วันเสาร์, มีนาคม 31, 2561

สั่งแล้ว เลขาฯ เซ็นสั่งเอง ให้ผู้ช่วยเลขาฯ สอบเอง เรื่องเครื่องกรองน้ำแพงฉิบของ ศอ.บต.


สั่งสอบแล้ว เครื่องกรองน้ำนวัตกรรมล้ำเลิศของ ศอ.บต. ราคาแพงฉิบเครื่องละกว่าครึ่งล้าน ป๋าตือ (๒๕-๓ เรือน) ยืนยัน “ตอนนี้กำลังสอบสวนอยู่” ซ้ำให้สอบกันเองอีกด้วย

คำสั่งออกแล้ว ที่ ๓๕๙/๒๕๖๑ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้เซ็นเอง ระบุสาเหตุที่ต้องสอบสวนว่า เนื่องจากเป็นข่าวและสื่อสังคมอัดกันหนัก “ว่ามีการจัดซื้อเครื่องกรองน้ำฯ ในราคาสูงเกินจริง วิธีการจัดซื้อไม่เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุฯ และเป็นการใช้จ่ายงบประมาณที่ไม่คุ้มค่า

แต่ว่ากรรมการ ๗ คนที่ตั้งมาสอบโครงการแพงหูฉี่ของ ศอ.บต.นี้ เป็นคนในสังกัด ศอ.บต.ทั้งทีม นำโดยผู้ช่วยเลขาฯ เป็นประธาน มีผู้อำนวยการสำนักต่างๆ ของศูนย์ฯ ๓ คน กับนิติกรประจำศูนย์ฯ อีก ๓ คน ทั้งนี้กำหนดให้การสอบสวนแล้วเสร็จภายในวันที่ ๑๐ เมษายน

ข่าวอิศรารายงานเพิ่มเติมด้วยว่า โครงการจัดซื้อเครื่องกรองน้ำพลังแสงอาทิตย์นี้ยังไม่จบ เพราะเหลือเงินงบประมาณใช้ไม่หมดอีก ๔๕ ล้านบาท จะต้องติดตั้งเครื่องกรองน้ำเพิ่มอีก ๗๕ จุด ในพื้นที่จังหวัดปัตตานีและยะลา

 
ทั้งที่หลัดๆ เมื่อวันก่อน (๒๙ มีนา) นายศุภณัฐ สิรันทวิเนติ เลขาธิการศูนย์ฯ เพิ่งออกมาโต้เอง เสียงแข็งว่า “เครื่องกรองน้ำนี้เป็นนวัตกรรมใหม่ของบริษัทที่ได้รับจัดจ้างไป เป็นบริษัทที่ได้รับรางวัล อินโนเวชั่น อวอร์ด เมื่อปี ๒๕๕๙ ที่ผ่านมา”

อีกทั้งความโปร่งใสของ ศอ.บต. นั้นรับประกันรางวัลชมเชย ในอันดับที่ ๑๙ ของทั้งประเทศ จากหน่วยงานทั้งหมดกว่า ๓๐๐ แห่ง ไม่เพียงเท่านั้นทั่นเลขาฯ ยืนยันเรื่องราคา ๕ แสนกว่าไม่แพงหรอกสำหรับนวัตกรรมเหลือดื่มขนาดนี้

ทั่นว่า “ราคาจริงๆ ตามท้องตลาดในมาตรฐานเดียวกัน สูงกว่าที่ทาง ศอ.บต. จัดซื้อ ราคาขายจริงอยู่ที่ ๗๘ แสนบาทต่อเครื่อง” นั่นเชียว


ฉะนี้ สำนักข่าวอิศราเขาจึงส่งนักข่าวสายสืบลงไปสอบถามตามตัวแทนจำหน่ายเครื่องกรองน้ำ ซึ่งล้วนเป็นเครื่องพลังหยอดเหรียญ ไม่ใช่พลังแสงอาทิตย์ แต่ผู้ชำนาญการซึ่งคร่ำหวอดในวงการตู้น้ำมา ๑๕ ปี ยืนยันบ้างเหมือนกันว่า “ยังไม่เคยเจอตู้กดน้ำราคาเกิน ๕ หมื่นบาทเลย
ตัวแทนจำหน่ายตู้กรองน้ำรายนี้บอกกับ สนข.อิศราว่า “ตู้กรองน้ำแต่ละตู้มีหัวใจสำคัญอยู่ที่ไส้กรอง, ปั๊มน้ำ และถังสำรองน้ำ ซึ่งถูกติดตั้งไว้ด้านในของตู้

ลงลึกเรื่องราคาอุปกรณ์ เช่นไส้กรอง ซึ่งมีหลายเกรด ราคา ๕๐๐ บาทขึ้นไปถึง ๑,๘๐๐ บาท ตัวปรับค่ากรด-ด่าง หรือ Ph ตัวละ ๗๐๐ บาท ปรับคลอรีนอีกตัวละ ๗๐๐ บาท ค่าส่งอีก ๑,๕๐๐ บาท ดังนั้นราคาตุ้กรองน้ำพลังหยอดเหรียญจึงอยู่ที่ ๒ หมื่น ถึง ๕ หมื่น เป็นอย่างเก่ง

หากใช้พลังแสงอาทิตย์ เพิ่มค่าโซลาร์เซลส์เข้าไป บวกอุปกรณ์แปลงพลังงานอีกนิด รวมแล้วราคา (เมื่อปีที่แล้ว) อยู่ที่ ๕ หมื่นบาทหย่อนๆ แต่ตู้ของ ศอ.บต. ราคา ๕๔๙,๐๐๐ บาทต่อเครื่องนี่แพงเกิ้น

