็ตต้อนรับเผด็จการเสมอถ้าประชาธิปไตยไม่ทำให้อะไรดีขึ้น
.
เมื่อวานก็เพิ่งมีนักข่าวปั่น Narrative "มีดแทงข้างหลัง" เพราะไม่เข้าใจคำว่าการหยุดยิงอย่างไม่มีเงื่อนไข ที่น่ากลัวกว่าคำตอบแข็งๆ วกๆวนๆ ของภูมิธรรมคือคนในเมนต์อินกับการถามอารมณ์ขึ้นนำแบบนี้
.
ในบริบท Win the Peace รัฐบาลประชาธิปไตยสามารถมองทหารเป็น "ฝั่งตรงข้าม" ได้ในลักษณะ "คู่แข่ง" ที่ต่างคนต่างแข่งกันทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ถ้าต่างคนต่างทำงาน ทุกคนในชาติจะ win-win
.
3.
.
จากนี้ไปทำใจได้เลยว่างบการทหารลดได้ยากแม้เศรษฐกิจประเทศจะขาลง เพราะถ้าจะป้องปรามกัมพูชาในสนามรบ เราคงต้องจัดหาความสามารถอีกมาก
.
รอบนี้เท่าที่ทราบ เราทำลายเครื่องยิงจรวดพิสัยไกล PHL-03 ของเขมรไม่ได้เลย การฆ่านักธนู (รถยิง) มีประสิทธิภาพกว่าการสกัดลูกธนู (จรวด) เเปลว่าต้องเติมความสามารถสอดแนมให้ลึกเข้าไปหลังแนวกัมพูชาได้มากกว่านี้
.
เห็นแล้วก็ต้องยิงให้ถูก ไทยยังมีอาวุธปล่อยทางอากาศที่แม่นยำในปริมาณไม่มาก ครั้งหน้าเราอาจจะใช้เครื่องบินไม่ได้ง่ายเหมือนเดิม เขมรไม่ต้องซื้อเครื่องบินรบแต่จัดหาจรวดต่อต้านอากาศยานมาเพิ่ม หรือส่งโดรนโจมตีสนามบินยุทธการ ก็ลดความได้เปรียบของไทยได้
.
อีกทางหนึ่งที่กัมพูชาสามารถสร้างความเสียหายให้ไทยคือการทำลายความสามารถทางเศรษฐกิจ รอบนี้แค่ภัยจาก PHL-03 แค่ 6 คันก็ทำให้คนต้องอพยพกันหลายหมื่น กัมพูชาสามารถเพิ่มอีก 6-12 คันได้ไม่ยากเกินไป แถมยังเสริมด้วย Kamikaze Drone เล็งใส่อำเภอเมืองได้อีก
.
นั่นหมายถึงต้องมีการจัดหาอาวุธรุก-รับที่ดีและทันสมัยมาเพิ่มในทุกมิติ ยังไม่รวม Infrastructure ฝั่งพลเรือนตามแนวชายแดนเช่นหลุมหลบภัย, ถนนหนทาง น่าจะหลักหลายๆ พันล้าน
.
การตรวจสอบของฝั่งประชาธิปไตยเพื่อป้องกันการ Corruption ยิ่งต้องโปร่งใส แต่ขณะเดียวกันก็ต้องสมเหตุสมผลด้วย นักการเมืองฝั่งเสรีนิยมต้องอธิบายเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ รวมไปถึงยุทโธปกรณ์ต่างๆ ว่าทำหน้าที่อะไร ทำไมต้องจัดหาให้กับประชาชนได้อย่างฉะฉาน ไม่ต้องกลัวคนจะด่าว่าบ้าสงคราม และควรเอาอุตสาหกรรมอาวุธมาเป็นส่วนหนึ่งในแผนเศรษฐกิจ อย่าเดินพลาดแบบพวกนักการเมืองเสรีนิยมยุโรป
.
อีกรากของความขัดแย้งคือ Call Center, Scam Center ที่พัวพันผู้มีอิทธิพลมากมาย ก็ต้องอาศัยรัฐบาลประชาธิปไตยที่โปร่งใสแก้ปัญหาเช่นกัน
.
เสรีนิยมที่ดียังต้องช่วยดึงสติคนในชาติไม่ให้ถลำลึกกับสงคราม ต้องธิบายได้ว่าทำไม "บุกต่อให้ถึงพนมเปญ","ยึดเขาพระวิหารคืนมาด้วย", "Regime change" ถึงเป็นสิ่งที่ผิดส่งผลร้ายต่อประเทศ แต่ไม่มีทางที่ใครเขาฟังหรอก ถ้าเราเอาแต่ "เลนินๆๆๆ", "ทหารผิดๆๆๆ"
.
อีกวาทกรรมที่ควรเลิกใช้ซะ คือ "เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า" เพราะนั่นมันใช้ได้ช่วง 1-2 ทศวรรษสั้นๆ หลังสงครามเย็น สิ่งที่เราเปลี่ยนไม่ได้คือ มุมมองของ ฮุน เซ็น ที่เห็นไทยเป็นศัตรู ใช้ประเด็นชายแดนเป็นเครื่องมือปั่นกระแสรักชาติเพื่อกลบข้อครหาว่าบริหารประเทศห่วยแตก ขายชาติให้เวียดนาม
.
ปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาควาย สำหรับฮุนเเละกลุ่มคลั่งชาติ Turbo Nationalist ในเขมรคือ "มารดาแห่งจักรวรรดิขแมร์" ไม่ต่างจากมโนภาพ "คีฟ มารดาแห่งเมืองชาวรัสเซีย"ของปูติน ต่อให้ฝ่ายค้านมีอำนาจ เขมรก็คงไม่เปลี่ยนท่าทีต่อเราอยู่ดี
.
พรุ่งนี้ถึงด่านแรกในการป้องปรามกัมพูชาจะเป็นวิถีทางเสรีนิยม เช่นวางกลไกแก้ปัญหาโดยสันติภาพร่วมกับ ASEAN, เชิญผู้สังเกตการณ์นานาชาติ แต่ต้องคู่ไปกับเสริมสร้าง Hard Power
.
ในโลก Post American Order ไม่มีอะไรจะรักษาความปลอดภัยของชาติได้เท่ากับกำลังทหารที่คู่กับระบอบประชาธิปไตยที่แข็งแรง จัดสรรใช้งบการทหารอย่างโปร่งใสโดยพลเรือน และมีภาคประชาชนที่เชื่อใจอยู่เบื้องหลังทั้งในยามสงบและสงคราม
.
ภาพ Sakchai Lalitkanjanakul: Associated Press

