วันพฤหัสบดี, มีนาคม 31, 2559

เครือข่ายพระสังฆาธิการนิมนต์สงฆ์ทั่วประเทศ ขับ "พุทธะอิสระ" ออกจากหมู่สงฆ์ ชี้เป็นผู้หัวดื้อ-ภิกษุพาล




https://www.youtube.com/watch?v=HOlLuuP25n8&feature=youtu.be&a

นิมนต์สงฆ์ทั่วประเทศ ขับ "พุทธะอิสระ"

NationTV22

Published on Mar 31, 2016

เครือข่ายพระสังฆาธิการนิมนต์พระทั่วประเท­ศลงอุกเขปนียกรรม ขับไล่ออกจากหมู่สงฆ์พระพุทธะอิสระในฐานะด­ื้อสอนยาก รองผอ.สำนักพุทธรายงานผลพูดคุยฝ่ายหนุน-ค้­านตั้งสังฆราชต่อรมต.สุวพันธุ์ รัฐมนตรีชี้ทำให้ทุกฝ่ายสมานฉันท์


จำเขาไว้ เมื่อไหร่ใช้ Google street view แล้วถูกใจ ก็นี่ละฝีมือ Panupong Luangsa-ard





จำเขาไว้ เมื่อไหร่ใช้ Google street view แล้วถูกใจ ก็นี่ละ
เขาเดินห้าแสนกิโลให้ท่านแค่จิ้มสองสามจึ๊ก ก็เห็นหมด

Chad Sripanich


.....

Thai man travels 500,000km across Thailand to create Google Street View

By Coconuts Bangkok
March 31, 2016





Google has mapped out 150 new places of interest in Thailand with the help of Thai triathlete Panupong Luangsa-ard.

Panupong travelled an estimated 500,000 kilometers using various transportation methods, and walked about 500 kilometers of it.

"While collecting just the tea plantations and strawberry fields, he burned through four pairs of shoes," a Google rep said.





The entire quest to capture these sites took two years, with breaks on rainy days because the camera needs fair skies to get a clear shot, reported Mashable.

Panupong traveled across Thailand with a Google Trekker backpack that weighs about 18 kilograms, and extends about 2 feet above his shoulders. The camera battery lasts around six to eight hours on a full charge.

The backpack captures 360-degree photos.






สำนวนกวนกาละแม คสช. กวนอยู่นั่นแหละ ไม่เสร็จเสียที





ถึงคราวทั่นรองฯ ‘บิ๊กตือ’ สบัดคารมบ้าง “พล.อ.ประวิตรถามนักข่าวเธอเป็นอะไรกับวัฒนา เมืองสุข ถึงห่วงเขาจัง ขู่เอา 'วาสนา นาน่วม' ไปลองเข้าหลักสูตรปรับทัศนคติ” (@KAO_VoiceTV21)

“บิ๊กป้อมเผยหลักสูตรอบรมนักการเมืองพร้อมแล้ว เปิดวันนี้เลยยังได้ ยันเฉพาะคนที่ทำผิด ถูกเรียกตัวเท่านั้น หากเข้าใจ คุยชม.เดียวกลับบ้านก็ได้ ไม่กระทบภาพพจน์ คสช.คนดีอยู่แล้ว/ ด้าน
บิ๊กหมู ขอเวลาอีก ๑-๒ วัน จะแถลงหลักสูตร

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงความคืบหน้าหลักสูตรอบรมปรับทัศนคตินักการเมือง ว่าพลเอกธีรชัย นาควานิช ผบทบ./เลขาธิการคสช. มีหลักสูตรอยู่แล้ว สามารถใช้ได้ทันที ถ้าเปิดได้วันนี้ ก็เปิด” (เนื้อข่าวจาก Wassana Nanuam)

“ส่วนจะใช้ค่ายทหารหรือสถานที่อื่น ต้องแล้วแต่ คสช. ซึ่งหลักเกณฑ์สำหรับคนที่ทำผิด คนที่วิพากษ์วิจารณ์เท่านั้น คงไม่ไปเอาคน ๖๐-๗๐ ล้านคนมาปรับความเข้าใจ”

แหม ทั่นก็ ใครมันจะบ้องตื้นขนาดนั้น ที่จะเอาคนหกเจ็ดสิบล้านมาปรับทัศนคติ ทั่นนึกว่าพูดกับพวกไอ้เณรเสียเคย เลยใช้ตรรกะแบบอีเหละเขระขระ รวมทั้งที่ถามว่าเป็นอะไรกับวัฒนา

คำถามแบบนี้มันพวกตะหานคุมวินมอเตอร์ไซค์เขาพูดกัน ไม่ใช่ระดับรองนายกฯ ถึงจะคนหกเจ็ดสิบล้านไม่ได้เลือกมาก็เถอะ

นั่นก็มาจากน้องตู่ ต้นตำรับสำนวนกวนกาละแม กวนอยู่นั่นแหละ ไม่เสร็จเสียที เมื่อตอนก่อนไปเมกาพูดถึงเสียงฮือฮาเกี่ยวกับภาพ “พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการ เข้ามาช่วยถอดรองเท้าให้ระหว่างเยี่ยมชมการจัดงาน ‘การศึกษาสร้างชาติ ตลาดคลองผดุงฯ...สร้างสุข’

ข่าวว่าทั่นหัวหน้ายั๊วอีกแระ “มันก็เป็นภาพที่ไม่สมควร ผมก็ขอโทษสังคมด้วยแล้วกัน แต่อะไรที่เป็นเรื่องของผม เรื่องภายใน เป็นเรื่องพี่น้องของผม แยกแยะให้ออก

จะมาบอกว่าเป็นนายกฯ แล้วต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าพวกคุณเลือกผมมา คุณจะสั่งผมอย่างไรผมจะทำให้ แต่นี่ไม่ได้เลือกผมสักคน”

(http://www.dailynews.co.th/politics/388594)

เออว่ะ ฟังตรรกะเขาดิ ประมาณว่า “เรื่องของตรู ใครอย่าแส่” แม้จำนนว่าภาพมันออกมาไม่ดีแต่ก็ไปพาลเอากับคนถ่ายภาพ ด้วยคำพูดทั้งก้าวร้าวและส่อเสียด

รวมไปถึงเรื่องประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับ คสช. ขอเยอะ ที่มีชัยจัดให้แยะ ทั่นว่า “ก็พิจารณามาจะผ่านหรือไม่ผ่าน ผมร่างเองก็ไม่ได้ ให้คนอื่นร่างก็ไม่ได้ แล้วจะเอายังไง หรือไปยืมรัฐธรรมนูญใครเขามา”

อ่า ทั่นฮัฟ นักวิชาการเขาพูดกันมาตั้งนานแล้วนะ ให้กลับไปหาฉบับ ๔๐ ปรับนิดหน่อยก็ใช้ได้ดี ป่านนี้เรียบร้อยโรงเรียนวัดนวลฯ ไปแล้ว ได้นั่งรอเปลี่ยนผ่านกันชิล ชิล ไม่ใช่ใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ไม่ต้องเสียทั้งเวลาและสตางค์ของรัฐ จ้าง กมธ. กรธ. สนช. สปช. สปท. กกต. เปรอะไปหมด

ข้อสำคัญทั่นเองจะได้ลงหลังเสือเสียที ไม่ต้องมีฉุนเฉียวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จนมีคนกล่าวหาเซี้ยวๆ ว่า menopauses

อ้างอะไรเกินไปมั้ง ที่ว่า “แล้วถ้าเกิดอะไรวันหน้าก็ต้องมีคนรับผิดชอบกับผม หรือประเทศนี้มีผมคนเดียวที่ต้องเสียสละชีวิต เห็นแก่ตัวกันเกินไปหรือเปล่า” พูดเข้าเนื้ออย่างนี้ มันติดตัวไปตลอดชีวิตนะทั่น





ทีเรื่องทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนไม่พูดถึงบ้าง อย่างเช่นที่เพจเฟชบุ๊ค Arpa Wangkiat แจ้งเหตุ “ทหารคุมตัวชาวบ้านปากน้ำ ระยอง :นายละม่อม บุญยงค์ กับพวกอีกสองคน ถูกทหารนำไปจากบ้านเช้าตรู่วันที่ ๒๙มีนาคม ๒๕๕๙ โดยอ้างว่าเป็นการเชิญตัวเพื่อไปปรับทัศนคติ ขณะนี้ยังไม่ทราบความคืบหน้าที่ชัดเจน

นายละม่อม อายุ ๖๕ ปี เป็นชาวประมงผู้ร้องเรียนกรณีที่ทหารร่วมกับเทศบาลระยองจะไล่รื้อบ้านเรือนและที่ทำประมงต่อเนื่องบริเวณริมชายหาดปากน้ำ ระยอง ต่อคณะอนุกรรมการด้านสิทธิชุมชนและฐานทรัพยากร ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

โดยกรณีดังกล่าวนี้จะทำให้ชุมชนประมงพื้นบ้านบริเวณดังกล่าวต้องรื้อถอนบ้านเรือน และที่ทำการแปรรูปอาหารทะเลและที่จอดเรือออกจากพื้นที่ มีผู้เดือดร้อนกว่าสิบครอบครัว ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบของคณะกรรมการสิทธิฯ และอยู่ระหว่างการร่วมกันหาทางแก้ไขปัญหา