อิศราเขาคำนวณว่าวงเงินขนาดนั้น ซื้อรถปิ๊กอัพ ๑ คันยังได้ หรือจะซื้อรถเก๋ง อิโคคาร์ ๑ คันสบายๆ หรือไม่ก็เอาไปสร้างบ้านให้คนจนของนิคมสร้างตนเอง ได้ตั้ง ๒๕ หลัง

เชียงใหม่ 'ของขึ้นเกินไปแล้ว' แจ้งความผู้ใช้ภาพ "อดีตกษัตริย์ยังทนหมอกควันไม่ได้"

กระแสคลั่งย้อนยุคโบราณมาถึงขั้น ‘Hyperbole’ ของขึ้นเกินไปแล้ว เมื่อผู้ว่าฯ เชียงใหม่สั่งลูกน้องไปยื่นแจ้งความฟ้องร้องกลุ่มรณรงค์ต้านอากาศเสีย ‘City Life Chiang Mai’

เมื่อ ๓๐ มีนาคม นายศิริพงษ์ นำภา ป้องกันจังหวัดเชียงใหม่ ได้รับมอบอำนาจจากนายปวิณ ชำนิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ให้นำหลักฐานเข้าดำเนินการกล่าวโทษว่าได้มีการเผยแพร่วาดภาพสามกษัตริย์ ผู้ก่อตั้งนครเชียงใหม่ สวมหน้ากากป้องกันไอพิษ มีข้อความกำกับว่า “มาร่วมกันเอาอากาศของเราคืนมา”

ข้อกล่าวหาระบุว่านั่นเป็นพฤติกรรมไม่เหมาะสม เป็นการลบหลู่และไม่เคารพบูรพกษัตริย์ทั้งสามพระองค์ของเชียงใหม่ ส่งผลกระทบต่อจิตใจของประชาชนเป็นอย่างยิ่ง “ทั้งยังอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของจังหวัดเชียงใหม่ ทำให้เกิดผลกระทบต่อการท่องเที่ยว และเกิดความไม่มั่นคงในเศรษฐกิจของจังหวัด”

คำฟ้องอ้างว่าเป็นการกระทำความผิดตามมาตรา ๑๔ แห่ง พรบ.ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐  แล้วยังอาจเป็นความผิดตามมาตรา ๑๖ ของพระราชบัญญัติฉบับเดียวกันด้วย เนื่องจากมีข้อความภาษาอังกฤษอธิบายภาพวาดนั้นว่า

Powerful painting by student at Prem, Piyapan Thiamthakorn, who painted this as part of grade 12 IB Diploma”

-ภาพวาดอันทรงพลังโดยปิยพันธุ์ เทียมฐากร นักเรียนของ (โรงเรียนนานาชาติ) เปรม ซึ่งเขียนภาพนี้ในการสอบสำหรับประกาศนียบัตรชั้นมัธยมปลาย- ถือว่าเป็นการแพร่ภาพที่ไม่ใช่ของตน


อนึ่ง เว็บไซ้ท์ chiangmaicitylife.com เคยเสนอบทความชื่นชมโรงเรียนนานาชาติเปรมไว้เมื่อ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ทั้งในเรื่องทัศนียภาพ สภาพแวดล้อมอันร่มรื่น และหลักสูตรการเรียนการสอนของโรงเรียนแห่งนี้ ปรากฏภาพเขียนขนาดใหญ่ สามกษัตริย์สวมหน้ากากป้องกันไอพิษ ตั้งแสดงอยู่ในห้องศิลปะของโรงเรียน

มีผู้แชร์ข่าวของ ‘CM108’ กันมาก รวมทั้ง มติชนออนไลน์’ (https://www.matichon.co.th/news/897654) และเพจ พลเมืองต่อต้าน Single Gateway เพื่อเสรีภาพและความยุติธรรม #opsinglegateway ที่โคว้ตคำของ ศาสนวิทยา dr.Sinchai Chaojaroenrat ว่า

มองว่าภาพนี้มีนัยเป็นการเสียดสีเพื่อเรียกร้องให้แก้ปัญหามลพิษของเชียงใหม่อย่างเร่งด่วน”

และ Issaree Coffney เขียนข้อความคอมเม้นต์ต่อท้ายข่าวเช่นกันว่า “มองแนวสะท้อนปัญหาสุขภาพของชาวเมืองด้วยภาพอดีตกษัตริย์ยังทนหมอกควันไม่ได้จึงต้องใส่ผ้าปิดปากจมูก...

ลบหลู่ หมิ่น??? ถ้าว่างมากก็เอาเวลาไปรณรงค์แก้ไขปัญหาหมอกควัน ออกตรวจพื้นที่ให้ความรู้ชาวบ้านเรื่องเผาไร่เถอะ ยังจะดีซะกว่า...”

อย่างไรก็ดี เพจกลุ่มรณรงค์ ‘City Life Chiang Mai’ ได้โพสต์ข้อความสะท้อนการถูกแจ้งความครั้งนี้ว่า “การรณรงค์ของเราที่ถูกยกเลิกไปวันนี้ทำให้มีผู้ไม่พอใจเกิดขึ้น ส่วนน้อยบางคนเริ่มจู่โจมใส่เราแล้ว

กรุณาให้อภัย อย่างน้อยในช่วงสองสามวันต่อไปนี้ เราจะลบข้อความวิพากษ์วิจารณ์ที่อาจถูกนำไปใช้กล่าวหาเราออกไปจากเพจ

เรามั่นใจว่าไม่ช้าไม่นานความรู้ผิดชอบชั่วดีก็จะกลับมาดำรงอยู่ต่อไป ขอบคุณมากที่เข้าใจ”

