วันจันทร์, กันยายน 30, 2562

ฝุ่นจิ๋วอันตรายกลับมาใหม่ ‘ชิมช้อปใช้’ ล่ม รถไฟสามสนามบินล่าช้า ผลงาน 'ตู่ ๒' ทั้งนั้น

สองวันมานี่เสียงยี้เต็มโซเชียลว่าปัญหาฝุ่นจิ๋วในอากาศมากเกินความปลอดภัย “กลับมาเยือนกรุงเทพฯ อีกแล้ว” ทั้งที่ยังไม่ทันจะเริ่มหน้าหนาว (Pravit Rojanaphruk) ค่าพีเอ็ม ๒.๕ หลายจุดเกินร้อยถึง ๑๗๕

“วันนี้ (๓๐ ก.ย.) กรุงเทพฯ เราขึ้นอันดับ ๓ ของโลก ในด้านมลพิษทางอากาศ แล้วครับ” Decharut Sukkumnoed ทวี้ต เช่นกันกับ Witsanu Attavanich “ตามนัด ฝุ่นพิษกรุงเทพฯ อันดับ ๒ ของโลก! อยู่ในระดับอันตรายมาก”

พร้อมย้ำเตือน “เด็ก สตรีมีครรภ์ และผู้สูงอายุ ควรงดกิจกรรมกลางแจ้ง อย่าลืมใส่หน้ากากอนามัยก่อนออกจากบ้านนะครับ #มัจจุราชมืด” แสดงว่าอาการหนัก แถมไต่อันดับร้ายแรงพรวดพราดเร็วมากด้วย

โดยที่เมื่อวาน ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า ตอนสองทุ่มครึ่ง “อากาศโดยทั่วไปของกรุงเทพมหานคร ตามมาตรฐาน US AQI อยู่ที่ ๑๕๒ (PM 2.5 อยู่ที่ 57.8 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร) ติดอันดับที่ ๘ เมืองที่มีคุณภาพอากาศแย่ที่สุดในโลก”

เชียงใหม่ก็ไม่เบาได้อันดับ ๑๓ ค่าเอคิวไออยู่ที่ ๑๒๙ แต่ในแบงค็อกบางแห่งถึง ๑๗๕ ประชาชื่น ๑๗๐ สีลม ๑๕๔ เยาวราช ๑๖๖ ทั้งนี้ตามเกณฑ์ดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) บ่งว่าจะให้ดีต้องต่ำกว่าร้อยลงมา ๑๐๑-๑๕๐ ไม่ดีกับผู้ที่สุขภาพอ่อนไหว ๑๕๑ ขึ้นไปไม่ดีกับใครทั้งนั้น


มีคนบอกว่ารัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา ตอนขึ้นภาคสองใหม่ๆ คุยว่าสามารถกำจัดปัญหาฝุ่นได้แล้ว จากการให้ กทม.ระดมฉีดน้ำขึ้นฟ้า มาถึงวันนี้หน้าทวิตเตอร์ @prayutofficial ชิงปูดกับเขาบ้างว่า “เช้าวันนี้ หลายพื้นที่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีปริมาณฝุ่นละออง PM 2.5 อยู่ในระดับเกินเกณฑ์มาตรฐานครับ”

แล้ว “ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนที่ได้เตรียมไว้อย่างเร่งด่วน และขอความร่วมมือสถานที่ก่อสร้างและโรงงานอุตสาหกรรม ลดการระบายฝุ่นและมลพิษทางอากาศในช่วงนี้ครับ” เดี๋ยวรอดูแป๊ป ว่าแผนที่เตรียมไว้ได้เรื่องไหม

หวังว่าคงไม่ต้องกูเกิ้ลเพิ่มเติมมั้ง และหวังอีกด้วยว่าจะไม่เกิดอาการ ระบบล่มเหมือนโปรโมชั่น ชิมช้อปใช้เพื่อให้คนที่ได้รับบริการประชารัฐ แจก ๑,๐๐๐ กับ ๕๐๐ กระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศและเกื้อหนุนผู้สูงอายุ

แต่เอาเข้าจริงดันออกประกาศช่วงใกล้วันเริ่มว่า เงินที่ได้รับแจกเอาไปจับจ่ายในร้าน เซเว่น ห้างโลตัส และบีกซี ขาใหญ่ทั้งหลายได้ งานนี้เลยไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจต่างจังหวัดหรือว่ารากหญ้าสักเท่าไร คนที่จะรับเละกลายเป็นบรรดา เจ้าสัว
 
ความที่ไม่ได้เตรียมแผนจัดการให้ดี พอคนแห่ไปช้อปห้างกันมาก ระบบการใช้สิทธิ์ในโครงการเกิดล่ม นักช้อปไทยสมาธิสั้น ต่อคิวนานรอไม่ไหวพากันทิ้งรถเข็นที่ใส่ของเต็มระนาว บริเวณหน้าจุดจ่ายเงินกลายเป็นดงรถเข็นแน่นเต็ม


“บอกตรงๆ ช่วยไม่ได้ สิ่งนี้รัฐบาลนำเสนอเอง และซีพี บิ๊กซี โลตัส ก็เข้ามาคว้าผลประโยชน์ จุดหลักๆ ตอนแรกบอกให้ใช้กินเที่ยวสินค้าพื้นบ้าน พอคนแห่สมัครก็เปลี่ยนให้ห้างร่วมรายการ เป้นผมถ้าไปแล้วใช้ไม่ได้ก็กองไว้ตรงนั้นแหละ”

คอมเม้นต์บนเพจกระปุกรายหนึ่งสวด ต่อเนื่องกับโพสต์ของผู้ประสบเหตุการณ์ที่โลตัส “เจอแบบนี้เลยจ้าแม่เจ้า พนักงานประกาศว่าตอนนี้ระบบธนาคารล่มไม่สามารถใช้ได้ เท่านั้นแหละจากต่อคิวยาวๆ นะ เดินหนีจากรถเข็นเลย...”

แต่นั่นยังปัญหาย่อยระดับผู้บริโภค ปัญหายักษ์ระดับชาติก็ยังมี ที่เกี่ยวกับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ที่ยืดเยื้อมาจนกระทั่งกลุ่มเจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้งและพันธมิตรฟาดสัมปทาน ๕๐ ปีไปทำ โดยฮั้วกับบริษัททางด่วนกรุงเทพฯ (BEM) ไชน่าเรลเวย์ ช.การช่าง และอิตาเลี่ยนไทย

แต่จนวันนี้ จากรัฐบาลตู่ ๑ ถึงตู่ ๒ ยังไม่ได้เซ็นสัญญา ล่าสุดขยับจากเดือนกันยาไปเป็นพฤศจิกายน นัยว่าทีมฮั้วของซีพีมีข้อขอต่อรองหลายอย่าง จนต้องมีการขู่จะยึดเงินมัดจำ ๒ พันล้านบาท แล้วเชิญผู้ยื่นวองประมูลอันดับสองเข้ามาสวม

มติชนสุดสัปดาห์เสนอรายงานเรื่องนี้ว่ากลุ่มผู้ประมูลอันดับสองนี้เป็นชุดของ บีเอสอาร์และซิโน่-ไทย ของตระกูลกาญจนพาสน์และชาญวีรกูลตามลำดับ โดยเฉพาะรายหลังนี่เสี่ยหนู อนุทินรองนายกฯ คนโปรดของประยุทธ์เป็นเจ้าของ


ควบกับศักดิ์สยาม ชิดชอบ น้องชายเนวินที่คุมคมนาคมด้วย กลายเป็นเรื่องขบเหลี่ยมการเมืองระหว่างหัวคะแนนกับเจ้าสัว เลยทำให้รัฐบาลตู่ ๒ มัวแต่พะวงกับการชิงเหลี่ยมซ่อนเล่ห์มากกว่ามุ่งหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจรากหญ้าปากแห้ง

ดูไปแล้วรัฐบาลตู่ ๒ ที่เพิ่งไปจ้อที่นิวยอร์คเรื่อง กูเกิ้ล เก่ง ท่าจะเดินตามรอย โดนั่น ทรั้มพ์ ที่ปกครองด้วยทวิตเตอร์จนได้เรื่อง โดนสภาผู้แทนฯ ไต่สวน เริ่มกระบวนการ ถอดถอน กำลังเผ็ดมันเข้าไคล้อยู่ขณะนี้

อือ... "จงภูมิใจที่เป็นทาสแต่เพียงตัว อย่าเที่ยวทั่วสอนสั่งให้คนตาม"





จงภูมิใจที่เป็นทาสแต่เพียงตัว
อย่าเที่ยวทั่วสอนสั่งให้คนตาม
.
เอาแล้วๆๆๆๆๆๆ
เพจเมเจอร์ออกมาแถ-ลงแล้วว่าไอ้เหตุการณ์ที่ชาวทวิตควายส้มแชร์กันเป็นบ้าเป็นหลังจนขึ้นเทรนด์ #แบนเมเจอร์ นั้นไม่เป็นความจริง เหตุการณ์เหล่านั้นไม่เคยเกิดขึ้นและไม่มีนโยบายอะไรแบบนั้นนะคุณ
อ่าน
https://www.facebook.com/MajorGroup/photos/a.204417531093/10156759505511094/?type=3&theater
.
ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เมเจอร์มีกรณีที่เกี่ยวพันกับการไม่ลุกขึ้นยืนของลูกค้าที่ตั้งใจเข้าไปใช้บริการเพื่อเสพความบันเทิง อย่างไรก็ดีทางเราเข้าใจถึงความจำเป็นที่จะต้องทำเพื่อสนองอะไรบางอย่างเพื่อความเป็นไปได้ด้วยดีของสังคม(ล่ะมั้ง)
.
แต่แล้วสิ่งที่น่าสนใจเกิดขึ้นให้ผู้เขียนได้เลือกหยิบมาเขียน
คือความเห็นของชาวเน็ตที่บอกว่า

"แค่ยืนนิดยืนหน่อยจะเป็นไรไป"
"คนเขายืนกันทั่วบ้านทั่วเมือง"
"ยืนนิดยืนหน่อยคงไม่ตายหรอกมั้ง

แหม ก็นะจะว่ายังไงดีล่ะ
.
เอาเป็นว่าในทัศนะเซียนของผู้เขียนขอฟันว่า
หากคุณยินดีจะศิโรราบ นั่นเรื่องของคุณ คุณจะเป็นพสกนิกรผู้จงรักภักดี เรื่องของคุณ คุณอยากจะเป็นฝุ่นใต้ตีนก็เรื่องของคุณ แต่....
#ไม่ใช่ทุกคนที่อยากจะเป็นสิ่งที่คุณภูมิใจจะเป็น
เพราะฉะนั้น คนที่ไม่ยืนเขาเคารพคนที่ยืนนะ นั่นสิทธิ์ของคุณเลย แต่รบกวนช่วยอย่าไปชี้นำว่าทำเถอะ สังคมจะสงบสุข
ทำเถอะ หยุดก่อความวุ่นวายได้แล้ว หยุดเรียกร้องซะที Anon
.
อย่างที่ผู้เขียนเคยเขียนไปเมื่อนานมาแล้ว (ซึ่งรีรันบ่อยมาก)
เราทุกคน ทุกๆคน มีสิทธิ์ที่จะยืนหรือไม่ยืนโดยไม่ละเมิดกัน

https://www.facebook.com/everything.is.politic/photos/a.442082079892241/448055802628202/?type=3&theater

แต่ในตอนนี้ เวลานี้ ทุกคนตระหนักถึงสิทธิ์ของตัวเองกันได้อยู่แล้วใช่หรือไม่ ใช่ สำหรับผู้เขียนมองไว้เช่นนั้น
แต่กับคนที่อยากจะให้เราถูกกดทับจากชนชั้นนั้นก็ยังมีอยู่เช่นกัน
ลองคิดดูซืว่าที่ไหนบ้างเอ่ย ติ๊กต่อกๆๆๆๆ
.
ปิ๊ง
"เขาตัดผมเกรียนกันมานานแล้ว อย่าเรียกร้องเลย"
"LGBT จะเอาแต่งงานไปทำไม แต่ไปก็มีลูกไม่ได้ ยอมเถอะ"
"จะเรียกร้องสหภาพแรงงานทำไม ยังไงรากหญ้าก็ไม่ต้องจ่ายภาษีเยอะอยู่แล้ว"

ใช่รึเปล่า เราเคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนรึเปล่า
ใช่ พวกเราทุกคนเคยผ่านจุดเหล่านี้กับคนจำพวกนี้มาแล้วทั้งสิ้น ไม่มากก็น้อย
มันมีคนกลุ่มนึงจริงๆที่มองว่า แค่นี้พอแล้ว อย่าไปฝืนเลย พวกคุณไม่มีพลังมากพอหรอก
.
จริงหรือ?
นี่คือคำตอบที่ไม่น่าฟังเอาเสียเลย
แต่คนพวกนี้แหละที่เป็นกระบอกเสียงให้กับชนชั้นอำนาจ
และพยายามทำให้สิ่งที่พวกคุณทำ สิทธิ์ของคุณที่ควรจะได้รับกลายเป็นเรื่องไร้สาระและไกลตัว แม้แต่สิทธิ์ที่คุณจะเคารพหรือไม่เคารพใคร
.
หยุดเสียถ้ายังคิดได้ ไม่ใช่ทุกคนที่อยากจะเป็นทาสของคุณ
และคุณที่ไม่อยากเป็นทาส อย่ามองว่าใครโง่เพราะเขาเองก็มีสิทธิ์ที่จะอยากเป็น ไม่ใช่ทุกคนเช่นกันที่อยากจะมีเสรีภาพ
เคารพกันบ้าง ทุกอย่างมีเส้นแบ่ง
อย่างน้อยอย่าเอาเก้าอีมาฟาดผู้เขียนตอนไปดูหนังก็พอ
แต่ถ้าเห็นผู้เขียนไม่ยืน จะเชิญมาเถียงกัน เจอกันหน้าโรง
//สะพานพุทธ


Everything is political


ถ้าเกรต้าเกิดเมืองไทย หรือเกรต้านั่งเรือใบมาเมืองไทย หรือถ้าเกรต้าขึ้นเวที ด่าคนแก่ คนรุ่นเก่า จะเกิดอะไรขึ้น