นอกจากนี้นายละม่อมยังเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีน้ำมันรั่วที่ทะเลระยองปี ๒๕๕๖ ได้ร่วมกับกับผู้ได้รับความเดือดร้อนจากกรณีดังกล่าวฟ้องร้องหน่วยงานรัฐและบ.ปิโตรเลียมไทยโกลบอลเคมีคอล เมื่อปี ๒๕๕๗ โดยคดีดังกล่าวกำหนดสืบพยานในวันที่ ๒๐ เมษายนนี้”

(https://www.facebook.com/arpa.wangkiat/posts/10206499116305643)

อีกรายหมาดๆ “จนท.ป่าไม้สนธิกำลังกับทหาร-ฝ่ายปกครอง เข้าทำการตัดโค่นสวนยางพาราของเกษตรกรในพื้นที่หมู่บ้านจัดระเบียบ อ.ภูพาน จ.สกลนคร”





ทั้งนี้ตามรายงานของ The Isaan Record ระบุว่า “ชาวบ้านได้ทำหนังสือร้องทุกข์กับนายกรัฐมนตรีผ่านทางสำนักนายกรัฐมนตรี เพราะทางชาวบ้านเห็นว่าพวกตนเป็นผู้ยากจนไม่ได้เป็นนายทุนที่ทำลายป่าไม้ และได้ทำกินพื้นที่นี้มานาน

จากนั้นทางสำนักนายกจึงเดินทางลงมาตรวจสอบข้อเท็จจริงในพื้นที่ จนนำมาสู่ข้อตกลงร่วมกันให้ชะลอการดำเนินการตัดโค่นต้นยางพาราในพื้นที่ออกไปจนกว่าจะมีแนวทางการแก้ปัญหาในพื้นที่ออกมา และให้มีการตั้งคณะกรรมการแก้ปัญหา”

แต่พวกเจ้าหน้าที่ก็หักหาญไม่ฟังอีร้าค่าอีรม ยกกำลังเข้าจัดการตัดต้นยางจำนวน ๔ แปลง ประมาณ ๖๐ ไร่ ก่อการเสียหายให้แก่ชาวบ้านจนได้

(http://isaanrecord.com/2016/03/29/sakaom/)

นั่นเป็นเพียงสองกรณีล่าสุดที่เกิดจากความเห็นแก่ตัวของใครกันแน่ การพูดบนโพเดี้ยมยกตนเลอเลิศอาจทำให้ตนและพวกฮึกเหิมในอำนาจเบ็ดเสร็จที่กุมอยู่ ทว่านานาชาติเขารับรู้การข่มเหงเอาเปรียบประชาชนบางภาคส่วนทั่วไปหมดแล้ว

รายงานขององค์กรสิทธิมนุษยชน ฮิวแมนไร้ท์ว้อทช์ เมื่อวันก่อน (๓๐ มีนาคม) แจกแจงกรณีต่างๆ ที่รัฐบาล คสช. ละเมิดสิทธิในการแสดงความคิดเห็น และควบคุมตัวผู้เห็นต่างที่วิจารณ์การใช้อำนาจบาทใหญ่ของฝ่ายทหาร ไว้มากมาย

(https://www.hrw.org/…/thailand-sedition-charge-red-bowl-pho…)

โดยเฉพาะการยัดข้อหาปลุกระดมก่อกวนความสงบตามมาตรา ๑๑๖ ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว ที่กล่าวหาต่อนายจาตุรนต์ ฉายแสง นายสมบัติ บุญงามอนงค์ และนายพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ เป็นต้น

ล้วนแต่จะยิ่งทำให้ “สถานะของประเทศไทยในประชาคมโลก ต่ำลงและต่ำลง” นายแบร๊ด แอดัมส์ ผู้อำนวยการภาคพื้นเอเซียของ HW กล่าว




อีกทั้งกรณีหลังสุดที่ทหารเชียงใหม่กล่าวหานางธีรวรรณ เจริญสุข ในความผิดต่อความมั่นคง ม. ๑๑๖ จากการนำภาพของเธอถือขันน้ำสีแดงที่ได้รับแจกมาจากผู้สนับสนุนสองอดีตนายกรัฐมนตรีตระกูลชินวัตรลงแพร่หลายทางเฟชบุ๊ค

ทำให้นายแอดัมส์ชี้ว่า “การที่รัฐบาลทหารไทยหวาดระแวงต่อขันสีแดง แสดงให้เห็นว่าความไม่ยอมรับฟังผู้เห็นต่างเลยเถิดไปถึงขั้น ‘เหลวไหลสุดโต่ง’ แล้วละ”

ร้ายยิ่งกว่านั้น นายแอดัมส์ป่าวประกาศด้วยว่า การที่ประชาชนโดนข้อหาก่อกวนความมั่นคงเพียงเพราะลงรูปของขวัญสงกรานต์จากอดีตนายกรัฐมนตรี “แสดงชัดแจ้งว่า มองไม่เห็นที่สิ้นสุดของกระบวนการกดขี่” ต่อประชาชนไทย

'ไอ้สาด' กรูขรรม... (คนนะโว้ย ไม่ใช่กล้วยไม้) กทม.ชวนใช้’ฟ็อกกี้’เล่นสงกรานต์ เนื่องจากปีนี้ประเทศไทยประสบภัยแล้ง




กทม.ชวนใช้’ฟ็อกกี้’เล่นสงกรานต์ สีลม’งดปืน งดสาด งดแจกน้ำ’

ที่มา มติชนออนไลน์

เมื่อวันที่ 30 มีนาคม ที่โรงแรมดุสิตธานี นายวัลลภ สุวรรณดี ประธานที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นประธานแถลงข่าวจัดงานสงกรานต์ถนนสีลม ประจำปี 2559 (Bangkok Songkran Festival at Silom : BSF @Silom 2016) โดยมีพล.ต.ต.ภานุรัตน์ มีเพียร ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. นางรัชนีวรรณ อัศวธิตานนท์ รองปลัดกทม. พ.ต.อ.กิตติพันธุ์ จุลทะกาน รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 (รอง ผบก.น.5) นางสุภาวดี สิทธิกรไพบูลย์ ผู้อำนวยการเขตบางรัก พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ร่วมงาน
นายวัลลภกล่าวว่า การจัดงานสงกรานต์ที่ถนนสีลม ประจำปี 2559 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-14 เมษายนนี้ ตั้งแต่เวลา 12.00-21.00 น. ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์ถนนสีลม ปลอดภัย ไร้แอลกอฮอล์” เน้นจัดงานส่งเสริมและสืบสานประเพณีสงกรานต์แบบไทย อวยพรซึ่งกันและกัน คุมเข้มมาตรการรักษาความปลอดภัย และห้ามนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้างาน โดยวันแรกของการจัดงานจะมีการเดินขบวนวัฒนธรรมไทย อาทิ ขบวนสรงน้ำพระ ขบวนวัฒนธรรมไทย 4 ภาค ขณะเดียวกันการจัดงานสงกรานต์ปีนี้จะรณรงค์ 6 ป. ประกอบด้วย ปลอดภัย ปลอดแอลกอฮอล์ ปลอดโป๊ ปลอดแป้ง ปลอดปืนฉีดน้ำขนาดใหญ่ และประหยัดน้ำ
นายวัลลภกล่าวว่า ภายในงานจะไม่มีอุโมงค์น้ำ ไม่มีจุดแจกน้ำ ไม่มีเวทีการแสดง และ กทม.จะขอความร่วมมือผู้ประกอบการงดแจกน้ำ เนื่องจากปีนี้ประเทศไทยประสบภัยแล้ง จึงอยากให้ประชาชนตระหนักการเล่นน้ำสงกรานต์อย่างประหยัด พร้อมแนะนำให้ใช้กระบอกฉีดน้ำแบบละออง หรือฟ็อกกี้ แทนการสาดน้ำ หรือแทนปืนฉีดน้ำ เพราะใช้น้ำน้อย พร้อมกันนี้จะขอความร่วมมือผู้ประกอบการงดใช้เครื่องเสียงดังอีกด้วย
“ส่วนมาตรการรักษาความปลอดภัย ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่เทศกิจ ร่วมกับทหาร ตำรวจ ประจำในจุดที่สามารถเดินเข้าร่วมงานได้ เพื่อตรวจสอบและสกัดกั้นไม่ให้มีการลักลอบนำสิ่งของต้องห้ามเข้าภายในงาน ทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ปืนฉีดน้ำขนาดใหญ่ แป้ง งดการสวมหน้ากากต่างๆ และงดสะพายเป้เข้างาน เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์ทั่วโลกอยู่ในภาวะไม่ปกติ นอกจากนี้จะตั้งกองอำนวยการร่วมเพื่อช่วยเหลือประชาชนและนักท่องเที่ยวอีกด้วย” นายวัลลภกล่าว
ด้านนางสุภาวดี สิทธิกรไพบูลย์ ผู้อำนวยการเขตบางรัก กล่าวว่า สำนักงานเขตบางรักจะเปิดให้ผู้ค้าที่ต้องการขายของมาลงทะเบียนจองพื้นที่ค้าขายในวันที่ 31 มีนาคม วันที่ 1 และ 4 เมษายน โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ซึ่งพื้นที่ค้าขายสามารถรองรับผู้ค้าได้จำนวน 600 แผง สำหรับสินค้าที่นำมาจำหน่ายเน้นเป็นสินค้าวัฒนธรรม ไม่ให้จำหน่ายอาหาร เช่นข้าวไข่เจียว ผู้ค้าที่สนใจจองพื้นที่ต้องนำสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนพร้อมสำเนาทะเบียนบ้านอย่างละ 1 ฉบับ และรูปถ่าย 1 นิ้ว จำนวน 2 รูป มาประกอบการลงทะเบียน หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม เงื่อนไขการทำการค้าได้ที่ ฝ่ายพัฒนาชุมชนและสวัสดิการสังคม ชั้น 5 โทรศัพท์ 0-2236-1395 ต่อ 6227, 6228 หรือทางเฟซบุ๊กฝ่ายพัฒนาชุมชน สำนักงานเขตบางรัก หรือเฟซบุ๊กสีลมถนนคนเดิน หากมีจำนวนผู้ค้าเกินกว่าที่กำหนดจะใช้การจับสลากเพื่อจองพื้นที่
ด้าน พ.ต.อ.กิตติพันธุ์ จุลทะกาน รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 (รอง ผบก.น.5) กล่าวว่า ช่วงจัดงานจะมีการปิดการจราจรถนนสีลม ตั้งแต่เวลา 10.00-22.00 น. จากนั้นเจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความสะอาดและสวนสาธารณะ เขตบางรัก จะทำการล้างทำความสะอาดพื้นผิวการจราจรและเก็บขยะในพื้นที่จัดงานทุกวัน และจะเปิดการจราจรตามปกติในวันที่ 15 เมษายน
ooo