วันศุกร์, มีนาคม 30, 2561

จินดามณีนั้นไม่ใช่จะท่องกันได้ง่ายๆ “แต่คุณตู่คงไม่สนใจจะฟังครูบาอาจารย์แนะนำกระมัง”

หัวหน้า คสช.เงิบคนเดียวไม่พอ ลิ่วล้อในกระทรวงวัฒนธรรมช่วยเงิบด้วย เอาใจนายประมาณดั่งตำนานฝรั่ง ที่ว่าคิงลืมใส่เสื้อผ้า แล้วพวกขี้ข้าพากันชมกันใหญ่ว่าฉลองพระองค์ช่างงามเลิศล้ำเหลือหลาย

หลังจากที่มีข่าวว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สั่งให้คณะรัฐมนตรีไปท่องโคลงกลอนในหนังสือจินดามณีมาให้ได้คนละบท ครั้นพออาทิตย์ต่อมา (๒๗ มีนา) เจอผู้สื่อข่าวถามเรื่องจินดามณีไปถึงไหน ตุ๊ดตู่เลยท่องให้ฟังเป็นตัวอย่างบทหนึ่งว่า

ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย ซึ่งกลายเป็นนิราศภูเขาทองของสุนทรภู่ ที่ประพันธ์หลังจินดามณีถึง ๑๕๐ ปี ไปเสียฉิบ

ทางด้าน รมว.วัฒนธรรม วีระ โรจน์พจนรัตน์ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเมื่อต้นอาทิตย์นี้ ชี้แจงว่านายกฯ ไม่ได้สั่งให้รัฐมนตรีไปท่องจินดามณีอย่างที่เป็นข่าว แค่ให้ไปอ่านกัน ตนเองได้เตรียมไว้หนึ่งบทสำหรับท่องให้นายกฯ ฟัง พร้อมแสดงแซมเปิ้ลว่า

“เสียงลือเสียงเล่าอ้าง อันใด พี่เอย เสียงย่อมยอยศใคร ทั่วหล้า สองเขือพี่หลับใหล ลืมตื่น...” (ฤๅพี่ สองพี่คิดเองอ้า อย่าได้ถามเผือฯ)



ซึ่งเพจ การเมืองไทย ในกะลา’ ดันจำแม่นเสียอีกว่า นั่นมาจากเรื่อง ลิลิตพระลออันเป็นรวมบทกลอนสมัยอยุทธยาตอนต้น และตัวอย่างที่ รมว.วัฒนธรรมยกมา เป็น “ตอนที่นางรื่นกับนางโรยร่วมมือกับนักดนตรีขับเพลงยอความงามของ พระเพื่อน’ ‘พระแพง นายของตัวเองให้กับ พระลอ ฟัง เพื่อให้พระลอหลงใหล” 

ที่ถ้าทั้งนายและบ่าวชวนกันไปถามรศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ เสียก่อนก็จะทราบว่า จินดามณีนั้นไม่ใช่จะท่องกันได้ง่ายๆ เนื่องจากต้นแบบในสมัยพระนารายณ์เป็นหลักสูตรสำหรับการฝึกฝนแต่งโคลงกลอน ไม่ใช่บทเรียนของเด็กๆ

จินดามณีถูกปรับให้เป็นแบบเรียนที่เรียกว่า ปฐม ก กาในสมัยรัชกาลที่ ๓ จนกระทั่งรัชกาลที่ ๕ จึงได้มีการสังคายนาใหม่ให้เป็นแบบเรียนสมบูรณ์ โดยพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เรียกว่า มูลบทบรรพกิจ


แต่คุณตู่คงไม่สนใจจะฟังครูบาอาจารย์แนะนำกระมัง” Nithinand Yorsaengrat เย้าความเขลาของทั่นผู้นำและลิ่วล้อ พร้อมกันนั้นเธอ “ขออนุญาตสรุปสั้นๆ เพิ่มเติมว่า”

1. จินดามณี มีหลายเวอร์ชั่น และจินดามณีที่เชื่อกันว่าเขียนโดยพระยาโหราธิบดีในสมัยพระนารายณ์นั้น ยังไม่เคยมีหลักฐานว่ามีต้นฉบับตัวจริงเลย มีแต่ต้นฉบับครูถูกคัดลอกต่อกันมาเรื่อยๆ แล้วคนคัดลอกก็ต่อเติมโคลง กลอนที่คนคัดลอกเห็นว่าดีเข้าไปเรื่อยๆ

2. จินดามณีในสมุดไทยฉบับคัดลอกที่ว่าเก่าแก่ตั้งแต่ยุคอยุธยานั้น อ่านยากมาก ภาษาโบราณ ไม่คุ้นปาก ไม่คุ้นหูคนสมัยปัจจุบัน และไม่ใช่หนังสือสำหรับคนทั่วไปจะใช้ท่องจำบทกลอนเป็นบทๆ แต่เป็นหนังสือสำหรับคนจะฝึกเขียน โดยเฉพาะโคลง กลอน ให้ได้เห็นตัวอย่างแบบแผนการเขียน การสะกดให้ถูกต้องตามหลักการ

3. คำว่า เอกาทศรถที่ว่ามีปรากฎในจินดามณี จึงทำให้นักวิชาการบางกลุ่มเชื่อว่าจินดามณีมีมาก่อนยุคพระนารายณ์ ก็มีนักวิชาการบางกลุ่มค้านว่า เอกทศรถ” “เอกาทศรถเป็นคำที่ใช้เรียกกษัตริย์โดยทั่วไปอยู่แล้ว

