วันเสาร์, สิงหาคม 02, 2568

กรณีคุณปานเทพ มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ดูเหมือนเอกชนสามารถสั่งซื้ออาวุธสงครามให้ทหารได้ ประเทศนี้ประหลาดมาก !


สมบัติ บุญงามอนงค์
18 hours ago

pSdtoornse19008uumu3838ggam08f38h74i833f64ul219407if1uuttg0h ·

กรณีคุณปานเทพ มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ระดมทุนจัดซื้อโดรนทางการทหาร แบบที่ทิ้งระเบิดได้ตัวละประมาณ 2 ล้านบาท แสดงว่ามันเป็นการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ทางการทหารแล้วส่งมอบให้กองทัพ

ผมมีคำถามดังนี้
1.เอกชน หรือหน่วยงานที่ไมใช่กองทัพ สามารถมีคำสั่งซื้อยุทโธปกรณ์ทางการทหารได้อย่างไร มันไม่ใช่ว่ามีกฎหมายควบคุมสิ่งนี้หรือ ?
2.บริษัทโดรนที่ทำการผลิตต้องได้รับการอนุญาตจากกองทัพแน่นอนและเป็นการทำงานร่วมกันจนมีตัวต้นแบบเรียบร้อยแล้ว เขาไม่น่าจะรับงานจากเอกชนได้
3.ดังนั้นเงินจะต้องบริจาคเข้าไปในบัญชีของกองทัพก่อน แล้วกองทัพจึงใช้กลไกภายในมีคำสั่งซื้อโดรนทิ้งระเบิด ทีนี้กองทัพมีช่องทางพิเศษอย่างไรในการจัดซื้อแบบเร่งด่วนขนาดนี้ คืออยากรู้ประเด็นทางเทคนิค
4.หากไม่โอนเงินไปที่กองทัพแต่ใช้การทำสัญญาว่ากองทัพเป็นคนสั่งซื้อแต่คนจ่ายเงินจ่ายจากบัญชีของมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน กรณีแบบนี้ทางนิตินัยจะถือว่าใครเป็นผู้ซื้อ ?

สรุป ผมไม่เชื่อว่าเอกชนสามารถสั่งซื้ออาวุธสงครามได้ แต่นึกไม่ออกว่าเขาทำกันยังไงในกรณีนี้ ฝากคุณปานเทพให้ข้อมูลเป็นวิทยาทานหน่อยครับ
 
https://www.facebook.com/photo/?fbid=24822202870698757&set=a.100112943334426


🛑 ข่าวปลอม “ไทย-กัมพูชา” ระบาดหนัก! Thai PBS Verify ชวนทุกคนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการตรวจสอบข่าวในสถานการณ์ "ไทย - กัมพูชา" โดยส่งข้อมูล มาให้ตรวจสอบ ลิงค์ข้างล่าง


Thai PBS Verify
Yesterday
·
Thai PBS Verify ชวนทุกคนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการตรวจสอบข่าวในสถานการณ์ "ไทย - กัมพูชา"
โดยส่งข้อมูล เช่น ข้อความ, รูปภาพ และคลิป พร้อมลิงก์ต้นทาง มาให้เราตรวจสอบได้ที่
Facebook : www.facebook.com/ThaiPBSVerify
Inbox Facebook : https://m.me/ThaiPBSVerify
LINE : www.thaipbs.or.th/LINEVerify
.
อย่าเชื่อ อย่าแชร์ จนกว่าจะได้ตรวจสอบกับเราที่นี่
www.thaipbs.or.th/VerifyThaiCambodia
.
#ThaiPBSVerify #ตรวจสอบข่าวปลอมคัดกรองข่าวจริง #ไทย #กัมพูชา #ThaiPBS




https://www.facebook.com/thaipbsverify/posts/122178924236561989

https://www.facebook.com/thaipbsverify




Wow ! พระราชวังบักกิงแฮมแสดงความเคารพยกย่อง Ozzy Osbourne (R.I.P.) ด้วยการร่วมบรรเลงเพลง "Paranoid" โดยเหล่าทหารรักษาพระองค์

 
นักล่าผู้บ้าบิ่น
10 hours ago
·
พระราชวังบักกิงแฮมแสดงความเคารพยกย่อง Ozzy Osbourne (R.I.P.) ด้วยการร่วมบรรเลงเพลง "Paranoid" โดยเหล่าทหารรักษาพระองค์
เครดิต: @about.london

https://www.facebook.com/watch/?v=1084447357164919

https://www.youtube.com/shorts/LizzHaNcqV


กรณีพิเชษฐ์ และ ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นปัญหางูกินหางของระบบการเมืองไทย ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีขอบเขตอำนาจล้นพ้นตัว แถมมีที่มาจากการแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร จึงไม่มีความชอบธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย เมื่อไหร่พรรคการเมืองจะตื่น !


Jakkapon Phonlaor
8 hours ago
·
กรณีพิเชษฐ์ และ ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นปัญหางูกินหางของระบบการเมืองไทย
.
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีขอบเขตอำนาจล้นพ้นตัว แถมมีที่มาจากการแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร จึงไม่มีความชอบธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย
.
พิเชษฐ์ เป็นนักการเมืองซึ่งมาจากการเลือกตั้ง แต่ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ทุจริตแปรงบประมาณไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง แม้มีความชอบธรรมตามที่มา แต่ใช้อำนาจโดยทุจริต
.
พอสองส่วนนี้มาปะทะกัน มันเลยเกิดสภาวะอิหลักอิเหลื่อ
ถ้ายื่นร้องก็โดนครหา ว่ารับรองอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ
ถ้าไม่ยื่นร้องก็เท่ากับ ยอมรับการทุจริตและใช้อำนาจโดยมิชอบของนักการเมือง
.
ทางที่พรรคส้มเลือก คือเลือกยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเฉพาะกรณีที่เห็นว่ามีความผิดฐานทุจริตจริง ไม่ใช่ร้องเรื่องยุบพรรค ล้มล้างการปกครอง บ้าบอคอแตก ขณะเดียวกันก็ยืนยันเสมอว่าศาลรัฐธรรมนูญต้องยึดโยงกับประชาชนให้มากขึ้น และลดอำนาจลง
.
จริงๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เป็นส่วนหนึ่งของใจกลางความขัดแย้งทางการเมืองไทยในระดับวิธีคิด คือพวกหนึ่งเชื่อว่านักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งมีความชอบธรรมเต็มที่ ถึงใช้อำนาจโดยมิชอบหรือทุจริตก็ไม่เป็นไร ให้ไปรอเลือกตั้งใหม่ตอนครบวาระ ส่วนอีกพวกคือไม่เชื่อในนักการเมือง เลยเอาอำนาจเบ็ดเสร็จไปมอบให้องค์กรอิสระที่เชื่อกันว่าเป็นคนดี มีคุณธรรม เพื่อมาปราบปรามนักการเมือง
.
ถึงที่สุดในอนาคตเรื่องนี้เราอาจจะต้องหาตรงกลาง คือ นักการเมืองต้องถูกตรวจสอบ และองค์กรอิสระต้องยึดโยงกับประชาชน และไม่มีอำนาจมากเสียจนเหนือกว่าอำนาจที่มาจากการเลือกตั้ง
.
ปล.จำได้ว่าเมื่อต้นเดือน ก.ค. พรรคส้มมันเคยยื่นเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ลดอำนาจองค์กรอิสระไปแล้วนะ ก็หวังว่าถ้าได้เข้าสู่การพิจารณาขงรัฐสภาแล้ว พรรคการเมืองทั้งหลายจะร่วมกันลงมติรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้.

https://www.facebook.com/gungun.okc/posts/24255324284063440



"อิสราเอล" ในฐานะ "รัฐนาซีใหม่" ?



The Art of Occupied Palestine
July 24
·
Brazilian artist: Carlos Latuff
Image via Mondoweiss
.....


Suchart Sawadsri
10 hours ago
·
"อิสราเอล" ในฐานะ "รัฐนาซีใหม่" ?

นสพ. "วอชิงตันโพสต์" รายงานข่าวล่าสุดว่า ในขณะนี้มีเด็กๆเสียชีวิตจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-ฮามาส ใน "ฉนวนกาซา" ไปแล้ว 18,500 คน

ถามว่า นี่เป็นเพราะ "รัฐบาลสหรัฐอเมริกา" สนับสนุนรัฐบาลปัจจุบันของประเทศอิสราเอลใช่หรือไม่ ?
------
ที่มาของภาพ : เพจ Stop War in Gaza Palestine WSPE
.....


Pipob Udomittipong
11 hours ago
·
ต้องแบบนี้ ผู้ประท้วงในกรุงเฮกอ่านชื่อชาวปาเลสไตน์แต่ละคนที่เสียชีวิตใน #ฉนวนกาซา พวกเขาอ่านออกเสียงดัง ๆ เพื่อตอกย้ำถึงความเป็นมนุษย์คนเหล่านี้ ซึ่งไม่ได้เป็นแค่ตัวเลขทางสถิติ จากนั้นได้เดินขบวนไปยังสถานทูตอิสราเอลที่อยู่ใกล้กัน เพื่อมอบหนังสือ 18 เล่ม ที่พิมพ์รายชื่อผู้เสียชีวิตทั้ง 64,000 คน
การชุมนุมครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความโกรธแค้นที่เพิ่มมากขึ้น ขณะที่ #เนเธอร์แลนด์ ยกระดับแรงกดดันทางการทูตกับอิสราเอล มีการเรียกเอกอัครราชทูตเข้าพบ และมีการประกาศให้อิสราเอลเป็นประเทศที่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งชาติ เช่นเดียวกับรัสเซียและอิหร่าน
รัฐมนตรีต่างประเทศเนเธอร์แลนด์ยังได้เตือนอิสราเอล ให้ปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ ขณะที่นักวิจารณ์เรียกร้องให้มีการดำเนินการที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น รวมถึงการเนรเทศเจ้าหน้าที่อิสราเอลที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมผิดกฎหมาย
ทางการเนเธอร์แลนด์ยังมีคำสั่งห้ามเดินทางเข้าประเทศ หรือ “travel bans” ห้ามไม่ให้รัฐมนตรีอิสราเอลฝ่ายขวาจัดสองคนเข้าประเทศ
ยุโรปเปลี่ยนจุดยืนต่ออิสราเอลอย่างชัดเจน ขนาดรบ.เนเธอร์แลนด์ชุดนี้ถือเป็นรบ.ที่ขวาสุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ พวกเขายังเห็นใจชาวปาเลสไตน์ เพราะอิสราเอลมันเลวจริง ๆ
https://youtu.be/QN4wSV356vE


เมื่อสื่อไทยไม่เป็นเสาหลักให้คนไทยในยามวิกฤต เพจ Truth From A Thai Citizen ขอเป็นกระบอกเสียงเล็กๆ ให้สังคมไทยพูดความจริง - มหากาพย์ ไทยหลอกไทย Part 1: เมื่อสื่อไทยกำลังหลอกคนไทย