https://www.facebook.com/photo?fbid=10234083455801568&set=a.1389093721022



กว่าจะยกเลิกได้ ใช้เวลาเกือบ 10 ปี สภาผู้แทนราษฎรมีมติ “เห็นชอบ” ร่างพระราชบัญญัติยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติบางฉบับที่หมดความจำเป็นและไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน


iLaw
11 hours ago
·
30 กรกฎาคม 2568 สภาผู้แทนราษฎรมีมติ “เห็นชอบ” ร่างพระราชบัญญัติยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติบางฉบับที่หมดความจำเป็นและไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน (ร่างพ.ร.บ.ยกเลิกประกาศ-คำสั่ง คสช.) ในวาระที่สาม ด้วยคะแนนเสียง เห็นชอบ 402 เสียง ไม่เห็นชอบ 0 เสียง งดออกเสียง 1 เสียง ไม่ลงคะแนนเสียง 3 เสียง ส่งให้วุฒิสภาพิจารณาอีกสามวาระต่อไป หากผ่านวุฒิสภาแล้ว นายกรัฐมนตรีต้องนำร่างกฎหมายขึ้นทูลเกล้าฯ ให้พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยเพื่อประกาศเป็นกฎหมาย
.
กระบวนการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ยกเลิกประกาศ-คำสั่ง คสช. ในวาระสอง ลงมติรายมาตรา และวาระสาม ใช้เวลาในการประชุมสภาต่อเนื่องกันตั้งแต่วันที่ 23 และและวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 ในชั้นวาระสอง ลงมติรายมาตรา มีข้อถกเถียงสำคัญสองประเด็น
.
ประเด็นแรก คือ ระยะเวลามีผลยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 4/2559 ที่ยกเว้นผังเมืองรวม “เปิดไฟเขียว” สร้างโรงงานผลิตพลังงานได้ ซึ่งในกระบวนการพิจารณาชั้นกรรมาธิการ (กมธ.) ข้างมากเสนอให้ “ทอดเวลา” ออกไปก่อน โดยให้มีผลยกเลิกสองปีหลังกฎหมายประกาศใช้ แต่กมธ. ข้างน้อย ได้แก่ รศ. ปิยบุตร แสงกนกกุล วรวุฒิ บุตรมาตร รังสิมันต์ โรม สส.พรรคประชาชน และว่าที่ร้อยตรี สมชาติ เตชถาวรเจริญ สส. พรรคประชาชน เห็นว่าควรให้ยกเลิกทันทีเหมือนคำสั่งส่วนใหญ่ตามร่างกฎหมายนี้
.
ปิยบุตร กล่าวเหตุผลที่ต้องสงวนความเห็น เริ่มจากอธิบายหลักการบังคับใช้กฎหมายว่า โดยหลักทั่วไป กฎหมายส่วนใหญ่เมื่อประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา ก็จะมีผลใช้บังคับทันทีในวันถัดไป แต่มีบางกรณีที่มีข้อยกเว้นกำหนดระยะเวลาให้กฎหมายมีผลใช้บังคับในอนาคตได้ เมื่อเป็น “ข้อยกเว้น” จึงไม่ได้ใช้บ่อยๆ ไม่ได้ใช้เป็นการทั่วไป ต้องมีเหตุผลและความจำเป็นที่จะต้องกำหนดทอดเวลาออกไปก่อน ไม่ว่าจะเป็น 120 วัน 180 วัน หรือหนึ่งปี เพื่อให้หน่วยงานรัฐเตรียมความพร้อมหรืองบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมาย ตัวอย่างเช่น กฎหมายสมรสเท่าเทียม นอกจากนี้ ยังมีเหตุผลตามหลักกฎหมายมหาชน คือ การคุ้มครองหลักความมั่นคงแห่งนิติฐานะ การคุ้มครองความเชื่อถือไว้วางใจของบุคคล กฎหมายหนึ่งฉบับก่อตั้งสิทธิให้บุคคลจำนวนมาก หากเปลี่ยนแปลงกฎหมายก็จะกระทบต่อผู้ได้รับประโยชน์ จึงควรมีช่วงระยะเวลาให้บุคคลได้ตั้งตัวและทราบล่วงหน้าว่าสิทธิประโยชน์ที่เคยได้รับจะเปลี่ยนแปลงไป
.
สำหรับคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 4/2559 ตนเห็นว่าควรยกเลิกทันทีไม่ต้องรอระยะเวลา เกือบเก้าปีเต็มแล้วที่ยกเว้นพ.ร.บ.การผังเมือง พ.ศ. 2562 ได้ใช้ข้อยกเว้นมานานเพียงพอแล้ว ควรกลับมาสู่ระบบปกติ สิทธิประโยชน์ที่โรงงานหรือกิจการใดได้ไป ก็ให้คุ้มครองต่อไป
.
ในการประชุมสภา วันที่ 23 กรกฎาคม 2568 เมื่อถึงขั้นตอนลงมติรายมาตรา มาตรา 2 ระยะเวลาบังคับใช้กฎหมาย ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติ “เห็นด้วย” กับกมธ. ข้างน้อย ด้วยคะแนนเสียง 437 เสียง เห็นด้วยกับกมธ. ข้างมาก 3 เสียง งดออกเสียง 1 เสียง ไม่ลงคะแนนเสียง 1 เสียง โดยสรุปคือ คำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 4/2559 จะถูกยกเลิกทันทีในวันถัดจากกฎหมายประกาศใช้
.
ประเด็นที่สอง คือ การยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 72/2559 หรือคำสั่ง “ปิดเหมืองทองคำ” ที่ส่งผลให้รัฐบาลไทยมีข้อพิพาทกับบริษัทคิงส์เกต บริษัทออสเตรเลีย โดยกมธ. ข้างมากเห็นว่าจะคงคำสั่งนี้ไว้ ไม่ยกเลิก ด้วยเหตุผลว่าจะกระทบต่อคดีที่อยู่ในการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ
.