ถ้าเกรต้าเกิดเมืองไทย หรือเกรต้านั่งเรือใบมาเมืองไทย จะเกิดอะไรขึ้น

เกรต้าก็จะได้เข้าทำเนียบจับมือกับลุงตูบ (ถ้าเธอไม่ปฏิเสธเสียก่อนนะ เพราะเธอเกิดในสวีเดน ประเทศโคตรประชาธิปไตย)

เกรต้าก็จะได้รับเชิญเป็นพรีเซนเตอร์ ลดถุงก๊อบแก๊บ โดยซีพีออลล์,เดอะมอลล์,พารากอน,เซ็นทรัล ฯลฯ แย่งคิวกันจ้าละหวั่น


เกรต้าอาจได้เป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ ของบัตรเครดิต หรือบริษัทประกันชีวิต หรือเบียร์ช้าง พาไปปลูกป่าชายเลน รักษ์เต่า รักษ์ปลาพยูน

หรือไม่ก็โฆษณาพลังงานทดแทน ปั้นลมปั้นแดดขาย กฟผ.เข้าตลาดหุ้น พริบตาเป็นมหาเศรษฐีหมื่นแสนล้าน

แต่ถ้าเกรต้าร้องกรี๊ด ด่าไอ้พวกดัดจริต รักษ์โลกบริโภคนิยม มาถึงก็ร่วมต้าน EEC ม.44 ไม่ต้องรอ EIA ปลดล็อกผังเมืองรวม โวยเมืองไทยไม่มีเสรีภาพในการชุมนุม

เกรติาก็คงกลายเป็นเนติวิทย์ แค่ชื่อก็ไม่มีสิทธิเป็นกรรมการแอมเนสตี้

หรือถ้าเกรต้าขึ้นเวที ด่าคนแก่ คนรุ่นเก่า “กล้าดีอย่างไร มาฝากความหวังไว้ที่พวกเรา ขโมยเอาความฝันและวัยเด็กของเราด้วยคำพูดจอมปลอม แต่ควบคุมยุทธศาสตร์ชาติไว้ 20 ปี ตั้ง ส.ส.มาโหวตให้ตัวเองเป็นนายกฯอีก 5 ปี"

เกรต้าก็จะกลายเป็นอีเด็กถูกล้างสมอง ด้วยลัทธิอิลลูมินาติ ไปทันที

บ้านนี้เมืองนี้แปลกนะครับ ที่การต่อต้านโลกร้อน นักสิ่งแวดล้อม รักษ์โลกรักษ์ป่ารักษ์เต่า เข้ากันได้ดี๊ดีกับเผด็จการ อำนาจไม่ชอบธรรม แถมยังเข้ากันได้ดี๊ดีกับทุนนิยมบริโภค บรรษัทยักษ์ใหญ่ บนสังคมโลกสวย ของคนชั้นกลาง ที่ใช้ชีวิตตามห้าง บ้านออฟฟิศติดแอร์ แต่ชอบขับ SUV ไปจิบกาแฟถ่ายเซลฟีร้านปลายนา แล้วก็บ่นแม่ค้าข้างถนนไม่ยอมเลิกใช้ถุงก๊อบแก๊บ

ทั้งที่ขบวนการต้านโลกร้อนส่วนใหญ่ อยู่ในยุโรป อยู่ในประเทศประชาธิปไตยโคตรอารยะ ซึ่งให้เสรีภาพในการเคลื่อนไหวเรียกร้องเต็มที่ ยิ่งไปกว่านั้น เป้าหมายสำคัญ ที่ขบวนการโลกร้อนโจมตี ก็คือเศรษฐกิจเสรี บริโภคนิยม การผลิตล้นเกิน บริโภคล้นเกิน ใช้พลังงานล้นเกิน แบบที่กระตุ้นส่งเสริมเพื่อตัวเลขจีดีพีนี่แหละ

อันนี้ก็ไม่ได้บอกหรอกนะว่า ขบวนการต้านโลกร้อน ถูกต้องไปซะทุกอย่าง แต่อันดับแรก เราจะเห็นว่ากระแสรักษ์โลกในเมืองไทยนี่แม่-โคตรดัดจริต แล้วก้กลายเป็นกิจกรรมส่งเสริมการขายอีกต่างหาก

อันดับถัดมาถ้ามองภาพรวมแบบทางสายกลาง เรื่องโลกร้อนเป็นสิ่งที่ชาวโลกทุกคนต้องตระหนัก การมีคนรุ่นใหม่อย่างเกรต้า น่าสนับสนุน ใครว่าก้าวร้าว เธอก็มีสิทธิโกรธ จริงๆ นี่หว่า คนอายุ 15-16 ต้องอยู่ในโลกอีก 60-70 ปี ไม่รู้จะเจอภัยพิบัติอะไร

แต่อีกด้านหนึ่ง ก็ต้องเข้าใจระบบเศรษฐกิจเสรี ว่ามันต้องเป็นไปเช่นนี้เอง มันหยุดไม่ได้ อาจต้องรอวิวัฒนาการของระบบ แต่เฉพาะหน้าอาจยับยั้งได้บางอย่าง เช่นการพยายามใช้พลังงานสะอาด อันนี้เปรียบง่ายๆ กับการที่เกรต้านั่งเรือใบ ควรปรบมือชม แต่คน 99.99% ก็ไม่นั่งเรือใบ เพราะความจำเป็นหลายอย่างทำให้ต้องนั่งเครื่องบิน

คืออีกด้านหนึ่งพวกอนุรักษ์สุดโต่งก็มี พวกที่ต้องการโค่นล้มเศรษฐกิจเสรี ต้านทุนสามานย์ ขัดขวางการทำลายล้างวิถีธรรมชาติ วิถีชุมชน พวกนี้อยากเห็นรัฐบาลที่ใช้อำนาจจำกัดควบคุมการขยายตัวทางเศรษฐกิจ การใช้ชีวิตของประชาชน (แบบเดียวกับพวกหมอต้านเหล้าบุหรี่ อยากเห็นการใช้อำนาจบังคับ)

ความคิดแบบนี้ในยุโรปก็มี แต่พอดีประเทศเขาเป็นประชาธิปไตย แต่ในประเทศล้าหลัง พวก NGO ต้านทุนเสรี พวกอนุรักษ์ธรรมชาติสุดโต่ง ดันหน้ามืดเห็นอำนาจอนุรักษ์นิยมเป็นดอกบัว หนุนรัฐประหารตั้งแต่ปี 49 แต่ได้เผด็จการรักษ์โลกแล้วเป็นไงล่ะ ทุนสามานย์หายไปไหม นอกจากกระแสดัดจริตแล้วมีอะไรจริงจังบ้างเรื่องการลดโลกร้อนในเมืองไทย


พิธีปฏิญาณของประธานาธิบดีจีน






ภาพและบรรยากาศกิจกรรม”ขับไล่ประยุทธ์ ไม่เอารัฐบาลโจร500” ครั้งที่ 5



.



ที่มา FB

Banrasdr Photo


(29 กย.)ที่ข้างร้านแมคโดนัลด์ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย กลุ่มเลือกข้างประชาธิปไตย จัดกิจกรรม”ขับไล่ประยุทธ์ ไม่เอารัฐบาลโจร500” โดยครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 5 มีการเปิดเวทีประชาชน ให้ประชาชนได้พูด ระบายปัญหาที่เกิดจากการบริหารประเทศของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ต่อมาในเวลาประมาณ 15.00น.ทางกลุ่มได้ตั้งขบวนชูป้าย พร้อมเปิดไฟฉายเดินรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยทั้งหมดสามรอบ โดยเป็นการเดินบนทางเท้าไม่กีดขวางการจราจร หลังจากนั้นได้มีการเผาพริกเผาเกลือและเผาภาพพลเอกประยุทธ์ ก่อนที่จะยุติการชุมนุมในเวลา 18.00น. ได้มีการประกาศนัดรวมตัวกันในวันที่ 6 ตค.นี้ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

ทั้งนี้หลังจบการชุมนุมแล้ว ผู้จัดการชุมนุมพร้อมด้วยนางนิด(นามสมมุติ)อาชีพรับจ้าง หนึ่งในผู้ชุมนุมได้เข้าพูดคุยกับตำรวจ โดยตำรวจระบุว่านางนิดทำผิดกฎหมายด้วยการเหยียบภาพพลเอกประยุทธ์ ซึ่งทางตำรวจได้ขอว่าอย่าทำอีกและตักเตือนผู้จัดให้ดูแลการชุมนุมให้เรียบร้อย

















แก้ให้โง่เรอะ "รัฐธรรมนูญนี้ สร้างมาเพื่อเรา" คนพวกนื้คือคนที่ได้ประโยชน์ จากรัฐธรรมนูญ




Wake Up News - สมศักดิ์ ลั่น 'รธน. ร่างมาเพื่อเรา' ?

VOICE TV
934K subscribers

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มสามมิตร กล่าวเมื่อวานนี้ (18 พ.ย.61) ถึงการเข้าร่วมพรรคพลังประชารัฐ ว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา เราจะต้องใช้ประโยชน์จากสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เป้าหมายทุกคะแนนมีความสำคัญฉะนั้นตัวบุคคลในแต่ละเขตแปลเปลี่ยนเป็นคะแนนให้ได้ เพราะทุกคะแนนมีความสำคัญมาก
...



คนพวกเนื้อคือคนที่ได้ประโยชน์ จากรัฐธรรมนูญ
เหมือนที่มีไอ้คนปากดี บอกว่า "รัฐธรรมนูญนี้ สร้างมาเพื่อเรา"

ผลคือ หล่อนได้เป็น สส.ของแถม เหมือนปฏิทินแถมเหล้า ตอนปีใหม่
ผัวนอกกฎหมาย มีข้อหา ปั่นหุ้น แต่ ไม่มีผลอะไร
เหมือนๆ เพื่อ สส.ร่วมพรรค บางคนฆ่าคนตาย
บางคน เป็นพ่อค้ายาเสพติด ต้องติดคุก
บางคนค้าอาวุธ มีคดีค้างคา

แต หัวหน้ารัฐบาล ก็ยังเฉยๆ ไม่รับรู้อะไร
เพราะ เป็น สมาชิกร่วมแก๊งเดียวกัน ย่อมไม่เกิดความแปลกแยก
.



เรื่องของ เจริญชัย นักรณรงค์ 112 “โพสต์เฟซบุ๊กมาห้าปีกว่าแล้ว ไม่เคยโดนจับเลย” แต่ถูกปรับทัศนะคติที่แม้ทหารก็รู้ว่า เปลี่ยนไม่ได้





Attitude adjusted?: เจริญชัย นักรณรงค์ 112 กับการปรับทัศนคติที่แม้ทหารก็รู้ว่า เป็นไปไม่ได้


29 กันยายน 2019
Freedom ILaw


“โพสต์เฟซบุ๊กมาห้าปีกว่าแล้ว ไม่เคยโดนจับเลย”


เป็นคำกล่าวของเจริญชัย แซ่ตั้ง ชายร่างเล็กวัย 60 ปีผู้รณรงค์ยกเลิกมาตรา 112 หรือข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ เขาโพสต์ข้อความนี้ลงเฟซบุ๊กส่วนตัว เพียงวันเดียวทหารก็บุกเข้ามาค้นบ้านพักและควบคุมตัวเขาไปคุมขังที่มทบ.11 เป็นเวลาเจ็ดวัน ชื่อของ เจริญชัย เป็นที่คุ้นหูในฐานะผู้ที่ใช้พื้นที่ออนไลน์รณรงค์ให้ข้อมูลหลากหลายประเด็น ตั้งแต่เรื่องที่หนักๆ ที่เขายืนหยัดมาโดยตลอด คือ การยกเลิกมาตรา 112 ประเด็นที่เขาเป็นตัวตั้งตัวตีล่ารายชื่อเพื่อยกเลิกมาตราดังกล่าวตั้งแต่ปี 2554 หรือ การต่อต้านเผด็จการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุครัฐบาล คสช. ไปจนถึงประเด็นเกี่ยวกับสุขภาพที่เขาใช้ตัวเองเป็นแล็บทดลองและเสนอผลการทดลองที่เขาคิดว่า ถ้าหากทำตามแล้วจะส่งผลดีต่อสุขภาพให้เพื่อนบนโลกออนไลน์รับรู้ด้วย

การเคลื่อนไหวบนเฟซบุ๊กของเจริญชัยมีลักษณะโดดเด่น เขามักจะทำภาพที่โพสต์ขึ้นมาเอง เป็นภาพที่มีสีสันสดใสหลากสี มีข้อความมากมายอัดอยู่ในภาพ การโพสต์แต่ละครั้งของเจริญชัยมีคนกดไลค์และกดแชร์ไม่มากนัก บนประวัติส่วนตัวที่เจริญชัยเขียนไว้บอกสาธารณะ ระบุงานที่ตัวเองทำ คือ ผู้อุทิศตนรณรงค์ยกเลิก มาตรา 112

อย่างที่กล่าวไป ประเด็นหลักที่เจริญชัยถูกควบคุมตัวครั้งนี้ ก็คือ เรื่องสถาบันกษัตริย์ ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วทหารและกระบวนการปรับทัศนคติ 7 วันไม่สามารถเปลี่ยนใจของเขาได้เลย


Day 1# บันทึกซักถามบางตอนเขียนแบบจะใส่ความผมให้ผิดมาตรา 112 และ116


วันที่ 1 กรกฎาคม 2560 เวลาเช้าตรู่ ประมาณ 6.00 น. ขณะที่เจริญชัยกำลังนอนหลับอยู่ภายในห้องนอน ทหารผลักประตูเข้ามาในห้องนอนของเขาโดยไม่แจ้งว่า การบุกค้นครั้งนี้อาศัยอำนาจใด จากนั้นทหารตรวจค้นอุปกรณ์อิเลกทรอนิคส์และยึดไปจำนวน 11 รายการได้แก่ 1.เครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค 2.โทรศัพท์มือถือ 3.ฮาร์ดดิสต์ประมาณ 10 ตัว บางตัวเสียแล้ว 4.เคสคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ 5.แฟลชไดร์ฟ 6.กล้องถ่ายรูป 7.สมุดบัญชีเงินฝาก 8.เอกสารต่างๆ เช่น ฎีกายกเลิกม.112 หนังสือร้องเรียนธนาคารกสิกรไทย สติ๊กเกอร์ล้มรัฐธรรมนูญทหาร ล้มเผด็จการคมช. ภาพพิมพ์สี 1 แผ่น 9.สมุดโน้ตส่วนตัว 10.แทปเล็ต 11.ซีดีและดีวีดี

“...วันนั้นตอนที่มาก็บุกตรงมาที่ห้องนอนเลย ไม่ได้บอกว่า จะเข้ามาค้นด้วยอำนาจอะไร ตอนที่มาค้น เจ้าหน้าที่ค้นละเอียดทุกตู้ ทุกซอกทุกมุม แหวน สร้อยทอง พระเครื่องของผมก็เอาออกมาดู แต่ไม่ได้มีอะไรสูญหายไป ไม่มีอะไรเลย ตอนมาก็เดินมาเฉยๆ เลย เดินดุ่มเข้ามา คว้านู่น คว้านี่ แต่ผมเห็นว่าเป็นทหารเลยไม่พูดอะไร ไม่ได้ใช้กำลัง เขาไม่ได้คุยอะไรด้วย ไม่มีเอกสารอะไรทั้งนั้น...”