Truth From A Thai Citizen
10 hours ago
·
มหากาพย์ ไทยหลอกไทย Part 1: เมื่อสื่อไทยกำลังหลอกคนไทย
.
ผู้เขียนเป็นคนไทยคนหนึ่ง ที่อยากเห็นสื่อและสังคมไทยดีกว่านี้
ขอให้กำลังใจทหารไทยผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความกล้าหาญ-เสียสละทุกท่าน
ขอประนามกองทัพกัมพูชาที่ก่ออาชญากรรมสงคราม โจมตีสถานพยาบาล อาคารบ้านเรือน และฆ่าพลเรือนผู้บริสุทธิ์ชาวไทย
.
และ ขอประนามสื่อ-สำนักข่าว-สถานีข่าว-ผู้ประกาศข่าวไทย และผู้ใช้โซเชียลมีเดีย ที่ไร้จรรยาบรรณ-ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม-และไม่นำเสนอข้อมูลอย่างถูกต้องโปร่งใส ในยามที่สังคมไทยต้องการความจริง
.
ข้อเท็จจริง ในวันที่ 29 ก.ค. 2568 เวลา 11.25น: ไทย-กัมพูชาหารือที่ช่องจอม เจรจาหยุดยิง
.
ข่าวฝั่งไทยจาก ThaiPBS:
"ตกลงยุติการยิงทันที ... อำนวยความสะดวกในการส่งคืนผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตจากเหตุปะทะ"
.
ข่าวฝั่งไทยจาก TNN:
"มีข้อตกลงร่วมกัน 6 ข้อ ... อำนวยความสะดวกในการนำผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตกลับประเทศ"
.
ข้อสังเกต: กองทัพไทยและสื่อไทยไม่มีการระบุว่า "กัมพูชาขอส่งทหารและพลเรือน มารับการรักษาในไทย" แต่ใช้คำว่า "ส่งคืน" และ "กลับประเทศ"
.
ทีนี้ลองไปดูข่าวฝั่งกัมพูชา โดย Cambodianess:
"Cambodian commanders also requested that Thai authorities permit injured Cambodian soldiers and civilians to cross the border for medical treatment."
.
แปลว่า "ขอให้ทหารและพลเรือนกัมพูชาที่บาดเจ็บ ได้ข้ามชายแดนเพื่อรับการรักษา" ไม่ได้ระบุชัดว่าข้ามจากฝั่งไหนไปฝั่งไหน
.
ความเห็น: ถ้าเทียบกับข่าวฝั่งไทย น่าจะหมายถึง "ส่งคืนกลับประเทศ" เพราะมีข้อเท็จจริงที่กองทัพภาคที่ 2 คุมตัวทหารกัมพูชาไว้ 20 นาย และจะส่งคนเจ็บ-ผู้ป่วยจิตเวช จำนวน 2 นาย กลับไปฝั่งเขมรก่อน อีก 18 คน ปล่อยทีหลัง
.
และการร้องขอให้ทหารกัมพูชาที่เพิ่งรบกันหมาดๆ ข้ามฝั่งมารักษาในไทยมันแปลกและ specific เกินกว่าจะไม่มีการบันทึกไว้ในข่าวฝั่งไทย
.
อย่างไรก็ตาม หากสื่อใดจะอ้างอิง เมื่อมีความไม่ชัดเจน ตามจรรยาบรรณก็ควรหาข้อสรุปให้แน่ชัด ก่อนนำไปรายงานสู่สังคม
.
ข้อเท็จจริง ในวันที่ 30 ก.ค. 2568 เวลา 10:10น
สำนักข่าว TOP NEWS รายงานข่าว โดยอ้างอิงและแปลจาก Cambodianess ว่า:
"แม่ทัพเขมรขอส่งทหาร-พลเรือน เข้ามารักษาในไทย"
.
ข้อสังเกต: TOP NEWS น่าจะเป็นสื่อแรก หลังจากการประชุมวันที่ 29 ที่แปลและรายงานเช่นนั้น (เมื่อเวลา 10:10น) หากมีสื่ออื่น รบกวนแจ้งในคอมเมนท์
.
คำถาม: ทำไม TOP NEWS ถึงแปลสรุปเช่นนั้น? และทาง TOP NEWS ได้มีการตรวจสอบ-เทียบเคียงเนื้อหาของข่าวจากฝั่งไทยหรือไม่? ใครมีข้อมูล-หลักฐาน-คำอธิบาย รบกวนแจ้งในคอมเมนท์
.
ข้อเท็จจริงต่อมา ในวันที่ 31 ก.ค. 2568
สำนักข่าว ไทยรัฐ รายงานว่า
"มีข่าวมาว่า กัมพูชามีคนเจ็บ มีทหารเจ็บ แล้วจะส่งมารักษาที่โรงพยาบาลในประเทศไทย"
.
คำถามสำหรับ ไทยรัฐ และ ทุกสื่อหลังจากนี้: ได้มีการตรวจสอบที่มาและยืนยันความถูกต้องของข่าวอื่นที่กล่าวอ้าง หรือไม่?
.
สถานีข่าวช่อง8 รายงานว่า
"สื่อเขมรตีข่าว ผบ.ทัพภาค 4 เขมร ร้องขอนำทหาร และพลเรือนกัมพูชาที่บาดเจ็บ ข้ามมารักษาในไทย"
.
บน Facebook ผู้ใช้ ONUTZ ได้โพสต์คลิปวิดีโอ โฆษกกลาโหมกัมพูชา พูดภาษาไทย:
"ทางเขมรรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากว่า กองทัพเขมรขอส่งคนป่วยรักษาที่เสียม ก็ไม่ยอมให้ไป พวกเสียมไม่มีน้ำใจ" (ผู้โพสได้คอมเมนท์ภายหลังว่าเป็นคลิป AI)
.
สถานีข่าวช่อง8 รายงานว่า
"ในโซเชียลตอนนี้ มีคนแห่แชร์ คลิปๆนึง เป็นการพูดของมาลี โฆษกกลาโหมกัมพูชา และเป็นการพูดภาษาไทย ไม่รู้ว่าพูดเองหรือ AI รึเปล่า เดี๋ยวกำลังตรวจสอบอยู่" (แต่นำคลิปมาเปิดในข่าวทั้งๆที่ยังไม่ได้ตรวจสอบเนี่ยนะ?)
.
สถานี AmarinTV รายงานว่า
"ทางฝั่งทหารกัมพูชาประสานมา ขอส่งคนเจ็บกับคนป่วย มารักษาบ้านเรา"
.
สถานี PPTV HD 36 รายงานว่า
"มีกระแสล่าสุดบอกว่า ทางฝั่งกัมพูชา เค้าตัดพ้อ ทำไมเค้าขอจะส่งคนที่ป่วย คนที่บาดเจ็บ มารักษาที่เมืองไทย แต่เมืองไทยไม่มีน้ำใจ ไม่ยอมรับการรักษา"
.
ผู้ใช้ หมอแล็บแพนด้า ได้โพสต์ข้อความบน Facebook:
"ฮุนเซนเคยประกาศกร้าว หยุดส่งคนไข้รักษาในไทย ไม่พึ่งระบบสาธารณสุขไทยอีก! มาวันนี้กลับให้ไทยรับบท ไร้มนุษยธรรม"
.
ผู้ใช้ Drama-addict ได้แชร์ข้อความ Facebook ของหมอแล็บแพนด้า และเขียนเพิ่มเติมว่า "มันบ้า"
.
ข้อสังเกต 1: แม้แต่สื่อหลัก-สำนักข่าว-สถานีข่าวของไทย เวลาบอกว่าอ้างอิงข่าวจากที่อื่น ส่วนมากชอบพูดลอยๆ ลักไก่ ไม่เปิดเผยที่มา และไม่ยืนยันว่าตรวจสอบแล้ว
.
ข้อสังเกต 2: ยอดวิวรวมเฉพาะประเด็นนี้ ทั้งหมดเกิน 10 ล้านแน่ๆ ไม่รวมเคเบิ้ลทีวีและการเอาไปแชร์ต่อในโซเชียล คอมเมนท์ร่วมหลายหมื่น 90% เต็มไปด้วยความเกลียดชัง-คลั่งชาติ
.
ข้อสังเกต 3: เนื้อหาที่เป็นคลิปโฆษกมาลีพูดไทย แม้ผู้นำเสนอจะมีการชี้แจงหรือตั้งคำถามว่าเป็น AI รึเปล่า แต่ผู้คอมเมนท์ 90% เชื่อเป็นตุเป็นตะ
.
ข้อเรียกร้อง 1: ขอให้กองทัพไทย สื่อไทย และภาคประชาชนช่วยกันยืนยัน-สืบหาข้อเท็จจริง ว่าในการหารือหยุดยิงวันที่ 29 ก.ค. 2568 ฝั่งกัมพูชาได้มีการร้องขอให้นำทหารและคนเจ็บจากฝั่งกัมพูชามารักษาในประเทศไทย จริงหรือไม่? หากไม่จริง ใครเป็นสื่อแรกที่บิดเบือนข่าว? เจตนาเป็นเช่นไร? และสื่ออื่นๆ หลังจากนั้น ได้ตรวจสอบหรือไม่?
.
ข้อเรียกร้อง 2: ขอให้สำนักข่าว-สถานีข่าว และผู้ใช้โซเชียลมีเดีย ที่ได้นำเสนอข้อมูลเหล่านี้ ออกมาชี้แจงความจริงกับสังคมอย่างซื่อตรง-โปร่งใส-และมีความรับผิดชอบ
.
ข้อเรียกร้อง 3: ขอให้ภาคประชาชน ช่วยกันเก็บหลักฐานของสื่อต่างๆ โดยการแคปหน้าจอเป็นรูปภาพและวิดีโอ หากสื่อนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ผิดจรรยาบรรณ เพื่อเก็บไว้ประจานและป้องกันไม่ให้สื่อปัดความรับผิดชอบโดยการลบเนื้อหาและทำไม่รู้ไม่ชี้
.
ข้อเรียกร้อง 4: ขอให้ทุกคนในสังคม เสพสื่อ-ข้อมูลอย่างมีสติ ใช้สติปัญญา พิจารณาไตร่ตรองก่อนเชื่อทุกครั้ง
.
#จรรยาบรรณสื่อมวลชน #จรรยาบรรณสื่อ #จรรยาบรรณ
#ไทยหลอกไทย

https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=122100771458962181&id=61578865446014


วิกฤต ‘ไทย-กัมพูชา’ ในกระแสชาตินิยมและความรุนแรง อะไรคือก้าวต่อไปที่ควรระวัง -101 คุยกับ สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี


The101.world
16 hours ago
·
แม้การโจมตีกันด้วยอาวุธสงครามจะค่อยๆ สงบลงหลังมีการเจรจาหยุดยิง แต่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นยังไม่จบง่ายๆ ทั้งในระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล และระดับประชาชนต่อประชาชน
.
วันโอวันชวนสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี นักเขียนและนักวิจัยอิสระด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และคนพื้นที่กันทรลักษ์ สะท้อนการรับมือข้อพิพาทกัมพูชาของรัฐบาลไทย การทำสงครามข้อมูลข่าวสาร และการขยายตัวของแนวคิดชาตินิยมสุดโต่งกับการสนับสนุนความรุนแรง
.
อ่านได้ที่: https://www.the101.world/nationalism-in-thailand.../
.
“คนบอกว่ารัฐบาลไม่สามารถสื่อสารให้ประชาชนทราบได้อย่างชัดเจน การตอบโต้กัมพูชาเป็นไปอย่างเชื่องช้า เรื่องนี้สัมพันธ์กับการวางยุทธศาสตร์ เมื่อไม่มีเป้าหมายชัดเจนในการพิพาทกับกัมพูชาว่าต้องการอะไรกันแน่ การปิดด่านต้องการอะไรกันแน่ ฉะนั้น การสื่อสารจึงสะเปะสะปะ”
.
“การสื่อสาร (จากฝั่งไทยและกัมพูชา) ที่แตกต่างกันแบบนี้จะเกิดขึ้นตลอดเวลา เพื่อสร้างความชอบธรรมให้การใช้กําลังในฐานะผู้ถูกรุกราน … คนไทยก็อยู่ใน echo chamber ของตัวเอง … คนที่อยู่กัมพูชาก็อยู่ใน echo chamber ของเขา”
.
“ผมคิดว่าคนจำนวนมากรู้สึก ‘ไม่แล้วใจ’ กระทั่งนักวิเคราะห์ นักข่าว หรือนักวิชาการที่ควรเป็นหลักให้สังคม ส่วนใหญ่ก็เชียร์ให้รบกันทั้งสิ้น มีไม่กี่คนที่พูดจาฟังแล้วน่าเชื่อถือ ทั้งหมดนี้สะท้อนสภาพความรู้สึกของคนไทยนะ”
.
เรื่อง: วจนา วรรลยางกูร
ภาพถ่าย: Lillian Suwanrumpha / AFP
 
https://www.the101.world/nationalism-in-thailand-cambodia-crisis/



The Economist ตั้งคำถาม ทำไมไทยและกัมพูชาต้องทำสงครามชายแดนที่งี่เง่าแบบนี้ ? มองจากสายตาคนต่างชาติ ไม่ว่าสาเหตุที่แท้จริงของเรื่องนี้คืออะไร พวกเขามองว่าทั้งสองประเทศทำสงครามกันในเรื่องที่ไม่เข้าท่า ไม่สมเหตุผลเอาเลย


Pipob Udomittipong
14 hours ago
·
The Economist ตั้งคำถามว่า ทำไมไทยและกัมพูชาต้องทำสงครามชายแดนที่งี่เง่าแบบนี้? “ผ่านไปห้าวัน มีผู้เสียชีวิต 40 คน แต่มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่แท้จริงของการสู้รบครั้งนี้”

เหตุใดการสู้รบจึงปะทุขึ้นอีกครั้งในตอนนี้? ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีคำอธิบายไม่เหมือนกัน คนไทยมองว่า กองกำลังกัมพูชาเข้ายึดปราสาทแห่งหนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ หลังจากที่ไทยเริ่มปราบปรามอุตสาหกรรมสแกมเมอร์ ซึ่งเฟื่องฟูตามแนวชายแดนติดกับกัมพูชา

คนไทยมองว่า ฮุน เซน อาจไม่พอใจกับการปราบปรามครั้งนี้ เพราะรายได้จากสแกมเมอร์คิดเป็นสัดส่วนขนาดใหญ่ของเศรษฐกิจกัมพูชา นอกจากนั้น ฝ่ายไทยยังคาดการณ์ว่าฮุน เซนคงไม่พอใจกับความล่าช้าในการเจรจา เพื่อแก้ไขข้อพิพาทเรื่องสิทธิทับซ้อนในแหล่งน้ำมันและก๊าซในอ่าวไทย ซึ่งอาจสร้างผลกำไรมหาศาลให้กับกัมพูชาที่ยากจนกว่า

ในขณะที่ฝ่ายกัมพูชาปฏิเสธทฤษฎีเหล่านี้ พวกเขากล่าวว่า ฮุน เซนไม่ได้พึ่งพารายได้จากอุตสาหกรรมสแกมเมอร์ หรือแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมากมายแบบที่ฝ่ายไทยกล่าวหา พวกเขากลับชี้นิ้วไปที่นายพลทหารไทย ซึ่งถูกกล่าวหาว่าใช้ความขัดแย้งครั้งนี้เพื่อปลุกกระแสชาตินิยม เพื่อปูทางไปสู้การทำรัฐประหาร

เพราะกองทัพไทยเก่งกล้าสามารถในการทำรัฐประหารจนสำเร็จมาแล้วนับสิบครั้ง ตั้งแต่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของไทยสิ้นสุดลงในปี 2475 รัฐประหารสองครั้งล่าสุดก็เกิดขึ้นกับสมาชิกตระกูลชินวัตร ซึ่งขณะนี้กลับมามีอำนาจอีกครั้งในตอนนี้

ไม่ว่ากองทัพจะเป็นผู้จุดชนวนให้เกิดความขัดแย้ง และใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งนั้นหรือไม่ The Economist บอกว่า เสถียรภาพของการเมืองไทยก็สั่นคลอนจากข้อพิพาทนี้จริง เริ่มจากการเผยแพร่คลิปสนทนาระหว่างนายกฯ ไทย กับฮุน เซน ซึ่งมีการวิพากษ์วิจารณ์ผู้บัญชาการทหารในพื้นที่ และเรียกฮุน เซนว่า "ลุง" ส่งผลให้สว.ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ จนนำไปสู่การพักงานระหว่างรอการพิจารณาคดี ส่วนในสภา รบ.ที่มีเสียงปริ่มน้ำ ก็น่าจะไปไม่รอดเกินสิ้นปีนี้

อีกทฤษฎีที่จะอธิบายความตึงเครียดที่เพิ่มสูงอย่างรวดเร็วจนเกิดการปะทะกันครั้งนี้คือ อาจเป็นเรื่องของ “Ego” ของผู้นำทั้งสองประเทศ ทักษิณ ชินวัตร บิดาของแพทองธาร เคยเป็นเพื่อนสนิทกับฮุน เซน ระหว่างลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ มหาเศรษฐีชาวไทยผู้นี้มักจะไปเยี่ยมอดีตผู้นำกัมพูชาบ่อยครั้ง จนนายพลทหารไทยรำคาญ

แต่ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะทะเลาะกันเมื่อต้นปีนี้ ด้วยเหตุผลอันใดยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด ฮุน เซนขึ้นชื่อเรื่องอารมณ์ฉุนเฉียวอยู่แล้ว มิตรภาพที่บอบช้ำของทั้งสองคน อาจเป็นต้นเหตุให้เกิดความยากลำบากมากมายของประชาชนหรือไม่?

ส่วนเรื่องที่คนไทยสนใจว่า กัมพูชาเป็นฝ่ายยิงก่อน The Economist บอกว่า “ไม่ชัดเจนว่าใครยิงก่อน แต่ตอนเที่ยง (ของ 24 ก.ค.) ทหารกัมพูชาและไทยโจมตีใส่กันใน 8 จุดตามแนวชายแดนยาว 200 กิโลเมตร”

สรุปว่า ถ้ามองจากสายตาคนต่างชาติ ไม่ว่าสาเหตุที่แท้จริงของเรื่องนี้คืออะไร พวกเขามองว่าทั้งสองประเทศทำสงครามกันในเรื่องที่ไม่เข้าท่า ไม่สมเหตุผลเอาเลย มีสติกันทุกฝ่ายครับ

https://www.economist.com/.../why-did-thailand-and...

https://www.facebook.com/photo/?fbid=10162883758711649&set=a.10150096728651649



ความรักชาติมีได้ แต่อย่าให้มันลุกลามจนประชาชน ทำร้ายกันและกัน

 
Thairath Plus - ไทยรัฐพลัส
11 hours ago

·
เมื่อความขัดแย้งระหว่างไทยกัมพูชาลุกลามสู่กระแสความเกลียดชังในชีวิตประจำวัน สิ่งที่น่าหวั่นใจก็พลันเกิดขึ้น
เสียงเคาะประตูยามวิกาลไม่ใช่สัญญาณของมิตรภาพอีกต่อไป แต่คือการคุกคามเพื่อค้นหาว่าใครคือ ‘แรงงานกัมพูชา’
แป้งทานาคาไม่ได้เป็นเพียงวิถีชีวิต แต่คือ ‘เกราะกำบัง’ ที่แรงงานกัมพูชาต้องใช้เพื่อแสดงตนเป็น ‘คนพม่า’
นี่คือสถานการณ์จริงที่แรงงานกัมพูชาในไทยกำลังเผชิญหน้า บางคนถูกทำร้ายร่างกาย บางคนต้องซ่อนตัวอยู่ในห้องพักโดยมีนายจ้างคอยส่งข้าวส่งน้ำ และอีกหลายคนจำต้องสวมรอยเป็นคนพม่าเพื่อเอาชีวิตรอด
ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา กลับกลายเป็นสิ่งที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่แนวชายแดน แต่ได้ขีดเส้นแบ่งที่มองไม่เห็นขึ้นในใจผู้คน ส่งผลให้เพื่อนบ้านกลายเป็นศัตรู และแรงงานที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจไทยมาหลายสิบปีต้องตกอยู่ในสถานะ ‘คนอื่น’
ไทยรัฐพลัสชวน อดิศร เกิดมงคล ผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ (MWG) มาสนทนาถึงชีวิตแรงงานกัมพูชาที่ต้องเผชิญกับความรุนแรง การถูกคุกคาม และอนาคตของความสัมพันธ์ระหว่างสองประชาชนที่เคยพึ่งพิงกันมายาวนาน พร้อมตอบคำถามว่า เรา และ รัฐ ทำอะไรได้บ้างในสถานการณ์นี้
ภาพ : จิตติมา หลักบุญ