บางส่วนของผืนป่าและสายน้ำแม่ปิงวันนี้
ต.เมืองนะ อ.เชีบงดาว จ.เชียงใหม่
.............................................................
ทำอย่างไร เราจึงจะอยู่ร่วมกับ ธรรมชาติได้
อย่างเกื้อกูล.



Nikon Putta







ooo

ป่าไม้กับสระบ้านสระเมือง




บทบรรณาธิการสยามรัฐ ๓๐ มีนาคม

ป่าไม้กำลังหมดสิ้นไปจากประเทศไทยจากอิทธิพลของ เงิน อำนาจ อิทธิพล และปืน

ป่าไม้หายไปพร้อมกับ “การพัฒนา”

จะพัฒนาอย่างไม่ทำลายป่าไม้ก็ได้ แต่คนไทยเราก็ได้เดินพลาดไปแล้ว คือได้เน้นการพัฒนาทีทำลายป่าไม้ไปจนใกล้หมดสิ้นเสียแล้ว

การพัฒนาการคมนาคมนั้น เป็นประโยชน์ยิ่งใหญ่ต่อประเทศและต่อประชาชนโดยไม่มีปัญหา แต่ขณะเดียวกัน การตัดถนนหนทางและทางหลวงเชื่อมโยงระหว่างจุดที่สำคัญต่าง ๆ นั้นจำเป็นที่จะต้องตัดทางผ่านป่าเป็นส่วนใหญ่

การพัฒนาด้านคมนาคมนั้นเองจึงเป็นต้นเหตุสำคัญในการทำลายป่า

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเมื่อเราทำอะไรแล้ว มักจะมุ่งอยู่แต่ด้านเดียว

ตั้งใจจะตัดทางหลวงขึ้นใหม่ ก็ตัดแต่ทางหลวง ไม่คำนึงถึงป่าไม้ที่อยู่สองข้างทางหลวงนั้นเลย และมิได้มีมาตรการใด ๆ ที่จะป้องกันรักษาป่าไม้เหล่านั้นไว้ด้วย

ชุมชนซึ่งทางหลวงเชื่อมโยงให้ไปมาหากันได้นั้น ย่อมต้องอาศัยน้ำเป็นธรรมดา แต่เมื่อน้ำหมดลงแล้ว ชุมชนที่เคยมีก็อาจตั้งอยู่ไม่ได้ อาจต้องล้มเลิกไป เพราะขาดน้ำหรือโยกย้ายไปที่อื่น

ทางหลวงที่ลงทุนตัดเอาไว้เลยจะไร้ประโยชน์ เพราะแล่นไปสู่เมืองร้าง

ในบางประเทศถ้าเขาจำเป็นต้องสร้างทางหลวงผ่านป่า เมื่อทางหลวงนั้นเสร็จแล้ว เขาจะมอบทางหลวงนั้นให้กรมป่าไม้ แต่ก็น่าสงสัยว่า ถ้ามอบทางหลวงนั้นให้กรมป่าไม้ไทย กรมป่าไม้จะรักษาป่าไว้ไม่ได้

เพราะเมืองไทยนั้น มีเงิน มีอำนาจ มีอิทธิพล ฆ่ากันได้ง่าย ๆ หากใครไปขัดผลประโยชน์

เงิน อำนาจ อิทธิพล และปืน นั้นกำลังสร้างทะเลทรายให้เกิดขึ้นในเมืองไทยทุกขณะจิต

เมื่อป่าไม้เหลือน้อยเหลือเกิน พบภูมิอากาศปรวนแปรวิปริตหน่อย ก็เกิดภัยแล้งร้ายแรง ภัยน้ำหลากเป็นประจำ ดังที่เมืองไทยกำลังเดือดร้อนอยู่ขณะนี้ การแก้ปัญหาประการแรก จะต้องกำหนดมาตรการการปราบปรามผู้บุกรุกทำลายป่าไม้ให้เด็ดขาด พอที่จะรักษาสภาพป่าไม้ส่วนที่เหลืออยู่ ในบริเวณเทือกเขาเพชรบูรณ์ และดงพญาเย็น ซึ่งเป็นป่าไม้ต้นน้ำลำธารให้อยู่คงที่ มิให้เสื่อมโทรมกว่าสภาพปัจจุบันไปได้

ในประการที่สอง จะต้องดำเนินการปลูกป่าต้นน้ำลำธารอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะบริเวณที่ถูกบุกรุกทำลาย และเหนือเขื่อนเก็บกักน้ำของกรมชลประทานเป็นอันดับแรก

ประการที่สาม จะต้องดำเนินการปลูกป่าตามพื้นที่ชายป่าใกล้เชิงเขาเป็นอันดับต่อไป

และพร้อม ๆ กันไปนั้น จะต้องขุดสระใหญ่ สระประจำบ้าน สระประจำตำบล สระประจำเมือง คนโบราณเขาสร้างอาณาจักรใหญ่โดยมีพื้นฐานแก้ปัญหาเรื่องน้ำได้ แต่คนปัจจุบันหลงทางสร้างบ้านเมืองใหม่ โดยถมหรือทิ้งสระน้ำบาราย เลิกบำรุงรักษาแม่น้ำลำคลองให้ใช้คมนาคมขนส่งได้ ฯลฯ

วิบากจากกรรมที่ทำไว้ก็มาถึงแล้ว

ดอยหล่มเก่า โล้นทั้งดอย ขอบคุณภาพจาก www.manager.co.th

ที่มา เพจ
ทองแถม นาถจำนง

กลัวไปหมด!!!





กลัวไปหมด!!!


กลัวกระดาษ A4 มาก่อนหน้า
กลัวทำท่า นกพิราบ ที่ผกผิน
กลัวการชู 3 นิ้ว เป็นอาจิณ
กลัวจะกิน แซนวิชแม๊ค กูเป็นงง

กลัวขึ้นป้าย แถวสะพาน เป็นไวนิล
กลัวนั่งรถ-ไฟชิลล์ ๆ คือกลัวหลง
กลัวคลิป แดนไกลทำลาย ความมั่นคง
กลัวขาลง แถมขาขึ้น มึงก็กลัว

กลัวคนพี่ เลยบอก ว่าขายชาติ
กลัวคนน้อง ขาวสะอาด เลยบอกชั่ว
กลัวภาพปิด ตาหูปาก ทำขุ่นมัว
กลัวแสนกลัว กับปฎิทิน เกือบสิ้นใจ

กลัวโซเชียล กลัวสื่อ กลัวสัมภาษณ์
กลัวจะรู้ ไม่ฉลาด ตวาดใส่
กลัวเวทีโลก ไม่เชิญมา แต่เชิญใคร
กลัวพวกไพร่ เลื่อนขั้น สามัญชน

กลัวนักศึกษา นักวิชาการ อาจารย์กล้า
กลัวต้นประชา ธิปไตย ผลิดอกผล
กลัวจนพาล ลนลาน จับทุกคน
กลัวพระ กลัวพล-เมืองโต้กลับ ไม่เว้นวาย

กลัวมาเฟีย กลัวเบี้ย และกลัวขุน
กลัวจนวุ่น จับทุกเรื่อง อ่อนฉิบหาย
กลัวแอดมิน ทุกเพจ ประชาธิปไตย
กลัวขันแดง กลัวคนใช้ แทนกะลา !!!

"เครดิต ประดับดาว คนเดิม"

......



รัฐทหารเต็มรูปแบบ ด้วยคำสั่ง คสช.ที่ ๑๓/๒๕๕๙





การวิเคราะห์ข่าวประจำวัน

เรื่อง รัฐทหารเต็มรูปแบบ ด้วยคำสั่ง คสช.ที่ ๑๓/๒๕๕๙

พวกเราอยู่ในรัฐทหาร เต็มรูปแบบแล้ว ด้วยคำสั่งนี้....

เอวังด้วย ประการ ฉะนี้แล ประเทศนี้....