ระหว่างที่ตรวจกำลังค่อยๆ ตรวจยึด ก็นำบัตรประชาชนของเขาไปถ่ายคู่กับสิ่งของด้วย จากนั้นจึงนำสิ่งของที่ยึดได้ทั้งหมดเรียงบนพื้นและถ่ายรูปเป็นหลักฐาน ทหารสั่งให้เจริญชัยเตรียมเสื้อผ้าไปสักสองสามชุดเผื่อว่าจะต้องไปอยู่ที่มทบ.11 หลายวัน เขาจึงเตรียมเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวไปด้วย ต่อมาทหารติดต่อให้ตำรวจยศใหญ่สองคนที่ประจำการอยู่ที่สน.บุคคโล สน.พื้นที่รับผิดชอบ ให้มาลงบันทึกประจำวันสิ่งของที่ยึดไว้ทั้งหมด จนเมื่อเวลาประมาณ 8.00 น. ตำรวจเดินทางมาถึง ได้จับมือกับเจริญชัยและกล่าวว่า “เจริญชัยใช่ไหม ยินดีที่ได้รู้จัก” และควบคุมตัวเขาไปที่สน.บุคคโล จังหวะที่เจริญชัยถูกคุมตัวออกมาขึ้นรถนั้นเขาเห็นว่า มีทหารในเครื่องแบบประมาณหกเจ็ดคนรออยู่ที่หน้าบ้านด้วย


รถยนต์ที่นั่งไปเป็นรถเก๋งธรรมดามีทหารสองคนนั่งด้านหน้า และอีกหนึ่งคนนั่งด้านข้างขวาของเขา เมื่อไปถึงสน.บุคคโล ตำรวจเพียงแค่ลงบันทึกประจำวัน ไม่ได้ตั้งข้อกล่าวหาใดๆ จากนั้นทหารจึงควบคุมตัวเจริญชัยจากสน.บุคคโลไปส่งที่มทบ.11 ระหว่างทางทหารก็ชวนคุยเรื่องชีวิตส่วนตัวและการงานของเขาไม่ให้เครียด พอขับเข้ามาในมทบ.11 ทหารบอกกับเขาให้นำเสื้อขึ้นมาปิดตาก่อน โดยให้เหตุผลว่า "เป็นธรรมเนียมของทหาร"

เมื่อเข้าไปภายในค่าย มทบ.11 ทหารก็พาตัวไปที่ห้องหนึ่ง มีโต๊ะตัวใหญ่พร้อมเจ้าหน้าที่สิบคนนั่งรออยู่ ทหารให้กรอกแบบฟอร์มทำประวัติ และให้ลงชื่อกำกับไว้ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังขอบัตรประชาชนและกระเป๋าเงินของเขา โดยนับจำนวนเงินให้ดูว่า มีทั้งหมดเท่าไหร่และยึดไว้ พอบันทึกข้อมูลเสร็จจึงควบคุมตัวเจริญชัยไปในห้องพัก บริเวณที่เขาถูกคุมขังไว้นั้น เป็นห้องขนาดใหญ่และแบ่งเป็นห้องย่อยด้วยบอร์ดกั้น ห้องด้านซ้ายมีสองห้องและด้านขวาสามห้อง แต่ละห้องมีขนาดประมาณ 3x3 เมตร ภายในห้องมีเตียงฟูกมีโต๊ะยาวประมาณ 60x180 ซม. และเก้าอี้สามตัว ไว้ให้เจ้าหน้าที่มานั่งซักถาม เมื่อเดินออกไปจะมีโต๊ะประชุมที่ใช้ในการซักถามเจริญชัยอีกที่หนึ่ง และมีประตูผ่านไปยังห้องน้ำ บริเวณนั้นมีทหารเฝ้าอยู่และตั้งโต๊ะวางอาหารของพวกเขาไว้ เจริญชัยเล่าด้วยว่า ห้องดังกล่าวมีกระจกมองเห็นข้างนอกได้ โดยช่วงเช้าเขาจะเปิดม่านออกไปดูทหารมาฝึกที่สนามด้านล่าง แต่มีอยู่วันหนึ่งเป็นการแข่งขันกีฬา เขาเปิดดูตามปกติ แต่ปรากฏว่า มีทหารมาบอกให้ปิดม่าน เพราะ "นายเขาสั่งมาไม่ให้ดู”

ภายในห้องยังมีตะกร้า ขัน ยาสีฟัน สบู่ ผ้าเช็ดตัวและชุดเสื้อยืดคอกลมสีน้ำเงินเข้ม เมื่อไปถึงห้องทหารก็บอกให้เปลี่ยนชุดเลยและนำชุดที่เจริญชัยเตรียมไว้ไปเก็บ พอเวลาประมาณ 10.00 น. จึงเอาโจ๊กมาให้ทาน จากนั้นมีเจ้าหน้าที่หญิงหนึ่งคน และชายหนึ่งคนมาเริ่มสอบถาม ผู้ชายเป็นคนถามและผู้หญิงมีหน้าที่พิมพ์ข้อมูลตามที่เจริญชัยตอบ เมื่อพิมพ์เสร็จแล้วนำมาให้เจริญชัยดู พบว่า ข้อมูลบางตอนไม่ตรงและมีลักษณะใส่ความเขาด้วย


“...บางตอนเขียนแบบจะใส่ความผมให้ผิดมาตรา 112 และ 116 อ่านเจอตรงไหนไม่พอใจ ผมจะขีดทิ้ง กระดาษใบนั้นด้านล่างเขียนว่าจะไม่เอาผิดเขาด้วย ผมไม่ยอมเซ็นเลย เขาเลยเอาไปแก้ใหม่...”

การพูดคุยจบลงที่เจ้าหน้าที่นำข้อมูลที่พิมพ์ไปแก้ไขและให้เจริญชัยไปทานอาหารกลางวัน โดยมีทหารมาชวนคุยเรื่องทั่วไปในลักษณะมาหาข้อมูลเช่นว่า ทำไมถึงต่อต้านรัฐบาลทหาร เป็นต้น แต่ละครั้งที่มาใช้เวลาประมาณ 10-30 นาที วันแรกมีเจ้าหน้าที่มาพูดคุยอีกครั้งหนึ่งในช่วงเย็นและนำภาพเฟซบุ๊กของเจริญชัยมาให้เซ็นยอมรับว่า เขาโพสต์ข้อความเหล่านั้นจริง รวม 21 หน้า ลักษณะของเอกสารเป็นการถ่ายภาพจากภาพหน้าจอเฟซบุ๊กและวางเรียงในหน้ากระดาษเอสี่ ก่อนจะให้พักผ่อนในเวลาประมาณ 22.00 น.


Day 2# ถ้าข้อมูลทำขึ้นมาเองผมไม่ยอมรับ แต่เฟซบุ๊กที่ผมโพสต์(คุณ)จะเอามาให้เซ็นกี่หน้า ผมยอมรับทุกหน้า

วันที่สองเวลาประมาณ 6.00 น. ทหารนำอาหารเช้ามาให้ และเป็นธรรมเนียมที่ต้องถ่ายรูปเก็บไว้ทุกครั้ง แต่ไม่มีคนมานั่งคุยด้วย จนกระทั่งช่วงสายเจ้าหน้าที่หญิงที่พิมพ์ข้อมูลในวันแรกนำเอกสารมาให้เจริญชัยดูอีกครั้ง ปรากฏว่า ยังมีข้อมูลที่ผิดพลาดอยู่เช่น การระบุว่า เจริญชัยเคยไปปราศรัยที่สนามหลวง แต่เขาชี้แจงว่า เขาเพียงไปฟังการปราศรัยเท่านั้นไม่เคยเป็นผู้ปราศรัยเองสักครั้งเดียว พูดคุยอยู่สักพักหนึ่งจนเจริญชัยรู้สึกไม่พอใจ จึงขึ้นเสียงใส่เจ้าหน้าที่ ทำให้เจ้าหน้าที่ผู้ชายมารับเรื่องต่อแทน มาพร้อมกับทหารอีกสี่นายและใช้สายตามองในทางไม่ประสงค์ดีเท่าไหร่นัก

“...เขามองผมแบบประสงค์ร้าย ผมบอกไม่ต้องมามองเลย ไม่มีอะไร มามองแบบนี้ ผมไม่สบายใจ ให้ทั้งสี่คนออกไปผมบอกเลย คำขาด ให้ขีดฆ่าข้อมูลทิ้งหมดเลย ผมไม่ยอมรับ เฟซบุ๊กผมที่โพสต์(คุณ)จะเอามาให้เซ็น ผมยอมรับทุกหน้า ต่อให้มาเป็นร้อยๆใบผมก็จะเซ็น แต่ถ้าข้อมูลทำขึ้นมาเองผมไม่ยอมรับ...”

เจ้าหน้าที่จึงเอาภาพถ่ายจากหน้าเฟซบุ๊กของเจริญชัยมาให้เซ็นเพิ่มเติมอีก 30 หน้า สรุปเนื้อหาที่เจริญชัยเซ็นยอมรับไป เช่น ข้อความเกี่ยววงดนตรีไฟเย็น, โลโก้ที่เขียนว่า ไม่เอาระบอบxxxสั่งฆ่าประชาชน, กระทู้วิดีโอที่ด่าพล.อ.ประยุทธ์ และกระทู้เกี่ยวกับกลอน ก่อนจากไปเจ้าหน้าที่ชายรายนั้นขอให้เจริญชัย “เบาๆ เกี่ยวกับเรื่องระบอบพระมหากษัตริย์” จากนั้นจึงให้นอนพักอยู่ในห้อง จนประมาณ 20.00 น. จึงพาไปพบกับพล.ต.สนธยา ศรีเจริญ และฟังเขาพูดเพียงฝ่ายเดียว และมีตอนหนึ่งเขาถามเจริญชัยว่า “ทำไมถึงเป็นโสด?” และ “เคยเที่ยวกะหรี่ไหม?” เจริญชัยไม่ตอบและบอกว่า เป็นสิทธิของเขา พล.ต.สนธยาก็ไม่พอใจ ทั้งเมื่อเจริญชัยเป็นฝ่ายถามบ้าง เขาก็ไม่ตอบคำถามและลุกออกไป

“...พอผมได้โอกาสพูดบ้าง แค่ถามว่ามีเงื่อนไขอะไรในการปล่อยตัวผม ก็ยุติการเจรจาดื้อๆ แล้วให้ผมออกจากห้องไป ผมขอเข้าห้องน้ำหน่อยก็ว่าผม ไม่ให้เข้า เมื่อผมออกมาที่ห้องผมก็มีลูกน้องท่านมาชวนคุย ผมก็บอกว่า ถ้าเป็นเผด็จการเช่นนี้ผมไม่อยากคุยด้วย เขาเลยว่าจะมีคนอื่นมาเจรจาแทน...”

วันเดียวกัน แต่ช่วงเวลาไม่ชัดเจนนัก เจริญชัยได้พบพล.ต.วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าส่วนปฏิบัติการคณะทำงานกฎหมาย คสช. โดยพล.ต.วิจารณ์ ถามเขาว่า ใครคือ กิมเพียว เจริญชัยบอกว่า คือตนเอง เขาจึงบอกว่า ดังใหญ่แล้วนะ ลงข่าวในเว็บไซต์ข่าวประชาไทด้วย เจริญชัยเล่าว่า พล.ต.วิจารณ์มาพูดคุยแบบเป็นมิตรกว่าคนแรก มีช่วงหนึ่งที่พล.ต.วิจารณ์พูดว่า ผมจะเอาผิดคุณก็ได้นะ แต่เจริญชัยตอบกลับว่า ลองดูสิ ผมจะฟ้องกลับ และเจริญชัยได้ขอต่อพล.ต.วิจารณ์ว่า ให้ปล่อยตัวนักโทษทางการเมืองคดี 112 เช่น สมยศ และประเวศ โดยพล.ต.วิจารณ์ไม่ได้รับปากใดๆ บอกแค่เพียงประเวศเป็นหัวแข็ง


Day3# xxxสั่งฆ่าประชาชนคืออะไร?