อ่านต่อที่ลิงก์
https://plus.thairath.co.th/topic/politics&society/105573
คุยกับ อดิศร เกิดมงคล ในวันที่แรงงานกัมพูชาต้องติดอยู่ในความขัดแย้งและความ ‘เป็นอื่น’



4 นัยต่อประเทศไทย จากอัตราภาษีนำเข้า 19% ที่ไทยตกลงได้กับสหรัฐฯ



4 นัยต่อประเทศไทย จากอัตราภาษีนำเข้า 19% ที่ไทยตกลงได้กับสหรัฐฯ

ปณิศา เอมโอชา
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
เมื่อ 9 ชั่วโมงที่แล้ว

รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยเมื่อวันที่ 31 ก.ค. ตามเวลาท้องถิ่น อยู่ที่ 19% ลดลงจากตัวเลขเดิมที่ 36%

ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, กัมพูชา และมาเลเซีย ต่างก็ได้รับตัวเลขเดียวกันกับไทย ขณะที่เวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศแรกที่มีรายงานว่าทำข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ได้ มีอัตราภาษีอยู่ที่ 20%

บีบีซีไทยพูดคุยกับนักวิเคราะห์และตัวแทนภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจริง เพื่อตอบคำถามว่าอัตราภาษีนำเข้าที่น้อยลงจากตัวเลข 36% มาอยู่ที่ 19% แปลว่าประเทศไทยสบายใจได้แล้วจริงหรือไม่

1. ไทยหนีกรณีเลวร้ายสำเร็จ

ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด บอกกับบีบีซีไทยว่า ในภาพใหญ่ ข้อตกลงที่ไทยได้มาหมายความว่า ไทยสามารถหนีจากกรณีที่เลวร้ายที่สุดได้แล้ว

เขาอธิบายว่า หากไทยโดนภาษีระดับ 31%-36% จะส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งปีอยู่ในระดับ 0%-0.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

นักเศรษฐศาสตร์รายนี้มองว่าจีดีพีรวมทั้งปีของไทยตอนนี้น่าจะเติบโตอยู่ที่ราว 1.8% เมื่อเทียบกับตัวเลขปีก่อน พร้อมเสริมว่า ตอนนี้ภาคธุรกิจจะได้เริ่มเตรียมตัวรับมือและปรับโครงสร้างกันได้ "สักที"

ด้าน ภัคธร เนียมแสง ผู้จัดการฝ่ายเศรษฐกิจและโลจิสติก สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยกับบีบีซีไทยว่า สำหรับผู้ส่งออก ตัวเลข 19% ถือว่า "ยังพอต่อรองกับลูกค้าได้บ้าง"

"ถามว่ากลับไปจุดเดิม [ก่อนสหรัฐฯ ประกาศภาษีตอบโต้] ไหม ไม่ เหนื่อยกว่า แต่เหนื่อยน้อยกว่า 36% แน่นอน" ภัคธร ระบุ

แถลงการณ์ล่าสุดจาก สรท. ระบุว่า เนื่องจากไทยได้รับอัตราภาษีที่ใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งสำคัญในภูมิภาค ทำให้สินค้าไทยยังคงสามารถแข่งขันได้ และความชัดเจนของอัตราภาษีทำให้คาดว่าจะส่งผลดีต่อการส่งออกของไทยในครึ่งปีหลังให้สามารถเติบโตได้อย่างน้อย 5-7%

2. สหรัฐฯ ตั้งภาษี 'เหมาเข่ง' ไม่สนมิติอื่น
  • หมดยุคพี่ช่วยน้อง ไม่มีสิทธิพิเศษอีกต่อไป
ตัวเลขภาษีที่ออกมานั้น หากไม่นับสิงคโปร์ ลาว และเมียนมา ประเทศในกลุ่มอาเซียนล้วนได้อัตราภาษีในระดับเดียวกันที่ 19%-20% ทั้งสิ้น

สำหรับภัคธร เขามองว่านี่คือการทำนโยบายการค้าแบบ "ทรัมป์ 2.0" กล่าวคือ ไม่มีการให้สิทธิประโยชน์พิเศษจากการเป็นประเทศกำลังพัฒนาหรือประเทศด้อยพัฒนา

"ตามหลักสากล ประเทศที่พัฒนาแล้วก็ต้องพี่ช่วยน้องบ้าง แต่ว่าในมุมของนักธุรกิจ เขาไม่ได้มองแบบนั้น เขามองว่าตัวเองเสียเปรียบ ไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นประเทศพัฒนาแล้ว" ผู้จัดการฝ่ายเศรษฐกิจและโลจิสติก สรท. กล่าวกับบีบีซีไทย

บีบีซีไทยพบว่า จากเอกสารของผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ในปี 2563 สหรัฐฯ เคยใช้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป หรือ Generalized System of Preferences (GSP) กับประเทศในอาเซียน รวมถึงไทยในฐานะประเทศกำลังพัฒนา หรือกัมพูชาในฐานะ "ประเทศกำลังพัฒนาที่ได้รับสิทธิประโยชน์และอยู่ในกลุ่มพัฒนาน้อยที่สุด"

ภัคธร อธิบายถึงระบบ GSP ก่อนหน้านี้ว่า สมมติเปรียบเทียบไทยกับกัมพูชา ส่งออกสินค้าประเภทเดียวกันไปยังสหรัฐฯ ในฐานะประเทศกำลังพัฒนา สหรัฐฯ อาจคิดภาษีนำเข้าจากไทย 10% แต่คิดกับกัมพูชาแค่เพียง 2% โดยนับเป็นการช่วยเหลือด้านการส่งออกและการพัฒนาเศรษฐกิจได้
  • ความมั่นคงและธุรกิจเป็นคนละเรื่อง
นอกจากประเด็นด้านการค้า ที่สะท้อนชัดถึงมุมมอง "อเมริกาต้องมาก่อน" (America first) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ วิลเลียม เจ.โจนส์ จากมหาวิทยาลัยมหิดล ยังเสริมด้วยว่า ประธานาธิบดีทรัมป์มองการทำนโยบายเศรษฐกิจแยกออกจากมิติความมั่นคง


พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ (ซ้าย) จับมือกับ กิลเบิร์ต เตโอโดโร รัฐมนตรีกลาโหมฟิลิปปินส์ (ขวา) ระหว่างการเยือนค่ายอากินัลโด เมืองเกซอน กรุงมะนิลา เมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา โดยมุ่งเน้นการเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคง และหารือเกี่ยวกับข้อกังวลในทะเลจีนใต้

ผศ.วิลเลียม ยกตัวอย่างว่า แม้แต่ในประเทศที่มีความร่วมมือทางความมั่นคงหรือการทหาร อย่างกรณีของสิงคโปร์หรือฟิลิปปินส์ หรือแม้แต่ประเทศที่มีสายสัมพันธ์ทางการทูตมายาวนานอย่างไทย ทรัมป์ก็ไม่นำเข้ามารวมในสมการ อีกทั้งภาษาและท่าทางทางการทูตที่ทรัมป์ใช้ก็ยังมีความ "ไม่เหมาะสม" อยู่ในน้ำเสียงและท่าทีด้วย

สำหรับฟิลิปปินส์ บีบีซีไทยพบว่ามีข้อตกลงการขยายความร่วมมือด้านการทหาร (Enhanced Defense Cooperation Agreement - EDCA) กับสหรัฐฯ ซึ่งมีการลงนามไปตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งอนุญาตให้สหรัฐฯ เข้ามาลงทุนและใช้ฐานทัพ 5 แห่งของฟิลิปปินส์แบบหมุนเวียน ก่อนที่ในภายหลังจะเพิ่มเป็น 9 แห่ง

สำหรับสิงคโปร์ ทั้งสองประเทศมีการลงนามที่บังคับใช้ถึงปี 2035 ให้สหรัฐฯ สามารถแวะจอดเรือเพื่อซ่อมบำรุง เติมเสบียงหรือเชื้อเพลิง และเป็นฮับของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้

ผศ.วิลเลียม อธิบายกับบีบีซีไทยเพิ่มเติมว่า แม้แต่สิงคโปร์ที่ได้รับข้อตกลงที่นับว่าเป็นหนึ่งในข้อตกลงที่ดีที่สุด ในอัตรา 10% ก็ยังมีช่วงเวลาที่ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนว่าอาจจะโดนภาษีในระดับ 20%-25% เช่นเดียวกัน และนั่นก็ทำให้ฝั่งสิงคโปร์ "ไม่พอใจ" เช่นเดียวกัน

สำหรับกรณีของประเทศไทย ผศ.วิลเลียม วิเคราะห์ว่าท่าทีเช่นนี้กำลังผลักให้ "กลุ่มชนชั้นนำของไทย" ซึ่งแท้จริงแล้วยังให้ความเคารพกับคุณค่าแบบตะวันตกอยู่ต้องหันไปหาจีนมากขึ้น "ทั้ง ๆ ที่ก็ระแวงจีนอยู่เหมือนกัน"

3. เงื่อนไขที่แลกมา ภาคเกษตรรับผลกระทบแน่นอน

นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานหอการค้าไทย บอกกับบีบีซีไทยว่า แม้ตัวเลข 19% จะช่วยให้ธุรกิจจำนวนมากพอ "หายใจหายคอได้" แต่ธุรกิจของไทยที่ต้องแข่งขันกับสินค้าที่กำลังจะเข้ามาจากสหรัฐฯ "ทั้งเข้ามาแล้วสามารถทดแทน[ของเดิม]ได้ หรือเข้ามาแข่งขัน" จะได้รับผลกระทบหนักเป็นพิเศษ​


นายวิศิษฐ์ ย้ำว่าเทคโนโลยีในภาคการเกษตรของไทยยังต้องปรับตัวให้ทันโลกอีกมาก เรียกว่า "ต้องนับตั้งแต่หนึ่งขึ้นไปใหม่เลย"

"วัตถุดิบทางการเกษตรที่มาจากสหรัฐเนี่ย ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ถั่วเหลือง ข้าวโพด ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ กังวลมาตลอด เพราะว่าสหรัฐฯ ทำต้นทุนได้ต่ำจริง ๆ" นายวิศิษฐ์ กล่าว

นายวิศิษฐ์ ย้ำว่าเทคโนโลยีในภาคการเกษตรของไทยยังต้องปรับตัวให้ทันโลกอีกมาก เรียกว่า "ต้องนับตั้งแต่หนึ่งขึ้นไปใหม่เลย"

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่รองประธานหอการค้าไทยออกมาเตือน คือการต้องไม่ลืมว่าไทยไม่ได้มีคู่แข่งแค่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น

เขายกตัวอย่างว่า สำหรับการส่งออกสินค้าเกษตรอาหารนั้น ประเทศฝั่งอเมริกาใต้ก็เป็นคู่แข่งของไทยเช่นเดียวกัน หากประเทศแถบนั้นได้อัตราภาษีที่ต่ำกว่า ประกอบกับระยะทางการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ใกล้กว่า เกษตรกรไทยก็ยิ่งแข่งขันได้ยากขึ้น


ในการประกาศอัตราภาษีครั้งล่าสุดนี้ บีบีซีไทยพบว่า ประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรอาหารรายใหญ่ อาทิ บราซิล ถูกสหรัฐฯ ตั้งอัตราภาษีไว้ที่ 10% ขณะที่เอกวาดอร์ ถูกตั้งภาษีไว้ที่ 15%

4. ภาคอิเล็กทรอนิกส์ "อย่าเพิ่งฉลอง"

ดร.ปิยศักดิ์ ระบุว่า ภาคส่วนที่เขาค่อนข้างกังวลจากผลกระทบของอัตราภาษีทรัมป์ คือกลุ่มผู้รับจ้างผลิตสินค้าตามแบบและข้อกำหนดของลูกค้า หรือ Original Equipment Manufacturer (OEM) โดยเฉพาะในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า และกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์บางส่วน


"ผมก็บอกคนรอบข้างผม เห็นดีใจกันเหลือเกิน 19% ฉลองแล้ว ผมก็บอกใจเย็น"

เขาอธิบายว่า ผู้ประกอบการกลุ่มนี้มักอยู่ในกลุ่มขนาดกลางและขนาดเล็ก รวมถึงมีการจ้างงานในระดับแสนคน ซึ่งอาจสุ่มเสี่ยงกับแรงกดดันทางภาษีได้

นายวิบูลย์ รักสาสน์เจริญผล กรรมการบริหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) บอกกับบีบีซีไทยว่า อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบมากจากอัตราภาษีแบบตอบโต้ของทรัมป์ อาทิ กลุ่มผู้ผลิตวงจรรวมหรืออุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลถาวรที่โดนภาษีในอัตรา 10%

ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มที่ทำชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป เช่น หม้อแปลง หรือแผงวงจรสีเขียว ซึ่งจะโดนอัตราภาษี 19%

"ต้องเข้าใจว่ามันเป็น 19% แบบมีเงื่อนไขนะ คือ 'ชิ้นส่วนการผลิต' อย่าไปซื้อจากจีน" นายวิบูลย์ กล่าว

เขากล่าวต่อว่า "ถ้าคุณทำตามให้เขาไม่ได้ คุณก็อดได้ 19% คุณก็ต้องกลับไปอยู่ที่ 36% หรืออาจจะมากกว่า อาจจะเป็น 40% ก็แล้วแต่"

นายวิบูลย์กล่าวว่าปัญหาของอุตสาหกรรมไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของไทยคือการพึ่งพาชิ้นส่วนจากจีนเป็นจำนวนมาก

"ผมก็บอกคนรอบข้างผม เห็นดีใจกันเหลือเกิน 19% ฉลองแล้ว ผมก็บอกใจเย็น"

เขายอมรับว่าที่จริงภาคอุตสาหกรรมได้รับคำเตือนมาตั้งแต่ครั้งที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก แต่ภาคอุตสาหกรรมไทยซึ่งคุ้นเคยกับสินค้าราคาถูกจากจีนไม่ปรับตัว

เมื่อบีบีซีไทยถามว่า กลุ่มธุรกิจจะปรับตัวตอนนี้ทันหรือไม่ เขาตอบกลับว่า "กระจายตลาด [ส่งออก] ง่ายกว่ากระจายแหล่งที่มาของวัตถุดิบ"

https://www.bbc.com/thai/articles/c93982k10k5o


ความวุ่นวายและผลกระทบของภาษีทรัมป์ ต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่มีภูมิภาคใดที่ตกตะลึงมากไปกว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีมุมมองต่อโลกและโมเดลทางเศรษฐกิจผูกอยู่กับการส่งออก



ความวุ่นวายและผลกระทบของภาษีทรัมป์ ต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

โจนาธาน เฮด
ผู้สื่อข่าวบีบีซี
เมื่อ 7 ชั่วโมงที่แล้ว

เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีเมื่อ 2 เม.ย. ไม่มีภูมิภาคใดที่ตกตะลึงมากไปกว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีมุมมองต่อโลกและโมเดลทางเศรษฐกิจที่ผูกอยู่กับการส่งออก

อัตราภาษีนำเข้าที่สูงถึง 49% ในบางประเทศ ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง ตั้งแต่ผู้ส่งออกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในไทยและเวียดนาม ไปจนถึงผู้ผลิตชิปในมาเลเซีย และโรงงานผลิตเสื้อผ้าในกัมพูชา