4.แบบเรียนภาษาไทยที่ปรับภาษายากของจินดามณียุคอยุธยา มาเป็นภาษาคนทั่วไป คือ ประถม ก กา สมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งยังไม่มีหลักฐานว่าผู้ใดแต่ง และประถมมาลา โดยพระเทพโมฬี ตามด้วยมูลบทบรรพกิจ ของพระยาศรีสุนทรโวหาร ในสมัยรัชกาลที่ 5

5. เห็นด้วยกับอาจารย์ธำรงศักดิ์ว่า คนสั่งให้ท่องจินดามณี คงไม่รู้จักจินดามณี

6. นึกสงสัยเองว่าคนสั่งให้ท่องจินดามณี อาจนึกว่าจินดามณี เป็นวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณีไหมนะ

7. ไม่ล้อเลียนคนสั่งให้ท่องจินดามณีแล้ว หัวเราะใหญ่ไปหลายรอบแล้ว 555 เห็นใจ ไม่รู้ไม่ผิด แต่นึกสงสัยอีกเหมือนกันว่าเขารู้อะไรบ้าง เขาเคยพูดอะไรที่ตรงความจริงบ้าง

8. จริงๆ มันก็กึ่งๆสะท้อนคุณภาพการศึกษาไทยนะนี่นะ คนระดับผู้นำประเทศที่ชอบคุยว่าเรียนเก่ง และมั่นใจมากเสมอว่ารู้ทุกอย่างดีเลิศกว่าใครๆ แสดงความรู้ทีไร ผิดๆถูกๆ หลงๆงงงวยตลอด

เลื่อนไม่เลื่อนเลือกตั้ง (อีก) อยู่ที่ คสช. จะ ‘ร่นไม่ร่น’ กำหนดจากเดิม ๑๕๐ วันไหม


สนช. คึกคักกันหนักตั้งแต่เมื่อวาน (๒๙ มีนา) ที่ได้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความร่าง พรป. เลือกตั้ง ส.ส. แน่ เพราะเข้าชื่อกันเกิน ๒๕ คนแล้ว

เริ่มที่นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ ก่อน ออกมาดี๊ด๊าว่าได้รายชื่อสมาชิกนิติบัญญัติที่ คสช.ตั้ง รวม ๒๗ คน เกินกว่าที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้แล้ว จึงได้ทำหนังสือถึงประธาน สนช. “เพื่อขอให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ

วินิจฉัย ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ใน ๒ ประเด็น คือการตัดสิทธิ์ผู้ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยไม่แจ้งเหตุ ห้ามดำรงตำแหน่งข้าราชการฝ่ายการเมือง และการลงคะแนนแทนผู้พิการ ทุพพลภาพและคนชรา ว่าขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่”

จึงเป็นบทของนายพรเพชร วิชิตชลชัย ที่จะส่งลูกต่อไป “ตนไม่ทราบว่าจะส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญวันไหน อย่างไร” แต่ก็ “ต้องอยู่ในกรอบเวลาที่ไม่เกินวันที่ ๑๒ เม.ย.” แต่กระนั้นตนก็ยังเชื่อว่า “การยื่นตีความครั้งนี้จะไม่กระทบโรดแม็ปเลือกตั้งอย่างแน่นอน”

แถมอีกนิด นายกิตติศักดิ์ปฏิเสธหัวชนฝา การตัดสินใจยื่นเองครั้งนี้ “ไม่ใช่เพราะรับสัญญาณใดจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช.แต่อย่างใด”


ขยับขึ้นมาอีกขั้น รองประธาน สนช. คนที่หนึ่ง เล่นลูกบ้าง นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย บอก “ทราบเพียงว่าสมาชิก สนช.กลุ่มหนึ่งได้มองเห็นถึงประเด็นปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต จึงต้องการยื่นร่างกฎหมายลูกดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

เพราะน่าจะเป็นประโยชน์แก่สังคมต่อไปในอนาคต ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีและคุ้มค่า เพื่อให้ข้อกฎหมายทุกอย่างชัดเจนขึ้น” ทั้งๆ ที่โดยส่วนตนแล้วเห็นว่าสองประเด็นที่จะยื่นขอตีความนั้น “ไม่ขัดรัฐธรรมนูญก็ตาม” โอว สุดยอด
 
ข้อสำคัญทั่นรองฯ สุรชัยชี้ว่า ศาล รธน.จะตีความยังไงก็ไม่น่ากระทบโร้ดแม็พการเลือกตั้ง “เพราะร่างกฎหมายลูกดังกล่าวขยายเวลาการบังคับใช้ออกไป ๙๐ วัน หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษาอยู่แล้ว

รวมทั้งน่าจะขอความร่วมมือให้ศาลรัฐธรรมนูญเร่งพิจารณาเป็นกรณีพิเศษได้ และหากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีความพร้อมก็สามารถขอให้กระชับเวลาการเลือกตั้งขึ้นมาได้”


ว้าว ยุค คสช.นี่ดีไปเสียทุกอย่าง อะไรอะไรได้ทั้งนั้น ถ้าจะเอา เอ้า ยังไม่หมด ถึงคิวหัวโจก ทั่นประธาน สนช. ขึ้นธรรมาสน์เปิดเบิ่ง

นายพรเพชรแถลงว่าได้แจ้งให้ทั่นจ่าฝูงทราบเรื่องแล้วละ “ต้องการรับทราบว่าขั้นตอนของ นายกฯ ระหว่างนี้ ได้ทูลเกล้าฯ ร่างกฎหมายตามกระบวนการหรือไม่

ทั้งนี้ในประเด็นที่เกิดขึ้นไม่ใช่การบังคับให้นายกฯ ต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง” อ้า คนนี้ก็มารยาทดีล้นเหลือ พยายามถามไถ่ กลัวจะหาว่าข้ามหน้าข้ามตาผู้หลักผู้หย่าย แถมยังวิสัยทัศน์ก้าวไกลอีกต่างหาก
 