เจริญชัยเล่าถึงการอยู่ในมทบ.11 เป็นวันที่สามว่า วันนั้นประมาณ 21.00 น. มีทหารที่เป็นอาจารย์อยู่ที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้ามาซักถาม โดยเขาถามถึงรายละเอียดที่อยู่ในภาพถ่ายจากเฟซบุ๊กของเจริญชัย และถามว่า “xxxสั่งฆ่าประชาชน" ที่เขียนนั้นหมายถึงอะไร? เจริญชัยตอบว่า “ผมยืมเขามาใช้ประกอบในบทกลอน” ขอให้ทหารนายนั้นไปถามคนเขียนแทน ระหว่างนั้นมีทหารที่อยู่ในบริเวณนั้นบอกว่า “เดี๋ยวจะเอาข้อความนี้ไปให้ศาลตีความว่ามีความหมายถึงอะไร” เจริญชัยตอบกลับว่า “คุณยังไม่รู้เลยว่าหมายถึงอะไร แล้วคุณบ้าหรือเปล่าที่จะเอาไปให้ศาลตีความ” การพูดคุยใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง


Day 4# เทคนิคตำรวจสอบสวนตอนดึก


เจริญชัยเล่าว่า วันที่สี่ เวลา 18.00 น. ตำรวจเริ่มเข้ามาซักถาม เป็นตำรวจนอกเครื่องแบบสี่นาย โดยมีตำรวจคนหนึ่งทำเป็นขู่จะฟ้องมาตรา 112 ต่อเขา เจริญชัยตอบว่า “ลองฟ้องผมสิ ผมจะฟ้องกลับทันที พวกใต้ดินเขารู้จักผมหมดอ่ะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นพวกคุณโดนถล่มยับ” ตำรวจชุดแรกกลับไป และมีตำรวจสืบสวนสองนายเขามาชวนคุยจนเกือบเที่ยงคืน เจริญชัยจึงขอไปอาบน้ำก่อน และเมื่อกลับมาตำรวจอีกสองนาย ก็มาพร้อมกับคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ก เจริญชัยกล่าวปฏิเสธที่จะพูดคุยด้วยและขอตัวนอน แต่ตำรวจยังยืนยันว่า จะซักถามให้ได้ จนสุดท้ายเมื่อเจริญชัยมาให้ความร่วมมือ ตำรวจจึงกลับไป


Day 5-6-7# ไม่ต้องทำความสะอาดห้อง เขาอาจกลับมาอีก


หลังจากที่ปฏิเสธที่จะให้เจ้าหน้าที่ซักถาม ทำให้ในวันที่ห้าและวันที่หกไม่ค่อยมีเจ้าหน้าที่เข้ามาซักถามหรือพูดคุย ต่อมาวันที่ 7 เวลาประมาณ 12.00 น. พล.ต.สนธยา โทรศัพท์เข้ามาคุยบอกว่า เขาสั่งให้ทหารมารับตัวเจริญชัยก่อนเที่ยง แต่ปรากฏว่า เจริญชัยได้กลับในเวลาประมาณ 19.00 น. ก่อนกลับมีนายทหารคนหนึ่งมาแกล้งคุยกับลูกน้องให้เจริญชัยได้ยินในทำนองที่ว่า ห้องของเจริญชัยยังไม่ต้องทำความสะอาด เพราะอาจจะกลับมาอีก และคนที่ดูแลในห้องเป็นทหารยศพันเอกก็บอกอีกว่า จะให้ศาลตีความข้อความที่เจริญชัยโพสต์เพิ่มว่าผิดหรือไม่ ก่อนได้กลับบ้าน ทหารให้เจริญชัยดูวิดีโอเรื่องในหลวง ร.9 เปรียบเทียบกับซุปเปอร์แมน เจริญชัยเล่าว่า ทหารรู้ว่าเปลี่ยนใจเขาไมได้ จึงบอกให้เขาเก็บไปคิดเอง

ก่อนปล่อยตัวทหารยังให้เขาเซ็นเอกสาร โดยมีเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักรก่อนได้รับอนุญาต, ห้ามเคลื่อนไหวทางการเมือง และหากไม่กระทำตามจะยินยอมให้ระงับธุรกรรมทางการเงินและยินยอมให้ดำเนินคดี แต่เงื่อนไขที่เอกสารระบุมีสามข้อ แต่หัวข้อกลับระบุว่าห้าข้อ เจริญชัยจึงขีดฆ่าคำว่า ห้าข้อออก เนื่องกลัวว่า จะมีการเติมเงื่อนไขในภายหลัง

เวลาประมาณ 16.00 น. แพทย์เข้ามาตรวจร่างกายเจริญชัย บริเวณที่ตรวจ เช่น เปลือกตา แขน หลัง แพทย์บอกกับเจริญชัยว่า เขาแข็งแรงดี ไม่มีปัญหาอะไร จากนั้นให้รับประทานอาหารเย็นและตรวจสอบของที่ยึดมา ต่อมาทหารจึงขับรถมาตัวมาส่งที่บ้านของเขาและคืนโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ตให้บนรถ โดยถึงที่บ้านประมาณ 21.00 น.

เจริญชัยเล่าอีกว่า ตลอดเวลาเจ็ดวันที่เขาถูกควบคุมตัวที่ห้องในมทบ. 11 นั้นมีคนถูกควบคุมตัวพร้อมกันอีก 4 คน รวมเป็น 5 คน โดยคนที่อยู่ห้องฝั่งตรงข้ามชอบออกมานั่งหน้าห้อง ส่วนห้องอื่นๆเขาไม่รู้รายละเอียดมากนัก ในวันสุดท้ายที่จะปล่อยตัว เขาทราบมาว่า ทหารที่ดูแลห้องให้คนที่ถูกควบคุมตัวสามจากห้าคนไปคุยกับพล.ต.สนธยา ก่อน เหลือเจริญชัยและผู้ถูกคุมตัวอีกคนหนึ่ง เจริญชัยคาดการณ์ว่า สามคนแรกเป็นทหารที่เข้ามาสืบหรือสร้างสถานการณ์ระหว่างคุมตัว ส่วนอีกคนหนึ่งที่ปล่อยตัวทีหลังนั้นเป็นผู้ที่ถูกจับมาจริง
...

Juleejib Laothanakit อ่านแล้วอึดอัดใจกับทหาร แต่ก้อทึ่งกับใจของคุณเจริญชัยไปพร้อมๆ กันค่ะ

Another story on Thai royal wealth. The estimate of $43 billion for King Vajiralongkorn is well below the real amount



This is the richest royal in the world – he's worth 80 times more than Queen Elizabeth II

Sheikhs from the oil-rich Middle East have had to accept second billing in the royals’ rich list – and the UK royal family might not be as rich as you think

Continue reading

วันอาทิตย์, กันยายน 29, 2562

ประชาธิปไตยกินอิ่มของมาดามเก้ง สร้างหนี้ใหม่อีกเกือบ ๙ แสนล้านอุดหนี้เก่า


เห็น ส.ส.คนงาม มาดามเก้งหรือกวางอะไรเนี่ย ว่าประชาธิปไตยของเธอแค่ “กินอิ่มกินได้ ไม่ต้องแก้รัฐธรรมนูญ” ซึ่งก็หมายความว่าอย่างนี้ดีอยู่แล้ว ปชต.แบบไม่ให้ฝ่ายค้านหือ ทั้ง แจกและ ซื้อทำให้ได้ กิน และ อิ่ม

ฉะนั้นจึงซื้อ ฮ. เพิ่ม แจกเงินให้คนเที่ยว และเรี่ยไรเงินชาวบ้านที่พอบริจาคได้ เอาไปช่วยชาวบ้านที่ประสพภัย พอมีคนท้วงทวงถามว่าทำไมล้วงถุงเงินเอาไปซื้อปืนผาหน้าไม้มากนัก ปีหน้า (๖๓) จะเอาตั้ง ๒.๓๓ แสนล้าน

ยังโอดอีกนะว่า “ที่ผ่านมา กองทัพก็ขาดแคลนงบประมาณมาตลอด” ๕ ปีไม่ได้เพิ่มเลย “เพราะเงินมันน้อย จึงได้แบ่งคนละนิดคนละหน่อย” เท่านั้นเอง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ตอบเรื่องงบฯ กลาโหมสูงปรี๊ดว่า อาวุธยุทโธปกรณ์ “ที่เรามีมันก็เก่าแล้ว และถึงเวลาที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยน”

ครั้นเมื่อโฆษกกลาโหมมาช่วยเสริม ว่าที่ผ่านมาจะได้เพิ่มโดยเฉลี่ย ๗.๕% ขณะที่งบฯ การทหารของปี ๒๕๖๓ ได้ เพิ่ม แค่ ๗.๒๙% เท่านั้น “ยังถือว่าเป็นปกติตามสัดส่วนการเพิ่มขึ้นของงบประมาณทั้งประเทศ”
 
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ ชี้ว่าเป็นการเพิ่ม “เพื่อให้มีขีดความสามารถเพียงพอต่อการรองรับสถานการณ์ภัยคุกคาม ตามห้วงเวลาที่ได้ประเมิน” แต่ทั่นรองนายกฯ ฝ่ายมั่นคงบอกว่า มากตามสัดส่วนโดยเฉพาะกองทัพบกที่ได้ ๑.๑๓ แสนล้าน ถือว่าไม่มาก “เพราะมีการตั้งหน่วยใหม่ด้วย”

มีคนแย้งว่าไม่รู้จะตั้งไปทำไรนัก เวลานี้ ตำแหน่งลอยๆเช่น ผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้งชนิดปกติและแบบพิเศษ นี่นั่งตบยุงไม่มีงานให้ทำเป็นแถว “นั่งกินเงินเดือน ๗-๘ หมื่น ชิลๆ (ไม่รวมเงินประจำตำแหน่ง) ได้คนไปรับใช้บ้านนาย โดยใช้เงินหลวงจ่ายเงินเดือน บางบ้าน ๓-๔ คน”

แอมเอง @theamwaysu บอกเลยว่ากลาโหม “น่าจะเป็นหน่วยงานเดียวมั้ง ที่ ขรก. เลื่อนไหลไปถึง ซี ๑๐, ๑๑ โดยไม่ต้องลำบากทำผลงานอะไร”

แล้วไงมะ รัฐบาลของ พลงอ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ชุดใหม่ประกาศแผน ก่อหนี้ใหม่เอาไปใช้หนี้เก่า อีกบานเบอะ ทั้งสิ้นในวงเงิน ๘ แสน ๙ หมื่น ๔ พันล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังอ้างว่าแบ่งเป็นสองส่วน คือกู้เพื่อลงทุนส่วนหนึ่ง และกู้เพื่อบริหารสภาพคล่อง

ชาวบ้านธรรมดาฟังแล้วก็รู้สึกว่าพิลึกๆ ในเมื่อการกู้เพื่อลงทุน ๗.๑๑ แสนล้านบาทนั้นเป็น “การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ โครงการรถไฟทางคู่ โครงการรถไฟฟ้า โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ฯลฯ” ซึ่งเท่ากับ ๗๙.๖% ของการก่อหนี้ใหม่


อีกส่วนหนึ่งสร้างหนี้เพิ่มอีกเกือบ ๑ แสน ๘ หมื่น ๒ พันล้านบาท เพื่อ “บริหารสภาพคล่องและดำเนินกิจการทั่วไป” ที่ทำความเข้าใจอย่างบ้านๆ ก็น่าจะเป็นการกู้มาโปะส่วนที่รัฐบาลควักจ่ายไปล่วงหน้าจนทำให้ขาดดุล
 
รวมความว่าที่รัฐบาล คสช.๒ ประกาศกู้เพิ่มอีกเกือบ ๙ แสนล้านบาทในปี ๒๕๖๓ นี้ เพื่อเอาไปอุดรูรั่วที่ คสช.๑ ทะลวงเอาไว้ เสร็จแล้วเมื่อถึงเวลาทำงบประมาณปีต่อไป (๖๔) ในปีหน้า จะต้องกู้เพิ่มเอามาโปะช่องโหว่ที่สร้างหนี้เพิ่มไว้ในปีนี้

วนไปอย่างนี้เมื่อไหร่จะจบสิ้น มองจากผลงาน ๕ ปีที่ผ่านมา รัฐบาล คสช.ก่อหนี้จนมาถึงจุดนี้ จะหวังอะไรได้สักเท่าไรกับสี่ปีข้างหน้า จนกว่า คสช.จะตายพรากจากไป ประเทศไทยมีหนี้พอกหางหมูเสียจนเดินไม่ไหวละมัง

ถึงเวลาสภาเดี่ยว ข้อเสนอ (เนื้อหาสาระ): #ถึงเวลาสภาเดี่ยว




ข้อเสนอ (เนื้อหาสาระ): #ถึงเวลาสภาเดี่ยว

หลักการหนึ่งที่พวกเราหวังว่าทุกคนจะเห็นตรงกันหมดว่าควรจะเป็นคุณค่าพื้นฐานของทุกเนื้อหาในรัฐธรรมนูญ คือ การที่ประชาชนทุกคนควรมี “หนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียง” เท่าเทียมกันในการกำหนดทิศทางประเทศ
.
ถ้าเราถามว่าเนื้อหาอะไรของรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ที่ขัดกับหลักการนี้มากที่สุด คำตอบคงหนีไม่พ้นเรื่องของวุฒิสภา
.
เนื่องจากในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาประชาชนกว่า 38 ล้านคนได้ไปออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้ง ส.ส. 500 คน แต่กลับกันมีคณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร (คสช.) สรรหา ส.ว. 250 คน ที่มีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับ ส.ส. เดิมทีแล้ว อำนาจการเลือกนายกรัฐมนตรีเป็นของ ส.ส. เท่านั้น การให้อำนาจ ส.ว. ร่วมเลือกนายกฯได้นั้นจึงเป็นหนึ่งในความบกพร่องของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ที่ไม่สอดคล้องกับหลัก “หนึ่งสิทธิหนึ่งเสียง” เท่าเทียมกันตามหลักประชาธิปไตย
.
ปัญหาของ ส.ว. ไทย คือ ความไม่สมดุลระหว่าง “อำนาจ” ที่มากกับ “ที่มา” ที่ไม่ยึดโยงกับประชาชนเลย จึงมักมีการเสนอ 2 แนวทางเพื่อการแก้ไขปัญหา คือ
(1) การเลือกตั้ง ส.ว. เพื่อให้ “ที่มา” มีความยึดโยงกับประชาชนมากขึ้น แต่ก็จะเกิดคำถามที่ตามมาว่าจะจัดการเลือกตั้งแบบไหน ให้ผลลัพธ์ที่ได้มาไม่ซ้ำซ้อนกับการเลือกตั้ง ส.ส. หรือ
(2) การลด “อำนาจ” ส.ว. เพื่อให้เป็นเพียง “สภากลั่นกรอง” แต่ก็ยังเจอคำถามว่าต้องทำอย่างไรจึงจะรับประกันความโปร่งใสในกระบวนการสรรหาและความเป็นกลางของ ส.ว.
กลุ่มรัฐธรรมนูญก้าวหน้าขอนำเสนอแนวทางที่
(3) คือการพิจารณาถึงความจำเป็นของการมีอยู่ของ ส.ว. ในระบบรัฐสภาไทย
.
ถึงเวลาต้องพิจารณาถึงอำนาจของ ส.ว.
ถึงเวลาต้องพิจารณาถึงความยึดโยงกับประชาชนของ ส.ว.
ถึงเวลาต้องพิจารณาถึงความจำเป็นของ ส.ว.
ถึงเวลาต้องยกเลิก ส.ว.
#ถึงเวลาสภาเดี่ยว
#รัฐธรรมนูญก้าวหน้า