"ผมจำได้ว่าตื่นเช้ามา เห็นเขายืนอยู่บนสนามหญ้าทำเนียบขาวพร้อมกับคณะฝ่ายบริหาร ผมคิดว่า 'ผมเห็นข้อมูลถูกไหม 36% เป็นไปได้ยังไง'" ริชาร์ด ฮัน บิดาผู้ก่อตั้งบริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คทรอนิคส (HANA Microelectronics) หนึ่งในผู้ผลิตและประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ รายใหญ่ที่สุดของไทย กล่าว

ประเทศไทยที่ต้องเผชิญกับการเรียกเก็บภาษี 36% ขณะนี้ได้ข้อตกลงใหม่แล้ว เช่นเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านส่วนใหญ่ที่ภาษีถูกลดลงเหลือ 19%

การเจรจาดำเนินไปอย่างเข้มข้นและเสร็จสิ้นเพียง 2 วันก่อนถึงเส้นตายที่ทรัมป์กำหนดไว้ 1 ส.ค. มันเป็นกระบวนการที่ยากลำบากในการบรรลุเป้าหมาย และยังมีรายละเอียดน้อยมากเกี่ยวกับสิ่งที่ตกลงกันไว้

10 ประเทศในอาเซียน หรือกลุ่มประเทศภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ มูลค่า 477,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 15.6 ล้านล้านบาท) ในปี 2024 เวียดนามเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยมีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ 137,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.49 ล้านล้านบาท) คิดเป็น 30% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จึงไม่แปลกที่รัฐบาลเวียดนามเป็นชาติแรกในอาเซียนที่ไปเจรจากับสหรัฐฯ และเป็นประเทศแรกในภูมิภาคที่บรรลุข้อตกลงลดอัตราภาษีนำเข้าจาก 46% เหลือ 20%

สหรัฐฯ อ้างว่า เวียดนามจะไม่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าใด ๆ จากสหรัฐฯ อีกต่อไป ที่น่าสังเกตคือผู้นำเวียดนามไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับข้อตกลงนี้เลย ไม่มีรายละเอียด ไม่มีเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรหรือการลงนามในเอกสารใด ๆ และบางรายงานข่าวชี้ให้เห็นว่าเวียดนามไม่เห็นด้วยกับตัวเลขของทรัมป์ ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเวียดนามได้กลายเป็นการตั้งมาตรฐานให้กับประเทศอื่นในภูมิภาค

อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ตามหลังมาด้วยข้อตกลงลดอัตราภาษีเหลือ 19% ถึงแม้ทั้ง 2 ประเทศจะไม่ได้พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ มากนัก

ทยถูกทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีศุลกากรในอัตรา 36% เมื่อวันที่ 2 เม.ย. ที่ผ่านมา

ส่วนไทย ประเทศที่ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก ปีที่แล้วทำรายได้จากการส่งออกไปสหรัฐฯ มากกว่า 63,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 2 ล้านล้านบาท) หรือประมาณ 1 ใน 5 ของการส่งออกทั้งหมด ประเทศไทยควรเป็นประเทศแรก ๆ ที่ไปเข้าคิวเจรจากับรัฐบาลกรุงวอชิงตัน หลังถูกประกาศภาษีครั้งแรกในอัตรา 36%

แต่ไทยไม่ใช่เวียดนาม ซึ่งเป็นรัฐบาลคอมมิวนิสต์พรรคเดียวที่ผู้นำเพียงไม่กี่คนสามารถตัดสินใจเรื่องสำคัญ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่จำเป็นต้องกังวลต่อความคิดเห็นของภาคธุรกิจหรือประชาชนมากนัก

เช่นเดียวกับเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ซึ่งบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ได้หลังจากเจรจาอยู่นาน ทั้ง ๆ ที่ได้ชื่อว่าเป็นพันธมิตรอันเหนียวแน่นของอเมริกา ไทยเป็นอีกประเทศที่ต้องรับมือกับการเมืองภายในประเทศและความคิดเห็นของสาธารณชน อีกทั้งยังมีรัฐบาลผสมที่อ่อนแอและแตกแยก ซึ่งต้องพึ่งพาผลประโยชน์หลายประการ

แย่ไปกว่านั้น การตัดสินใจที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นการค้า ยังได้สร้างความโกรธแค้นให้กับฝ่ายสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ไทยส่งผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ 40 คนที่ติดอยู่ในไทยมานานกว่าทศวรรษกลับไปจีนเมื่อเดือน ก.พ. ซึ่งขัดต่อคำเตือนของ มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เจ้าหน้าที่การค้าของไทยคนหนึ่งเปิดเผยว่า ทีมเจรจาของสหรัฐฯ ยังคงนำประเด็นการส่งกลับชาวอุยกูร์ขึ้นมาพูดคุยในการเจรจาภาษีศุลกากรกับสหรัฐฯ ในเดือน พ.ค.

ต่อมา กองทัพภาคที่ 3 ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษนักวิชาการชาวอเมริกันในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ส่งผลให้เขาถูกจำคุกและถูกบังคับให้ต้องออกจากประเทศไทย

อีกความยากหนึ่งที่ทีมเจรจาการค้าไทยต้องเผชิญคือ ข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการลดอัตราภาษี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าถึงตลาดสินค้าเกษตรของไทยซึ่งได้รับการคุ้มครองอย่างเข้มงวด ธุรกิจอาหารเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศไทย โดยเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี - CP) หนึ่งในยักษ์ใหญ่ธุรกิจการเกษตรของโลก เป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ความต้องการของสหรัฐฯ เช่นนี้จึงสร้างความเจ็บปวดให้กับไทยไม่น้อย

เจ้าหน้าที่การค้าของไทยอีกรายหนึ่งบอกว่า "เวียดนามเปิดกล่องแพนดอรา" ก่อนอธิบายเพิ่มเติ่มว่า ข้อเสนอเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ทั้งหมดเป็น 0% ทำให้ไทยซึ่งไม่สามารถเปิดทุกภาคส่วนให้สหรัฐฯ เข้ามาแข่งขันได้โดยง่ายตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก


ฟาร์มหมูใน จ.นครนายก

ห่างออกไปจากกรุงเทพฯ ด้วยการขับรถ 3 ชั่วโมง บีบีซีได้เจอกับ วรวุฒิ ศิริปุณย์ ผู้เลี้ยงหมู 12,000 ตัวที่ จ.นครนายก ซึ่งเป็นธุรกิจสำคัญในไทย เพราะชาวไทยบริโภคเนื้อหมูเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ เขาเป็นสมาชิกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ และได้เคลื่อนไหวต่อต้านการยกเลิกภาษีนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ

"เกษตรกรสหรัฐฯ ผลิตเนื้อหมูได้เยอะกว่าเรามาก และต้นทุนก็ต่ำกว่า ดังนั้นราคาเนื้อหมูของพวกเขาจึงต่ำกว่า และเกษตรกรในประเทศจะไม่สามารถอยู่รอดได้"

การเข้าถึงตลาดการเกษตรเป็นอุปสรรคสำคัญในการเจรจากับญี่ปุ่น ซึ่งพยายามปกป้องชาวนา และยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญประการหนึ่งในการเจรจากับอินเดีย

ในประเทศไทย สันนิษฐานได้ว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านธุรกิจการเกษตรอย่างซีพี พยายามล็อบบี้คัดค้านเงื่อนไขนี้ของสหรัฐฯ ที่จะเปิดเสรีภาคส่วนอื่น ๆ เช่น สัตว์ปีก และข้าวโพด

บีบีซีเข้าใจว่า มีการประชุมที่ขัดแย้งกันระหว่างคณะผู้แทนการค้าและรัฐมนตรีหลังการเจรจาภาษีศุลกากรทุกรอบที่กรุงวอชิงตัน แต่อีกด้านหนึ่งคือผู้ผลิตภาคอุตสาหกรรมและส่งออกของไทยก็มีสัดส่วนในจีดีพีสูงกว่าภาคเกษตรกรรมมาก ทำให้พวกเขาต้องการให้ข้อตกลงกับสหรัฐฯ บรรลุอย่างมาก



"ถ้าเราได้ 36% มันจะแย่มากสำหรับเรา" สุภาพ สุวรรณพิมลกุล กล่าวก่อนจะมีการประกาศอัตราภาษีใหม่ออกมา เขาเป็นรองกรรมการผู้จัดการของ เอส. เค. โพลีเมอร์ (SK Polymer) บริษัทที่ผลิตส่วนประกอบต่าง ๆ มากมายจากยางและวัสดุสังเคราะห์สำหรับเครื่องซักผ้า ตู้เย็น และเครื่องปรับอากาศ

"ผมรับประกันว่าคุณต้องเจอผลิตภัณฑ์ของเราอย่างน้อยหนึ่งชิ้นในบ้านของคุณ" เขากล่าว

บริษัท เอส. เค. โพลีเมอร์ ก่อตั้งโดยสุภาพและพี่ชาย 2 คนในปี 1991 เรื่องราวของบริษัทแห่งนี้คือเรื่องราวของประเทศไทยยุคสมัยใหม่ โดยมีต้นกำเนิดจากธุรกิจครอบครัวเล็ก ๆ ของบิดา แต่เติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยการค้าโลกซึ่งเป็นรากฐานของเศรษฐกิจไทย

บริษัทเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญของห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อน ซึ่งผลิตภัณฑ์ของบริษัทพวกนี้ได้ไปรวมกับส่วนประกอบอื่น ๆ ที่มาจากหลากหลายประเทศเพื่อประกอบรวมกันผลิตเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าอุตสาหกรรม หรือสินค้าทางการแพทย์เพื่อการส่งออก รายได้ของบริษัทประมาณ 20% มาจากสหรัฐฯ แต่ตัวเลขจะสูงกว่านี้อีกมากหากรวมผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบจาก เอส. เค. โพลีเมอร์เข้าไปด้วย ภาษีศุลกากรของทรัมป์ได้ทำให้การดำเนินการของพวกเขาต้องสะดุด

"เรามีอัตรากำไรเพียงเล็กน้อย" สุภาพกล่าว

ในระหว่างให้สัมภาษณ์กับบีบีซี เขาบอกว่าบริษัทยังคงสามารถบริหารจัดการภาษีศุลกากรได้ถึง 20% หรือแม้กระทั่ง 25% ด้วยการลดต้นทุน

เขากล่าวด้วยว่า ความไม่แน่นอนคือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด "ได้โปรด ขอให้รัฐบาลได้ข้อตกลงมาเราจะได้วางแผนธุรกิจของเราได้"

การเก็บภาษี 20% เป็นสิ่งที่ยอมรับได้สำหรับผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในไทย

"ถ้าพวกเราทุกคนในภูมิภาคนี้โดนภาษีประมาณ 20% ผู้ซื้อของเราจะไม่มองหาซัพพลายเออร์อื่น มันจะเป็นเพียงภาษี เหมือนภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับผู้บริโภคชาวสหรัฐฯ" ริชาร์ด ฮัน ซีอีโอของฮานา ไมโครอิเล็คทรอนิคส กล่าว

บริษัทแห่งนี้ผลิตส่วนประกอบพื้นฐานที่ใช้ในทุกสิ่งในชีวิตดิจิทัลของเรา ตั้งแต่แผงวงจรพิมพ์ วงจรรวม และป้าย RFID สำหรับกำหนดราคา

ฮันกล่าวว่า สินค้าของเขาที่ส่งไปยังสหรัฐฯ โดยตรงมีเพียงประมาณ 12% แต่เช่นเดียวกับ เอส. เค. โพลีเมอร์ สัดส่วนที่ส่งไปยังอเมริกาทางอ้อมในฐานะส่วนหนึ่งของสินค้าอื่น ๆ นั้นสูงกว่ามาก แต่ไม่ใช่แค่ตัวเลขภาษีศุลกากรเท่านั้นที่ทำให้เขากังวล

ความกังวลของเขาคือเรื่องสินค้าสวมสิทธิ์ (transshipment) ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาของสหรัฐฯ ที่ว่าจีนหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรโดยการเปลี่ยนเส้นทางการผลิตผ่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า เวียดนามต้องจ่ายภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้นเท่าตัวเป็น 40% สำหรับสินค้าที่สหรัฐฯ มองว่าเป็นสินค้าส่วมสิทธิ์

ทั้งไทยและเวียดนามมีการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากที่สหรัฐฯ เพิ่มภาษีศุลกากรกับจีนในสมัยแรกของทรัมป์ และการส่งออกของไทยและเวียดนามไปยังสหรัฐฯ ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบริษัทจีนที่ย้ายฐานการผลิตมา บางส่วนเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ส่วนประกอบที่ผลิตในจีนมากขึ้นอย่างมาก และพวกมันไม่ได้มาจากจีนเพียงอย่างเดียว


โรงงาน SVI ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

ที่โรงงาน SVI ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อีกรายหนึ่ง หุ่นยนต์เคลื่อนที่ไปมาระหว่างสายการประกอบเพื่อนำส่วนประกอบเล็ก ๆ หลายร้อยชิ้นมาประกอบเป็นแผงวงจรในเครื่องจักรที่มีราคาหลายแสนดอลลาร์ เมื่อดูฉลากอย่างรวดเร็วจะพบว่าส่วนประกอบเหล่านั้นมาจากมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และจีน

SVI ผลิตกล้องวงจรปิด เครื่องขยายเสียงสั่งทำพิเศษ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในแถบสแกนดิเนเวีย ภาคการผลิตที่สำคัญของไทยเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานโลกที่ซับซ้อนอย่างมหาศาล ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับความต้องการของประธานาธิบดีสหรัฐฯ

ภายใต้กฎขององค์การการค้าโลก (WTO) สินค้าจะถือว่าเป็นสินค้าในประเทศหากมีการเพิ่มมูลค่าอย่างน้อย 40% ในกระบวนการผลิตในประเทศ หรือหากสินค้านั้นถูก "แปรรูปอย่างมีนัยสำคัญ" ให้เป็นสินค้าใหม่ เหมือนกับที่ iPhone กลายเป็นสินค้าที่แตกต่างออกไปหลังจากประกอบเสร็จ

รัฐบาลทรัมป์ไม่ได้ใส่ใจกฎของ WTO และไม่ชัดเจนว่าอะไรจะถูกนับเป็นสินค้าสวมสิทธิ์ แต่ฮันกังวลว่าสิ่งนี้อาจเป็นปัญหาใหญ่สำหรับบริษัทไทยมากกว่าอัตราภาษีศุลกากรมาตรฐาน หากสหรัฐฯ ยืนกรานว่าต้องใช้ส่วนประกอบในประเทศมากขึ้น หรือนำเข้าจากจีนน้อยลง

"เอเชียตะวันออกเฉียงใต้พึ่งพาจีนอย่างมาก" เขาอธิบาย "จีนมีห่วงโซ่อุปทานที่ใหญ่ที่สุดสำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และอุตสาหกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย และราคาถูกที่สุด เราสามารถซื้อวัตถุดิบจากส่วนอื่นของโลกได้ ซึ่งจะมีราคาแพงกว่ามาก แต่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ หรือมาเลเซีย จะสามารถเพิ่มมูลค่าของสินค้าจากการผลิตในประเทศได้อย่างมาก เช่น 50-60% และหากนั่นเป็นเงื่อนไขในการออกใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าโดยสหรัฐฯ ก็ไม่มีใครจะได้รับใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าอย่างแน่นอน"


ริชาร์ด ฮัน บิดาผู้ก่อตั้งบริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คทรอนิคส

ขณะนี้มีการเปิดเผยรายละเอียดเหล่านี้น้อยมาก แม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะอ้างว่าสินค้าจากสหรัฐฯ ที่เข้าไปยังฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียถูกเรียกเก็บภาษีเป็น 0% แต่ทั้ง 2 ประเทศระบุว่าไม่ถูกต้อง และยังต้องเจรจากันอีกมาก