“นายพรเพชรกล่าวด้วยว่า “ในอนาคตศาลรัฐธรรมนูญมองว่าสองประเด็นขัดกับรัฐธรรมนูญ จะไม่กระทบกระบวนการ เพราะสามารถแก้ไขเฉพาะบทบัญญัติที่ถูกตีความเท่านั้น” ฉะนั้นจึงอาจต้องขัดใจหัวหน้าใหญ่นิดหน่อย

“หากนายกฯ ตัดสินใจไม่ยื่นตีความ ทางสนช. โดยผม ยังมีสิทธิส่งคำร้องของสนช. ไปยังศาลรัฐธรรมนูญตามขั้นตอนที่รัฐธรรมนูญกำหนด” ได้ นายพรเพชรช่างกล้า เพราะเชื่อว่าไม่กระทบโร้ดแม็พด้วยเหมือนกัน

จากที่ตนอ่านข่าวจากสื่อมวลชน ที่มีข้อเสนอให้ลดระยะเวลาในกระบวนการจัดการเลือกตั้งตามกฎหมายได้ เช่น ที่กำหนดให้เลือกตั้งภายใน ๑๕๐ วัน อาจลดเหลือเลือกตั้งภายใน ๑๒๐ วันก็ได้”


ที่จริงน่าจะร่นกำหนดเลือกตั้งภายใน ๑๕๐ วันตามรัฐธรรมนูญ ให้เหลือแค่ ๙๐ วันจะดีกว่ามั้ย (เลขสวยอีกต่างหาก) กกต.ที่เหลือสี่คนต้องทำได้สิ

เพราะไหนๆ สื่อมวลชนเขาคาดกันไว้ ถ้ามีการตีความโดยศาล รธน. กำหนดเลือกตั้งอาจเลื่อนไปอีกได้ถึง ๒-๓ เดือนไง

เป็นเรื่องอีกไหมนี่ 'อาซาฮี' สัมภาษณ์ทักษิณ มั่นใจเพื่อไทยชนะเลือกตั้งถล่มทลาย

เมื่อ ๒๙ มีนาคม เว็บไซ้ท์ asahi.com รายงานข่าวสองพี่น้องอดีตนายกรัฐมนตรีไทย ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไปร่วมงานเปิดตัวหนังสือของนายฮาจิเมะ อิชิอิ อดีตรัฐมนตรีกิจการภายในญี่ปุ่น ที่โรงแรมเเห่งหนึ่งในแขวงชิโยดะ

"การเยือนญี่ปุ่นดังกล่าวนับเป็นครั้งที่ 2 หลังจากครั้งแรกเดินทางมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ระบุว่าจะพักในญี่ปุ่นราว 2-3 วัน"
นายอิชิอินั้นเป็นผู้รับรองให้ทักษิณเดินทางมายังประเทศญี่ปุ่นเมื่อเดือนสิงหาคม 2554 หลังจากอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยต้องหนีออกนอกประเทศในการรัฐประหารเมื่อปี 2549

ในการเยือนคราวนี้ "ทักษิณให้สัมภาษณ์กับอาซาฮีระบุว่า ตนหวังว่าประเทศไทยที่อยู่ภายใต้การปกครองของทหาร จะหวนคืนสู่ประชาธิปไตยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้"

ทักษิณกล่าวด้วยว่า เสรีภาพในการแสดงออกนั้นจำเป็นสำหรับประเทศไทย ประชาธิปไตยจำเป็นสำหรับเศรษฐกิจ

ต่อคำถามเกี่ยวกับกำหนดเลือกตั้งในประเทศไทย ที่ คสช.เลื่อนมาถึงครั้งล่าสุดในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ นั้น ทักษิณตอบว่า
"ผมไม่เกี่ยวกับพรรค และพรรคไม่อนุญาตให้ผมเกี่ยวข้อง ผมเชื่อว่ามีคนดีๆ จำนวนมากอยู่ในพรรคเพื่อไทย และพวกเขาควรมีความสามารถในการนำพรรคไปสู่ชัยชนะถล่มทลายอีกครั้งหนึ่ง"

(เนื้อหาจาก https://www.matichon.co.th/news/896623, https://prachatai.com/journal/2018/03/76129?utm_source=dlvr.it&utm_medium=twitter และ https://www.posttoday.com/politic/news/546085)  

วันพฤหัสบดี, มีนาคม 29, 2561

แก้เศรษฐกิจโดยประดิษฐ์คำ คราวนี้จะ 'ทะยาน' โดยเอื้อธุรกิจยักษ์เจ้าสัว

พวก คสช.นี่บริหารบ้านเมือง แก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยการประดิษฐ์คิดคำ เอามาใช้หลอกชาวบ้านไปวันๆ สองสามวันก่อน ทั่นรองฯ กูรูฝ่ายเศรษฐกิจบอกไทยกำลัง ทะยานไปสู่โฉมหน้าใหม่

“เป็นเศรษฐกิจยุคใหม่ในระดับที่พัฒนาขึ้น และพร้อมเป็นศูนย์กลางการลงทุน การคมนาคมขนส่งและการท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียน โดยมีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นส่วนสำคัญต่อการทะยานในครั้งนี้” 


ขณะที่ “โลตัสจัดโรลแบ๊คสู้กำลังซื้อดิ่ง ดัชนีอุตสาหกรรมตก คนว่างงานเหยียบ ๕ แสน ข้าว ยาง ปาล์ม สินค้าเกษตร ผลไม้ราคาตก” (จากคอมเม้นต์ของ ชัยวุฒิ สุวรรณโณ)

ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ยังพูดถึง “การก้าวไปสู่การพลิกโฉมประเทศ จำเป็นต้องมุ่งเน้นพัฒนากลุ่มเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเป้าหมาย” โดยมีเลขาธิการสำนักงานนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี่ และนวัตกรรม (สวทน.) มาเสริมว่า เมื่อปีที่แล้วมีการลงทุนด้านนี้จำนวนมหาศาลถึงกว่า ๑ แสนล้านบาท

ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ อ้างว่าการลงทุนในส่วนของอุตสาหกรรมการผลิต สูงสุดเป็นด้านอาหาร ที่เฉือนด้านยานยนต์ด้วยมูลค่า ๑๕,๐๕๑ ล้านบาท กับ ๑๑,๘๗๙ ล้านบาท แต่ดูเหมือนว่าการพัฒนาไปกระจุกอยู่กับนายทุนอุตสาหกรรมรายใหญ่ ซีพี สหพัฒน์ และไทยเบฟ

ปล่อยให้นวัตกรรมแท้ๆ ถูกเบียดบัง และแม้กระทั่งเอารัดเอาเปรียบ ตัวอย่างใหม่เอี่ยมในประเด็นนี้สองเรื่องคือ กรณีรถเร่ มินิซีออกจำหน่ายสินค้าของชำ (groceries) ตามชุมชน นัยว่าเป็นการทดลองตลาดเฉพาะที่ราชสีมาก่อนเท่านั้น แต่ก็ทำให้บรรดาผู้ค้ารถกระบะรุงรังพากันร้องจ้าก

อีกกรณีเกี่ยวกับนวัตกรรมการผลิต เบียร์ประดิษฐ์ หรือ ‘Craft beers’ ที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างสูง และสามารถคิดค้นได้ในประเทศ แต่ต้องนำไปผลิตนอกประเทศเพราะกฏหมายเอื้อเฉพาะอุตสาหกรรมเบียร์รายใหญ่ อย่างบุญรอดฯ และไทยเบฟ

เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว บีบีซีไทยเสนอรายงานเกี่ยวกับคร้าฟท์เบียร์ไทย “แค่คิดก็ผิดแล้ว” พบว่ามีเบียร์ประดิษฐ์สัญชาติไทยเกิดขึ้นราว ๓๐ ราย ในรอบสองปีที่ผ่านมา แต่ว่าไม่สามารถผลิตในประเทศได้ แม้แต่การทดลองสูตรส่วนผสม ก็ยังถูกปรับกันระนาว
 
นันท์ชนก วงษ์สมุทร ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย เล่าถึง “เอ๊าท์ลอว์ เบียร์สัญชาติไทยซึ่งมีสำนักงานอยู่ใน อ.เมือง จ.เลย ถูกดำเนินคดีในระหว่างที่ทดลองค้นสูตรเบียร์ที่เหมาะสม ก่อนการนำสูตรดังกล่าวไปผลิตอย่างถูกกฎหมายในต่างประเทศ” (กัมพูชา)

ยังมีผู้ผลิตและคิดค้นอีกหลายเจ้าที่ถูกจับถูกปรับกันรายละหลายๆ ครั้ง เพราะจำเป็นต้องทดลองสูตรของตนภายในประเทศให้สมบูรณ์เสียก่อนจะส่งไปผลิตนอกเขตแดน ผู้ผลิตเหล่านั้นคิดค้นเบียร์คุณภาพดี รสชาติใหม่ๆ เป็นที่นิยมดื่มแพร่หลาย

ด้วยตัวบทกฎหมายที่เอื้อเฟื้อบริษัทเจ้าสัวแต่จำกัดจำเขี่ยกับผู้ผลิตแบบศิลปินเช่นนี้ ทำให้นวัตกรรมชนิดที่รองฯ สมคิดคุยนักหนาในปาฐกถา รังแต่จะเฉาตาย ขณะเดียวกันแนวโน้มที่บริษัทยักษ์ใหญ่ในประเทศตะวันตกจะเข้ามารุกตลาดคร้าฟท์เบียร์เอเซีย จะยิ่งทำให้เบียร์ประดิษฐ์ไทยตายทั้งกลม

(ดูรายงานของนันท์ชนกได้ที่ http://www.bbc.com/thai/thailand-43084382?SThisFB)

ย้อนกลับไปเรื่อง มินิซีแรกมีเสียงบ่นว่า “ใครรู้จักเจ้าสัวเจริญและลูกชาย (ฐาปน) ช่วยบอกพวกเขาด้วยว่าอย่าทำถึงขั้นนี้เลย ไอเดียดีขายของได้เงินมากขึ้น แต่ทำร้ายพ่อค้าแม่ค้ารถเร่จะอยู่ต่อกันไม่ได้...ขอเว้นที่ทำกินตามตรอกซอกซอย หมู่บ้านให้คนจนๆพอจะหาเช้ากินค่ำได้บ้าง”
 
ทว่านายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ ชี้แจงว่า “ขณะนี้ยังบอกไม่ได้ว่าธุรกิจดังกล่าวกระทำผิด เพราะดูจากข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การดำเนินการดังกล่าวของห้างค้าปลีกรายใหญ่สามารถทำได้ไม่ต้องขออนุญาต”


โพสต์บ่นของ Adisak Limparungpatanakij ได้รับการตอบสนองและเอาไปแชร์ Nithiwat Wannasiri เสริมว่า “ของที่ขายจากระบบสายพานอุตสาหกรรมกับระบบสายพานการผลิตท้องถิ่น ยังมีความแตกต่างของสินค้าอยู่ อันไหนมันเหมือนกันก็เกิดการแข่งขัน ก็เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคมากกว่า