สภาเดี่ยวคืออะไร ?
.
สภาเดี่ยว (Unicameral Legislature) คือ ระบบรัฐสภาที่มีเพียงสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนเป็นผู้ทำหน้าที่ออกกฎหมายของประเทศ โดยไม่มีวุฒิสภา (ส.ว.) ไม่ว่าจะเป็น ส.ว. ที่มาจากการเลือกตั้งหรือ ส.ว. ที่มาจากการแต่งตั้ง
.
สภาคู่ (Bicameral Legislature) คือ ระบบรัฐสภาที่มีสองสภาทั้ง ส.ส. และ ส.ว. ร่วมกันทำหน้าที่ตรากฎหมายของประเทศ
.
ซึ่งทั่วโลกมีการปกครองทั้ง 2 ลักษณะ
.
บางประเทศไม่มี ส.ว.
บางประเทศมี ส.ว. เนื่องด้วยเหตุผลทางประวัติศาสตร์
บางประเทศมี ส.ว. เพื่อเป็นผู้แทนของสาขาอาชีพต่าง ๆ
บางประเทศมี ส.ว. เพื่อเป็นผู้แทนของมลรัฐต่าง ๆ ในประเทศ
บางประเทศมี ส.ว. เพื่อเป็นเครื่องมือการสืบทอดอำนาจ
.
สำหรับประเทศไทยได้เริ่มใช้ระบบสภาเดี่ยว (แต่มี ส.ส. 2 ประเภท) ตั้งแต่ปี 2475 แต่ต่อมาในปี 2489 ได้เปลี่ยนเป็นระบบสภาคู่เพื่อให้ ส.ว. เป็น "สภาที่ปรึกษา" ในช่วงการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย
.
แต่ตั้งแต่ปี 2490 คณะรัฐประหารใช้ ส.ว. เป็นเครื่องมือสานต่ออุดมการณ์ของคณะรัฐประหาร เพราะคิดว่าพวกตนมีวุฒิภาวะมากกว่าและไม่เชื่อมั่นประชาชน ทำให้เห็นถึงความล้มเหลวของการมีอยู่ของ ส.ว. มาโดยตลอดพัฒนาการทางประชาธิปไตยไทยกว่า 87 ปี
.
วันนี้ประชาชนพร้อมแล้วที่จะแสดงเจตนารมณ์อย่างอิสระเสรีเพื่อกำหนดทิศทางของสังคมและประเทศไทย



ส.ว. ต้องเป็นแบบไหนถึงจะเรียกได้ว่าเป็นประชาธิปไตย ?
.
หลายคนอาจเข้าใจผิด ว่า ส.ว. ต้องมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น ประเทศถึงจะเรียกว่าเป็นประชาธิปไตยได้
.
แต่ความจริงแล้ว หลักการที่ถูกกำหนดโดยมาตรฐานประชาธิปไตยเกี่ยวกับวุฒิสภา คือ “อำนาจ” ต้องเท่ากับ “ที่มา”
.
นั่นหมายความว่า อำนาจของ ส.ว. จะมีมากน้อยเพียงใดต้องสอดคล้องกับที่มาของการเข้าสู่ตำแหน่งของ ส.ว. ว่าประชาชนมีส่วนร่วมในการเลือก ส.ว. มากน้อยแค่ไหน
.
หาก ส.ว. มีอำนาจมาก ที่มาก็ต้องมีความยึดโยงกับประชาชนมาก
หาก ส.ว. มีที่มาที่มีความยึดโยงกับประชาชนน้อย ก็ต้องมีอำนาจน้อย
.



“ความพิสดาร” หรือ “ความไม่สมดุล” ของ ส.ว. ไทย
.
ประเทศต่างๆที่เป็นประชาธิปไตยอาจมีรูปแบบของวุฒิสภาที่แตกต่างกัน แต่ทุกประเทศที่เป็นประชาธิปไตย จะยึดหลักการ “อำนาจ = ที่มา” สำหรับวุฒิสภา
หาก ส.ว. มีอำนาจมาก ก็ต้องมีความยึดโยงกับประชาชนมาก
หาก ส.ว. มีความยึดโยงกับประชาชนน้อย ก็ต้องมีอำนาจน้อย
.
ส.ว. ของสหราชอาณาจักรมีอำนาจให้คำปรึกษาแก่ร่างกฎหมายต่าง ๆ และชะลอร่างกฎหมายได้สูงสุด 1 ปี โดยรวมแล้วมีอำนาจน้อย เลยไม่จำเป็นต้องมีที่มาที่ความยึดโยงกับประชาชนมาก สังคมจึงยอมรับได้จากการที่สมาชิกวุฒิสภามาจากการแต่งตั้งโดยคำนึงถึงความหลากหลายและความเชี่ยวชาญในวิชาชีพต่างๆ (อำนาจ “น้อย” และ ความยึดโยงกับประชาชน “น้อย”)
.
ส.ว. ของสหรัฐอเมริกามาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ใน 50 มลรัฐ มลรัฐละ 2 คน รวมเป็น 100 คน เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้แทนผลประโยชน์ของแต่ละมลรัฐ จึงมีความชอบธรรมที่จะมีอำนาจมาก เช่น การถอดถอนประธานาธิบดี การรับรองผู้ดำรงตำแหน่งศาลสูงสุด และ การริเริ่มกระบวนการตรากฎหมาย (อำนาจ “มาก” และ ความยึดโยงกับประชาชน “มาก”)
.
ความไม่สมดุลของอำนาจและที่มาของ ส.ว. ไทยชุดปัจจุบันคือการได้รับการแต่งตั้งจากคณะกรรมการที่ถูกแต่งตั้งโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กับการมีอำนาจมากเมื่อเปรียบเทียบกับ ส.ว. ของต่างประเทศ เช่น การเลือกนายกรัฐมนตรี และ การพิจารณากฎหมายปฏิรูปประเทศ ร่วมกับ ส.ส. (อำนาจ “มาก” แต่ ความยึดโยงกับประชาชน “น้อย”)
.



การศึกษากรณีตัวอย่างในต่างประเทศ
.
ดัชนีประชาธิปไตยยังไม่จัดว่าประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย แต่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม “กึ่งอำนาจนิยม หรือ อำนาจนิยมไฮบริด”
.
ทำอย่างไรประเทศไทยจึงจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศ “ประชาธิปไตย” ?
.
ประเทศไทยต้องมีการพัฒนาโครงสร้างระบบการปกครอง แต่เราควรเปรียบเทียบกับตัวอย่างประเทศประชาธิปไตยที่มีลักษณะคล้ายกับประเทศเรา เช่น
(1) ใช้ระบบรัฐสภา ไม่ใช่ระบบประธานาธิบดี (เราจึงไม่ควรเปรียบเทียบกับ สหรัฐอเมริกา หรือ เกาหลีใต้)
(2) เป็นรัฐเดี่ยว ไม่ใช่เป็นสหพันธรัฐที่มีหลายรัฐ (เราจึงไม่ควรเปรียบเทียบกับ เยอรมัน หรือ อินเดีย)
.
เมื่อใช้เกณฑ์ดังต่อไปนี้ เราจึงเหลือ 31 ประเทศที่เป็นประชาธิปไตย ปกครองด้วยระบบรัฐสภา และเป็นรัฐเดี่ยว ซึ่งควรใช้มาเปรียบเทียบกับประเทศไทย
.



ประเทศประชาธิปไตยส่วนใหญ่เลือกใช้ระบบสภาเดี่ยว
.
ส่วนใหญ่ของประเทศที่เป็นประชาธิปไตยแบบรัฐสภาและเป็นรัฐเดี่ยว (20 จาก 31 ประเทศ) ใช้ระบบสภาเดี่ยว เช่น นิวซีแลนด์ที่ยกเลิก ส.ว. ในปี 1951 และเดนมาร์กที่ยกเลิก ส.ว. ในปี 1953 และในอีกหลายประเทศที่ไม่มี ส.ว. หรือสภาสูงมาตั้งแต่ต้น
.
มีเพียง 7 ประเทศ ที่ใช้ระบบสภาคู่ที่มี ส.ว. มาจากทั้งที่การเลือกตั้งโดยตรงและการเลือกตั้งโดยอ้อม เช่น ไอร์แลนด์ เนเธอแลนด์ ญี่ปุ่น
.
และ มีเพียงแค่ 4 ประเทศเท่านั้นที่มี ส.ว. มาจากการแต่งตั้ง เช่น สหราชอาณาจักร (แต่อำนาจ ส.ว. น้อยกว่าไทยหลายเท่า) และ ตรินิแดดและโตเบโก (ที่มีประชากรเพียง 1.3 ล้านคน)
.



ข้อดีของระบบสภาเดี่ยว ที่ไม่มี ส.ว.
.
(1) ความรวดเร็วในการออกกฎหมาย เพื่อให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของโลก จะทำให้การผ่านกฎหมายใหม่หรือแก้กฎหมายเก่ามีขั้นตอนและระยะเวลาน้อยลง เพื่อให้การตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนและบริบทของโลกที่เปลี่ยนอยู่เสมอเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
.
(2) ประหยัดงบประมาณอย่างน้อย 1,200 ล้านบาทต่อปี จากค่าตอบแทน ค่าเดินทาง เบี้ยเลี้ยง และเงินเดือนผู้ช่วยของ ส.ว. รวมถึงค่าสรรหาคัดสรร ส.ว. ทุก 5 ปี เมื่อครบวาระ
.



ไม่มี ส.ว. ก็ไม่ต้องกังวล (No ส.ว. No Problem)
.
สำหรับสิ่งที่หลายคนกังวลว่าเราจะเสียไปจากการไม่มีวุฒิสภา ทางเรามองว่าเราสามารถเสนอกลไกอื่นที่มาทดแทนบทบาทเก่าของ ส.ว. ได้ ที่อาจมีประสิทธิภาพกว่า
.
ข้อกังวล #1 = “รัฐสภาจะขาดความเชี่ยวชาญของสาขาอาชีพต่างๆ”
เราจะมาทดแทนด้วยการเพิ่มบทบาทสภาวิชาชีพในกระบวนการร่างกฎหมาย เพื่อให้ความเชี่ยวชาญของสาขาอาชีพมีบทบาทตั้งแต่กระบวนการริเริ่มเสนอร่างกฎหมาย ร่างกฎหมายจะได้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่เกี่ยวข้องได้อย่างเหมาะสม
.
ข้อกังวล #2 = “ไม่มีใครปกป้องภูมิภาคและไม่มีใครดูแลจังหวัดขนาดเล็ก”
เราจะมาทดแทนด้วยการกระจายอำนาจในทุกจังหวัดให้จัดการตนเองและมีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อให้การบริหารงบประมาณและการแก้ไขปัญหาต่างสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นอย่างแท้จริง
.
ข้อกังวล #3 = “ใครจะมาถ่วงดุลอำนาจ ส.ส. และฝ่ายบริหาร?”
เราจะมาทดแทนด้วยการ
(i) ติดอาวุธประชาชนด้วยข้อมูล เปิดระบบ Open Data ในทุกกระบวนการขั้นตอนการพิจารณาร่างกฎหมาย เพื่อให้ประชาชนสามารถติดตามตรวจสอบการทำงานของ ส.ส. ได้อย่างครอบคลุม
(ii) เพิ่มสิทธิถอดถอนกฎหมาย ให้ประชาชนมีสิทธิยื่นถอดถอนกฎหมายโดยระบุเหตุผลและความจำเป็นยื่นต่อ ส.ส. ให้พิจารณาและมีการอภิปรายทบทวนกฎหมายต่าง ๆ ที่อาจไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันในสังคม
(iii) รับประกันความเป็นกลางทางการเมืองของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ ด้วยการให้อำนาจทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลเท่าเทียมกันในการสรรหาและคัดค้านกระบวนการคัดเลือกผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ
.
ที่มา FB

รัฐธรรมนูญก้าวหน้า


"ถ้าเราไม่กล้าหาญพอ เราอาจไม่มีวันเป็น Greta Thunberg ถ้ามีคนกล้าเช่นเธอ เราจำเป็นต้องปกป้องเธอ เราต้องปกป้องสิทธิเสรีภาพของการกระทำของเธอ"



จากกรณี Greta Thunberg มีประเด็นที่อยากเขียนถึงครับคือ Asperger’s (โรค) / Anger (โกรธ) / Aggression (ก้าวร้าว) / Activist (กิจกรรมทางสังคม)

ในยุคที่คนส่วนใหญ่ใช้อินเตอร์เนตเป็นแล้ว เราควรจะเข้าใจถูกและเลิกพูดมั่วๆในปัญหาสุขภาพจิต อาทิเช่น ไบโพล่าร์ ที่ทุกวันนี้ยังคงมีคนนำมาใช้เรียกคนเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย , คนกลับกลอก , คนพูดอย่างทำอย่าง ฯลฯ ซึ่งผิด❌

ไบโพล่าร์ไม่ใช่นิสัย ดังนั้นคนนิสัยไม่ดีก็ด่านิสัยไม่ดี คนกลับกลอกก็ด่าว่ากลับกลอก 😠 ไม่ใช่แซวว่าไบโพล่าร์

อย่าทำให้คนที่ป่วยด้วยโรคไบโพล่าร์ต้องรู้สึกแย่มากไปกว่าอาการที่เป็นอยู่ ด้วยมุกตลกหรือการเรียกโรคนี้แบบเหมารวม

โรคไบโพล่าร์ คือ โรคที่มีเกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์สองขั้ว ไม่ใช่ ‘นิสัย’ และไม่ใช่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย

=========
Asperger’s
=========

เช่นเดียวกับ Asperger’s ซึ่งก็เป็นโรคที่มีปัญหาในด้านพัฒนาการแบบหนึ่งแต่ไม่ใช่ปัญญาอ่อน ไม่ใช่เอ๋อ ไม่เกี่ยวกับโง่หรือฉลาด

Asperger’s อาจจะมีปัญหาสมาธิสั้นหรือไม่มีสมาธิสั้นก็ได้ มันคนละเรื่องกัน

Asperger’s มีสติปัญญาปกติก็ได้หรืออัจฉริยะก็ได้ ใครอยาก defend ก็ไม่ต้องอวยว่าเป็นโรคนี้คืออัจฉริยะ เพราะไม่ใช่ว่า Asperger’s จะต้องเป็นอัจฉริยะเสมอไป

เดิม Asperger’s จัดอยู่ในกลุ่มอาการโรคแบบออทิสติกประเภทหนึ่ง (autism spectrum) และในเกณฑ์ล่าสุดของสมาคมจิตแพทย์อเมริกันก็เลิกใช้คำนี้แล้วไปรวมอยู่ใน Autistic Spectrum Disorder

หลักๆคือเป็นโรคทางพัฒนาการที่มีลักษณะสำคัญสองอย่างคือด้านทักษะและปฏิสัมพันธ์สังคมที่บกพร่อง และด้านความสนใจที่จำกัดในบางเรื่องซ้ำๆ

===

Greta Thunberg 👩วัยรุ่นสวีเดนอายุ 16 ปีที่กำลังโด่งดังจากการต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อมแล้วล่าสุดในที่ประชุม UN ที่นิวยอร์ค เธอขึ้นกล่าวปราศรัยที่สร้างกระแสไปทั่วโลก

เธอเคยประกาศต่อสาธารณะอยู่แล้วว่าเธอเคยได้รับการวินิจฉัยเป็น Asperger’s และ สมาธิสั้น

หลายคนจึงมองว่าการแสดงออกของเธอเป็นเพราะความเป็นเด็กหรือเพราะโรค เป็นการลดทอนคุณค่าใน 'สิ่งที่เธอพูด'

ท่าทีที่เราเห็นไม่ใช่ ‘โรค’ ของเธอ
ท่าทีและจุดยืนที่เราเห็นคือ ‘ตัวเธอ’
ถ้าเธอโกรธหรือหากจะมองว่าเธอแรงเกินไปนั่นก็คือ 'ตัวเธอ'

เพราะAsperger’s , โรคสมาธิสั้น หรือ คนที่ไม่ได้ป่วย ก็สามารถโกรธและแสดงออกแบบนี้ได้เหมือนกัน

ดังนั้นการจะถกว่า ‘เชื่อในเรื่องโลกร้อน เชื่อในแนวทางต่อสู้’ หรือไม่ ?

มันไม่ใช่เรื่องว่าเด็กหรือผู้ใหญ่พูด (ซึ่งจริงๆแล้วเธอก็ไม่ใช่เด็กด้วย)

ไม่ใช่ว่าป่วยหรือไม่ป่วย

=============
Greta Thunberg
=============

หลายความเห็นว่าท่าทีสีหน้าและวาจาของ Greta Thunberg ที่ UN ดูจะก้าวร้าวเกินไป ทำไมไม่พูดจาดีๆ ,

ประเด็นว่าก้าวร้าว(Aggression) หรือไม่ ? อันนี้เดี๋ยวเราจะพูดกันอีกที แต่เห็นได้ชัดทั้งจากสีหน้าและการพูดคือเธอ 'โกรธ'แน่ๆครับ

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า Greta Thunberg ไม่ได้เริ่มต้นการต่อสู้เพื่อ Climate Change จากการลุกขึ้นต่อว่าผู้ใหญ่แถวบ้านว่า “คุณกล้าดียังไง?”

- เธอเริ่มต้นสนใจเรื่องนี้ตั้งแต่ 8 ขวบ

ตอน8ขวบเธออ่านเจอเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อม ต่อมาเธอโน้มน้าวพ่อแม่ด้วยข้อมูลที่เธอเก็บสะสมมาให้เห็นว่าโลกกำลังใกล้วิกฤติอย่างไร

พ่อแม่ของเธอเล่าว่าเธอพยายามใช้เหตุผลมาคุยกับพ่อแม่ มีการโต้แย้งบ้างแต่ก็ไม่ได้มีความรุนแรง จนในที่สุดพ่อแม่ของเธอก็เริ่มเปลี่ยนแปลงจากที่พยายามชักชวนให้เลิกโดดเรียนก็ไม่ต่อต้านการแสดงออกของเธออีก

ต่อมาแม่เธอเลิกขึ้นเครื่องบินเดินทาง พ่อของเธอเปลี่ยนมาเป็น vegetarian

“ลูกผมเอาแต่ฉายสารคดีให้เราดู เราอ่านหนังสือด้วยกัน ก่อนหน้านั้นผมไม่เอะใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อมนี้เลย เธอเปลี่ยนเราสองคน และตอนนี้เธอกำลังเปลี่ยนผู้คนอีกมากมาย” – พ่อของGreta เคยให้สัมภาษณ์ไว้

- เมื่อปีที่แล้ว เกรตาอายุ 15 ปี

เธอได้รับแรงบันดาลใจจากการประท้วงของเด็กนักเรียนในอเมริกาที่ออกมาเรื่องการครอบครองอาวุธปืนหลังเหตุกราดยิงในโรงเรียน Greta Thunberg จึงเริ่ม climate strike หยุดเรียนเป็นเวลา 3 สัปดาห์พร้อมถือป้าย Skolstrejk för Klimatet (school strike for climate)ไปนั่งประท้วงที่รัฐสภาสวีเดน ชวนเพื่อนก็ไม่มีใครสนเข้าร่วม

จนวันหนึ่งเมื่อผู้คนให้ความสนใจ เธอเริ่มเข้าร่วมกิจกรรมสังคมที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจากระดับในประเทศไปจนถึงระดับนานาชาติ

==========
🔥 Anger (1)
==========

ภาพที่เราเห็นบนเวที UN , เธอไม่ได้สู้กับคนหนึ่งคน

เธอไม่ได้กำลังถกเรื่องนี้กับครู หรือกับพ่อแม่

เธอสู้กับ ‘แนวคิดตรงข้าม’ ซึ่งไม่ใช่ปัจเจกชนคนใดคนหนึ่ง

เธอกำลังสู้กับผู้ใหญ่ในระดับผู้มีอำนาจ สู้กับอำนาจรัฐ สู้กับบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่หลายเจ้าที่จะเดือดร้อนกับนโยบายที่เปลี่ยนไป

สู้กับแนวคิดของผู้นำระดับโลกอย่างประธานาธิบดีอเมริกา

==

สมมติว่าถ้าให้เธอพูดจาอ่อนน้อมสุภาพ 🙏

"กราบเท้าเรียน ‘ลุงทรัมป์ที่เคารพคะ’ หรือ ‘บิ๊กทรัมป์’ เนื่องด้วยประเทศของท่านสร้างปัญหาเรือนกระจกเป็นอันดับสองของโลก หนูขอความกรุณาให้ท่านช่วยกลับไปเซ็นข้อตกลงปารีสซึ่งเป็นกรอบอนุสัญญาว่าด้วยเรื่องแก้ปัญหาโลกร้อน"

ยากเหลือเกินที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงครับ เพราะทรัมป์ไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว แถมอำนาจนั้นต่างกันราวฟ้ากับก้นเหว

เขาไม่จำเป็นต้องแยแสวัยรุ่นอายุ 16 ปีเลย

==

ดังนั้นความโกรธของGretaไม่ได้จู่ๆพุ่งขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ

เธอที่ทุ่มเทให้ปัญหานี้หลายปีเจอมาหลายครั้งแล้วว่าไม่ได้การตอบสนองจากผู้ใหญ่

ผู้มีอำนาจไม่ใช่แค่เพิกเฉยแต่กลับปัดความรับผิดชอบแล้วไม่เชื่อเสียด้วยซ้ำว่าเป็นปัญหา

มันจึงเป็น🤜การต่อสู้ปัญหาในรูปแบบที่ใครๆก็อาจเคยเจอ คือ

(1) คุณเดือดร้อนแต่คุณเป็นเพียงฝุ่นหรือคนตัวเล็กๆในปัญหา

(2) ผู้มีอำนาจหรือผู้มีหน้าที่ไม่ตอบสนองคุณ หรือไม่คิดว่าเป็นปัญหา

(3) ปัญหาที่คุณเดือดร้อนไม่สามารถแก้ได้สำเร็จในระดับล่างขึ้นบน เช่น ปลูกฝังจิตสำนึก , ไม่ใช้หลอดพลาสติก ฯลฯ แต่มันต้องเปลี่ยนจากบน(รัฐ)ลงล่าง(ประชาชน)ด้วย เช่น การออกกฎหมาย ฯลฯ

ซึ่งการต่อสู้ในกระบวนการแบบนี้ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้ถ้าคุณไม่สามารถสั่นคลอน ‘ผู้มีอำนาจในการเปลี่ยนแปลง’

===

🔥ความโกรธในการต่อสู้รูปแบบข้างต้นจึงเป็นเชื้อเพลิงสำคัญอย่างหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง

แทบทุกการเปลี่ยนแปลงในสังคมที่ต้องสู้กับผู้มีอำนาจที่ไม่ใยดีประชาชนหรือมีการกดขี่ข่มเหง ล้วนมีความโกรธขับเคลื่อนทั้งนั้น

ดูอย่างเนื้อเพลง Do you hear the people sing? Singing a song of 'angry' men. It is the music of a people who will not be slaves again จาก Les miserables

ถ้าคุณถูกกดขี่ คุณเป็นทาส แล้วคุณต้องการสู้เพื่ออิสรภาพ การที่คุณคลานไปกราบเท้าเจ้านายนั้นยากที่จะปลดปล่อยตัวเองจากอิสรภาพได้สำเร็จ

หรือต่อให้เจอเจ้านายของคุณยอมปล่อยก็ไม่ได้ช่วยผู้คนอีกจำนวนมาก เพราะเจ้านายคนอื่นๆก็จะเริ่มกลัวการปลดแอก ก็จะพยายามควบคุม กดขี่ ให้หนักขึ้น

🔥การต่อสู้กับอำนาจที่ไม่เห็นหัวหรือไม่ใยดี ย่อมไม่อาจผลักดันด้วยมุกตลกหรือความนอบน้อม

แต่ต้องมีความโกรธที่มากพอช่วยขับเคลื่อน

=======
Anger (2)
=======

ระดับความโกรธของGretaต่อปัญหาโลกร้อนอาจจะมากกว่าวัยรุ่นส่วนใหญ่รวมถึงวัยรุ่นไทย

แต่นั่นไม่ได้หมายถึงว่ามันผิดปกติ

เพราะนอกจากปัจจัยส่วนตัวที่Gretaหมกมุ่นเรื่องโลกร้อนทำให้โฟกัสเรื่องเดียวแล้วโกรธแค่เรื่องนี้มาก ยังเป็นเรื่อง ‘บริบทสังคม’ ด้วย

เช่น 👧👦หากคุณเป็นนักเรียนไทยระดับชาวบ้านถึงชนชั้นกลางในครอบครัวที่ไม่มีสวัสดิการสังคมดีพอ

- ยังไม่ต้องไปถึงปัญหาโลกร้อนแค่อยากสู้ปัญหาน้ำท่วม , รถไฟฟ้าพัง , ฝุ่น PM2.5มาอีกแล้วโว้ยยยย😷 ฯลฯ ก็ปรากฏขึ้นมาในหัวก่อนแล้ว ความโกรธในชีวิตประจำวันกระจายไปหลายเรื่อง , แต่เกรต้าไม่ได้ต้องเจอปัญหาพวกนั้น

- ถ้าครอบครัวยากจน แล้ววันหนึ่งเด็กมัธยมออกมาประท้วงแบบเกรตา ก็อาจทำให้พ่อแม่เครียดเพราะห่วงอนาคตที่ไร้วุฒิการศึกษาในสังคมที่ให้ความสำคัญกับวุฒิอาจจะลำบากไม่มีงานทำ แต่เกรตาอยู่ในคุณภาพชีวิตที่มีสวัสดิการสำหรับประชาชนดีพอที่จะออกไปมีกิจกรรมเหล่านั้นโดยได้รับการสนับสนุนจากพ่อแม่

จึงอย่าแปลกใจที่เราจะเห็นระดับความโกรธของเรื่องนี้ในสังคมไทยหรืออีกหลายๆสังคมน้อยกว่าGreta

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าประเด็นที่เธอยกขึ้นมาเป็นปัญหาเล็ก

ไม่ได้แปลว่าปัญหาของเธอกระทบแค่สวีเดน

เพราะสุดท้ายสภาพอากาศแปรปรวนหรือ PM 2.5 ถ้าลองไล่ๆไปมันก็มาจากเรื่องสิ่งแวดล้อมที่เธอกำลังต่อสู้อยู่

=========
Aggression
=========

โกรธเป็นคนละเรื่องกับก่อความรุนแรง(violence)
โกรธไม่จำเป็นต้องก้าวร้าว(Aggression)

ถ้ามนุษย์แปรความโกรธได้ถูกทางหรือระบายอย่างเหมาะสม ความรุนแรงก็จะลดน้อยลงด้วยซ้ำ

แต่สังคมที่พยายามเก็บกดความโกรธซึ่งเป็นธรรมชาติมนุษย์ จึงมักสร้างปัญหาปากว่าตาขยิบหรือไม่จริงใจ เกิดภาวะเก็บกดแล้วเสี่ยงไประเบิดความรุนแรงภายหลัง จากความโกรธที่ไม่ถูกระบาย

====

ส่วนตัวแล้วผมมองว่าGretaโกรธแต่เธอยังไม่ได้ถึงกับ ‘ก้าวร้าว’

ต้องเข้าใจก่อนว่านิยาม ‘ก้าวร้าว’ หลายครั้งมันเป็นอัตวิสัยนะครับ เช่น เวลาโกรธแล้วตาขวางอย่างเดียวกับผู้ใหญ่ในบ้านเรามองว่าตาขวางคือก้าวร้าว แต่ในอีกหลายสังคมไม่สนใจเรื่องตาขวาง

เพราะก้าวร้าวในหลายๆที่คือการใช้วาจาในเชิง hate speech , หยาบคาย , ล่วงละเมิด /การทำลายของ/การทำร้ายคน

ดังนั้น

🤬 ถ้าGretaลุกขึ้นมาพูดบนเวทีว่า "ไอ้เหี้ยทรัมป์มึง , พวกผู้ใหญ่ระยำ พวกมึงกล้ายังไง ฯลฯ" อะไรแบบนี้ ก้าวร้าว

🤬 หรือจู่ๆบนเวที UN ก็ขว้างไมค์แล้วทุ่มโพเดี้ยมใส่ผู้ใหญ่ด้านล่าง อะไรแบบนี้เรียก ก้าวร้าว

แต่ก็เข้าใจได้ว่าหลายคนอาจรับไม่ได้ที่ต้องแรงขนาดนั้น เพราะอัตวิสัยของคนไทยมีความคาดหวังต่อ 'ผู้อาวุโสน้อย' ในอีกแบบ

เพียงแต่คำถามสำคัญคือ

ถ้าเปลี่ยนGretaเป็นทรัมป์หรือลุงแก่ๆที่มีอำนาจซักคน พูดแบบเธอ , ชักสีหน้าแบบเธอหรือจะทุ่มโพเดี้ยมใส่คนฟัง

คุณจะมองว่าพฤติกรรมนั้น ‘ก้าวร้าวหรือไม่’ ?