>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>

สรุปคำสั่ง คสช.ที่ 13/2559 ได้ดังนี้

1.ทหารยศร้อยตรีทุกเหล่าทัพเป็นเจ้าพนักงานป้องกันและปราบปราม

2.ทหารชั้นประทวนเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน

3.จับกุมผู้กระทำผิดหรือสงสัยว่ากระทำผิด

4.ออกคำสั่งให้บุคคลมารายงานตัว ให้ถ้อยคำ ส่งเอกสาร

5.จับกุมความผิดซึ่งหน้า ควบคุมตัวจับส่งพนักงานสอบสวน

6.ช่วยเหลือ สนับสนุน เข้าร่วมสอบสวนกับพนักงานสอบสวนและเป็นพนักงานสอบสวนตาม ป.วิอาญา

7.ค้นที่รโหฐานได้ไม่ต้องมีหมายค้นและไม่จำกัดเวลา

8.เรียกบุคคลมาให้ข้อมูล มาให้ถ้อยคำ และควบคุมตัวบุคคลได้7วัน สถานที่ควบคุมจะต้องไม่ใช่ที่สถานีตำรวจ เรือนจำ ทัณฑสถาน (สงสัยที่ค่ายทหาร)

9.เป็นเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจตาม ป.วิอาญาด้วย

10.ไม่อยู่ในข้อบังคับของกฎหมายปกครอง(บุคคลใดฟ้องศาลปกครองไม่ได้)

11.ได้รับการคุ้มครองตามพรก.การบริหารราชการในสถานการฉุกเฉิน2548

>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>

เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่คำสั่ง หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 13/2559 เรื่องการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดบางประการที่เป็นภยันตรายต่อความสงบเรียบร้อยหรือบ่อนทำลายระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2559/E/074/1.PDF

ที่มา FB


James Walsky Magazine

ooo


รายละเอียดเพิ่มจาก สำนักพิมพ์อิศรา
29 มีนาคม 2559


‘บิ๊กตู่’ใช้ ม.44 ให้ทหารลุยปราบมาเฟีย บุกค้น-เรียกสอบไม่ต้องมีหมายศาล


อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว)พุทธศักราช 2557 หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคําสั่ง ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ในคําสั่งนี้

“เจ้าพนักงานป้องกันและปราบปราม” หมายความว่า ข้าราชการทหารซึ่งมียศตั้งแต่ชั้นร้อยตรี เรือตรี หรือเรืออากาศตรี ขึ้นไป ซึ่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามคําสั่งนี้

“ผู้ช่วยเจ้าพนักงานป้องกันและปราบปราม” หมายความว่า ข้าราชการทหารซึ่งมียศต่ำกว่าชั้นร้อยตรี เรือตรี หรือเรืออากาศตรี ลงมา และให้หมายความรวมถึง ทหารประจําการ ทหารกองประจําการและอาสาสมัครทหารพราน ซึ่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามคําสั่งนี้

ข้อ 2 ให้เจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามดําเนินการป้องกันและปราบปรามการกระทําอันเป็นความผิดตามที่กําหนดไว้ในบัญชีท้ายคําสั่งนี้ บุคคลซึ่งเป็นผู้กระทําความผิดหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ากระทําความผิดตามวรรคหนึ่งซึ่งจะอยู่ในบังคับตามคําสั่งนี้ ต้องเป็นผู้มีพฤติการณ์อย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิชอบด้วยกฎหมาย ดังต่อไปนี้

(1) กระทําความผิดโดยการข่มขืนใจให้กระทําการใด ไม่กระทําการใด หรือจํายอมต่อสิ่งใดโดยทําให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น

(2) แสดงตนให้บุคคลอื่นเกรงกลัว ไม่กล้าขัดขืนหรือร้องเรียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ดําเนินการเพราะเกรงภัยจะเกิดแก่ตน

(3) ดํารงชีพด้วยการกระทําผิดกฎหมายการกระทําตามวรรคหนึ่ง ให้หมายความรวมถึงการใช้ จ้างวาน หรือสนับสนุนการกระทําใดๆที่เป็นการกระทําความผิดตามวรรคหนึ่งด้วย

ข้อ 3 ในการดําเนินการตามข้อ 2 ให้เจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามมีอํานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

(1) ออกคําสั่งเรียกให้บุคคลใดมารายงานตัวต่อเจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามหรือมาให้ถ้อยคํา หรือส่งมอบเอกสารหรือหลักฐานใดที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดตามข้อ 2

(2) จับกุมตัวบุคคลที่กระทําความผิดซึ่งหน้า และควบคุมตัวผู้ถูกจับนําส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดําเนินการต่อไป

(3) ช่วยเหลือ สนับสนุน หรือเข้าร่วมในการสอบสวนกับพนักงานสอบสวนในความผิดตามข้อ 2 โดยในการเข้าร่วมดังกล่าวให้ถือว่าเจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามเป็นพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

(4) เข้าไปในเคหสถานหรือสถานที่ใดๆ เพื่อตรวจค้น รวมตลอดทั้งค้นบุคคลหรือยานพาหนะใด ๆ ทั้งนี้ เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยโดยมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลซึ่งกระทําความผิด ตามข้อ 2 หลบซ่อนอยู่หรือมีทรัพย์สินซึ่งมีไว้เป็นความผิด หรือได้มาโดยการกระทําความผิด หรือได้ใช้หรือจะใช้ในการกระทําความผิดตามข้อ 2 หรือซึ่งอาจใช้เป็นพยานหลักฐานได้ ประกอบกับมีเหตุอันควรเชื่อว่า เนื่องจากการเนิ่นช้ากว่าจะเอาหมายค้นมาได้ บุคคลนั้นจะหลบหนีไป หรือทรัพย์สินนั้นจะถูกโยกย้าย ซุกซ่อน ทําลาย หรือทําให้เปลี่ยนสภาพไปจากเดิม

(5) ยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่ค้นพบตาม (4)

(6) กระทําการอื่นใดตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติมอบหมาย

ข้อ 4 ในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยโดยมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใดได้กระทําความผิดตามข้อ 2 ให้เจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามมีอํานาจเรียกตัวบุคคลนั้นมาเพื่อสอบถามข้อมูลหรือให้ถ้อยคําอันจะเป็นประโยชน์ต่อการดําเนินการตามข้อ 2 และในกรณีที่ยังสอบถามไม่แล้วเสร็จจะควบคุมตัวบุคคลนั้นไว้ก็ได้แต่ต้องไม่เกินเจ็ดวัน แต่การควบคุมตัวดังกล่าวต้องควบคุมไว้ในสถานที่อื่นที่มิใช่สถานีตํารวจ ที่คุมขัง ทัณฑสถาน หรือเรือนจํา และจะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นในลักษณะเป็นผู้ต้องหามิได้

เมื่อมีเหตุอันจะต้องดําเนินคดีต่อบุคคลที่กระทําความผิดตามวรรคหนึ่งในฐานะเป็นผู้ต้องหาให้เจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามในฐานะเป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจดําเนินการต่อไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ข้อ 5 ในกรณีที่บุคคลใดถูกควบคุมตัวตามข้อ 4 วรรคหนึ่ง เนื่องจากการกระทําความผิดตามข้อ 2 เจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามอาจปล่อยตัวไปโดยมีหรือไม่มีเงื่อนไขก็ได้เงื่อนไขในการปล่อยตัวตามวรรคหนึ่ง หมายถึง การกําหนดวิธีการเพื่อความปลอดภัยตามมาตรา 39 (2) ถึง(5) แห่งประมวลกฎหมายอาญา การห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักรเว้นแต่ได้รับอนุญาตจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย หรือการสั่งระงับธุรกรรมทางการเงิน

ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขในการปล่อยตัว ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรบั

ข้อ 6 ให้ผู้ช่วยเจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามมีหน้าที่ช่วยเหลือเจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามในการปฏิบัติหน้าที่ตามคําสั่งนี้ตามที่เจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามสั่งการหรือมอบหมาย

ข้อ 7 ในการปฏิบัติหน้าที่ตามคําสั่งนี้ ให้เจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามและผู้ช่วยเจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา และเป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

ข้อ 8 การกระทําตามคําสั่งนี้ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองและกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง

ข้อ 9 เจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามและผู้ช่วยเจ้าพนักงานป้องกันและปราบปรามที่กระทําการไปตามอํานาจหน้าที่โดยสุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่เกินสมควรแก่เหตุหรือไม่เกินกว่า

กรณีจําเป็น ย่อมได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 17 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ได้รับความเสียหายที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่

ข้อ 10 คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

สั่ง ณ วันที่ 29 มีนาคม พุทธศักราช 2559
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

ดูบัญชีความผิดแนบท้ายคำสั่ง


เรื่องของประจักษ์ชัย: จำเลยคดี 112 อีกคนที่แพทย์ เห็นว่ามีอาการทางจิต แต่ให้สู้คดีได้





เรื่องของประจักษ์ชัย: จำเลยคดี 112 อีกคนที่แพทย์ เห็นว่ามีอาการทางจิต แต่ให้สู้คดีได้

ที่มา ILAW


---ประจักษ์ชัย--- ยื่นคำร้องหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ

19 กุมภาพันธ์ 2558 ประจักษ์ชัยนั่งรถเมล์ไปที่ทำเนียบรัฐบาล เขาบอกกับรปภ.ว่าจะมายื่นหนังสือร้องเรียน เหมือนกับที่เขาเคยทำเป็นประจำ แต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับอนุญาตให้เข้าไปข้างใน เจ้าหน้าที่เอากระดาษให้เขาเขียนเรื่องร้องเรียนด้วยลายมือ ทันทีที่เขายื่นข้อความยาวหนึ่งบรรทัดนั้น ตำรวจกว่าสิบนายก็ล้อมเข้ามาจับกุม

ประจักษ์ชัยถูกนำตัวไปฝากขังต่อศาลทหารกรุงเทพในอีกสามวันต่อมาและถูกควบคุมตัวที่นั่นเรื่อยมาก่อนที่อัยการทหารยื่นคำฟ้องยาวครึ่งหน้ากระดาษต่อศาลทหารกรุงเทพในวันที่ 15 พฤษภาคม 2558 อัยการทหารขอให้ศาลลงโทษตามมาตรา 112 และขอให้ริบปากกา ซึ่งเป็นของกลางที่ใช้ในการกระทำความผิด

น้องสาวของประจักษ์ชัยเล่าว่า เวลาอยู่บ้านประจักษ์ชัยจะไม่ค่อยคุยกับใคร เข้าสังคมไม่ได้ นานๆครั้งจะเกิดอาการคุ้มคลั่ง เขาเคยคุ้มคลั่งไม่ได้สติจนคนในบ้านต้องช่วยกันจับตัวส่งโรงพยาบาล คนรอบข้างพยายามจะพาเขาไปรักษาอาการทางจิตหลายครั้ง แต่ด้วยฐานะทางบ้านยากจน และประจักษ์ชัยก็ไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นบ้า เขาจึงไม่ได้เข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง

ก่อนถูกจับ ประจักษ์ชัย อายุ 41 ปี ทำงานเป็นช่างขัดอลูมิเนียมอยู่ที่โรงงานของเพื่อนที่มาจากบ้านเกิดในจังหวัดศรีสะเกษด้วยกัน ประจักษ์ชัยเป็นชายรูปร่างผอมแห้ง ผิวคล้ำ ตาโต ขอบตาลึก แววตาเหม่อลอย พูดจาตะกุกตะกัก วกไปวนมา บางครั้งจับใจความไม่ได้ นอกจากอาการป่วยทางจิต ประจักษ์ชัยก็ป่วยด้วยโรคตับแข็งจากการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป หากมีความเครียดอาการตับแข็งจะกำเริบ ท้องบวม หากไม่ได้รับการรักษาทันทีก็อาจเสียชีวิต

ประจักษ์ชัยไม่เคยฝักใฝ่กลุ่มการเมืองสีเสื้อ แต่เขามีความคิดเกี่ยวกับการเมืองในแบบของตัวเองที่รุนแรง และนอกกรอบ จนคนรอบข้างไม่ยอมรับฟัง

“คุณไม่รู้เหรอ แบงค์ร้อยตอนนี้ มันเป็นแบงค์ปลอม นี่คุณไม่รู้กันจริงๆ เหรอ?” ประจักษ์ชัยบอกคนที่ไปเยี่ยม
“คุณลองเอามาดูสิ แบงค์ร้อยมันต้องมีรูปช้างใช่ไหม ที่เป็นพระนเรศวร เดี๋ยวนี้มันเป็นรูปอะไร แต่เขาก็ยอมให้ใช้กัน”
“ปี 37 ผมเคยถูกจับครั้งนึง แต่ผมเล่าให้ฟังแล้วผู้กำกับสน.ประชาชื่นเขาบอกว่าผมพูดถูก เขาก็ไม่ทำอะไรผม”

“ผมไม่ได้บ้านะ ที่เขาบอกว่าผมบ้าเพราะตำรวจจะได้ไม่ดำเนินคดีผม”

“วันไหนว่างผมก็มา (มาทำเนียบรัฐบาลเพื่อยื่นเรื่องร้องเรียน) เสร็จจากงานผมก็นั่งรถเมล์มา รปภ.ที่นี่จำผมได้แล้ว เจอกันประจำ ผมก็บอกกับเขาอย่างงี้ตลอด แต่เขาไม่เคยทำอะไรผม” ประจักษ์ชัยเล่าถึงพฤติกรรมในอดีตของตัวเอง เขาบอกว่าทำแบบนี้มากว่า 20 ครั้งแล้ว

ตุลาคม 2558 ประจักษ์ชัยได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ และน้องสาวรับตัวไปอยู่ในความดูแลหลังศาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีชั่วคราวตามที่ทนายยื่นคำร้องขอให้จำเลยอยู่ในความดูแลของญาติระหว่างการรักษาตัว โดยแพทย์ลงความเห็นว่า
(http://freedom.ilaw.or.th/th/case/666) ประจักษ์ชัย "มีอาการหลงผิดชัดเจน มีความเชื่อที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ซึ่งถือว่าเป็นโรคจิตเภท เรียบเรียงความคิดไม่ต่อเนื่อง" โดยคำสั่งศาลระบุว่า ประจักษ์ชัยมีอาการวิกลจริตจริงและไม่สามารถต่อสู้คดีได้ จึงให้งดการพิจารณาคดีไว้และให้จำหน่ายคดีชั่วคราว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 14 ให้จำเลยรักษาตัวในความดูแลของจิตแพทย์ต่อไป เมื่อหายวิกลจริตหรือสามารถต่อสู้คดีได้ ให้สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์รายงานให้ศาลทหารกรุงเทพทราบ

29 มีนาคม 2559 ประจักษ์ชัยเดินทางมาที่ศาลทหารพร้อมน้องสาว ศาลนัดไต่สวนแพทย์ถึงความคืบหน้าอาการทางจิตและความสามารถต่อสู้คดีของประจักษ์ชัย แพทย์เบิกความว่า ประจักษ์ชัยยังมีอาการหลงผิดอยู่ อาการหลงผิดนี้คือผู้ป่วยมีความเชื่อในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้แม้ว่าจะมีบุคคลอื่นหรือหลักฐานมาแสดง ขณะนี้ประจักษ์ชัยได้รับยาต้านโรคจิตอยู่และสามารถรักษาหายโดยต้องรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าจะหายเมื่อไหร่ ขณะนี้ประจักษ์ชัยอาการดีขึ้น ไม่มีอาการหูแว่ว สามารถควบคุมตนเองได้ และสามารถใช้ชีวิตขั้นพื้นฐานเองได้ และสามารถรับรู้ขั้นตอนคดี เล่าเรื่องเกี่ยวกับคดี และสามารถต่อสู้คดีได้ แต่ทนายประจักษ์ชัยมีคำร้องขอเลื่อนฟั่งคำสั่งรายงานผลตรวจวินิจฉัยและประเมินความสามารถในการสู้คดีออกไปเนื่องจากเห็นว่า ผลตรวจอาการทางจิตของประจักษ์ชัยไม่เป็นปัจจุบันและเขายังป่วยด้วยโรคตับแข็งอีกด้วย แต่ศาลเห็นว่าผลตรวจวินิจฉัยของแพทย์มีเอกสารราชการยืนยัน อีกทั้งประจักษ์ชัยยังได้รับการประกันตัวจึงสามารถเข้ารับการรักษาได้ ศาลจึงมีคำสั่งให้ยกคดีนี้ขึ้นมาพิจารณาต่อและนัดจำเลยสอบคำให้การวันที่ 30 พฤษภาคม 2559
นอกจากประจักษ์ชัยเเล้ว กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บัณฑิต อานียา จำเลยคดี 112 ที่มีประวัติอาการทางจิตศาลทหารไต่สวนแพทย์เเล้วสรุปว่า อาการของบัณฑิต ยึดติดกับความคิดซ้ำๆ เข้าข่ายลักษณะบุคลวิกลจริต มีโอกาสก่อคดีเพิ่มอีก แต่ยังสามารถสู้คดีต่อไปได้ จึงให้นัดสืบพยานต่อ( http://freedom.ilaw.or.th/th/case/640)

ดูรายละเอียดของคดีประจักษ์ชัย-->http://freedom.ilaw.or.th/th/case/666
อ่านความเรียง หลังลูกกรงมีคนบ้า เมื่อคนไม่บ้าเดืนหน้า กระบวนการยุติธรรม--> http://freedom.ilaw.or.th/blog/112Pyhcoperson


ooo


หลังลูกกรงมี ‘คนบ้า’ เมื่อ ‘คนไม่บ้า’ เดินหน้า ‘กระบวนการยุติธรรม’


โดย ilaw-freedom 
เมื่อ 23 กันยายน 2015

“ผมไม่ได้บ้านะ ที่เขาบอกว่าผมบ้าเพราะตำรวจจะได้ไม่ดำเนินคดีผม”
ประจักษ์ชัย กล่าวผ่านลูกกรงซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขายังไม่เข้าใจว่า “บ้า” ไม่ใช่คำด่า แต่อาจเป็นเหตุผลเดียวให้เขาออกจากหลังลูกกรงนั่น

“ผมไม่ได้บ้าครับ ผมไปหาหมอมาแล้ว หมอเขาก็ไม่ได้ว่าผมเป็นอะไร”
“ธเนศ” นักโทษอีกคนเล่า หลังไปหาหมอในเรือนจำแล้ว แต่ไม่ได้รับการวินิจฉัยใดๆ

“ผมจำไม่ได้จริงๆ ตอนรู้ตัวก็คือผมนั่งอยู่ มีคนมายืนเต็มไปหมด”
สมัคร เล่าถึงเหตุการณ์วันที่เขาก่อคดีที่อ่อนไหวที่สุดของยุคสมัย อันเป็นความผิดต่อ “ความมั่นคงของราชอาณาจักร” คดีมาตรา 112 ฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ

...................................