สำหรับรัฐบาลไทยที่เริ่มต้นอย่างล่าช้าและพยายามอย่างหนักเพื่อตอบสนองความต้องการของสหรัฐฯ การบรรลุข้อตกลงนี้ถือเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียด พวกเขาต้องกังวลว่าจะทำอย่างไรให้ข้อตกลงสำเร็จในฐานะคนมาทีหลัง เนื่องจากรายละเอียดต่าง ๆ ต้องใช้เวลาหลายปีในการหาข้อสรุป และในกรณีนี้ พวกเขาไม่ได้โดดเดี่ยว ทั้งประเทศที่ร่ำรวยและประเทศกำลังพัฒนาต่างพยายามอย่างหนักเพื่อให้ทันกับนโยบายภาษีศุลกากรที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วของทรัมป์

"สักวันหนึ่งสิ่งนี้จะต้องหยุดลง แน่นอนว่ามันต้องหยุดลง" ฮันกล่าว

"ปัญหาคือ เราไม่รู้ว่ากฎของเกมจะเป็นอย่างไร ดังนั้นเราจึงต้องวนเวียนอยู่รอบ ๆ คอยดูว่าเราจะเล่นเกมใหม่นี้อย่างไร"


โรงงานแปรรูปส่วนประกอบต่าง ๆ ของ เอส. เค. โพลีเมอร์

https://www.bbc.com/thai/articles/c7vle9z6pdpo




บางคนบอกว่า คลั่งชาติไม่มีจริงมีแต่รักชาติ ถ้ามี เช็คกันตรงไหน


Sarinee Achavanuntakul - สฤณี อาชวานันทกุล
20 hours ago
·

Checklist คลั่งชาติ
เห็นหลายเม้นหลายเพจถามว่า คลั่งชาติเป็นแบบไหนยังไง บางคนบอกว่า คลั่งชาติไม่มีจริงมีแต่รักชาติ เลยทำรายการนี้ขึ้นมา ใครเข้าข่ายข้อใดข้อหนึ่ง คิดว่าเข้าข่าย ”คลั่งชาติ“ แล้วนะคะ ถ้าเข้าหลายข้อก็คือ ”คลั่งมาก“
1. ด่าคนอื่นว่า ”ไม่รักชาติ“ หรือ “ชังชาติ” เพียงเพราะเขาไม่ทำอะไรที่ตัวเองทำ หรือคิดว่าควรทำในยามนี้
2. ด่าคนอื่นว่า ”ไม่รักชาติ“ หรือ “ชังชาติ” เพียงเพราะคิดเอาเองว่า เขาไม่ทำอะไรที่ตัวเองทำ หรือคิดว่าควรทำในยามนี้ (อาการหนักกว่าข้อแรก)
3. ด่าคนอื่นว่า ”ไม่รักชาติ“ หรือ “ชังชาติ” เพียงเพราะเขาตั้งคำถามกับทหาร งบทหาร การรับบริจาค โรงพยาบาล และเรื่องอื่นๆ อีกร้อยแปดพันเก้า
4. เชียร์ทหารแบบกระหายเลือด ให้กองทัพบุกถึงพนมเปญ ยึดปราสาทให้ได้ ถล่มมันให้ราบ รบเลยไม่ต้องเจรจา ไม่ต้องแคร์โลก อเมริกาอิสราเอลยังทำได้ ฯลฯ (แย่กว่านี้ถ้าคนทำเป็นนักข่าว)
5. ตั้งใจกระจายข่าวปลอมข่าวเท็จ ประวัติศาสตร์ที่บิดเบือนอย่างชัดเจน เพียงเพราะมันทำให้กัมพูชาดูแย่หรือไทยดูดี (คือรู้ว่าเท็จแต่ยังแชร์)
6. แสดงอาการเหยียดเชื้อชาติ เหยียดคนเขมรเพียงเพราะเขาเป็นเขมร เช่น สนับสนุนการส่งตัวแรงงานกัมพูชาทุกคนกลับกัมพูชา สนับสนุนให้โรงพยาบาลไม่รับรักษาคนเขมรทุกกรณี ล้อเลียนรูปร่างหน้าตานิสัยใจคอแบบเหมารวม
7. แสดงความสะใจที่เห็นความรุนแรงเกิดกับคนเขมร เชียร์ให้คนออกไปทำร้ายคนเขมร หรือเลวร้ายกว่านั้นคือออกไปลงมือทำร้ายคนเขมรด้วยตนเอง เพียงเพราะเขาเป็นเขมร
การแสดงออกอื่นๆ เช่น ชูธงชาติ บริจาคเลือด บริจาคเงิน ให้กำลังใจกองทัพ ฯลฯ คือไม่เข้าข่ายสักข้อข้างต้น ก็แค่ ”รักชาติ“ แต่ไม่คลั่งนะคะ
ใครนึกออกอีก ช่วยกันแชร์ เจ้าของเพจไม่กลัวทัวร์ลง

https://www.facebook.com/SarineeA/posts/1317284063100611


วันศุกร์, สิงหาคม 01, 2568

ว้าว เปิดทีเด็ดเจรจาภาษีทรั้มพ์ ไทยได้ ๑๙% ขุนคลัง ‘พิชัย’ เผยใช้กลยุทธ์กะล่อน แจ้งรายการสินค้าเยอะๆ เป็นหมื่น อย่างเช่นลำไย “เค้าไม่มี...เราก็เสนอ”

ถามกันใหญ่ว่าไทยทำอีท่าไหนถึงได้อัตราภาษีนำเข้าของทรั้มพ์แค่ ๑๙% เท่ากับอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และกัมพูชา น้อยกว่าเวียตนาม เมียนมาและลาว

บ้างตอบว่าก็เสนอเก็บภาษีจากเขาศูนย์เปอร์เซ็นต์ไง กี่รายการไม่รู้ เห็นทั่นรองฯ ควบคลังว่าเสนอไปเป็นหมื่นรายการน่ะ อาจไม่ใช่ ๐% ทั้งหมด แต่ก็น่าจะเยอะอยู่นะ

พิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คุยนอกจอกับสรยุทธ์ออกรายการ กรรมกรข่าว เมื่อเช้านี้ (๑ สิงหา) ว้าว มีทีเด็ดไม่เบา เกี่ยวกับรายการสินค้าที่ยื่นไปให้สหรัฐดู ว่าอะไรบ้างที่เราจะไม่เก็บภาษีขาเข้า

“จริงๆ มีประเภทที่สาม ประเภทแรกคือเราไม่มี ประเภทที่สองคือเราผลิตได้ไม่เพียงพอ ประเภทที่สามก็คือว่า ประเภทที่เรามีรายการซื้อจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลก แต่อเมริกาเค้าไม่มี เค้าไม่มีการผลิตเราก็เสนอให้เค้า

ทั้งๆ ที่เรารู้ว่าเสนอไปแล้วเค้าก็ไม่ส่งมา ทำให้เค้าเกิดความรู้สึกไงครับว่าเราเสนอเค้าในรายการที่มากขึ้น บางรายการเค้าไม่มีเลยครับ ของไม่มีเราก็เสนอให้เช่นอย่างเงี๊ยนะครับ

สมมติมีลำไยอย่างเงี๊ยเค้าไม่ปลูกลำไย ไม่มีลำไย มาเสนอไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรก็เสนอไป หมื่นรายการก็ดูเหมือนเราเสนอเยอะดี” @WatcharaR1112 บอก “ทีมประเทศไทยเราก็แสบไม่ใช่เล่นเลย”

ใช้กลยุทธ์กะล่อน ทำให้อเมริกาตายใจสนิท

(https://x.com/WatcharaR1112/status/1951109648389644715 และ https://www.thaipbs.or.th/news/content/354924BR4WHM27eg)


 

ครบสัปดาห์เหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ฟังเสียงคนชายแดน บางคนยัง "กลับบ้านไม่ได้" บางคน "ไม่เหลือบ้านให้กลับอีกแล้ว"

https://www.facebook.com/watch/?v=2266308317140596


บีบีซีไทย - BBC Thai
8 hours ago
·
"อายุมากแล้วไม่เหมือนตอนเป็นหนุ่มเป็นสาว ตอนนี้ก็หมดแรงแล้ว ไม่มีแรงไปหาอะไรอีกหรอก ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจะช่วยยายแค่ไหน ก็รับแค่นั้นได้แหละ" เจ้าของบ้านที่ถูกโจมตีกล่าว

อ่านเพิ่มเติม https://bbc.in/4l2cXGd
https://www.bbc.com/thai/articles/cj9w01xrxy1o


“สิ่งแรกที่ถูกฆ่าตายในสงครามคือ ‘ความจริง’” ดังนั้นแล้ว ‘การค้นหาความจริง’ จึงต้องเป็นสิ่งที่มาคู่กันในยามเกิดสงคราม ชวนอ่าน 101 คุยกับ Truth Hounds องค์กรสืบสวนอาชญากรรมสงครามยูเครน


The101.world
18 hours ago
·
"เมื่อเกิดสงครามขึ้น คู่ขัดแย้งแต่ละฝั่งก็มักจะแสดงภาพลักษณ์ของตนให้ดูดีที่สุด พร้อมกับสร้างภาพให้ฝั่งตรงข้ามดูแย่ และขณะเดียวกันก็พยายามปกปิดการกระทำที่เป็นการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนหรือหลักกฎหมายระหว่างประเทศของตัวเอง เพราะฉะนั้น ท่ามกลางสถานการณ์แบบนี้จึงจำเป็นต้องมีกลุ่มคนที่ทำหน้าที่ค้นหาความจริงอันแท้จริง (real truth) คอยเฝ้าจับตาสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด และสืบสาวขึ้นไปให้ได้ว่าใครเป็นผู้กระทำ เพื่อจะนำไปสู่การนำตัวผู้ก่ออาชญากรรมมารับผิดชอบ"
.
นับตั้งแต่ที่ยูเครนต้องเผชิญการรุกรานจากรัสเซียในวิกฤตไครเมียปี 2014 มาจนถึงสงครามใหญ่ในปี 2022 ที่ยังยืดเยื้อถึงปัจจุบัน ภาคประชาสังคมในยูเครนก็ได้รวมกลุ่มกันในชื่อ Truth Hounds ที่มีภารกิจสืบสวนอาชญากรรมสงคราม พร้อมสาวหาตัวอาชญากรผู้ก่อเหตุทำร้ายพลเรือน เพื่อเปิดโปงความจริงให้โลกรู้ รวมถึงใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือเพื่อคืนความเป็นธรรมแก่เหยื่อ และดำเนินคดีต่อผู้กระทำ
.
การทำงานของ Truth Hounds ภายใต้สงครามรัสเซีย-ยูเครนเป็นอย่างไร เจอความยากลำบากขนาดไหน และช่วยกู้ความจริง คืนความยุติธรรมได้มากน้อยเพียงใด ชวนอ่านบทสนทนากับ Oksana Pokalchuk ผู้อำนวยการร่วม (co-director) ของ Truth Hounds ได้ที่ https://www.the101.world/truth-hounds-interview/
.
เรื่อง: วงศ์พันธ์ อมรินทร์เทวา
ภาพประกอบ: ธีรพัฒน์ แก้วชำนาญ

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1293656395462497&set=a.523964959098315

https://www.the101.world/truth-hounds-interview/



คนดีชอบแก้ไข คนอะไรนะ ชอบแก้ตัว


วิวาทะ V2
5 hours ago
·
"ระดับ 'คณะทำงานนายกรัฐมนตรี'"
- มิตรฯ

https://www.facebook.com/photo?fbid=1181632507325843&set=a.465768305578937


อ่านเอาเองน่ะครับว่า สื่อสารคลาดเคลื่อน หรือพลาดไปแล้วจึงรีบแก้ตัว


Somrit Luechai
12 hours ago
·
อ่านเอาเองน่ะครับว่า
สื่อสารคลาดเคลื่อน
หรือพลาดไปแล้วจึงรีบแก้ตัว



https://www.facebook.com/somrit.luechai/posts/10234726048151401



Health as a bridge for peace บทเรียนจากชายแดนใต้ถึงชายแดนกัมพูชา


Supat Hasuwannakit
15 hours ago
·
Health as a bridge for peace บทเรียนจากชายแดนใต้ถึงชายแดนกัมพูชา
การแพทย์คือสะพานสู่สันติภาพเป็นหลักการสำคัญที่ตรงกับจรรยาบรรณทางการแพทย์ แต่บ่อยครั้งในอารมณ์กระแสสูงแห่งความขัดแย้ง เราก็มักจะลืมไป
ในฐานะแพทย์ชายแดนใต้ที่เผชิญเหตุความขัดแย้งฝ่ายไทยกับ BRN มาตลอด เรายึดหลักอะไร เรายึดหลัก“การแพทย์ต้องอยู่เหนือความขัดแย้ง เป็นกลาง เราดูแลช่วยชีวิตคนทุกคนทุกฝ่ายทุกเชื้อชาติทุกความเชื่ออย่างเท่าเทียม ภายใต้หลักคิด การแพทย์คือสะพานแห่งสันติภาพ” โรงพยาบาลในจังหวัดชายแดนใต้ ยืนในหลักนี้มาตลอดกว่า 20 ปี
หากมีฝ่ายกองกำลังหรือสงสัยว่าใช่ฝ่ายตรงข้าม เราบุคลากรทางการแพทย์ก็จะไม่มีอคติต่อเขา ดูแลรักษาเขา ญาติเขา ลูกเมียเขา อย่างเต็มกำลัง หมู่บ้านนี้แม้ถูกฝ่ายความมั่นคงระบุว่า ส่วนใหญ่เป็นแนวร่วมหรือฝักใฝ่ฝ่ายตรงข้าม เราก็ยังจะดูแลเยี่ยมบ้านฉีดวัคซีนให้เขาเช่นเดียวกับที่อื่น เพราะงานการแพทย์ถือหลักมนุษยธรรมเป็นธงนำ
สำหรับความขัดแย้งชายแดนกัมพูชา แม้อารมณ์ชาตินิยมจะพุ่งสูง แต่การแพทย์ต้องยืนมั่นในหลักการและจรรยาบรรณ ดูแลทุกคนที่เจ็บป่วยอย่างเสมอกัน อันนี้สำคัญที่สุด ผมเชื่อว่า ทีมแพทย์และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลต่างก็ยึดหลักการนี้
การดูแลความเจ็บป่วยแก่คนชายแดนทุกชาติทุกเผ่าอย่างเต็มที่ จะเป็นการสะสมสร้างเกลียวสัมพันธ์ชายแดนของชาวบ้านสองฟากฝั่งให้ผูกพันกัน เป็นสายใยที่สนับสนุนสันติภาพในระยะยาว
กรณีนี้ ขอให้โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ยกเลิกเอกสารชิ้นนี้ ประกาศจุดยืนใหม่ที่เหมาะสม ทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ให้เข้มแข็งในหลักจรรยาบรรณ
Health as a bridge for peace คือหลักที่บุคลากรการแพทย์ทุกคนต้องยึดมั่น โดยเฉพาะตามแนวชายแดนทุกฝั่งทั่วไทย

https://www.facebook.com/photo/?fbid=24622982090659393&set=a.541417972575808


ข่าวโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ที่งดรับผู้ป่วยชาวกัมพูชาและยกเลิกบริการบางอย่างให้กับชาวกัมพูชาในช่วงวันที่ 31 ก.ค.–10 ส.ค. 68 บอกเราว่า สงครามไม่ได้ฆ่าแค่คน แต่มันฆ่าความเป็นมนุษย์​ของเราด้วย


Pavin Chachavalpongpun
15 hours ago
·
เห็นข่าวนี้แล้วค่ะ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ที่งดรับผู้ป่วยชาวกัมพูชาและยกเลิกบริการบางอย่างให้กับชาวกัมพูชาในช่วงวันที่ 31 ก.ค.–10 ส.ค. 68 เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา ดิชั้นขอวิเคราะห์ว่าเหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความพยายามของไทยในการสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกทางการทูตในหลายมิติอย่างไรค่ะ