สิ่งที่คิดว่าควรจะโวยจริงคือการ ละเว้นภาษี ๕%’ ให้ ๒๔ ทุนใหญ่ประชารัฐ เพราะมันเป็นการทำลายศักยภาพการแข่งขันทางการตลาดของทุนที่ไม่หนุนรัฐประหาร”

นั่นไง ทั้ง ประชารัฐและ ไทยนิยมยังเป็นแต่เพียงราคาคุยและวาดฝัน แต่ว่างบประมาณถูกถอนออกมาใช้อย่างมือเติบ และไม่มีหลักประกันให้เกิดความมั่นใจเลยว่าจะประสพความสำเร็จ การเรียกร้อง อยากเลือกตั้งเพื่อให้ได้รัฐบาลที่อย่างน้อยประชาชนได้มีส่วนคัดสรร ย่อมจะสร้างความมั่นใจได้มากกว่า

บ้านพักตุลาการเชิงดอยสร้างต่อ แต่ขอให้ปรับกลมกลืนภูมิประเทศ (แนะ :ตัดต้นไม้รายรอบ หรือปลูกต้นไม้ภายใน ดี)


“ขั้นตอนต่างๆ ที่ดำเนินการ ถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง” ผบ.ทบ.อ้างกองทัพภาค ๓ เข้าไปตรวจสอบโครงการบ้านพักศาลอุทธรณ์ภาค ๕ เชิงดอยสุเทพ ในเขตอำเภอแม่ริม เชียงใหม่

แต่ถ้าดูจากภาพถ่ายทางอากาศ บริเวณก่อสร้างหมู่บ้านตุลาการทะลวงเข้าไปเป็นติ่งอยู่ภายในแวดล้อมของอุทยานแห่งชาติ ดอยสุเทพ-ปุย ชัดแจ๋ว

ถ้าอย่างนี้แสดงว่า ด้วยอำนาจวิเศษของกองทัพ พื้นที่อุทยานแห่งชาติสามารถตีวงโค้งอ้อมพื้นที่หมู่บ้านจัดสรรของตุลาการได้ หรือไม่ก็กองทัพเป็นผู้ทรงอำนาจเหนือใคร สั่งให้ทะลวงเข้าไปก่อสร้างหมู่บ้านหรูอยู่อาศัยเป็นติ่งอยู่ภายในแวดล้อมของป่าสงวนได้ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือสองอย่างรวมกัน

พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ท้าวความอ้างด้วยว่า พื้นที่ ๑๔๗ ไร่ ที่เดิมเป็นพื้นที่ราชพัสดุ อยู่ในความดูแลของกรมธนารักษ์นี้ ทางสำนักอธิบดีผู้พิพากษาภาค ๕ ได้ทำเรื่องขอต่อกองทัพบกครั้งแรกในปี ๒๕๔๐ แล้วไม่ได้รับอนุมัติ ต่อเมื่อตุลาการตื๊อขออีกครั้งในปี ๒๕๔๖ คราวนี้ ทบ.ใจอ่อนยอมอนุญาตเมื่อต้นปี ๕๗

ตอนนี้งานใกล้เสร็จแล้ว ๙๕ เปอร์เซ็นต์ คาดว่าอีก ๑-๒ เดือนข้างหน้าก็จะสามารถปิดงานได้ จึงอนุญาตให้ดำเนินการต่อได้ “แต่ต้องไปปรับในเรื่องของความเหมาะสม ให้กลมกลืนกับพื้นที่ภูมิประเทศ”

(นี่ช่วยคิดนะ ไม่แน่ใจว่าจะให้โครงการปลูกต้นไม้กลับเข้าไปใหม่ให้กลืนกับบริเวณล้อมรอบ หรือว่าตัดต้นไม้บริเวณที่รายรอบให้เหี้ยนเตียนเหมือนภายในหมู่บ้านดี)

แต่อย่างไรก็ตาม ทั่น ผบ.ทบ.เป็นคนไน้ซ์ ทั่นบอกว่า “กรณีดังกล่าวเดินมาไกลแล้ว จะลงตัวอย่างไรให้ยอมรับกันได้ และไม่เสียหายมากนัก เพราะใช้งบประมาณลงไปพอสมควร”

ถ้าหยุดโครงการก็จะเกิดความเสียหายแก่บรรดาทั่นตุลาการ “แต่จะเดินต่อไปอย่างไรที่จะเกิดผลกระทบ และต่อความรู้สึกของพี่น้องประชาชนน้อยที่สุด” ทั่น ผบ.ทบ.ห่วง


ทางด้านตุลาการก็ไน้ซ์พอกัน นายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม พูดไว้เมื่อ ๒๗ มี.ค. ๖๑ ว่า “สิ่งที่เราทำมีเจตนาดี เราไม่ได้จะทำลายสิ่งแวดล้อมหรือทำให้เกิดความเสียหายกับธรรมชาติ”

และ “ศาลยุติธรรมเองก็ให้ความสำคัญในการดูแลสิ่งแวดล้อม...สิ่งนี้เราให้ความสำคัญ และเราไม่ได้พูดอย่างเดียว แต่เราทำ” เพจ หมาเฝ้าบ้าน เขาจำแม่น เลยเก็บภาพมาไว้ให้ดูเป็นสักขีพยาน

สนธิญานกร่างใหญ่ ให้ร้ายธนาธร ลามปามไปถึงทักษิณ กล่าวหา "ก้าวล่วงสถาบันพระมหากษัตริย์"