เรื่องจริงของพวกเขา ชีวิต-เรื่องราว-ความเชื่อ

---“ธเนศ”---

2 กรกฎาคม 2558 ช่วงเช้ามืด “ธเนศ” ถูกทหารบุกไปจับที่บ้านในจังหวัดเพชรบูรณ์ และถูกพาตัวเข้ากรุงเทพเพื่อดำเนินคดีตามมาตรา 112 ข้อกล่าวหาของเขา คือ การส่งอีเมล์ให้ชาวต่างชาติซึ่งมีลิงก์ไปยังบล็อกที่มีเนื้อหาผิดกฎหมาย หลังถูกตั้งข้อหา เขาถูกฝากขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพเรื่อยมา

“ธเนศ” เป็นชื่อสมมติ ของชายร่างเล็ก สูงประมาณ 160 เซนติเมตร ใบหน้าซูบตอบ ยาวเรียว พูดจาสุภาพอ่อนน้อม อ่อนหวานตุ้งติ้งเล็กน้อย ก่อนถูกจับ “ธเนศ” อายุ 45 ปี มีอาชีพขายสินค้าเกษตรผ่านเว็บไซต์ MisterOtwo.com เขาไม่เคยเข้าร่วมการเคลื่อนไหวทางการเมืองใดๆ แต่เขามีความเชื่อว่าเขามีใบหน้าคล้ายสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เนื่องจากตอนอายุ 18 ปี แม่ค้าขายอาหารเคยเรียกเขาว่า “องค์ชาย”

ตลอดระยะเวลา 20-30 ปี ที่ผ่านมา “ธเนศ” เชื่อว่า จากการที่มีใบหน้าเช่นนี้ ทำให้ถูกคนที่เขาไม่รู้ว่าเป็นใคร คอยติดตามไปทุกหนแห่ง และกลั่นแกล้งเพื่อให้เขาไม่ได้มีชีวิตที่ดี เช่น ถูกขโมยรองเท้า ถูกคนเอาก้อนหินมาวางขวางทางตอนขี่จักรยาน เมื่อย้ายที่อยู่ใหม่ข้างห้องก็จะทำเสียงดังรบกวน เมื่อขึ้นรถเมล์คนขับก็จะขับไม่ดี และเคยถูกคนวางยาพิษใส่ไว้ในยาสีฟัน ฯลฯ

“ธเนศ” นับถือศาสนาคริสต์และยึดถือคำพยากรณ์ทางเว็บไซต์เป็นหลักของชีวิต ตามคำบอกเล่าของพี่สาว เวลา “ธเนศ” เดินทางไปไหนจะเอาตุ๊กตายางรูปไก่มัดกับไม้เป็นรูปไม้กางเขนติดไว้หน้ารถจักรยาน พร้อมแผ่นกระดาษเขียนว่า “องค์ชาย 20 ปี” บันทึกรายละเอียดเรื่องที่เขาถูกกลั่นแกล้งเอาไว้เพื่ออ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า

“ธเนศ” ยังมีอาการได้ยินเสียงแว่วในหูเป็นพักๆ ซึ่งเสียงเหล่านั้นบางครั้งก็คุยกับเขา สั่งให้เขาทำสิ่งต่างๆ รวมทั้งฆ่าตัวตาย “ธเนศ” ชอบใส่ที่อุดหู เขาบอกว่าช่วยให้เขาไม่ต้องทนฟังเสียงเหล่านั้นได้ เสียงเหล่านั้นมารบกวนเขาครั้งหนึ่งในช่วงเดือนมิถุนายน 2553 บอกให้เขาส่งอีเมล์เพื่อ “ช่วยคนเสื้อแดง” เขาเชื่อและทำไปตามนั้น จึงเป็นเหตุนำมาสู่การจับกุมดำเนินคดี

ผลการตรวจของสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ ระบุว่า “ธเนศ” ป่วยเป็นโรคจิตหวาดระแวง (F20.0 Paranoid Schizophrenia) และมีอารมณ์เศร้าร่วมด้วย ปัจจุบันสามารถต่อสู้คดีได้

“ถ้าไม่มีเสียงแว่ว ก็คงไม่ก่อเหตุ” เอกสารรายงานการวินิจฉัยโรคระบุ

…………………………………





---สมัคร---

8 กรกฎาคม 2557 สำนักข่าวหลายแห่งรายงานการจับกุมสมัคร ชายสติไม่สมประกอบที่อ.เทิง จ.เชียงราย เหตุจากการทำลายซุ้มพระบรมฉายาลักษณ์ที่ตั้งอยู่ริมถนน สี่แยกอ.เทิง ตำรวจในพื้นที่พร้อมผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ร่วมกันเข้าจับกุม เนื่องจากการกระทำของคดีเกิดขึ้นหลังการประกาศให้คดีมาตรา 112 พิจารณาที่ศาลทหาร สมัครถูกฝากขังต่อศาลทหารเชียงราย

ตามที่สมัครเล่า วันเกิดเหตุ ช่วงเย็น เขาขี่จักรยานจากบ้านไปตลาดซื้อมีดทำกับข้าวมาสองเล่ม พกใส่กระเป๋าย่ามไว้ ขากลับแวะนั่งกินเหล้าหน้าร้านขายของที่อยู่ห่างจากบ้านของเขาเพียงคนละฟากถนน เขาดื่มไปไม่น้อย จนประมาณสองทุ่มเขาก็จะเดินกลับบ้าน

พอจำได้อีกทีเขาก็นั่งอยู่ที่พื้นริมถนน มีตำรวจ ผู้ใหญ่บ้าน นักข่าว ยืนรุมอยู่ มีดเล่มหนึ่งอยู่ในมือ อีกเล่มไม่รู้อยู่ที่ไหน ส่วนจักรยานไม่ได้ขี่กลับมาด้วย

“ผมจำไม่ได้จริงๆ”
“จำได้ว่าดื่มเหล้านะ ตอนรู้ตัวก็คือผมนั่งอยู่ มีคนมายืนเต็มไปหมด” สมัครเล่า

เมื่อถามว่าได้ทำลายซุ้มเฉลิมพระเกียรติหรือไม่ เขาตอบว่าจำไม่ได้ เมื่อถามว่าทำไมนั่งอยู่ให้ถูกจับไม่เดินกลับบ้านหรือหนีไป เขาตอบว่า “ก็ยังไม่อยากลุกไปไหน”

ก่อนถูกจับสมัคร อายุ 49 ปี เป็นชายผิวดำแดง ผู้มีรอยยิ้มกว้างเต็มใบหน้า รูปร่างเล็กแต่ดูแข็งแรง มีอาชีพเป็นชาวนา มีที่นาเป็นของตัวเองที่ตกทอดมาจากพ่อแม่ 5 ไร่ อาศัยอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีหนี้สิน ช่วงที่ไม่ต้องทำนาก็จะเข้าไปรับจ้างในเมืองเชียงใหม่ เช่น ทำงานก่อสร้าง จัดสวน สมัครไม่สนใจการเมือง ไม่เคยไปร่วมกิจกรรมทางการเมือง แม้คนแถวบ้านจะชวนกันไปชุมนุมอยู่บ้างแต่ก็ไม่มีใครมาชวนเขา เพราะรู้ว่าเขาจะไม่ไป หลังถูกจับสมัครไม่มีทรัพย์สินพอที่จะยื่นประกันตัว ที่นาที่มีอยู่ก็เป็นชื่อของแม่ ซึ่งตายไปกว่าสิบปีแล้วแต่ยังไม่เคยไปทำเรื่องจัดการมรดก เขาถูกคุมขังตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

สมัครเคยมีประวัติรักษาอาการทางจิตที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ระบุว่า สมัครป่วยเป็นโรคจิตเภท (Schizophrenia) และมีสติปัญญาอยู่ในระดับต่ำ IQ=63 เพื่อนบ้านรู้ดีว่าอาการของสมัคร คือ จะโมโหร้ายเป็นพักๆ เคยทำลายข้าวของและเคยเผารถมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง

………………………………………

---ประจักษ์ชัย---

19 กุมภาพันธ์ 2558 ประจักษ์ชัยนั่งรถเมล์ไปที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อบอกกับรปภ.ว่าจะมายื่นหนังสือร้องเรียน เหมือนกับที่เขาเคยทำเป็นประจำ แต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับอนุญาตให้เข้าไปข้างใน เจ้าหน้าที่เอากระดาษให้เขาเขียนเรื่องร้องเรียนด้วยลายมือ ทันทีที่เขายื่นข้อความยาวหนึ่งบรรทัดนั้น ตำรวจกว่าสิบนายก็ล้อมเข้ามาจับกุม