....ผลกระทบต่อภาพลักษณ์ทางการทูตของไทย

1) บ่อนทำลายภาพลักษณ์ด้านมนุษยธรรม: ที่ผ่านมา ไทยพยายามนำเสนอตัวเองว่าเป็นประเทศที่มีบทบาทด้านมนุษยธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการดูแลผู้ลี้ภัย แรงงานข้ามชาติ และผู้ป่วยจากประเทศเพื่อนบ้าน (และบางครั้งก็ล้มเหลว เช่น การส่งอุยกูร์กลับจีน) การจำกัดการเข้าถึงบริการทางการแพทย์สำหรับชาวกัมพูชา ย่อมถูกตีความว่าเป็นการละทิ้งหลักการด้านมนุษยธรรมพื้นฐาน แม้จะเป็นการชั่วคราวและมีเหตุผลด้านความมั่นคงรองรับ สิ่งนี้ขัดแย้งกับท่าทีของไทยในเวทีโลกที่มักเรียกร้องให้มีการคุ้มครองพลเรือนและการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในสถานการณ์ความขัดแย้ง (ดังที่เห็นในแถลงการณ์ของเอกอัครราชทูตไทยประจำสหประชาชาติก่อนหน้านี้ในประเด็นอิสราเอล-ปาเลสไตน์) นี่ทำให้การทูตไทยขาด consistency

2) ส่งผลต่อความสัมพันธ์ทวิภาคีกับกัมพูชา: การกระทำดังกล่าวอาจถูกมองว่าเป็นการตอบโต้หรือลงโทษพลเมืองกัมพูชาจากความตึงเครียดทางการเมือง ซึ่งจะยิ่งเพิ่มความตึงเครียดและทำให้ความสัมพันธ์ทวิภาคีแย่ลงไปอีก แทนที่จะช่วยบรรเทาความขัดแย้ง การที่โรงพยาบาลเป็นหน่วยงานที่ให้บริการสาธารณะ การประกาศเช่นนี้จึงมีน้ำหนักและอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อจากฝ่ายกัมพูชา เพื่อสร้างเรื่องเล่าว่าไทยปฏิบัติต่อพลเมืองของตนอย่างไม่เป็นธรรม

3) ทำลายความน่าเชื่อถือในการทูตสาธารณะ: ในขณะที่ไทยพยายามต่อสู้กับ "ข่าวปลอม" และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความขัดแย้งชายแดน การประกาศของโรงพยาบาลเช่นนี้อาจถูกนำไปบิดเบือนหรือขยายผล ทำให้ความพยายามในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและน่าเชื่อถือของไทยลดลง ประชาคมโลกหรือสื่อต่างชาติอาจมองว่าไทยกำลัง "ผสมโรง" ใช้มาตรการที่ไม่ใช่การทหารมาตอบโต้ในสถานการณ์ความขัดแย้ง ซึ่งอาจไม่เป็นไปตามหลักการสากล

4) สร้างความกังวลจากองค์กรระหว่างประเทศ: องค์กรระหว่างประเทศด้านมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนอาจแสดงความกังวลหรือออกแถลงการณ์ประณามการกระทำดังกล่าว ซึ่งจะยิ่งสร้างแรงกดดันและภาพเชิงลบต่อประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ และไม่เป็นผลดีต่อความพยายามของไทยในการต่อสู้กับกัมพูชาในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ

5) อาจขัดแย้งกับนโยบายรวมของประเทศ: แม้จะมีเหตุผลด้านความมั่นคง แต่การตัดสินใจในระดับหน่วยงานท้องถิ่นเช่นนี้ หากไม่ได้รับการสื่อสารและบริหารจัดการอย่างระมัดระวังจากรัฐบาลกลาง อาจดูเหมือนเป็นการตัดสินใจที่ไม่ได้เป็นไปตามนโยบายต่างประเทศแบบองค์รวม และอาจทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับทิศทางและหลักการของไทยในการบริหารจัดการความสัมพันธ์ชายแดน

...โดยสรุปแล้ว แม้โรงพยาบาลอาจมีเหตุผลด้านความปลอดภัยและความมั่นคงเฉพาะหน้า แต่การตัดสินใจงดให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชาในช่วงเวลาที่อ่อนไหวนี้ มีความเสี่ยงสูงที่จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อภาพลักษณ์ทางการทูตของประเทศไทย โดยเฉพาะในด้านมนุษยธรรมและความน่าเชื่อถือในเวทีระหว่างประเทศ ซึ่งอาจบั่นทอนความพยายามในการสร้างภาพบวกและลดทอนความชอบธรรมในการสื่อสารประเด็นความขัดแย้งชายแดนของไทย เราต้องชั่งน้ำหนักนะคะ ระหว่าง "ความสะใจ" กับ "ชัยชนะในเวทีโลกในระยะยาว" เราจะเลือกอะไร?
 
https://www.facebook.com/photo?fbid=9745879945513681&set=a.104469196321519
.....


Wings of Wisdom
22 hours ago
·
“ความเมตตากรุณา เป็นภาษาที่
แม้แต่คนหูหนวกก็ยังได้ยิน
แม้แต่คนตาบอดก็ยังแลเห็น”
“Kindness is the language
which the deaf can hear
and the blind can see.”
 
- Mark Twain


ทหารขาดแคลนยุทโธปกรณ์ ถึงขั้นต้องให้อินฟลูขอบริจาคเลยเหรอ ?!? ทหารประเทศไหนวะ ต้องรอเงินบริจาคซื้อรถลำเลียงกระสุน ต้องอาศัยบังเกอร์จอมพลัง


“ขิง”เอะใจ หลัง“นักบุญคนดัง”ขอรับบริจาค ซื้อรถกะบะ ขนกระสุน-เสบียง ฉะมันคือความลับทหาร | TOP DARA

Jul 30, 2025 

”ขิง ชุติกาญจน์“ MUT จ.สุราษฎร์ธานี 2025 ยันแค่ตั้งคำถามไม่ได้ตัดสินว่าผิดหรือถูก หลังรู้สึกเอะใจเห็นโพสต์ของ“นักบุญคนดัง”บอกว่าจะนำเงินไปซื้อรถกระบะเพื่อที่จะลำเลียงกระสุนและเสบียงไปให้กับทหาร ชี้กระสุนมันถือว่าเป็นอาวุธสงคราม ซึ่งจะเป็นยุทโธปกรณ์และก็เป็นกลยุทธ์ในการทำสงครามในการรบ เพราะฉะนั้นแล้วมันจะเป็นความลับของชาติ เป็นความลับของกองทัพเป็นเรื่องของภัยความมั่นคงของชาติ มันเป็นไปไม่ได้ที่ประชาชนหรือพลเรือนจะเป็นตัวกลางในลำเลียง ถ้าอาวุธขาดมันไม่ใช่หน้าที่ของกองทัพหรือกระทรวงกลาโหมหรอ ทำไมประชาชนต้องมาเร่กันบริจาคกลายเป็นสงครามการบริจาคด่วน การช่วยเหลือเป็นสิ่งสวยงามขอแค่ทำบนพื้นฐานของความถูกต้อง

https://www.youtube.com/watch?v=q9jrl61sp7U


Atukkit Sawangsuk
11 hours ago
·
ทหารไม่ได้ขาดแคลนยุทโธปกรณ์
ถึงขั้นต้องให้อินฟลูขอบริจาค
ทหารประเทศไหนวะ ต้องรอเงินบริจาคซื้อรถลำเลียงกระสุน ต้องอาศัยบังเกอร์จอมพลัง
ขืนรอแบบนั้นก็รบแพ้
แต่ที่ทหารไฟเขียว ให้ท้าย
ก็เพื่อมัดยอดเอนเกจเมนท์ ทบคะแนนนิยมเข้าไปอีกชั้น
ให้ผู้บริจาคได้เนื้อนาบุญ ได้มีส่วนร่วม ได้มีอารมณ์ร่วม ปลาบปลื้ม ตื้นตัน ห่วงใย ฮึกเหิม ไปกับทหาร ผนึกพลังทหารนิยมให้แน่นเหนียว
มันเป็นปฏิบัติการจิตวิทยาที่ต่างฝ่ายต่างได้



‘#ขิงชุติกาญจน์ ’ ชวนสังคมตั้งคำถาม “การขอบริจาคของ #กันจอมพลัง ”


ตุ๊ดส์review
17 hours ago
·
#ขิงชุติกาญจน์ ’ ชวนสังคมตั้งคำถาม “การขอบริจาคของ #กันจอมพลัง

1) จากสถานการณ์ความไม่สงบ #ชายแดนไทยกัมพูชา ต้องชี้แจงว่า จริงๆกองทัพมีความตั้งใจปกป้องอธิปไตยอย่างเต็มที่ และก็ต้องยอมรับว่า "ความคลุมเครือของปัญหางบประมาณประเทศที่เป็นของกองทัพ" ควรถูกตั้งคำถามไปพร้อมกัน เราสามารถใช้สมองคิดวิเคราะห์ ไปพร้อมกับการให้กำลังใจการทำงานของทหารได้ โดยไม่จำเป็นต้องถอดสมองทิ้ง และตั้งคำถามได้ทุกเรื่องที่เราสงสัยในฐานะประชาชน มีความเห็นแตกต่างบนความสามัคคี ไม่ใช่ความแตกแยกครับ

2) อย่างแรก ต้องบอกก่อนว่า ค่อนข้างเข้าใจความรักชาติบ้านเมือง และอินในสถานการณ์สงครามของคุณกัน จอมพลัง ที่มีความตั้งใจดีจะช่วยเหลือกองทัพ มีเจตนาดีแน่นอน ถึงลงไปทำสิ่งต่างๆที่ยิ่งใหญ่ แต่การประกาศขอบริจาคสิ่งต่างๆช่วยทหารหลายๆครั้ง ทำให้เราต้องตั้งข้อสงสัยหลายข้อมากเลยครับ

3) ตามที่คุณขิงระบุไว้ คือ ปกติแล้ว ยุทโธปรณ์ และสิ่งจำเป็นทุกอย่างในกองทัพ คือ ข้อมูลความลับ ความมั่นคงของชาติ ที่รักษาไว้เป็นการภายในกองทัพ ไม่ใช่สิ่งที่ประชาชนเข้าถึงเพื่อจัดซื้อจัดหา หรือรู้ Specification ได้ว่าทหารใช้อะไรในการรบบ้าง ดังนั้น ตรงนี้ การที่ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วม หรือแทรกแซงกิจการทหาร จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ เพราะไม่ใช่หน้าที่เรา ในฐานะประชาชน แต่เป็นหน้าที่ของทหารโดยตรง ที่จะจัดสรรงับประมาณ และจัดซื้อจัดหาของจำเป็นทุกชนิดเพื่อให้ทหารใช้ในการรบ ด้วยความพร้อมที่สุด

4) ดังนั้น จึงมองว่าอาจจะไม่เหมาะสมที่พลเรือนเข้าไปอยู่ในจุดที่ทหารรบ และคอยจัดหาสิ่งจำเป็นใดๆให้ทหาร แม้กระทั่งอาหาร ก็ควรอยู่ในงบประมาณเสบียงรบ ที่พร้อมใช้อยู่แล้ว การเรี่ยรายทั้งจากเอกชนภายนอก และจากรัฐบาลประกาศบริจาค จึงเป็นเรื่องที่สะท้อนความอ่อนแอของประเทศ

5) ในมุมมองของความล่าช้าในการเบิกจ่ายช่วยเหลือ และสนับสนุนทหารในพื้นที่ ก็ยิ่งสะท้อนระบบรัฐราชการที่ซับซ้อน อุ้ยอ้าย และไม่คล่องตัว ซึ่งมันก็เป็นทั้งความอ่อนแอของกองทัพ ในความไม่พร้อมต่อการทำงานเพื่อปกป้องประเทศ และเป็นภาพลักษณ์ของกองทัพที่ออกไปยังทั่วโลก ว่าเรายังรับบริจาคจากประชาชน เพื่อแก้ปัญหาความล่าช้าของระบบกองทัพ ตรงนี้จึงควรแก้ไขให้ลดระยะเวลาการรอคอยสิ่งเบิกจ่าย เพื่อไปถึงมือทหารให้เร็วที่สุด

6) เป็นความจริงที่ว่างบประมาณของกระทรวงกลาโหม สูงถึงประมาณ 200,000 ล้านบาท เป็นอันดับที่ 4 ของประเทศ และสูงกว่ากระทรวงสาธารณสุข ประเด็นของเรื่องนี้คือ เราสนใจว่า ในเมื่องบประมาณน่าจะพอเพียง ทำไมยังต้องมีเอกชน influencers และรัฐบาลแจ้งการขอรับบริจาค ตรงนี้ "กองทัพไทย" ควรชี้แจงนะครับ เป็นภาพลักษณ์ของกองทัพโดยตรง และสร้างความเข้าใจต่อสังคม ไปจนถึงแสดงออกถึงความโปร่งใสเรื่องงบประมาณด้วยครับ ว่าติดขัดตรงไหน จึงได้มี action แบบนี้ ที่ต้องมีทหารในพื้นที่รบคอยกระซิบคนนอกว่าอยากได้อะไรบ้าง

7) หลายคนอาจจะยังมองเรื่องนี้ไม่เข้าใจว่า "ฉันเต็มใจบริจาค" "อยากช่วยเหลือทหารไทย" "เป็นการส่งกำลังใจที่ดี" ไม่เห็นจะมีปัญหา แต่จริงๆคุณแค่แยกแยะไม่ออกระหว่าง ความเต็มใจ กับ การไม่รู้จักบทบาทหน้าที่ เราเต็มใจนั่นเรื่องของเราครับ แต่การทำให้ถูกต้องตั้งแต่แรก คือหน้าที่รัฐ ดังนั้น ความช่วยเหลืออะไรก็ตามที่เกินจำเป็น มันต้องถูกตั้งคำถามจากสังคม จึงจะเกิดการแก้ไขที่ดี

8 ) ลองคิดตามง่ายๆว่า ถ้าคุณบอกว่าคุณเต็มใจ ฉันอยากบริจาค แต่นี่มันเป็น "ช่องว่าง" ให้เกิดการฉวยโอกาสหาผลประโยชน์กับประชาชนได้ ตามที่คุณขิงตั้งคำถาม คือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าทุกบาทของเราไปถึงปลายทาง 100% และเรามั่นใจเหรอว่าเงินที่บริจาคไป ได้ช่วยทหารจริงๆ ถ้าเราปล่อยให้สถานการณ์การบริจาคเป็นเรื่องปกติ เท่ากับเรายอมรับความล้มเหลวของการบริหารของรัฐ ไปพร้อมๆกับยอมรับการแทรกตัวจากมิจฉาชีพในอนาคต ที่อาจจะเป็นมือที่ 3 4 5 มารับเงินของประชาชนไป ตรงนี้ต้องให้สมองตรองให้มากขึ้น ถึงความถูกต้องในสิ่งที่สมควรเป็น

9) ประเทศใดก็ตาม ที่ขับเคลื่อนการกุศลในทุกปัญหาของประเทศ มันไม่ใช่เรื่องดี การทำบุญที่เป็นสิ่งที่ดี ไม่ได้หมายความว่า ประเทศชาติควรขับเคลื่อนด้วยเงินบริจาค แต่มันควรมาจากเงินภาษีเป็นหลัก ดังนั้น "การกุศล คือ ภาพสะท้อนความล้มเหลวในความรับผิดชอบของรัฐ" คุณต้องเชื่อก่อนว่า เงินภาษีที่นำมาใช้จัดสรรเป็นงบประมาณประเทศ คือด่านแรกของการใช้เงินของรัฐ ที่ควรพอเพียงต่อการทำงานทุกกิจกรรม โดยไม่หวังพึ่งพาการบริจาคนอกระบบ นี่คือรัฐที่มี smart budget and resource allocation แล้วครับ