ก่อแก้ว พิกุลทอง กมธ.ข้างมาก แจงว่า กมธ.ไม่ว่าจะข้างมากหรือข้างน้อย ตระหนักถึงปัญหาเรื่องเหมืองทองอัคราเช่นกัน ทั้งปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ประชาชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบโดยตรง อย่างไรก็ดี เหมืองทองอัคราก็ปฏิเสธว่าสารโลหะหนักต่างๆ ไม่ได้มาจากเหมืองทองคำ จนถึงตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าหน่วยงานใดที่จะต้องสืบเสาะแก้ปัญหาเรื่องนี้ จึงฝากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมจัดการเรื่องนี้
.
เหตุผลที่กมธ. ข้างมากไม่กล้ายกเลิกคำสั่งฉบับนี้ เพราะตัวแทนของอัยการสูงสุดที่มาชี้แจงในชั้นกมธ. ให้ความเห็นว่าถ้ายกเลิกแล้วจะมีความเสี่ยงมีผลกระทบต่อรูปคดี เพราะการชี้แจงต่ออนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศนั้น ฝ่ายรัฐบาลไทยได้ให้เหตุผลว่าที่ใช้คำสั่งคสช. เพราะประชาชนจำนวนมากได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองทองแห่งนี้ ถ้าใช้กฎหมายทั่วไปจะต้องใช้เวลานานจึงต้องใช้คำสั่งนี้ไป ถ้าหากยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 72/2559 เท่ากับว่าคำสั่งนี้ก็จะสิ้นไป ปัญหาที่รัฐบาลไทยอ้างว่าเป็นปัญหาระดับชาติ ก็จะไม่มีแล้ว นี่คือเหตุผลที่กมธ. ข้างมากกังวล
.
รศ. ปิยบุตร แสงกนกกุล กล่าวว่า คำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 72/2559 กำหนดให้มีการระงับการประกอบกิจการเหมืองแร่และให้ยุติการทำเหมืองตั้งแต่ 1 มกราคม 2560 เป็นต้นไป แต่หลังจากนั้นเมื่อเอกชนที่ได้รับใบอนุญาตเล็งเห็นว่าบริษัทของตนเชื่อมโยงเกี่ยวเนื่องกับบริษัท คิงส์เกต ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติออสเตรเลีย และรัฐไทยก็ทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี (Free Trade Area : FTA) ระหว่างรัฐบาลไทยและออสเตรเลียด้วย การวินิจฉัยข้อพิพาทเขตการค้าเสรีต้องทำโดยอนุญาโตตุลาการที่รัฐบาลทั้งสองฝ่ายตั้งขึ้นมา
.
ปิยบุตรกล่าวต่อไปว่า เรื่องจะไม่มีปัญหาเลยหากรัฐบาล คสช. ใช้กฎหมายปกติออกคำสั่งปิดเหมืองทองคำไป หากเอกชนผู้ได้รับใบอนุญาตไม่เห็นด้วย ก็ยังมีสิทธิไปฟ้องร้องต่อศาลปกครองได้ หากใช้กระบวนการปกติจะไม่มีทางที่เรื่องไปถึงอนุญาโตตุลาการแบบที่กำลังประสบปัญหาอยู่ เมื่อถูกฟ้องต่ออนุญาโตตุลาการ รัฐบาลก็กลับมาต่ออายุกิจการเหมืองทองอัครา อนุญาตให้สำรวจที่ได้อีก 44 แปลงตั้งแต่ 26 ตุลาคม 2563 ถึง 25 ตุลาคม 2568 ต่ออายุประทานบัตรสี่แปลงไปอีก 10 ปี สิ่งที่รัฐบาลและ คสช. ตัดสินใจด้วยเหตุผลว่าต้องปิดกิจการเหมืองทองคำเพราะกระทบกับประชาชนในพื้นที่และกระทบกับสิ่งแวดล้อม แต่ท้ายที่สุดปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมและปัญหาประชาชนก็ไม่ได้แก้ไขอย่างสมบูรณ์ ตรงกันข้ามกลับมาเปิดเหมืองทองคำใหม่ และยังมีปัญหาใหม่อย่างการถูกฟ้องร้องในชั้นอนุญาโตตุลาการ ผู้ที่ออกคำสั่งดังกล่าว กลับไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย เพราะมีมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ (ชั่วคราว) 2557 คุ้มครองไว้อยู่ หากรัฐบาลไทยต้องชดใช้ค่าเสียหาย ผู้ที่ออกคำสั่งไปอยู่ที่ไหน และจะรับผิดชอบอย่างไร
.
ในเมื่อคนออกคำสั่งไม่ต้องรับผิดชอบ กลับทิ้งภาระให้ข้าราชการประจำต้องต่อสู้คดี เหตุใดรัฐบาลจึงไม่เจรจาต่อรองให้ทางบริษัทคิงส์เกต ยุติข้อพิพาท จะได้ไม่ต้องชดเชยค่าเสียหายถึง 25,000 ล้านบาท ปิยบุตรระบุว่า ในฐานะกมธ. ข้างน้อย เห็นตรงกันข้ามให้ยกเลิกคำสั่งดังกล่าวทันที เหตุผลแรกคือ คดีชั้นอนุญาโตตุลาการเสร็จสิ้นกระบวนความแล้ว เหลือนัดฟังคำชี้ขาด การยกเลิกคำสั่งดังกล่าวจึงไม่กระทบต่อรูปคดี เหตุผลที่สอง คือ การยกเลิกคำสั่งดังกล่าวยิ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐไทยแสดงความรับผิดชอบว่าคำสั่งดังกล่าวมีปัญหาในระบบกฎหมาย เป็นการใช้อำนาจพิเศษตามมาตรา 44 ไปปิดเหมืองทองคำ
.
ในการลงมติรายมาตรา ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นด้วยกับกมธ. ข้างมาก ที่ไม่ยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 72/2559 ด้วยคะแนนเสียงเห็นด้วย 232 เสียง ไม่เห็นด้วย 173 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง ไม่ลงคะแนนเสียง 3 เสียง
.
.
อ่านทั้งหมดได้ที่ https://www.ilaw.or.th/articles/53683