หรือถ้าคุณยอมรับที่ผู้ใหญ่มีสีหน้ากับคำพูดที่คล้ายGretaได้

เพราะอะไรถึงหงุดหงิดมากกับ Greta

======
Activist
======

เคยเขียนประเด็นนี้แล้วจะไม่ร่ายซ้ำ สนใจอ่านได้ที่นี่จ้า

👧👦เด็กๆไม่ควรยุ่งเรื่องการเมือง ?

https://www.facebook.com/IbehindYou/photos/a.286053878317/10156604684808318/?type=3&theater

เพียงแต่คิดเล่นๆว่า ถ้าคุณสนับสนุนแนวทางการต่อสู้ของ Greta Thunberg (ไม่ได้หมายถึงเรื่องโลกร้อนนะ แต่ในแง่ความกล้าหาญหรือการแสดงออกทางสังคม) แล้วอยากเห็นความกล้าหาญในการแสดงออกหรือต่อสู้กับปัญหาภาคสังคมเรื่องอื่นๆจาก 'เยาวชนไทย'

มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย ถ้าคนส่วนใหญ่ยังสนับสนุนให้คนวาดรูปอุลตราแมนไปกราบขอขมาหรือถ้าคนส่วนใหญ่ยังสนับสนุนการกดดันและยับยั้งการทำพานไหว้ครูที่แสดงจุดยืนทางการเมือง ฯลฯ

จริงอยู่ว่ามันเป็นคนละเรื่องกับโลกร้อน ,

แต่มันตั้งอยู่บนหลักการเดียวกันคือ ‘เสรีภาพในการแสดงออก’

===

ถ้าอ่านเสียงตอบรับในการต่อสู้ของ Greta Thunberg จะเห็นว่าคนสวีเดนก็ไม่ได้เห็นด้วยกับเธอทั้งหมด

หรือกระทั่งในระดับโลกก็มีเสียงต่อต้านแนวทางของด้วยมองว่าสุดโต่งไป หรือในแนวคิดฝ่ายขวาจัดก็คัดค้านว่าเด็กควรเรียนหนังสือไม่ใช่มาทำอะไรแบบนี้

แต่ Greta Thunberg ไม่ได้สู้กับ ‘กระแสต้าน’ เพียงลำพัง

- พ่อแม่ของเธอสนับสนุนเธอ

- ผู้ที่มีจุดยืนแบบเธอออกมาแสดงจุดยืนชื่นชมเธอ

- ทรัมป์ต่อต้านแนวคิดแต่ผู้นำประเทศอื่นๆแสดงออกว่าชื่นชม

- บนเวทีระดับโลกมีผู้ใหญ่หลายคนที่อาจพูดไม่เต็มปากว่าเห็นด้วยทั้งหมดแต่ก็ให้เกียรติแล้ว ‘ยินดีรับฟัง’

👫พวกเขาไม่ได้ปล่อยให้เธอสู้อย่างโดดเดี่ยว

===

เราอาจไม่กล้าหาญพอ เราอาจไม่มีวันเป็น Greta Thunberg

แต่ถ้ามีคนกล้าหรือความกล้าหาญปรากฎ เราจำเป็นต้องปกป้องคนนั้น ต้องปกป้องสิทธิเสรีภาพของการกระทำนั้น

มิเช่นนั้นก็จะไม่เหลือความกล้าใดๆในสังคมอีก 😔

เพราะสุดท้ายแล้วก็จะสูญพันธุ์ไปกับมายาคติเดิมๆที่ฝังมานานให้ผู้ใหญ่คอยทำหมันทางความคิดของเยาวชน

ผู้ใหญ่ที่แม้ปากจะบอกว่าอยากให้เด็กไทยคิดนอกกรอบ อยากให้เด็กไทยมีความกล้า แต่พอสิ่งที่เด็กไทยแสดงออกขัดต่อกรอบกับขนบ(หรือเกรตาเป็นคนไทย)ก็จะรีบออกมาบอกว่า

- บางอย่างที่คิดก็ควรรู้ว่าอะไรควรไม่ควร ควรรู้ที่ต่ำที่สูง
- เป็นเด็กเป็นเล็ก ควรสนใจแต่เรื่องเรียนดีกว่ามั้ย
- เสรีภาพมากไปมันไม่ดีหรอก
- เราควรรักษา ‘ความเป็นไทย’ อย่าไปลอกฝรั่งทั้งหมด
- บางอย่างสภาพสังคมเรายังไม่พร้อม อย่าเพิ่งเลย
- อย่าเอาแต่ด่า หาทางแก้ไขด้วย
- แทนที่จะออกมาโวยวาย เรามาช่วยกันทำให้ดีขึ้นดีกว่ามั้ย

ทั้งที่ความคิดคือคนละเรื่องกับ 'การกระทำ' แต่เราทำหมันตั้งแต่ความคิด โดยที่ความคิดนั้นไม่ได้ทำร้ายใคร

ทั้งที่ 'ความพร้อม' ไม่มีวันเกิดได้ถ้ามัวแต่จะรอเรื่องปลูกจิตสำนึกอย่างเดียว

ทั้งที่บทบาท activist หรือประชาชนที่เดือดร้อนไม่ใช่ 'แก้ปัญหา' มันมีผู้เชี่ยวชาญหรือผู้มีอำนาจโดยตรงสำหรับแก้ปัญหา แต่กลับถูกอุดปากไม่ให้ระบายความคับแค้นเพื่อลดกระแสด้วยคำว่า 'ให้หาทางออกด้วย'

=====

ที่มา FB

"ผมอยู่ข้างหลังคุณ

สส.สุนัย ชีวิตบนถนนลี้ภัยของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย




Sunai TV
35.2K subscribers

คุยกันวันเสาร์ค่ำ HD 28 กันยายน 2562


Behind the scene ช็อต ต่อ ช็อต นักศึกษาไล่บิ๊กตู่ กลางเวทีนิวยอร์ก





""ทักษิณทำ = ลุงขี้ตู่ เคลม" ตอน1

..จริงๆแล้ว ผมไม่คิดจะเอาเรื่องนี้ มาเขียนส่งเป็นการบ้าน ให้เพื่อนๆอ่านนะ แต่เห็นเพจดังๆ เขาเล่นข่าวนี้กันหลายวันแล้วน่าสนุก ผมก็เลยเอากะเขาบ้าง เพื่อนๆอย่าเพิ่งเบื่อนะ! ผมพยามสอดแทรกเนื้อหา เพื่อให้เพื่อนๆ ได้อ่านสนุกเท่านั้น แต่สาระของเรื่องคือความจริง
══════<>══════
..✍️เมื่อเอาข่าวนี้มาเล่น จึงได้รู้ว่า! การไปร่วมประชุมสมัชชา สหประชาชาติ ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เขาไม่ได้เชิญไปเพื่อชื่นชม ตามที่แกเข้าใจหรอกนะ

..ไอ้ที่เขาเชิญไปอ่ะ! เพราะเขาเห็นว่าเป็นผู้นำประเทศ เสมือนตัวแทนคนไทยทั้งประเทศ

"สหประชาชาติ"(un) เขาต้องการชื่นชมประเทศไทย แกยังหลงเข้าใจผิด คิดว่าเขาชื่นชมแก แกเลยขอเขาขึ้นไปคุยโม้โอ้อวดบนเวที "ปาถกฐาพิเศษ" ซึ่งเป็นเวที ที่เขาจัดให้เพื่อผู้นำ ไม่ว่าชนชาติใด ก็สามารถขึ้นไปพูดได้ เพื่อเป็นการโปรโมทประเทศตัวเอง หรือจะไม่ขึ้นไปพูดก็ได้

..พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เลือกที่จะขอเขาขึ้นไปพูด

..สำหรับผู้นำประเทศอื่น เขาจะพูด Speak English

..แต่สำหรับประเทศไทย พลเอกประยุทธ์แกบอกว่า! เรื่องพูดภาษาอังกฤษนั้น! ไม่ใช่ปัญหา! (speak English) "ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว"

..แกหมายถึง ภาษาอังกฤษที่ง่ายๆอ่ะ มีอยู่นิดเดียว! ที่เหลือแม่งโคตรยาก!! ถ้าพูดคำว่า "ดีส อีส อะ บุ๊ค" แกบอกว่าพอฟัดกันไหว! ไม่เคยเกรงกลัวหน้าไหนทั้งสิ้น!

..แต่ด้วยวิสัยทัศน์ของแก (vision) แกรู้ดีว่า! การพูดบนเวทีระดับโลก มันก็คงไม่ต่างจาก "มัคทายกในวัด" งานฝังลูกนิมิต" หรือ"งานยกช่อฟ้าอุโบสถ" แกจึงเลือกใช้ภาษาไทย!

..เมื่อก้าวขึ้นเวที กล่าวทักทาย พูดคุย ยักคิ้วหลิ่วตา พูดไปมา! ไอ้คนที่เข้ามาฟัง ก็ฟังไม่รู้เรื่อง!

🎧/:'(¿€&@&(..<%‹>"«L(*OεV*)E٩(³˘)۶&@&(<%‹€*%<≠;&@%‹‹€👣%‹‹€┬*%<≠;&@&(*%<≠;🎧×/¿,;€&@&(٩(๛ ˘ ³˘)۶(ノ*>∀<)ノ;&@&(
(..<%‹>"«&@&(<%‹€*%<≠;&@&(<%‹‹€┬─┬ノ( º _ º👣

..ช่ายย! เพื่อนๆงงใช่ป่ะ!? เพราะนั่นคือ!เสียงจากเครื่องแปลภาษา ซึ่งเป็นเทคโนโลยีชั้นสูง ระบบ UHF ของนาซ่า ที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกา นำมาใช้เพื่อแปลภาษา

..ปรากฏว่าเครื่องรวน! error เครื่องสับสน เพราะแกพูดซะเร็ว! จนเครื่องฟังไม่รู้เรื่อง! เครื่องมันเลยรวน! แปลไม่ทัน!! นี่แหละ! ที่บอกว่า.. ไอ้คนที่เข้ามาฟัง ก็ฟังไม่รู้เรื่อง!

..ทางเจ้าหน้าที่! จึงต้องเปลี่ยนเป็น "ล่ามฉับพลัน" กระทั้ง! การแปลภาษา เริ่มดีขึ้น จึงทำให้ผู้นำทั่วโลก เริ่มเข้าใจในสิ่งที่ พลเอกประยุทธ์พูด เมื่อเริ่มเข้าใจฟังรู้เรื่อง กระทั้ง!

..บางคนถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นท่าที พลเอกประยุทธ์ แสดงวิสัยทัศน์ความเป็นผู้นำ หลายคนถึงกับอึ้ง! ต่างก็ชื่นชมว่า พลเอกประยุทธ์ เป็นผู้นำที่ฉลาด เป็นคนมีความสามารถ ผู้นำประเทศอื่นอาจใช้แค่ "หัวสมองคิด แต่ผู้นำประเทศไทย อย่างพลเอกประยุทธ์ สามารถใช้ "หัวนิ้วโป้ตีนคิด" ซึ่งถือเป็นผู้นำ ที่มีความสามารถสูง!

.. จากนั้น! พลเอกประยุทธ์ แกก็พูดพร่ำ ของแกไปตามประสา พูดเรื่องนี้! กระโดดไปเข้าเรื่องนั้น พูดเรื่องนั้นกระโดดไปเรื่องโน้น! จนกระทั่ง พอจะจับใจความได้ว่า ปีค.ศ 1979 แกบอกว่าประเทศไทย จะเป็นผู้มีรายได้สูงสุด อันดับหนึ่งของโลก เรียกว่ารวยที่สุดในโลก อะไรประมาณนั้น

.. เลี้ยวหางตาขึ้นไปมอง ข้างบน! โอ้โห!? การบ้านที่ส่งให้เพื่อนๆอ่านวันนี้ เริ่มยาวแระ จึงคิดว่าน่าจะแบ่งเป็น 2 ตอน เที่ยงๆผมจะส่งมาให้อ่านนะครับ(เขียนต่ออีกหน่อย)

..✍️แกคุยโม้! โอ้อวดว่าจะเป็นอันดับ1 ก็อายขายขี้หน้าเขาพออยู่แล้ว! แถมยังไปปล่อยไก่ ให้เขาหัวเราะ ไปคุยเรื่องครูกุ้ง (Google) แกแนะนำว่า มีอะไรไม่เข้าใจก็ไปถามกูเกิลได้

..เพราะการคุยโม้ โอ้อวดบ้าๆบอๆนี้! ทำให้คนอื่นเขาหัวเราะ เป็นตัวตลกโจ๊กเกอร์ แกก็เลยพลาดโอกาสไปถึง 2 ครั้ง 2 ครา

..พลาดครั้งที่ 1 เมื่อมีโอกาสขึ้นพูด เพื่อให้ชาวโลกเขาได้รู้! แทนที่แกจะพูด ในสิ่งที่ตัวเองรู้! เช่น นโยบาย "เก็บผักตบชวาคนละ 3 ต้น"

..พลาดครั้งที่ 2 แทนที่จะคุยเรื่อง "บัตรขอทาน" ซึ่งเป็นผลงานของแก แต่นี่!! แกดันไปพูดเรื่อง "บัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า" แกพูดแบบไม่มีความรู้ แกพูดแบบรู้ทั้งรู้ว่า! นี่คือผลงานของ "ท่านนายกทักษิณ "

..โดยแกลืมไปว่า! ผู้นำที่มาร่วมประชุมในครั้งนี้ เขามีข้อมูลมาแล้ว เขารู้มาก่อนหน้านี้แล้วว่า! นี้คือผลงานของ "ท่านนายกทักษิณ"

.. ผมเองก็งง! ไอ้คนที่ติดตาม มีทั้งรัฐมนตรี ไม่มีใครคอยบอก คอยเตือนแกบ้างเลยหรือ! ทำไมให้แก่ปล่อยไก่! เพื่อ!..