ประจักษ์ชัย ถูกฝากขังต่อศาลทหารกรุงเทพ และถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพเรื่อยมา จนกระทั่ง 15 พฤษภาคม 2558 อัยการทหารยื่นคำฟ้องยาวครึ่งหน้ากระดาษต่อศาลทหารกรุงเทพ ขอให้ลงโทษตามมาตรา 112 และขอให้ริบปากกา ซึ่งเป็นของกลางที่ใช้ในการกระทำความผิด
น้องสาวของประจักษ์ชัย เล่าว่า เวลาอยู่บ้านประจักษ์ชัยจะไม่ค่อยคุยกับใคร เข้าสังคมไม่ได้ นานๆ ครั้งจะเกิดอาการคุ้มคลั่ง เคยคุ้มคลั่งไม่ได้สติจนคนในบ้านต้องช่วยกันจับตัวส่งโรงพยาบาล คนรอบข้างจะพยายามพาเขาไปรักษาอาการทางจิตหลายครั้ง แต่ด้วยฐานะยากจน และเขาก็ไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นบ้า จึงไม่ได้เข้ารับการตรวจรักษาอย่างต่อเนื่อง

ก่อนถูกจับ ประจักษ์ชัย อายุ 41 ปี ทำงานเป็นช่างขัดอลูมิเนียมอยู่ที่โรงงานของเพื่อน ที่มาจากบ้านเกิดในจ.ศรีสะเกษด้วยกัน ประจักษ์ชัยเป็นชายรูปร่างผอมแห้ง ผิวคล้ำ ตาโต ขอบตาลึก แววตาเหม่อลอย พูดจาตะกุกตะกัก วกไปวนมา บางครั้งจับใจความไม่ได้ ประจักษ์ชัยยังมีโรคประจำตัว คือ ตับแข็ง จากการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป โรคนี้หากเครียดอาการจะกำเริบ ท้องบวม และถ้าไม่ได้รับการรักษาทันทีเขาอาจเสียชีวิต
เขาไม่เคยฝักใฝ่กลุ่มการเมืองสีเสื้อ แต่เขามีความคิดเกี่ยวกับการเมืองในแบบของตัวเองที่รุนแรง และนอกกรอบ จนคนรอบข้างไม่ยอมรับฟัง

“คุณไม่รู้เหรอ แบงค์ร้อยตอนนี้ มันเป็นแบงค์ปลอม นี่คุณไม่รู้กันจริงๆ เหรอ?” ประจักษ์ชัยบอกคนที่ไปเยี่ยม
“คุณลองเอามาดูสิ แบงค์ร้อยมันต้องมีรูปช้างใช่ไหม ที่เป็นพระนเรศวร เดี๋ยวนี้มันเป็นรูปอะไร แต่เขาก็ยอมให้ใช้กัน”
“ปี 37 ผมเคยถูกจับครั้งนึง แต่ผมเล่าให้ฟังแล้วผู้กำกับสน.ประชาชื่นเขาบอกว่าผมพูดถูก เขาก็ไม่ทำอะไรผม”

“ผมไม่ได้บ้านะ ที่เขาบอกว่าผมบ้าเพราะตำรวจจะได้ไม่ดำเนินคดีผม”

“วันไหนว่างผมก็มา (มาทำเนียบรัฐบาลเพื่อยื่นเรื่องร้องเรียน) เสร็จจากงานผมก็นั่งรถเมล์มา รปภ.ที่นี่จำผมได้แล้ว เจอกันประจำ ผมก็บอกกับเขาอย่างงี้ตลอด แต่เขาไม่เคยทำอะไรผม” ประจักษ์ชัยเล่าถึงพฤติกรรมในอดีตของตัวเอง เขาบอกว่าทำแบบนี้มากว่า 20 ครั้งแล้ว




กฎหมายคุ้มครองคนจิตไม่ปกติอย่างไร

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ.อาญา) มาตรา 14 กำหนดว่า "ถ้ามีเหตุควรเชื่อว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้วิกลจริตและไม่สามารถต่อสู้คดีได้ ให้ส่งให้แพทย์ตรวจ ให้งดการดำเนินคดีไว้จนกว่าผู้นั้นหายวิกลจริตหรือสามารถจะต่อสู้คดีได้ และให้มีอำนาจส่งตัวผู้นั้นไปยังโรงพยาบาล หรือส่งให้ผู้ดูแล"

ดังนั้น หากตำรวจ หรือศาล เห็นว่าคนที่ถูกดำเนินคดีมีอาการทางจิต ก็มีอำนาจ ที่จะส่งให้แพทย์ตรวจ หากแพทย์วินิจฉัยว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยสู้คดีไม่ได้ ศาลก็มีอำนาจสั่งงดการพิจารณาคดีและส่งตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยไปรักษาได้

ขณะที่ประมวลกฎหมายอาญา (ป.อาญา) มาตรา 65 เปิดช่องสำหรับการไม่ลงโทษหรือลดโทษให้ผู้ที่กระทำความผิดเพราะมีจิตไม่ปกติ โดยมีหลักว่า ผู้ใดกระทำความผิด ในขณะที่ไม่สามารถรู้ผิดชอบ หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้เพราะมีจิตบกพร่อง ไม่ต้องรับโทษ แต่ถ้าผู้กระทำความผิดยังรู้ผิดชอบอยู่บ้าง หรือบังคับตนเองได้บ้าง ศาลจะลงโทษน้อยเพียงใดก็ได้

ในกรณีของความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่มีโทษจำคุกระหว่าง 3-15 ปี หากจำเลยมีอาการป่วยทางจิต ศาลก็อาจสั่งให้ลงโทษน้อยเพียงใดก็ได้ หรือจะรอลงอาญาก็ได้ แต่ท่ามกลางบรรยากาศทางการเมืองที่ตึงเครียดมาตั้งแต่หลังการรัฐประหารปี 2557 การคุ้มครองผู้ป่วยทางจิต ในทางปฏิบัติอาจไม่ง่ายเช่นนั้น


ภายใต้บรรยากาศการเมืองที่อ่อนไหว พวกเขาตกร่องกระบวนการยุติธรรม

19 กุมภาพันธ์ 2558 หลังประจักษ์ชัยถูกจับกุมจากการยื่นหนังสือที่ทำเนียบรัฐบาล เขาอยู่ที่สน.ดุสิตเพียง 20 นาที ก่อนที่ตำรวจจะปล่อยตัว โดยไม่ได้ตั้งข้อกล่าวหา แต่ด้วยเหตุผลบางประการ เจ้าหน้าที่กลับเปลี่ยนใจและกลับไปจับกุมตัวประจักษ์ชัยในช่วงค่ำวันเดียวกันระหว่างที่เขากำลังไปทำงานที่โรงงาน ประจักษ์ชัยถูกนำตัวกลับไปทำประวัติที่สน.ดุสิตอีกครั้ง และถูกตั้งข้อหาตามมาตรา 112

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้รับแจ้งเรื่องราวของประจักษ์ชัยจากนักโทษคนอื่นในเรือนจำและเข้าช่วยเหลือ แต่ก็ไม่ง่ายนักเมื่อญาติของเขาแจ้งว่าไม่เคยมีใบรับรองแพทย์เรื่องอาการทางจิต ทนายความและญาติจึงเข้ายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อพนักงานสอบสวน ให้ใช้อำนาจตามป.วิ.อาญา มาตรา 14 แต่พนักงานสอบสวนปฏิเสธ เพราะใช้ดุลพินิจแล้ว เห็นว่า ผู้ต้องหายังตอบคำถามได้ จึงไม่เข้าข่ายวิกลจริตถึงขั้นต่อสู้คดีไม่ได้

ต่อมาทนายความส่งหนังสือขอให้เรือนจำส่งตัวไปตรวจรักษา แต่ก็ถูกปฏิเสธ เพราะเรือนจำไม่มีอำนาจตามป.วิ.อาญา มาตรา 14 จึงต้องรอให้อัยการยื่นฟ้องและยื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลสั่งให้ส่งตัวไปรักษา หลังเข้าเรือนจำได้ไม่นาน ประจักษ์ชัยต้องถูกย้ายไปคุมขังที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ เพราะอาการโรคตับแข็งกำเริบ

ประจักษ์ชัยได้รับการตรวจอาการทางจิตครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม 2558 หลังถูกคุมขังมา 5 เดือน และจนถึงเดือนกันยายน 2558 ก็ยังไม่ทราบผลการวินิจฉัย ญาติถอดใจไม่ขอยื่นประกันตัวเพราะไม่รู้จะหาหลักทรัพย์จากที่ไหน

“นานเกินไปแล้ว ให้อยู่นานขนาดนี้ไม่ไหว” ประจักษ์ชัยเปรยกับทนายความ หลังถูกคุมขังนานกว่า 6 เดือน ศาลทหารก็ยังไม่กำหนดวันนัดพิจารณาคดี

…………………………………………….