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1162234865950131&set=a.625664036273886




พรรคประชาชน เสนอ หลังบรรลุข้อตกลงหยุดยิง มุ่งสื่อสารกับประชาคมโลก มุ่งเน้นประสิทธิภาพ ฉับไว


TODAY
12 hours ago
·
พรรคประชาชน เสนอ หลังบรรลุข้อตกลงหยุดยิง
มุ่งสื่อสารกับประชาคมโลก มุ่งเน้นประสิทธิภาพ ฉับไว
.
สืบเนื่องจาก หลังจากไทยและกัมพูชามีข้อตกลงหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข เมื่อเที่ยงคืนของวันที่ 28 ก.ค. และพบว่ากัมพูชาได้ละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างต่อเนื่องเป็นวันที่สองนั้น วันนี้ (30 ก.ค.) พรรคประชาชน เปิดข้อเสนอการดำเนินการทางการทูตและการข่าวเชิงรุก
.
โดย พรรคประชาชน ระบุว่า นอกจากรัฐบาลกัมพูชาจะยืนกรานว่าไม่ได้ละเมิดข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ยังได้พานักการทูต รวมถึงผู้ช่วยทูตทหารจาก 13 ประเทศ พร้อมสื่อมวลชน เดินทางไปสำรวจพื้นที่ชายแดนฝั่งกัมพูชานั้น
.
โดยคณะทูตที่เดินทางไป ประกอบด้วยประเทศสมาชิกถาวรคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติถึง 3 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐฯ จีน และรัสเซีย รวมถึงประเทศอื่นๆ ได้แก่ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และประเทศสมาชิกอาเซียน ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ลาว เวียดนาม และเมียนมา
.
“แม้ว่ากระทรวงกลาโหมไทยจะระบุว่า มีการเตรียมพาคณะทูตไปตรวจเยี่ยม เพื่อสำรวจความเสียหายที่กัมพูชาทำต่อ 4 จังหวัดชายแดนของไทย อย่างไรก็ดี การที่ไทยปล่อยให้กัมพูชาดำเนินการทางการทูตนำหน้าไปก่อนย่อมสร้างความเสียหายมหาศาลต่อไทยในเวทีโลก เพื่อหลีกเลี่ยงข้อวิจารณ์ว่าได้ทำการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ทั้งยังสามารถนำผู้แทนต่างชาติไปสังเกตการณ์เฉพาะในพื้นที่ที่ตนเองกำหนดไว้ เสี่ยงที่จะทำให้ไทยถูกตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใสและอาจลดความชอบธรรมของประเทศไทยในสายตาประชาคมโลก”
.
พรรคประชาชน ยืนยันว่า สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา รัฐบาลจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเดินหน้าทั้งในด้านความมั่นคงและการต่างประเทศเชิงรุก ไม่ควรเป็นฝ่ายตั้งรับเท่านั้น
.
“เนื่องจาก สมรภูมิที่จะเป็นตัวตัดสิน โดยเฉพาะหลังจากมีการบรรลุข้อตกลงหยุดยิง คือสมรภูมิการทูตและการข่าว ดังนั้น ไทยจึงจำเป็นต้องสื่อสารกับประชาคมโลกอย่างต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพ ฉับไว ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน”
.
เป็นที่มาให้ พรรคประชาชน เปิดขอเสนอแนวทาง ‘การต่างประเทศเชิงรุก’ ไปยังรัฐบาลไทย ดังนี้
.
1. รัฐบาลไทยต้องไม่ลังเลที่จะให้มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน เข้ามาเป็นคนกลางในการดูแลกระบวนการหยุดยิง โดยไทย กัมพูชา และมาเลเซียควรเร่งจัดทำแนวทางและกำหนดรายละเอียดการทำงานของทีมผู้สังเกตการณ์ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและโปร่งใสกับทุกฝ่าย
.
ไทยยังสามารถแสดงบทบาทนำโดยเป็นผู้ริเริ่มการออกแบบกลไกคณะผู้สังเกตการณ์หยุดยิง ว่าควรประกอบด้วยชาติใดบ้าง จำนวนกี่คน และมีกรอบระยะเวลาปฏิบัติงานกี่วัน แล้วเสนอให้กัมพูชาและมาเลเซียพิจารณา เพื่อแสดงเจตจำนงในการใช้กระบวนการที่เป็นสากลและสันติในการคลี่คลายความขัดแย้ง รวมถึงแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าเราเคารพข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด ซึ่งจะเป็นข้อได้เปรียบอย่างยิ่งต่อสถานะของไทยในเวทีโลก
.
2. รัฐบาลไทยต้องสื่อสารกับประชาคมระหว่างประเทศในเชิงรุก ยืนยันการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของกัมพูชา พร้อมหลักฐานที่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่เพียงการตอบโต้การกล่าวหาของกัมพูชา โดยพิจารณาทุกช่องทาง ทั้งกลไก UN และองค์กรระหว่างประเทศอื่นๆ รวมถึงกลไกระดับทวิภาคีกับประเทศต่างๆ ในภูมิภาค
.
3. รัฐบาลไทยควรเปิดประเด็นอื่นๆ ต่อประชาคมโลก นอกเหนือจากการปะทะที่ชายแดน เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของผู้นำกัมพูชา เช่น การที่กัมพูชาเป็นฐานปฏิบัติการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวนมากที่ทำให้เกิดความเสียหายทางการเงินจำนวนมากทั่วโลก ตลอดจนการลอบสังหารนักการเมืองฝ่ายค้านในไทย ซึ่งสื่อต่างชาติได้รายงานและเปิดเผยคลิปเสียงการสั่งการไล่ล่าสังหารฝ่ายค้านของฮุน เซน
.
4. รัฐบาลไทยต้องจัดตั้งคณะทำงานเพื่อสื่อสารกับสื่อต่างประเทศโดยเฉพาะ โดยอาจประกอบด้วยตัวแทนทั้งจากกระทรวงการต่างประเทศ นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ทำงานเชิงรุก ไม่ใช่เพียงการแถลงหรือส่งข่าวรายวัน แต่ต้องส่งตัวแทนไปให้สัมภาษณ์ วิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์ หรือดีเบทกับตัวแทนของฝั่งกัมพูชา
.
5. รัฐบาลไทยต้องมีเอกภาพในการสื่อสาร ควรระบุให้ชัดเจนว่าใครเป็นผู้พูดหลัก และให้ข่าวที่จุดเดียว ครบถ้วน รอบด้าน และทันสถานการณ์ การให้ข่าวจากหลายทางจะยิ่งสร้างความสับสนให้กับประชาชน
.
ตอนท้าย พรรคประชาชนขอยืนยันว่า สถานการณ์ ณ วันนี้ ไทยจำเป็นต้องทำงานการทูต และการข่าวเชิงรุก อย่างจริงจัง เพื่อให้สามารถคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างสองประเทศ คืนความปกติสุขสู่พี่น้องประชาชนชาวไทยให้ได้โดยเร็วที่สุด
.
สำนักข่าว TODAY
สำนักข่าวออนไลน์ เปิดความรู้ ดูทูเดย์