สนธิญานกร่างใหญ่ ได้ช่องก้าวร้าว ว่าร้ายธนาธร ลามปามไปถึงทักษิณ กล่าวหา “ก้าวล่วงสถาบันพระมหากษัตริย์” สบประมาทธนาธรเป็น “ซ้ายปัญญาอ่อน” และลำเลิกถึงต้นตระกูล ว่าหนีตายจากจีนมาพึ่งพระบรมโพธิสัมภาร

เมื่อ ๒๘ มีนาคม เว็บไซ้ท์สปริงนิวส์ออนไลน์ ตีพิมพ์ข้อเขียนของนายสนธิญาน ชื่นฤทัยในธรรม กรรมการคนหนึ่งของบริษัท หมิ่นประมาทนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ว่าเป็นซ้ายปัญญาอ่อน 

อีกทั้งกล่าวให้ร้ายโดยนำไปเทียบเคียงกับอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ว่าจะพบ จุดจบสุดท้ายเหมือนกัน จากการ ก้าวล่วงสถาบันกษัตริย์

โดยอ้างหลักพุทธศาสนาเกี่ยวกับ “อนิจจัง ทุกขัง อนันตา” (คำหลังนี่น่าจะพิมพ์ผิดไปจาก อนัตตา หรือผู้เขียนเขียนผิด แต่สำนักพิมพ์เลินเล่อในการพิสูจน์อักษร ไม่เช่นนั้นคงจงใจอ้างถึงหนัง animation เรื่องโด่งดังของไทย)

บทความเต็ม ดังนี้ :


ธนาธรระวังจุดจบเหมือนทักษิณ

เคยคิดปฏิวัติพลิกแผ่นดินนี้มาก่อนธนาธรจะเกิดเสียด้วยซ้ำ สถานะทางชนชั้นเป็น ไพร่โดยกำเนิด แต่ทำไมเลิก? จะขยายให้ได้รู้

เมื่อศึกษาและคิดเดินหน้าปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคม ก็เริ่มต้นที่ทฤษฎีว่าด้วย ความเท่าเทียมก็ต้องเริ่มต้นทำความเข้าใจเรื่องของชนชั้น ว่าที่ได้มีขึ้นนั้นเกิดจาก โครงสร้างทางเศรษฐกิจและปัจจัยการผลิตเป็นตัวกำหนด !!!

แต่เมื่อหันไปมองข้อเท็จจริงในปัจุบันนี้ ไพร่จะไปปฏิวัติ เจ้าที่ดินที่ไหน??? เพราะในประเทศไทยนั้นที่ดินถูกกระจายไปยังประชาชนคนธรรมดาหมดแล้ว คนที่ถือครองที่ดินและมูลค่าส่วนเกินอื่นๆล้วนเป็น ชนชั้นนายทุนเช่นเดียวกับตระกูลของ ธนาธรทั้งสิ้น


เพราะฉะนั้นถ้า ธนาธรคิดถึงจะปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคมก็ต้องโค่นล้ม ชนชั้นนายทุนและ ตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจของ ธนาธรเสียก่อนเป็นลำดับแรกแล้วก็ยึดบริษัทมาให้ กรรมกรหรือ พนักงานเป็นเจ้าของตามทฤษฎีของความเท่าเทียม!!!

ธนาธรทำตัวมีปัญหากับ สถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งๆ ที่ต้นตระกูลของ ธนาธรหนีตายมาจากจีนผืนแผ่นดินใหญ่มาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของ พระมหากษัตริย์ไทยแล้วก็ใช้แผ่นดินนี้แสวงหาความร่ำรวยจนลูกหลานอย่างธนาธรอยู่กันอย่างสุขสบาย แต่ยังสามารถคิดเนรคุณได้!!!! ลองไตร่ตรองดูว่าเป็นความจริงหรือไม่??

พระพุทธศาสนามีหลักสอนที่สำคัญว่า ใครทำอะไรก็จะได้รับผลอันนั้น ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีความวิเศษใดๆในโลกนี้ที่จะบันดาลชีวิตใครได้ ความเปลี่ยนแปลงของชีวิตและสรรพสิ่งทั้งหลายจะเกิดขึ้นตลอดเวลาตามเหตุปัจจัย!!

ข้อเท็จจริงเหล่านี้ธนาธรไม่รู้ไม่เคยศึกษาหรือมองข้าม หรือรู้แล้วยังดันทุรังเพราะยึดมั่นในอัตตาของตัวเองว่าตัวข้าแน่!!!!

หากธนาธรคิดทุกอย่างด้วยความบริสุทธิ์ใจท่ีจะทำเพื่อคนอื่นจริง ก็ลองเปิดใจศึกษาพระพุทธศาสนาแล้วจะรู้ว่าทำไมฝ่ายซ้ายในอดีตที่คิดจะเปลี่ยนแปลงโค่นล้มสังคมถึงเปลี่ยนไปเมื่อได้สัมผัสกับคำสอนอันเป็นสัจจะแท้จริงของพระพุทธศาสนาท่ีว่าสรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนันตา หรือ แปลเป็นภาษาง่ายๆว่าสรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเปลี่ยนแปลงตั้งอยู่ในลักษณะเดิมไม่ได้และสุดท้ายก็จะสลายไป!!

หาไม่แล้วก็อยากจะเตือนว่าจุดจบสุดท้ายของการเป็นซ้ายปัญญาอ่อนของธนาธรก็จะมีจุดจบที่ไม่ต่างกับทักษิณ ชินวัตรและคนอื่นๆที่ก้าวล่วงสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่มีใครไปทำอะไรหรอก แต่กรรมจะจัดสรรให้ได้รับผลเห็นๆในชาตินี้แน่นอน

สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม

http://www.springnews.co.th/view/222798?sp