10) อย่าให้ความใจดี หรือความรักชาติของคุณ เป็นเครื่องมือในการหากินของใครก็ได้ แต่ให้เราพิจารณาด้วยว่า สิ่งที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร เพื่อขับเคลื่อนให้รัฐบาลทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีพอ และกองทัพควรทำงานได้ราบรื่น ด้วยงบประมาณที่มีอยู่ ส่วนคุณกัน จอมพลัง แม้หวังดีอย่างยิ่งต่อกองทัพ ก็อาจจะต้องยุติบทบาทที่ควรเป็นของกองทัพไทยหรือไม่? เพราะไม่ใช่หน้าที่ประชาชนเรี่ยรายกันเองเพื่อมาช่วยรัฐบาลที่มีงบกลาโหมมหาศาลขนาดนี้ครับ

(และคุณกัน ไม่ต้องเสียใจไปนะ ที่พยายามทำดี ทุกคนเห็นความตั้งใจ และเจตนาดีเสมอ แต่การตั้งคำถามของสังคม ก็เกิดขึ้นเพราะความหวังดี และอยากให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างถูกต้องเช่นกันครับ)

ถ้าเราเอาการบริจาคเป็นทางออกของทุกปัญหาในประเทศ รัฐบาลไทยบริหารงานล้มเหลวมากๆนะครับ น้ำท่วม แผ่นดินไหว ไฟไหม้ การรบ ... เราต้องมองให้ออกครับว่า "ความใจบุญ" ของคนไทย กำลังถูกรัฐเอาเปรียบเราอยู่เสมอมา ฝากไว้ให้คิดครับ

https://www.facebook.com/photo?fbid=1319940156363612&set=a.808136554210644



Suwagee Klampaiboon
23 hours ago
·
.. "เป็น 9 นาทีที่คุ้มมากๆ"..
บทสัมภาษณ์ในคลิปนี้ เปิดหูเปิดตาและเพิ่มทัศนวิสัยในการมองเห็นถึงปัญหาระบบในกองทัพ และปัญหาเชิงโครงสร้างในมุมมองใหม่ของประเทศนี้ได้ชัดเจนมากขึ้น
พวกเราแม่jjj อยู่ในแผ่นดินที่สังคมและผู้คนบูชาความดีย์จนคลั่ง เมื่อมีผู้ใดสงสัยและลุกขึ้นมาตั้งคำถามเกี่ยวกับความดีย์นั้นๆ บรรดาสาวกซอมบี้ผู้คลั่งความดีย์ แห่งลัทธิบูชาตัวบุคคลจะตัดสินและพร้อมรุมประนามผู้นั้นทันที
สิ่งนี้คือช่องทางให้เหล่าคนดีย์จอมปลอมที่สร้างภาพสร้างกระแสและตัวตนในสังคม เป็นบันไดสู่ฐานะทางสังคม ผลประโยชน์และอำนาจ ดังที่เห็นเป็นข่าวคนดีย์จอมหลวงโลกที่อวดความร่ำรวย บ้างทยอยเดินเข้าสู่สนามการเมือง หรือ หลายคนที่ต้องเข้าคุก
นี่คือ ปัญหาและอุปสรรคในการพัฒนาประเทศที่ยากจะแก้ ตราบใดที่ผู้ยังคลั่งความดีย์แบบขาดสติ
เราขอชื่นชมความกล้าของน้อง ที่กล้าตั้งคำถามสวนกระแส และการแสดงออกอย่างมีวุฒิภาวะ มีหลักการและความรู้เพื่อส่งต่อแง่คิดและมุมมองให้ผู้คนในสังคม
Cr. : Bright TV
https://youtu.be/q9jrl61sp7U?si=lIhNtffbuYu0Rxz4

https://www.facebook.com/watch/?v=1092776065521547


บีบีซีไทยกับนักวิชาการด้านภูมิรัฐศาสตร์ เปิดประเด็นความสำคัญของยุทธศาสตร์ทางทะเลไทยที่เชื่อมโยงมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญ ที่มหาอำนาจแย่งชิงสูงสูดแห่งหนึ่งของโลก แต่ละปี 80% ของน้ำมันที่ต้องขนส่งทางทะเล และปริมาณสินค้าเกือบพันล้านตัน จะต้องใช้บริการเส้นทางนี้



จากดีลลับสู่ปะทะเดือดไทย-กัมพูชา: เปิดประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ความมั่นคงไทยในมหาสมุทรอินเดีย

ปณิศา เอมโอชา
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
31 กรกฎาคม 2025

ย้อนกลับไปช่วงต้นเดือน ก.ค. การเจรจาภาษีการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ที่ไม่คืบหน้า ได้ทำให้สื่อไทยหลายสำนักเริ่มเผยแพร่ประเด็นข่าวออกมาว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ "เงื่อนไข" หรือ "ข้อต่อรอง" อาจไม่ได้อยู่แค่เรื่องเศรษฐกิจเท่านั้น

หลายฝ่ายอ้างว่าอาจมีประเด็นทางการเมือง อาทิ กรณีรัฐบาลไทยส่งชาวอุยกูร์คืนให้กับจีน คดีความที่เกี่ยวข้องกับนักวิชาการชาวอเมริกันอย่าง นายพอล แชมเบอร์ส รวมถึงประเด็นความมั่นคงที่เกี่ยวข้องกับภูมิรัฐศาสตร์

ต่อมาตัวแทนจากฝั่งกองทัพรวมไปถึงรักษาการนายกรัฐมนตรีได้ออกมาปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่าไม่เคยมี "ดีลด้านความมั่นคง" เกิดขึ้นในการเจรจาปรับลดภาษีการค้า ทว่าเรื่องนี้กลับกลายเป็นประเด็นที่สังคมทั้งตั้งคำถามและจับตามองอย่างใกล้ชิดว่า มีความเป็นไปได้แค่ไหนที่สหรัฐฯ จะหันมาให้ความสนใจกับการกลับมาตั้งฐานประจำการทางทหารในภาคพื้นอินโด-แปซิฟิก โดยเฉพาะชายฝั่งทะเลอันดามันของไทย

ต่อมาเมื่อวันที่ 26 ก.ค. ความรุนแรงชายแดนไทย-กัมพูชา ปะทุขึ้นอย่างหนักจนลามมาถึงพื้นที่จังหวัดตราด ส่งผลให้กองทัพเรือภาคที่ 1 ต้องส่งหมวดเรือเฉพาะกิจ 4 ลำ ประจำการเกาะกูด พร้อมยิงสนับสนุนภายใต้ "ยุทธการตราดพิฆาตไพรี 1"

ล่าสุดนายฮาวเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยในการให้สัมภาษณ์ทางสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์นิวส์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (30 ก.ค.) ว่า สหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงทางการค้าเกี่ยวกับภาษีนำเข้าจากไทยแล้ว หลังจากเหลือเวลากำหนดเส้นตายในวันที่ 1 ส.ค. เพียงหนึ่งวัน และการบรรลุข้อตกลงนี้มีขึ้นภายหลังจากการเรียกร้องของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ให้ไทยและกัมพูชายุติการสู้รบที่ดุเดือดตลอดแนวชายแดนที่กำลังมีข้อพิพาทกันจนนำมาสู่การตกลงหยุดยิงของทั้งสองฝ่ายในเวลาต่อมา โดยมีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย

ด้านายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงผ่านเอกสารข่าวในวันนี้ว่า ขณะนี้ ไทยยังไม่ได้รับการแจ้งผลภาษีการค้าจากสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ โดยคาดว่าจะได้รับแจ้งภายใน 24 ชั่วโมง และยืนยันทีมเจรจาไทยทำงานเต็มที่ เสนอเงื่อนไขและข้อแลกเปลี่ยนที่ไทยสามารถยอมรับได้ โดยพยายามรักษาผลประโยชน์ของประเทศไว้ให้มากที่สุด

บีบีซีไทยพูดคุยกับนักวิชาการด้านภูมิรัฐศาสตร์เพื่อเปิดประเด็นความสำคัญของยุทธศาสตร์ทางทะเลไทยที่เชื่อมโยงมหาสมุทรอินเดีย ผลประโยชน์ที่มหาอำนาจกำลังจับตา และจุดยืนที่ไทยต้องรักษาและไม่อาจมองข้าม

ประเด็นดีลฐานทัพสหรัฐฯ ในไทยมีจุดเริ่มต้นมาอย่างไร ?

"อย่างบางทีเขามาขอบางอย่าง ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวกับเศรษฐกิจเลย มันไปเกี่ยวกับความมั่นคง เราก็ต้องว่า เห้ย! ขออย่างนี้ นำสงครามมาบ้านเรา เราก็ไม่เอา" ทักษิณ ชินวัตร กล่าว เมื่อวันที่ 9 ก.ค. ที่ผ่านมา

เมื่อวันที่ 8 ก.ค. การเจรจาการค้าเพื่อปรับลดอัตราภาษีนำเข้า (tariff) สินค้าไทยไปยังสหรัฐฯ ไม่คืบหน้า ทั้งยังมีข้อมูลว่าจะโดนอัตราภาษีสูงเท่าเดิมถึง 36%

ในวันถัดมา อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ขึ้นแสดงวิสัยทัศน์พร้อมกับสนทนากับบรรณาธิการ 3 คน ของเครือเนชั่นในประเด็นผ่าทางตันประเทศไทย

ในช่วงท้าย ๆ ของการสนทนา เขาได้กล่าวถึงการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ โดยตรงทักษิณกล่าวว่า "อย่างบางทีเขามาขอบางอย่าง ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวกับเศรษฐกิจเลย มันไปเกี่ยวกับความมั่นคง เราก็ต้องว่า เห้ย! ขออย่างนี้ นำสงครามมาบ้านเรา เราก็ไม่เอา ('เช่น ๆ ขอใช้ฐานทัพ') ผมกลัวจะเป็นยูเครนนะไม่เอา"

เมื่อพูดประโยคนี้จบ พิธีกรคนหนึ่งยังถามขึ้นมาว่า "เคยได้ยินมาไหมว่ามีคำขอมาใช้ฐานทัพอู่ตะเภา" ซึ่งทักษิณตอบกลับว่า "ผมไม่ขอพูดในรายละเอียด แต่ว่าเราต้องดูทุกมิติ"

หลังจากนั้นสื่อไทยหลายสำนักต่างก็ตีข่าวเรื่องดีลที่สหรัฐฯ ขอใช้ฐานทัพเรือทับละมุ ที่จังหวัดพังงา จนเป็นข่าวดังและมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง

กระทั่งในวันที่ 15 ก.ค. ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ออกมาปฏิเสธว่า รายงานข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง และไม่เคยมีการเจรจาหรือยื่นขอเสนอในลักษณะดังกล่าว

อย่างไรก็ดี หนึ่งวันก่อนหน้านั้น เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามเรื่องความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ ขอใช้ฐานทัพเรือทับละมุ จังหวัดพังงา เพื่อเป็นยุทธศาสตร์ถ่วงดุลอำนาจกับจีน นายภูมิธรรมตอบกลับว่า ฝั่งกองทัพยังไม่ได้ชี้แจงในรายละเอียด แต่ "อยู่ในแผนงานของกองทัพเรืออยู่แล้ว ไม่มีอะไร"

แม้ว่าฝ่ายรัฐของไทยจะออกมาปฏิเสธรายงานดังกล่าว แต่หลายฝ่ายต่างสนใจความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากอดีตจนถึงปัจจุบันโดยเฉพาะด้านความมั่นคงทางทะเลในมหาสมุทรอินเดียที่เริ่มชาติมหาอำนาจต่างพยายามเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น

วิเคราะห์ปัญหา 3 ประการ จากกรณีสหรัฐฯ ตั้งฐานทัพในต่างแดน




บีบีซีไทยได้สนทนากับ ฐิตา แสงหลี ผู้ร่วมวิจัย สังกัดโครงประเทศไทยศึกษา แห่งสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัค (ISEAS-Yusof Ishak Institute) ประเทศสิงคโปร์ เพื่อวิเคราะห์ฉากทัศน์ต่าง ๆ ของภูมิรัฐศาสตร์ทางทะเล รวมถึงอนาคตของไทย

"การตั้งฐานทัพ ไม่ว่าอีกฝั่งจะเป็นมิตรกับเราขนาดไหน หรือมีกลยุทธ์ตรงกันขนาดไหน มันก็จะมีปัญหาอยู่ดี" ฐิตา เริ่มต้นอธิบาย

เธอกล่าวว่า ปัญหาประการแรกที่จะเกิดขึ้นคือการสูญเสียอธิปไตย (sovereignty) "ไม่มากก็น้อย" พร้อมยกตัวอย่างกรณีที่สหรัฐฯ เข้าไปตั้งฐานทัพในจังหวัดโอกินาวาของญี่ปุ่น บนข้อตกลงที่จำกัดสิทธิของทางการญี่ปุ่นให้ไม่สามารถเข้าไปมีสิทธิมีเสียงได้

เมื่อสืบค้นเพิ่มเติม บีบีซีไทยพบว่า ภายใต้ข้อตกลงสถานะของกองกำลัง หรือ (Status of Forces Agreement - SOFA) นับจนถึงปัจจุบันนี้ ทางการญี่ปุ่นไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบหรือปฏิบัติการใด ๆ ในฐานทัพของสหรัฐฯ ได้อย่างอิสระโดยปราศจากคำอนุญาตจากกองทัพสหรัฐฯ ก่อน


ภาพถ่ายดาวเทียมในปี 2025 ของบริษัทแม็กซาร์ (Maxar) ซึ่งแสดงให้เห็นภาพมุมสูงที่ชัดเจนของฐานทัพอากาศคาเดนา (Kadena Air Base) บนเกาะโอกินาวา ภาพนี้เผยให้เห็นเครือข่ายรันเวย์ทั้งหมด โรงเก็บเครื่องบิน และพื้นที่เมืองใกล้เคียง

อีกทั้งเมื่อทหารต่างชาติกระทำความผิด จะไม่อยู่ภายใต้กฎหมายของประเทศเจ้าบ้าน ในกรณีของญี่ปุ่น ผู้กระทำความผิดที่อยู่ภายใต้กฎหมายของสหรัฐฯ จะถูกส่งมอบให้กับทางการญี่ปุ่นก็ต่อเมื่อได้รับการพิสูจน์ว่ามีความผิดแล้วเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม หลังจากเหตุการณ์ที่ทหารสหรัฐฯ 3 นาย ก่อเหตุข่มขืนเด็กหญิงชาวโอกินาวาวัย 12 ปีในปี 1995 ทั้งสองประเทศจึงได้ตกลงว่าในกรณีที่เป็น "อาชญากรรมร้ายแรง" เช่น การข่มขืน ผู้ต้องสงสัยจะถูกส่งตัวให้ทางการญี่ปุ่นควบคุมตัวโดยตรงตั้งแต่ต้น


ผู้ชุมนุมฝ่ายตรงข้าม (คนที่สองจากขวา) เผชิญหน้ากับกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านฐานทัพสหรัฐฯ (ไม่ปรากฏในภาพ) ระหว่างการเดินขบวนในกรุงโตเกียว เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปีที่สหรัฐฯ คืนเกาะโอกินาวาให้กับญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2022