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1148587837093163&set=a.661952892423329



ทำไมคนถึงบ่นกันนักว่าประเทศของเราสื่อสารช้าเกินไป โดยเฉพาะเวลาเกิดความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน ในโลกปัจจุบัน “พูดทีหลัง” ไม่ใช่แค่เสียเปรียบ แต่มันคือการยกพื้นที่ให้คนอื่นจัดฉากและกำกับเรื่องแทนเรา


Natchapat Amorngul
13 hours ago
·
"พูดไม่ทัน Framing"
รู้ไหมว่าทำไมคนถึงบ่นกันนักว่าประเทศของเราสื่อสารช้าเกินไป โดยเฉพาะเวลาเกิดความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งที่บ้านเรามีเจ้าหน้าที่มืออาชีพ มีนักการทูตดี ๆ มากมาย แต่กลับปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นคนเล่าเรื่องก่อน ขยายความก่อน และครองพื้นที่ข่าวก่อนเสมอ
คำตอบหนึ่งคือ “โปรโตคอล”
กระทรวงการต่างประเทศของเราทำงานภายใต้ระบบที่เรียกว่าโปรโตคอล ซึ่งก็คือระเบียบแบบแผนที่กำหนดไว้ว่ารัฐจะพูดอะไรได้บ้าง ต้องรอบคอบแค่ไหน ต้องประสานกับใครบ้าง ต้องมีหลักฐานอะไรแนบ ต้องรอให้ครบลำดับชั้นก่อนพูด เพราะทุกถ้อยคำที่ออกมา ไม่ใช่ถ้อยคำของคน แต่เป็นถ้อยคำของประเทศ
โปรโตคอลก็เหมือนตะแกรงกรองอย่างดี ที่ช่วยให้รัฐไม่เผลอพูดอะไรผิด ไม่พลาดในจังหวะสำคัญ แต่นั่นแหละ ในโลกที่ข่าวเคลื่อนไหวเร็วกว่าการตรวจสอบ ตะแกรงที่ถี่เกินไปก็อาจกลายเป็นอุปสรรคเสียเอง ถี่จนแม้แต่ความจริงก็เล็ดรอดออกไปไม่ทัน
ซึ่งมันหมายความว่า… เราอาจมีเหตุผลที่ดีที่ยังไม่พูด แต่คนทั้งโลกไม่ได้รอฟังเหตุผลนั้น เขาฟังสิ่งที่ถูกเล่าไปก่อนแล้ว และ framing ก็เริ่มทำงานตั้งแต่วินาทีแรกที่เรื่องถูกเล่า
ในโลกปัจจุบัน “พูดทีหลัง” ไม่ใช่แค่เสียเปรียบ แต่มันคือการยกพื้นที่ให้คนอื่นจัดฉากและกำกับเรื่องแทนเรา โดยเฉพาะเมื่อสนามการต่อสู้ไม่ได้อยู่แค่ในห้องประชุมหรือแนวชายแดน แต่คือ พื้นที่ข้อมูลข่าวสาร ที่เปิดอยู่ตลอด 24 ชั่วโมงในสื่อสากล โซเชียลมีเดีย และเวทีโลกทุกแห่ง
ประเด็นคือ โปรโตคอลกับเกมการเมือง มันเดินคนละสปีดกัน โปรโตคอลต้องตรวจสอบ ถ่วงดุล รับรอง ลำดับชั้น ทำตามระเบียบ แต่การเมืองโลกทุกวันนี้ มันวัดกันที่ใครควบคุม framing และ perception ได้ก่อน
เพราะ framing คือการวางกรอบเรื่อง ส่วน perception คือความรู้สึกของผู้คนที่ถูกกรอบนั้นนำพา มันไม่ใช่แค่เล่าเรื่องให้โลกฟัง แต่คือทำให้โลก “เชื่อว่าเป็นแบบนั้นจริง ๆ” จะจริงหรือไม่จริงไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนถามก่อน แต่คือ เขารู้สึกยังไง กับสิ่งที่ได้ยิน และเมื่อความรู้สึกนั้นถูกสร้างไปแล้ว การออกมาชี้แจงทีหลัง ก็มักไปไม่ถึงใจใครอีกเลย
ถ้าเราปล่อยให้เขา framing ก่อน แล้วเราค่อยออกมาชี้แจงทีหลัง บอกว่าไม่จริงบ้าง ขอเวลาตรวจสอบก่อนบ้าง… มันก็เท่ากับปล่อยให้เขาเป็นผู้กำกับเรื่อง แล้วเรามาเล่นบทประกอบเงียบ ๆ
ทางออกไม่ใช่การทิ้งโปรโตคอล แต่คือการออกแบบระบบสื่อสารที่เดิน “ไปพร้อมกับโปรโตคอล” ไม่ใช่เดินตามหลังตลอดเวลา
สิ่งที่เราควรทำ คือการสร้าง “3 แกนสื่อสาร” ที่สอดประสานกัน โดยไม่ต้องรอให้กระทรวงใดกระทรวงหนึ่งพูดก่อน:
1. ระดับรัฐ… framing แบบ soft โดยไม่กล่าวหา
ใช้ถ้อยคำระวัง เช่น “ฝ่ายไทยมีความกังวลต่อเหตุการณ์ล่าสุด และอยู่ระหว่างรวบรวมข้อเท็จจริงเพื่อนำเสนออย่างเป็นทางการ” ไม่ต้องกล่าวหา แค่สื่อสารว่ารับรู้ มีเหตุการณ์ และขอให้สื่อร่วมตรวจสอบ ถ่ายทอดผ่านโฆษก MFA, เพจกรมสารนิเทศ, หรือสถานทูตในประเทศเป้าหมาย
2. ระดับกึ่งทางการ… เสียงจากผู้เชี่ยวชาญและสื่อพันธมิตร
ผลักดันให้นักวิชาการด้านความมั่นคง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือสิทธิมนุษยชน เขียนบทความหรือให้สัมภาษณ์ โดยใช้สื่อกึ่งทางการ เช่น Thai PBS English, NBT World หรือช่องทางของสถานทูต เผยแพร่เสียงจากชายแดนแบบเรียลไทม์
3. ระดับประชาชนและท้องถิ่น… สื่อสารเชิงมนุษย์
ให้ NGO ชาวบ้าน ครู นักเรียน คนในพื้นที่ บอกเล่าเรื่องจริงในแบบที่โลกเข้าใจ จะเป็นคลิปสั้น ภาพถ่าย หรือ X post (Twitter) ก็ได้ ขอแค่มีความจริงอยู่ข้างใน เหมือนยูเครนที่ใช้คลิปจากชาวบ้านหลบระเบิดเป็นหลักฐานและเสียงของประเทศ
พูดช้า = แพ้แบบพูดไม่ออก
และการไม่พูด ไม่ใช่ความปลอดภัยเสมอไป ในบางกรณี มันคือการปล่อยให้เรื่องจริงของเราถูกลบเลือนจนหมดสิ้น
โปรโตคอลยังจำเป็น และควรดำรงอยู่ในฐานะระบบที่รักษาความน่าเชื่อถือของรัฐ
แต่ถ้าเราจะอยู่ในโลกที่ framing เคลื่อนไหวเร็วกว่าเอกสารรับรอง เราก็ต้องกล้ายอมรับว่า ความเร็วไม่ได้ทำลายโปรโตคอลเสมอไป ถ้าเราวางระบบไว้ดีพอ
เราจึงไม่จำเป็นต้องพูดก่อนใคร
แต่เราต้องแน่ใจว่า… ความจริงของเราไปถึงทันเวลาที่โลกยังอยากฟัง