..แทนที่จะเตือนแกว่า! เมื่อ 8 ปีที่แล้ว! นายบัน คีมูน เลขาธิการสหประชาชาติในเวลานั้น ได้กล่าวชื่นชมประเทศไทย ในการประชุมโต๊ะกลม เรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 54

..ซึ่งช่วงเวลาในขณะนั้น! พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังเดินตามกระโปรงผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ชื่อ "นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" อยู่เลย!

..✍️ในขณะที่ พลเอกประยุทธ์ แกกำลังคุยโม้อยู่บนเวที ภาษาชาวบ้านเรียกว่า "กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม" จู่ๆ.. ทันใดนั้น! ก็มีเสียงเอะ...

"ทักษิณทำ = ลุงขี้ตู่ เคลม" ตอน2

══════<>══════
..✍️ ขณะที่ พลเอกประยุทธ์ แกกำลังโม้อยู่บนเวที ภาษาชาวบ้านเรียกว่า "กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม" จู่ๆ.. ทันใดนั้น! ก็มีเสียงเอะอะโวยวายขึ้น ใครก็ไม่รู้ 4-5 คน ลุกขึ้นถือป้ายประท้วง ในห้อง เสียงดังลั่น!

..เล่นเอา พลเอกประยุทธ์ หน้าแตก

.. จะไม่ให้หน้าแตกได้ยังไง ก่อนที่ลุงตู่จะบินไปอเมริกาเที่ยวนี้ สลิม 10 กว่าคน บินไปอเมริกาล่วนหน้า เพื่อรวบรวมเกณฑ์คนที่นั่น ให้ออกมาต้อนรับลุงตู่ สร้างภาพให้ดูดี

.. ✍️ที่น่าสังเกตก็คือว่า ก่อนหน้าผู้นำประเทศอื่น เขาขึ้นพูดบนเวที ต่างก็เรียบร้อยดี! ไม่มีเหตุการณ์อะไร! แต่พอมาถึงคิว พลเอกประยุทธ์ กลับมีเหตุการณ์เกิดขึ้น

..ระบบ Security หรือระบบรักษาความปลอดภัยให้กับแขกของรัฐบาล สหรัฐอเมริกา ถือเป็นอันดับต้นๆของโลก ด้านความปลอดภัย

..ดังนั้นเรื่องนี้! "นายดอน ปรมัตถ์วินัย" ในฐานะรัฐมนตรีต่างประเทศ จะต้องทำหนังสือทวงถาม ไปยังสถานทูตอเมริกา บอกให้เขารู้ว่า แม้สภาพของผู้นำเรา จะเป็นเพียงยามเฝ้าหมู่บ้าน แต่แกก็ไม่ใช่หมู หมา กา ไก่ ที่จะถูกกลั่นแกล้ง เช่นนี้ เดินไปทางไหน! ก็มีแต่คนถือป้ายด่า!!

✍️งบประมาณ! ของกระทรวงกลาโหม ปีนี้ รับเนื้อๆแน่นๆ 2แสน 3หมื่นล้าน บาท (233,000,000,000 บาท)

.. เมื่อวานนี้! ผมพอจะมีเวลาว่าง ก็เลยออกไปเดินนับดูสิว่า! คนไทยทั้งประเทศมีทั้งหมดกี่คน? ปรากฏว่า! ผมนับได้ทั้งหมด 67 ล้านคน

..หากนำตัวเลข! งบประมาณของ กระทรวงกลาโหมมาตั้ง แล้วเอาจำนวนประชากรไทย 67ล้านคน/หาร ซึ่งก็น่าจะตกหัวละ 3,430 บาท/คน

..คนละ 3,430 บาท/คน ซึ่งมากกว่างบประมาณ"บัตรทอง 30 บาท" รักษาทุกโรค ซึ่งตกเพียงคนละ 2,900 บาท

..2,900 บาท ที่พลเอกประยุทธ์ บอกว่า!ไม่ไหวๆ ประเทศเจ๊งแน่! โรงพยาบาลก็เจ๊ง แต่! ทีงบกลาโหมกลับไม่เจ๊ง!

.. แถมเอาไปซื้อเรือดำน้ำ มาจอดทิ้งไว้เฉยๆ อ้างว่า! เพื่อความมั่นคงของประเทศชาติ จำเป็นต้องไปซื้อเรือดำน้ำ!

..นี่ก็จะปาเข้าไป 2 ปีแล้ว!! หลังซื้อเรือดำน้ำมา คนไทยยังไม่เคยเห็นเลยว่า เอาออกไปสู้รบกะใคร? ที่ไหน!สักแอะ! สตาร์ทเครื่องเป็นรึเปล่า! ก็ยังไม่รู้!! ซื้อมาแล้ว!ยังคิดไม่ออกเลยว่า จะเอาไปสู้รบกับใคร

..ครั้น!! จะเอาไปสู้รบกับเพื่อนบ้าน
..มองผ่านด้านซ้ายก็เป็นเขมร
..เอนไปทางขวา! ก็เจอกับพม่า
..มองไปข้างหน้า! ก็เจอประเทศลาว
..มองไปทางปากอ่าว! น้ำแม่งก็ตื้น
..พอไปยืน ปลายด้ามขวาน ที่ภาคใต้
...มองเห็นรําไร ชายฝั่งมาเลเซีย!
..มึงเอาเหี้ยอะไรคิด!?

..ขอภัยเพื่อนๆ! บรรทัดสุดท้ายอาจไม่สุภาพ เพราะมันเป็นคำคล้องจอง กลอนพาไป!

..✍️เอาเป็นว่า! ประเทศเพื่อนบ้านหลังคาติดกันเหล่านี้! เขากำลังพัฒนาตัวเอง เพื่อความอยู่ดี กินดีของพี่ประชาชนเขา เขาไม่คิดจะมาสู้รบ ปรบมือกับไทยหรอก!

..มันหมดยุค ล่าอาณานิคมแล้ว ไอ้ที่บอกว่า! ข้าจะไม่ยอมเสียพื้นแผ่นดินให้ใคร แม้แต่ตารางนิ้วเดียว แสดงว่าไอ้นั่นมันโม้ อย่าไปเชื่อ!

..ไอ้บ้าา!! พื้นดินแค่ 1 ตารางนิ้ว ใครเขาจะเอาไปทำไร? เอาไปทำฟาร์มเลี้ยงมดรึไง? แค่เลี้ยงมด 5 ตัว แม่งก็เต็มพื้นที่แล้ว

..น้ำท่วมที่อุบลราชธานี ไอ้เราก็หลงดีใจ! นึกว่าจะเอาเรือดำน้ำ ไปช่วยชาวบ้าน เพื่ออพยพขึ้นฝั่ง ที่ไหนได้!! จอดนิ่งๆเอาไว้งั้นแหละ!

.. จริงเท็จแค่ไหนผมไม่รู้ แต่มีข่าวหลุดรอดมาว่า เรือดำน้ำ! มีปัญหาเกี่ยวกับระบบ ไม่รู้ว่าเป็นอะไร!? แหล่งข่าวไม่ได้แจ้งมา

..แต่ถ้าจะให้ผมเดาๆ! คงเพราะจอดเอาไว้นานเกินไป เผลอๆเครื่องยนต์ อาจสตาร์ไม่ติด หนูอาจเข้าไปกัดสายพาน หรือเปล่า! ก็ม่ายยรุ๊!

..ก็อยากจะฝากเตือนๆว่า "เรือดำน้ำนะโว้ย! ไม่ใช่รถ!" พอสตาร์ทไม่ติด จะได้ลงไปช่วยกันเข็น !

..และที่สำคัญ เรือดำน้ำอ่ะ! เขาไม่ได้ใช้น้ำมันเครื่อง "ไดเกียว 2 ที" นะเว้ย!! เครื่องจะได้ฟิต! "สตาร์ทติดง่าย"




ที่มา FB

Anan Lut


รัฐหวังกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านโครงการ "ชิมช้อปใช้" + เก็บข้อมูลประชาชน





จากโครงการ ชิมช้อปใช้ ก็รู้สึกตื่นเต้นกับ การที่ภาครัฐกำลังใช้เทคนิคสารพัดในการเก็บข้อมูลประชาชน

ซึ่งถ้าเป็นประโยชน์ ต่อประชาชน ก็คงไม่ว่าอะไรกันอยู่แล้วแหละ

รอบนี้ โครงการนี้ ให้เงินก้นถุงรายหัวคนละ 1000 บาท และ ถ้าประชาชนเอาเงินใส่ ก็จะคืนเงินจากการใช้ผ่านระบบนี้ให้ถึง 15 % แต่ไม่เกินคนละ 4500 บาท

จากตารางจะเห็นว่า ถ้าโครงการนี้สำเร็จสุดขีดคือ ผู้รับสิทธิ 10 ล้านคน หวังได้เงินคืน 4500 บาททั้งหมด รัฐจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 3.1 แสนล้านบาท โดยรัฐลงทุนเพียง 10.74%

แต่ถ้าคิดแบบแฟร์หน่อย คนไปเที่ยวจริงๆแบบข้ามจังหวัด ทั้งกินทั้งใช้ ต่อหัว เฉลี่ยที่ 6000 บาท ก็น่าจะพอได้นะ สำหรับยุคนี้ (อาหารสามมื้อ สองวัน + โรงแรม + ค่ารถ + ค่าช้อป แถมอยากได้ cash back) รัฐจะกระตุ้นได้ราว 7 หมื่นล้านบาท โดยลงทุนเพียง 20.14%

เดี๋ยวนี้เขาหมดยุคเอาเงินหว่านแล้ว เขาหว่านน้อยๆ แล้วประชาชนจ่าย 555

แต่ที่สำคัญโดนไปแล้ว คือ เขาเก็บประวัติ พฤติกรรมการใช้เงินในการท่องเที่ยว บีบทางอ้อมให้ร้านค้ามาลงทะเบียน เผื่อเรียกเก็บภาษีได้ในอนาคต หรือ จะทำ แอปอื่นเพิ่มเติมเพื่อจัดการสวัสดิการใหม่ในอนาคต

เรื่องเก็บ เบอร์โทร เบอร์บัญชี ใบหน้า ไม่ต้องไปใส่ใจหรอกครับ เขาก็มีแล้วในบัตรประชาชน เขาเอาจริงก็ได้แต่ยากหน่อย การขอข้อมูลข้ามกรมกองภาครัฐมันเรื่องเยอะ ไม่ให้กันง่ายๆ คนทำแอปคงรำคาญเลยเก็บใหม่ซะเองเลย ง่ายกว่าครับ

ลักษณะการเก็บข้อมูลแบบนี้ จะมีอีกเยอะครับ บัตรเครดิต เฟซบุ๊ค แอปจ่ายเงินในร้านสะดวกซื้อ เขาก็ทำแบบนี้ทั้งนั้น

สำหรับร้านค้าที่กลัวว่าวันหนึ่งจะโดนเล่นเรื่องภาษี ก็กลัวได้เลยครับ วันหนึ่งโดนแน่ ไม่เกินสิบปี เงินส่วนใหญ่จะวิ่งผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์หมด ถ้าคิดว่าเขาไม่รู้ บอกเลยว่า เขายังไม่ว่าง แค่ดูพฤติกรรมการโอนเงินเข้าบัญชีเขาก็รู้แล้วว่าค้าขายอยู่หรือไม่ จะแยกฝากกี่แบงค์ก็ทำได้นะ เพียงแต่เขายังไม่ว่างทำหนะครับ

การเป็นพลเมืองดิจิทัล (digital citizenship) และ การบริหารการใช้ข้อมูล เป็นเรื่องที่สำคัญครับ จำเป็นที่จะต้องสอนกันตั้งแต่เด็กๆ เรื่องแบบนี้ก็มีอยู่ในหลักสูตรวิทยาการคำนวณ ถึงความเข้าใจเกี่ยวกับการอยู่ในโลกออนไลน์ครับ แต่ก็ไม่ได้สอนกันตรงๆแบบนี้หรอกครับ มุขใหม่มาทุกวัน สอนไปก็ตามไม่ทัน ต้องสอนให้เด็กคิดตาม และหัดขวนขวายหาความรู้ครับอินเทอร์เน็ตมีเยอะแยะ เราต้องสอนให้ใช้ให้เป็นมากกว่า ถามแล้วตอบครับ อย่างเคสนี้ ไม่มีหรอกครับที่ถาม google ว่า รัฐได้อะไรจากโครงการนี้ รัฐจะบอกว่ากระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเดียว

สำหรับผมลงทะเบียนเรียบร้อยแล้วครับ ใช่ว่าผมจะไม่กลัวสูญเสียความเป็นส่วนตัว ผมไม่เห็นว่าผมให้ข้อมูลอะไรมากกว่าที่รัฐเคยมีแล้ว (หรือที่เคยให้พวกบัตรเครดิต หรือให้ social network) แล้วจะไม่คุ้ม 1000 บาท พร้อม cash back ครับ จากนั้นไม่พอใจก็เลิกใช้ จบ

Happy Digital Citizenship ครับ

#ชิมช้อปใช้ #วิทยาการคำนวณ #digital_citizenship


พันธุ์ปิติ เปี่ยมสง่า