กระแสต่อต้านการตั้งฐานทัพและการทวงคืนอธิปไตยบนเกาะโอกินาวาเกิดขึ้นเรื่อยมา โดยในช่วงทศวรรษล่าสุด บีบีซีไทยพบว่ามีตัวอย่างเหตุการต่อต้านการตั้งฐานทัพหรือการขยายฐานทัพ อาทิ ในปี 2019 ชาวโอกินาวาลงเสียงประชามติกว่า 70% คัดค้านการก่อสร้างฐานทัพใหม่บริเวณชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ ทว่ารัฐบาลกลางในขณะนั้นซึ่งนำโดยชินโซ อาเบะ เลือกเดินหน้าต่อ

ต่อมาในปี 2022 ในงานครบรอบการคืนเกาะโอกินาวาจากการครอบครองของสหรัฐฯ มีรายงานการประท้วงทวงคืนอธิปไตยในญี่ปุ่นเช่นกัน

ตามข้อมูลจากจังหวัดโอกินาวา ปัจจุบันมีฐานทัพสหรัฐฯ ทั้งหมด 31 แห่งบนเกาะแห่งนี้ ซึ่งหมายความว่าพื้นที่ถึง 70.6% ของที่ดินในญี่ปุ่นที่ใช้เฉพาะสำหรับฐานทัพทหารสหรัฐฯ กระจุกตัวอยู่ในจังหวัดโอกินาวาเพียงจังหวัดเดียว



สำหรับปัญหาประการที่สอง ฐิตาอธิบายว่าเป็นเรื่องการเมืองภายในประเทศ ซึ่งแต่ละฝ่ายสามารถนำความเคลื่อนไหวทางทหารครั้งนี้มาใช้เป็นเกมหรือข้ออ้างทางการเมืองได้

"การมาตั้งฐานทัพเป็นเรื่องที่คนไทยอ่อนไหวมาก ๆ ไม่เห็นว่าพรรคการเมืองไหนจะกล้า เพราะมันเป็นการฆ่าตัวตาย และดูไม่มีประโยชน์" ฐิตาเสริม

ขณะที่ประการสุดท้าย นักวิจัยหญิงกล่าวว่าคือเรื่องเศรษฐกิจ เธอเสริมว่าตอนที่มีกระแสข่าวเรื่องการเข้าขอเข้ามาตั้งฐานทัพที่จังหวัดพังงา อาจมีผู้คนส่วนหนึ่งมองว่ากองทัพฯ ย่อมมาพร้อมกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เนื่องจากจำนวนทหารที่จะเข้ามาประจำการ

อย่างไรก็ดี ฐิตา เตือนว่า เวลามีข้อตกลงจนเกิดการมาตั้งฐานทัพจริงก็อาจกระตุ้นเศรษฐกิจได้แทบจะทันที ทว่า "สมมติ[ฐานทัพ]ออกไป เขาหายไปเลย มันเป็นเรื่องของความมั่นคง มาเร็วไปเร็ว"

มหาสมุทรอินเดีย: "พื้นที่[มหาอำนาจ]แข่งขันแย่งชิงสูงสูดแห่งหนึ่งของโลก"

ภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามันของไทยนั้นติดอยู่กับมหาสมุทรอินเดียซึ่งตามงานศึกษาจากสถาบันคาร์เนกีเพื่อสันติภาพระหว่างประเทศ ซึ่งเผยแพร่เมื่อปี 2023 พบว่ามหาสมุทรอินเดียมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดกับเศรษฐกิจและการค้าโลก

แต่ละปี 80% ของน้ำมันที่ต้องขนส่งทางทะเล (maritime oil) และปริมาณสินค้าเกือบพันล้านตัน จะต้องใช้บริการเส้นทางนี้

ฐิตาเล่าว่าพื้นที่บริเวณนี้เป็น "พื้นที่ที่มีการแข่งขันสูงที่สุดพื้นที่หนึ่งของโลก ทุกฝ่ายมากันหมด อินเดียก็อยู่ จีน รัสเซียก็มา มหาอำนาจฝั่งยุโรป อย่างอังกฤษก็ส่งเรือมาลาดตระเวน ฝรั่งเศสก็เพิ่งพูดว่าจะกลับมา"

เธอเสริมว่า สำหรับสหรัฐฯ ชาติมหาอำนาจแห่งนี้ก็มีการขยายอำนาจทางทะเล (Maritime Force Projection) ในพื้นที่มหาสมุทรอินเดียเช่นเดียวกัน

ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา ทั้งสหราชอาณาจักรและสหรัฐฯ เพิ่งลงนามกับมอริเชียสเพื่อจะใช้ฐานทัพบนเกาะดิเอโก การ์เซีย (Diego Gracia) ซึ่งตั้งอยู่กลางมหาสมุทรอินเดียไปอีกอย่างน้อย 99 ปี และปัจจุบันนี่เป็นฐานทัพแห่งเดียวของสหรัฐฯ ในมหาสมุทรอินเดีย

ฐิตาเสริมว่า สหรัฐฯ เองก็พยายามเพิ่มพันธมิตร ทั้งที่เห็นได้จากกรณีของฟิลิปปินส์และสิงคโปร์ ทว่าเธอย้ำว่านั่นเป็นเพียงความร่วมมือการเข้าใจฐานทัพแบบหมุนเวียน ไม่ใช่การตั้งฐานทัพถาวร


พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ (ซ้าย) จับมือกับ กิลเบิร์ต เตโอโดโร รัฐมนตรีกลาโหมฟิลิปปินส์ (ขวา) ระหว่างการเยือนค่ายอากินัลโด เมืองเกซอน กรุงมะนิลา เมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา โดยมุ่งเน้นการเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคง และหารือเกี่ยวกับข้อกังวลในทะเลจีนใต้

สำหรับฟิลิปปินส์ บีบีซีไทยพบว่ามีข้อตกลงการขยายความร่วมมือด้านการทหาร (Enhanced Defense Cooperation agreement-EDCA) กับสหรัฐฯ ซึ่งมีการลงนามไปตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งอนุญาตให้สหรัฐฯ เข้ามาลงทุนและใช้ฐานทัพ 5 แห่งของฟิลิปปินส์แบบหมุนเวียน ก่อนที่ในภายหลังจะเพิ่มเป็น 9 แห่ง

สำหรับสิงคโปร์ ทั้งสองประเทศมีการลงนามที่บังคับใช้ถึงปี 2035 ให้สหรัฐฯ สามารถแวะจอดเรือเพื่อซ่อมบำรุง เติมเสบียงหรือเชื้อเพลิง และเป็นฮับของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้

"ชัดเจนว่าจะล้อมจีน ส่วนจีนที่เข้ามามีบทบาทบริเวณนี้ก็เพราะต้องการรักษาผลประโยชน์ในการส่งน้ำมัน เพราะตรงนี้เป็นเส้นทางหลักถึง 80-90%" ฐิตา เสริม

เมื่อหันมามองที่ฝั่งจีน ฐิตาอธิบายว่าหลายคนเองเข้าใจผิดว่าจีนมีฐานทัพหลายแห่งในมหาสมุทรอินเดีย แต่ที่จริงแล้วคือมีที่เดียวที่ประเทศจิบูตี ในทวีปแอฟริกา ส่วนสถานที่อื่น ๆ นั้นส่วนมากเป็นเพียงท่าเรือเชิงพาณิชย์ที่ "จีนตั้งใจทำไว้ให้ใช้ประโยชน์ได้สองประเภท [เชิงพาณิชย์และการทหาร]"

"จีนต่างกับอเมริกาตรงที่อเมริกาคือจะเอาทหารเข้ามาเลย แต่ว่าจีนจะเหมือนกับให้เงินไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน แล้วพอถึงเวลาจีนก็จะมาแบบ 'ฉันให้เงินเธอนะ ขอใช้หน่อย'" ซึ่งเธอมองว่าเป็นกลยุทธ์ที่ "ฉลาด" ไม่น้อย เพราะเปิดช่องให้จีนปัดความรับผิดชอบได้


อิสมาอิล โอมาร์ เกลเลห์ ประธานาธิบดีจิบูตีพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ณ กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 2019

บีบีซีไทยพบว่า จีนเข้าไปลงทุนสร้างท่าเรือเหล่านี้ทั้งในประเทศอย่างปากีสถาน ศรีลังกา บังกลาเทศ ซูดาน เปรู รวมไปถึงในอาเซียนอย่างเมียนมาและกัมพูชาด้วย

นอกจากนี้ ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข ยังได้ให้สัมภาษณ์ประเด็นการขยายบทบาทของจีนในมหาสมุทรอินเดียไว้ในรายการเจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand เมื่อวันที่ 15 ก.ค. ระบุว่า ในมุมการวิเคราะห์ก็มีเหตุผลที่สหรัฐฯ จะยื่นดีลความมั่นคงให้กับไทยเพื่อเพิ่มบทบาทของตนเองให้มากขึ้นในมหาสมุทรอินเดียแห่งนี้

การวิเคราะห์ของ ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ ในรายการดังกล่าว สอดคล้องกับสิ่งที่ ฐิตา อธิบายก่อนหน้าเรื่องการใช้ประโยชน์ของท่าเรือเชิงพาณิชย์ตามประเทศต่าง ๆ ที่จีนเข้าไปลงทุนไว้เพื่อรักษาผลประโยชน์เรื่องพลังงานหากเกิดข้อพิพาทหรือสงครามขึ้น จนไปกระทบกับการเปิด/ปิดช่องแคบมะละกา ซึ่งตั้งอยู่บริเวณแหลมมลายู และเป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อมหาสมุทรอินเดียและทะเลจีนใต้ไปสู่มหาสมุทรแปซิฟิก

"วันนี้ถ้าถามว่าจีนอยากได้ที่ไหนเป็นฐานทัพนอกจากจิบูตี ผมคิดว่าคำตอบ คือศรีลังกา ปากีสถาน และพม่า เนื่องจาก สามจุดเหล่านี้เป็นท่าเรือพาณิชย์ ยังไม่ถูกยกระดับ"

อย่างไรก็ดี ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ ชี้ว่า ไทยเข้ามาอยู่ในสมการที่มหาอำนาจเข้ามาจับตามากขึ้น เพราะแผนที่ของการวิเคราะห์บางฉบับ "เขาระบายสีพื้นที่ประเทศไทยว่าเป็นที่ที่จีนคาดหวังว่าจะใช้เป็นฐานทัพในอนาคต" และเพราะเหตุนั้น "พังงา จึงกลายเป็นสาวงามของอันดามัน ของมหาสมุทรอินเดีย"

ไทยควรวางตำแหน่ง-เล่นบทอะไรในสถานการณ์นี้ ?



แม้กระแสข่าวเรื่องการเข้ามาใช้ไทยเป็นฐานทัพของสหรัฐฯ เพื่อคานอำนาจกับจีนอาจไม่เกิดขึ้นจริงในเวลาอันใกล้นี้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ากองทัพเรือของไทยหรือผู้กำหนดนโยบายระดับประเทศไม่ควรเตรียมแผนอะไรไว้เช่นเดียวกัน ตามทัศนะของนักวิชาการจากสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัค

ฐิตา สรุปว่าคงหวังให้ไทยเข้ามามีบทบาทอะไรในสมรภูมิภูมิรัฐศาสตร์ทางทะเลนี้ไม่ได้มาก และทางเลือกของไทยตอนนี้คือ "เอาตัวให้รอดโดยที่ไม่ต้องเลือกข้าง แม้ตัวเลือกจะค่อย ๆ บีบไทยลงมามากขึ้นก็ตาม"

เธอมองว่า หากส่วนหนึ่งของข้อตกลงกับสหรัฐฯ มีการร้องขอมาเรื่องการเปิดให้ฝั่งกองทัพสหรัฐฯ สามารถแวะเข้ามาเติมน้ำมันหรือเติมเสบียง "ก็ดูว่าถ้าไม่เสียหายเกินไปก็ทำได้ น่าจะพอรับได้" โดยเพิ่มเงื่อนไขว่าประเทศอื่น ๆ เองก็อาจทำได้เช่นเดียวกันในฐานะพันธมิตร

ขณะเดียวกัน เธอเสนอให้มีการเพิ่มความสัมพันธ์หรือความร่วมมือแบบทวิภาคีกับประเทศอื่น ๆ ในมหาสมุทรอินเดีย อาทิ ความร่วมมือกับอินเดีย หรืออาจจะไปร่วมมือกับจีนมากขึ้น

"ต้องไม่ลืมว่านอกเหนือจากการเอาตัวรอดทางรัฐศาสตร์กับมหาอำนาจ ไทยเองยังต้องหาหนทางรักษาผลประโยชน์เชิงเศรษฐกิจของพื้นที่ทางทะเลแห่งนี้ไว้ด้วย" เธอกล่าวเสริม

มุมมองของเธอสอดคล้องกับ ศ.ดร.แซคคารี เอ็ม. อาบูซา จากวิทยาลัยสงครามแห่งชาติ (National War College) กรุงวอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา ที่กล่าวกับบีบีซีไทยไว้ว่า เมื่อปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา คลี่คลายได้แล้ว "เราต้องเตรียมใจรับมือกับความจริงที่ว่า ยังมีข้อพิพาททางทะเลซึ่งอาจซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม"



เขาเสริมว่า กองทัพเรือไทยมีขนาดเล็กและจากมุมมองของสหรัฐฯ "ถือว่าเป็นเหล่าทัพที่มีท่าทีใกล้ชิดจีนมากที่สุดในประเทศไทย" เมื่อพิจารณาจากกรณีเรือรบที่ไทยสั่งซื้อจากจีน รวมถึงความเป็นไปได้ของคำสั่งซื้อเรือดำน้ำด้วย

"แต่คนไทยโดยทั่วไปกลับไม่ได้ให้ความสำคัญกับข้อพิพาททางทะเลมากนัก ทั้งที่พื้นที่เศรษฐกิจจำเพาะ (EEZ) ของไทยก็ยังมีข้อพิพาทอยู่" ศ.ดร.อาบูซา กล่าว

เขาเสริมว่าเรื่องนี้มีความสำคัญ เพราะเกี่ยวข้องกับประเด็นทรัพยากรประมง และความเป็นไปได้ในการขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่ง

ตามข้อมูลในปี 2023 จากสถาบันคาร์เนกีเพื่อสันติภาพระหว่างประเทศ ไทยรั้งอันดับที่ 5 ประเทศที่มีปริมาณการค้า (นำเข้า/ส่งออก) มากที่สุดในภูมิภาคนี้ ด้วยตัวเลขสูงทะลุ 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 12.8 ล้านล้านบาท) ตามหลังอินเดีย สิงคโปร์ มาเลเซีย และออสเตรเลีย ตามลำดับ

ฐิตาเสริมว่า สิ่งหนึ่งที่เธออยากนำเสนอมากที่สุดคือการสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของบทบาททั้งทางความมั่นคงและทางการค้าในมหาสมุทรให้มากขึ้นกับประชาชนทั่วไป

"ไทยควรต้องสนใจ เพราะว่ารอบบ้านเขาสนใจกันมากเรื่องนี้ รวมถึงเพื่อนอาเซียน" เธอเสริม

เธอยกตัวอย่างว่า สำหรับมุมมองของนักวิจัยเอง กรณีเรือดำน้ำที่ตกเป็นประเด็นถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักนั้น ในมุมมองของเธอก็มองว่าจำเป็นต้องมี เพียงแต่เสนอว่าฝั่งกองทัพควรสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนมากกว่านี้ ทั้งเรื่องยุทธศาสตร์ของกองทัพเรือเอง รวมถึงความโปร่งใสของการใช่งบประมาณด้วย

ท้ายที่สุด เธอย้ำว่าการพัฒนาความรู้ความเข้าใจของประชาชนต่อความเสี่ยงที่เกิดขึ้นทั้งสองฝั่งของทะเลไทยมีความสำคัญอย่างยิ่ง และยังต้องทำให้ได้ดีกว่าที่เป็นอยู่

https://www.bbc.com/thai/articles/ce3ndjd74ljo