https://www.facebook.com/natchapat.ountrongchit/posts/10163374142416081


“ฌอน โอนีล” ว่าที่เอกอัครราชทูตสหรัฐ ประจำประเทศไทยคนใหม่ กล่าวถึงการสู้รบระหว่างไทยและกัมพูชาที่ยืดเยื้อร่วมสัปดาห์ว่า ความขัดแย้งนี้ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนชาวไทย และจะส่งผลกระทบต่อความเป็นพันธมิตรระหว่างไทย และสหรัฐฯ





https://x.com/MorningNewsTV3/status/1950403477311779144


 

ลองฟังประเด็นความขัดแย้งไทย-กัมพูชาจากสื่อ DW ของเยอรมัน โดยเฉพาะ Joshua Kurlantzick จาก Council on Foreign Relation วิเคราะห์ว่า กัมพูชาน่าจะต้องการหยุดการปะทะ เพราะการทหารด้อยกว่าไทย ยื้อต่อไปมีแต่เสีย







https://x.com/PHATI0/status/1950576384520417528
NATHAKORN
@PHATI0

ลงช้านิดนึง แต่อยากให้ทุกคนลองฟังการนำแสดงประเด็นความขัดแย้งไทย-กัมพูชาจากช่อง DW ของเยอรมัน

ช่วงกลางคลิป Joshua Kurlantzick จาก Council on Foreign Relation วิเคราะห์ว่า กัมพูชาน่าจะต้องการหยุดการปะทะ เพราะการทหารด้อยกว่าไทย ยื้อต่อไปมีแต่เสีย

และเขากังขาว่าทหารไทยนั้นต้องการสันติภาพจริง ๆ เพราะประเด็นนี้ส่วนมากเกิดจากการที่ทหารปั่นกระแสความขัดแย้ง เพื่อให้ทหารมีอำนาจมากขึ้น ในขณะที่รัฐบาลพลเรือนกำลังพลาดท่า และมีความเป็นได้ว่าเมื่อทหารมีอำนาจมากขึ้น กองทัพจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองโดยตรง จนถึงขั้นรัฐประหาร

คือไม่ว่าจะเห็นหรือไม่เห็นด้วยกับบทวิเคราะห์ หรือบทวิเคราะห์นั้นจะจริงหรือไม่ก็ตาม แต่ก็ชี้ให้เห็นว่าเราอาจจะเสียเปรียบในสายตาชาวโลก เพราะข้อมูลที่เขานำมาประมวลไม่ได้มาจากฝั่งเราอย่างเดียว

เอาจริง ถ้าถอดสถานะคนไทย ฉันก็กังขากับบทบาทของทหารไทยมีประวัติรัฐประหารมามากที่สุดในโลก แถมอุ๊งอิ๊งก็บอกกับฮุนเซ็นว่าตนกับทหารอยู่คนละฝั่ง (คิดว่าตรงนี้คงไม่ต้องถกเถียงกัน เพราะจำได้ว่าแม้แต่กองเชียร์รัฐบาลก็ยอมรับประเด็นนี้)

ประกอบกันกับท่าที่ของกัมพูชาที่พยายามพาความขัดแย้งเข้าสู่เวทีนานาชาติ ให้มีคนกลาง เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจของตน ในขณะที่ไทยมุ่งแต่จะคุยทวิภาคีลูกเดียว เป็นฉัน ฉันก็มองว่าถ้าคุยกันแค่สองฝ่าย มันก็คุยกันไม่รู้เรื่อง แถมไทยจะใช้ความเหนือกว่าของตนมากดกัมพูชาเสียเปรียบอีก

เราเลยอยากฝากไว้อีกมุมหนึ่ง ว่าเราอาจจะต้องเปลี่ยนท่าที จับมือไปคุยเวทีที่มีคนกลางพร้อมกันในทุกเรื่องจะดีกว่าไหม รีบแสดงความบริสุทธิ์ใจ มีหลักฐานอะไรก็กางมาให้หมด 

คลิปเต็ม


Thailand-Cambodia conflict: Could US and China become involved? | DW News

Jul 25, 2025 


Tens of thousands have been displaced since cross-border fighting broke out on Thursday and frantic efforts have been underway to deescalate. Tonight we talk to our correspondents on the ground and ask how the US and China could get involved. 

"Thailand and Cambodia could be moving towards war", warns the acting Thai Prime Minister. Tensions over a decades-old border dispute have been flaring up between the neighbors, who have been exchanging artillery fire for a second consecutive day. On Friday evening, a Thai border commander declared martial law in eight districts along the frontier citing 'Cambodia's use of force to enter Thai territory'. Malaysia, Thailand's neighbor to the south has weighed in to de-escalate, putting a ceasefire proposal on the table that's now under consideration. 

Chapters: 
0:00 The threat of war 
4:19 Tommy Walker, Journalist
9:49 Joshua Kurlantzick, Council on Foreign Relations 
13:12 Georg Matthes, DW Southeast Asia Bureau Chief

https://www.youtube.com/watch?v=ymx3LDrnmrI


ทหารรบชนะ! รัฐพ่ายสงครามข่าว?

https://www.facebook.com/watch/?v=3055313171312779


วันพุธ, กรกฎาคม 30, 2568

ทั่นว่าที่โฆษกรัฐบาล (ก่อนกาล) ล้ำเส้นอีกแล้วสิ 'จักรภพ' แจกเนื้อหมูแช่แข็ง

อ่าว ทั่นว่าที่โฆษกรัฐบาล (ก่อนกาล) ล้ำเส้นอีกแล้วสิ จากภาพที่ สมชาย แซ่จิว บอกว่า “หนามาก! Font ชื่อตัวหนามาก!” เนี่ย Pavin Chachavalpongpun มีคำบรรยาย

แย่จังค่ะ ฉวยโอกาสสงครามเพื่อหาเสียงทางการเมือง ที่สำคัญ ไม่ใช่ทุนทรัพย์ของตัวเองด้วยซ้ำ” เธอว์ว่าเคยเขียนไว้แล้ว “มันเป็นอะไรที่คนที่ทำหน้าที่สื่อสารให้รัฐบาลไม่ควรทำเลย

หน้าที่ตัวเองคือสื่อสารค่ะ ไม่ใช่หาเสียง” 

(https://www.facebook.com/pavinchachavalpongpun/posts/ZwguTFVBbYx)

พิพาทไทย-กัมพูชา ในทางการทหาร ณ ขณะนี้ ไทยน่าจะเป็นต่อ เพราะเข้าควบคุมพื้นที่ได้แล้ว ๑๑ จุด แต่เขมรก็เพิ่มกำลังหนุนใหม่ ๔ จุด

ณ ขณะนี้ สถานการณ์ชายแดนในกรณีพิพาทไทย-กัมพูชา ในทางการทหารไทยน่าจะเป็นต่อ ดูจากแถลงของศูนย์เฉพาะกิจฯ “ไทยสามารถเข้าควบคุมพื้นที่ได้ทั้งหมด ๑๑ แห่ง” แม้นว่าในวันต่อมาตรวจพบการเพิ่มเติมกำลังของฝ่ายกัมพูชา ๔ จุด

นั่นเป็นสัญญานที่บอกว่าฝ่ายกัมพูชาจะไม่ยอมยุติง่ายๆ ข้อตกลงหยุดยิงหรือสัญญาสันติภาพใดๆ ไม่มีความหมาย เชื่อว่าการยั่วยุจะคงมีต่อไปเรื่อยๆ เหมือนกับต้องการให้มีสงครามขนาดใหญ่ ทั้งที่น่าจะตระหนักว่าเขมรจะได้รับความเสียหายมากกว่า

เหตุการณ์ที่ช่องอานม้าและภูมะเขือเมื่อคืนวันที่ ๒๙ ก.ค. ซึ่งกองทัพภาค ๒ ของไทยแจ้งว่าเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ทหารเขมรใช้ปืนเล็กและปืน ค.ยิงเข้ามาในเขตไทย พบกับการยิงโต้ตอบไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน รวมไปถึงการยึดพื้นที่กลับคืนโดยไทย

“ภูมะเขือ ช่องอานม้า ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย แนวเขตแดนช่องบก โดนตวล สัตตาโสม ช่องจอม ช่องสายตะกู บ้านกรวด...พลาญยาว” แม้กระทั่งพระวิหาร นอกจากนั้นทหารไทยได้ทำลายกระเช้าและบันได อันเป็นเส้นทางขึ้นภูมะเขือของเขมร

ครั้นถึงเช้าวันที่ ๓๐ ก.ค.ปรากฏว่าเขมรได้เพิ่มกำลังของตนในพื้นที่ช่องคานม้า ภูมะเขือ ผามออีแดง และปราสาทตาเมือนธม พร้อมกับเขมรส่งโดรนขึ้นบินสำรวจการวางกำลังของฝ่ายไทยในบริเวณเหล่านั้น มีการปะทะกันด้วยปืนเล็กเป็นส่วนใหญ่

ท่าทีประนีประนอมแต่ปาก ทั้งในระหว่างประชุมคณะมนตรีความมั่นคงและการเจรจาทวิภาคี ซึ่งมีนายอันวาร์ นายกฯ มาเลย์เป็นตัวกลาง และผู้แทนจากสหรัฐและจีนนั่งขนาบสองข้างร่วมประชุม นั้นผลออกมาต่างฝ่ายต่างแถลงไม่ค่อยตรงกันนัก

บีบีซีไทยสรุปความต่างของถ้อยแถลงจากไทยและกัมพูชา ๕ ข้อ แรกเลยทีเดียวต่างฝ่ายต่างอ้างว่าไม่ได้ยิงก่อน ไทยบอกกัมพูชายิงเข้ามา จึง “ดำเนินการตอบโต้โดยได้สัดส่วน” ทางกัมพูชาว่าไม่ได้เป็นฝ่ายเปิดฉาก ไทยอ้างเองเพื่อบีบให้กัมพูชายอมรับเขตแดน

เรื่องทุ่นระเบิดไทยแถลงว่ากัมพูชาเอาทุ่นระเบิดเก่าที่แอบเก็บไว้มาวางใหม่ ฝ่าฝืนอนุสัญญาอ็อตตาวา แต่เขมรกลับแจ้งว่าทหารไทยเดินลาดตระเวนออกไปนอกเส้นทาง เข้าไปสู่พื้นที่กัมพูชาซึ่งมีกับระเบิดตกค้างมาตั้งแต่สงครามกลางเมือง กว่า ๕๐ ปีมาแล้ว

ส่วนเรื่องใครเปิดฉากยิงก่อน ก็เป็นข้ออ้างของทั้งสองฝ่ายเหมือนๆ กัน มาตั้งแต่แรกแล้ว การเจรจาหยุดยิงที่มาเลเซีย ไทยไม่พูดถึงการหยุดยิงทันทีตามที่นายอันวาร์แถลง และขอเลื่อนกำหนดหยุดยิงออกไป ซึ่งก็น่าจะตีความได้ว่า

ไทยไม่ได้ยอมรับการเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยของมาเลเซียอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู อาจจะต้องการเจรจาสองฝ่าย ตัวต่อตัวเท่านั้น ไม่ต้องมีบวก ๓ หรือทำความตกลงต่อหน้าศาลโลก

(https://www.bbc.com/thai/articles/c5yp8dx1x6do?at_bbc_team=editorial, https://www.facebook.com/nationweekend/posts/VzZsEWbH9Z และ www.thaipbs.or.th/news/content/354823) 

ตรรกะแบบนี้อาจทำให้มีปัญหา ทหารไทยอ้างว่ากัมพูชาละเมิดสัญญาหยุดยิง เลยต้องยึดพื้นที่หลายจุดซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางทหารเอาไว้ก่อน ปักธงไทย บอกเป็นพื้นที่อธิปไตยของไทย หลายจุดเป็นพื้นที่ ที่ยังมีข้อพิพาททางกฎหมาย


Atukkit Sawangsuk
5 hours ago
·
"ปักธงไทยบน 11 พื้นที่อธิปไตยของไทย"
แน่ใจนะ ภูมะเขือ ตาเมือนธม ตาควาย และอีกหลายจุดในนี้เป็นพื้นที่พิพาททางกฎหมาย ซึ่งยังไม่ได้เป็นของใคร
กองทัพอ้างได้ว่าโดยความจำเป็นของการรบ ต้องยึดพื้นที่เหล่านี้ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางทหารเอาไว้ก่อน
แต่การประกาศว่า "พื้นที่อธิปไตยของไทย"
นี่ฝ่ายกัมพูชาอ้างได้นะว่า เป็นการใช้กำลังทหารผนวกดินแดน
แล้วมันก็จะไปศาลโลกที่คุณไม่อยากไป

สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว
9 hours ago
·
‘Smart Soldiers Strong Army’ ย้ำ กองทัพไทยยึด 11 พื้นที่สมรภูมิ ก่อนหยุดยิงมีผล

ศักดิ์ศรีของชาติ ต้องรักษาไว้ด้วยเลือดและชีวิตของผู้กล้า

พลเรือตรีสุรสันต์ คงศิริ โฆษกศูนย์บัญชาการทางทหาร (ศบ.ทก.) แถลงว่า ณ เวลา 24.00 น. วันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ก่อนที่ข้อตกลงหยุดยิงจะมีผลในเช้าวันที่ 29 ก.ค. เวลา 06.00 น.

กองทัพไทยสามารถยึดคืนและตรึงกำลังในพื้นที่สำคัญตามแนวชายแดนได้ทั้งหมด 11 พื้นที่ ได้แก่

ภูมะเขือ
ช่องอานม้า
ปราสาทตาเมือนธม
ปราสาทตาควาย
ช่องบก
โดนตวล
สัตตะโสม
ช่องจอม
ช่องสายตะกู
พระวิหาร
พลาญยาว

ทุกก้าวย่างของทหารไทย คือการยืนหยัดปกป้องแผ่นดินเกิด

ทุกหยาดเหงื่อและหยดเลือดที่หลั่ง คือคำมั่นสัญญาว่า…
“อธิปไตยไทย จะไม่ถูกลบเลือนด้วยกระสุนหรือคำลวงใด ๆ”

Thai Army Secures 11 Battlefront Areas Before Ceasefire Takes Effect

The dignity of a nation must be defended with the blood and lives of the brave.

Rear Admiral Surasan Kongsiri, Spokesperson of the Joint Operations Command, announced that as of 00:00 hrs on July 28, 2025, just hours before the ceasefire came into effect at 06:00 hrs on July 29,
the Royal Thai Armed Forces successfully reclaimed and secured control over 11 key areas along the border.

Phu Makua
Chong Anma
Ta Muen Thom Temple
Ta Kwai Temple
Chong Bok
Don Tual
Satta Som
Chong Chom
Chong Sai Taku
Preah Vihear
Phlan Yao

Every step taken by Thai soldiers was a stand to defend the land they were born on.
Every drop of sweat and blood shed is a solemn vow:

“Thai sovereignty will not be erased by bullets or broken by lies.”

#TruthFromThailand
#WarCriminal
#CambodiaOpenedFire
#อาชญากรสงคราม
#กัมพูชายิงก่อน
#ยุทธบดินทร์
#YutthaBodin
#SmartSoldiersStrongArmy

https://www.facebook.com/share/p/1AsyjUBGTK/?mibextid=wwXIfr

https://www.facebook.com/photo?fbid=1372874020866200&set=a.328293581990921