กรณีของ “ธเนศ” ก็ลำบากคล้ายๆ กับประจักษ์ชัย เพราะไม่มีใบรับรองแพทย์มาก่อนถูกจับ ช่วงแรกเจ้าตัวไม่ยอมรับว่าตัวเองป่วย ญาติและทนายความพยายามเกลี้ยกล่อมให้เขาไปพบพยาบาลที่สถานพยาบาลในเรือนจำ ซึ่ง “ธเนศ” ก็ยอมไป แต่เมื่อไปถึงก็ไม่เล่าเรื่องอะไรให้พยาบาลฟัง

“ผมไม่ได้บ้าครับ ผมไปหาหมอมาแล้ว หมอเขาก็ไม่ได้ว่าผมเป็นอะไร” “ธเนศ” บอก หลังพยาบาลในเรือนจำยังไม่ส่งเขาไปตรวจรักษากับผู้เชี่ยวชาญ

“ธเนศ” อาจโชคดีกว่าประจักษ์ชัยอยู่บ้าง เพราะทางเรือนจำส่งตัวเขาตรวจอาการทางจิต หลังญาติและทนายความพยายามส่งหนังสือเข้าไป ประกอบกับเรือนจำเองก็สังเกตเห็นอาการ ขั้นตอนการส่งตัวและการตรวจใช้เวลาไม่น้อย สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ออกใบรับรองว่า "ธเนศ" คือผู้ป่วยหลังเขาถูกคุมขังไปแล้ว 5 เดือน

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเคยติดต่อยืมเงินจากผู้ใจบุญ เพื่อยื่นขอประกันตัวแต่ศาลไม่อนุญาต เพราะเหตุว่า “ความผิดตามฟ้องเป็นการเผยแพร่ข้อความเท็จ ซึ่งกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนและมุ่งให้เกิดความเสียหายแก่สถาบันอันเป็นที่เคารพยิ่งของประชาชน ทั้งเป็นการกระทำที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร พฤติการณ์แห่งคดีมีความร้ายแรง มีเหตุควรเชื่อว่า หากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว จำเลยอาจหลบหนี”

หลังได้ใบรับรองแพทย์ จึงยื่นขอประกันตัวอีกครั้ง ศาลไม่อนุญาต ให้เหตุผลว่า “หากการเจ็บป่วยดังกล่าวทวีความรุนแรงถึงขั้นที่สถานคุมขังจะดูแลความปลอดภัยแก่ชีวิตของจำเลยไม่ได้แล้ว ย่อมต้องดำเนินการส่งตัวจำเลยให้แพทย์ทำการรักษา...”

8 พฤษภาคม 2558 วันนัดสืบพยาน พ.ญ.ดวงตา จากสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ เบิกความว่า อาการของจำเลยไม่ถึงขั้นวิกลจริต ตามป.วิ.อาญามาตรา 14 จำเลยมีอาการป่วยจริง ผลการทดสอบทางจิตวิทยาไม่ปรากฏว่า จำเลยแกล้งป่วย จำเลยกล่าวอ้างว่าขณะที่ส่งลิงก์นั้นมีการฟอร์เวิร์ดเมล์ เหตุที่ทำไปเพราะจะเป็นการช่วยประชาชน ไม่ทราบว่าสิ่งที่ทำเป็นความผิด พี่ชายของจำเลยก็มีอาการแบบเดียวกัน อาการของจำเลยจึงน่าจะมีสาเหตุมาจากกรรมพันธุ์ โรคนี้หากเป็นแล้วต้องรักษาตลอดชีวิต สามารถรักษาให้ทุเลาลงได้ แต่ไม่สามารถหายขาด หากจำเลยได้รับการรักษาอย่างเต็มที่น่าจะมีอาการดีกว่าที่เป็นอยู่

คดีของ “ธเนศ” ดูมีความหวังอยู่บ้าง เพราะประเด็นอาการทางจิตของจำเลยถูกนำเสนอสู่การพิจารณาของศาลอย่างครบถ้วน ในคดีนี้ ศาลอาจใช้อำนาจตามป.อาญา มาตรา 56 ลงโทษจำเลยน้อยเพียงใดก็ได้

…………………………………………….

คดีของสมัครอาจจะเริ่มต้นง่ายกว่าบ้าง เพราะเขามีใบรับรองแพทย์เรื่องอาการทางจิตติดตัวมาก่อนอยู่แล้ว

แม้ว่าเขาจะจำเหตุการณ์ไม่ได้ แต่ในทางคดีสมัครก็ยอมรับว่าเขาเป็นคนทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ เมื่อในคดีมีการกล่าวอ้างเรื่องอาการทางจิต ศาลจึงไม่อาจลงโทษทันที ต้องหาข้อเท็จจริงมาประกอบก่อน ในกระบวนการพิจารณาคดีปกติกรณีเช่นนี้ศาลอาจใช้กระบวนการ “สืบเสาะ” ให้กรมคุมประพฤติไปตรวจสอบประวัติพฤติกรรมของจำเลย รวมทั้งอาการเจ็บป่วยต่างๆ และส่งข้อเท็จจริงให้ศาลใช้ดุลพินิจว่าควรจะลงโทษหนักเบาเพียงใด ซึ่งกระบวนการเช่นนี้อาจใช้เวลา 1-2 เดือน ศาลก็มีคำพิพากษาได้

แต่เนื่องจากในศาลทหารไม่มีกระบวนการสืบเสาะ ดังนั้น คดีของสมัครจึงต้องดำเนินการสืบพยานทุกปาก

12 มกราคม 2558 และ 10 กุมภาพันธ์ 2558 วันนัดสืบพยาน อัยการทหารไม่ได้มุ่งสืบพยานให้เป็นผลร้ายกับจำเลยนัก เขาเบิกตัวพยานที่เป็นผู้ใหญ่บ้าน และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านมาขึ้นศาล ซึ่งล้วนยืนยันถึงเรื่องอาการทางจิตของจำเลย

อีกแง่มุมหนึ่ง ศาลทหารไม่ใช้ระบบนัดพิจารณาคดีแบบต่อเนื่อง หากวันไหนนัดแล้วสืบพยานปากนั้นไม่เสร็จ หรือพยานไม่มาศาล วันนัดก็จะเลื่อนออกไปอีกประมาณ 1-2 เดือน หากสืบพยานคนหนึ่งเสร็จ ก็จะหาวันนัดสืบพยานคนต่อไปในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า ทำให้กระบวนการใช้เวลานาน
10 กรกฎาคม 2558 หลังถูกคุมขังมาครบหนึ่งปีพอดี อัยการบอกว่ายังเหลือพยานอีก 7 ปาก สมัครแจ้งกับทนายความว่าไม่ต้องการจะต่อสู้คดีต่อไปแล้ว ต้องการขอรับสารภาพต่อศาลเลย เพื่อให้ทุกอย่างจบ เพราะกระบวนการใช้เวลานานเกินไป รู้สึกเครียดตลอดเวลาที่ถูกคุมขังอยู่

“ถ้ารับแล้วศาลลงโทษห้าปี ลดเหลือสองปีครึ่ง จะไหวไหม” ทนายทดลองถาม
สมัครก้มหน้ายิ้ม ไม่มีคำตอบกลับมา

ทนายของสมัครยื่นคำแถลงปิดคดีขอให้ศาลลงโทษจำเลยสถานเบา และรอการลงโทษจำคุก เพื่อให้โอกาสจำเลยไปรักษาอาการทางจิต และเนื่องจากสมัครกลับคำให้การเป็นรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ข้อเท็จจริงเรื่องอาการป่วยจึงไม่ถูกนำสืบต่อศาลอย่างเป็นทางการ





แล้วศาลก็ชี้ชะตากรรม

6 สิงหาคม 2558 ศาลทหารเชียงราย อ่านคำพิพากษาคดีของสมัคร จากการใช้มีดทำกับข้าวทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ ให้จำคุก 10 ปี ตามมาตรา 112 และให้ปรับ 100 บาท ฐานพกพาอาวุธในที่สาธารณะ เนื่องจากจำเลยให้การรับสารภาพ จึงลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 5 ปี ปรับ 50 บาท ศาลอ่านคำพิพากษาโดยไม่เอ่ยถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอาการทางจิตของจำเลย

“มันนานเกินไป...” สมัครกล่าว แต่ก็ก้มหน้ายอมรับชะตากรรม

25 มิถุนายน 2558 ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาคดีของ “ธเนศ” จากการส่งอีเมล์ตามเสียงกระซิบในหู ให้ลงโทษจำคุก 5 ปี ตามมาตรา 112, 116 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ลดโทษให้เนื่องจากให้การเป็นประโยชน์เหลือจำคุก 3 ปี 4 เดือน

ศาลระบุเหตุผลว่า จำเลยให้การได้ตามปกติ มีอาการปกติเหมือนคนทั่วไป จำเลยให้การไว้โดยละเอียดเกี่ยวกับการกระทำความผิด เป็นขั้นเป็นตอน จำเลยสามารถประกอบการค้าขายบนอินเทอร์เน็ตได้ ไม่เชื่อว่าขณะกระทำความผิดจำเลยไม่รู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตัวเองได้ จำเลยไม่สามารถยกข้ออ้างดังกล่าวขึ้นมาให้ตัวเองพ้นผิดได้

“ที่ผ่านมาขอบคุณทุกคนมาก ผมอยากให้เรื่องมันจบแล้ว ผมไม่ต้องการอุทธรณ์แล้วครับ” “ธเนศ” กล่าวกับทนายด้วยความสิ้นหวังหลังทราบผลคำพิพากษา

ส่วนคดีของประจักษ์ชัย ยังไม่เริ่มการพิจารณา ยังต้องเฝ้ารอคอยการชี้ชะตากรรมต่อไป

…………………………………………….

เท่าที่ศูนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพบันทึกข้อมูลไว้ ในรอบ 5 ปีก่อนการรัฐประหาร มีผู้ป่วยทางจิตที่ถูกจับกุมและดำเนินคดีมาตรา 112 อย่างน้อย 3 คน หลังการรัฐประหารมีคนถูกจับกุมและตั้งข้อหามาตรา 112 อย่างน้อย 53 คน ซึ่งอย่างน้อย 5 คนมีอาการทางจิต และมีอีกหลายต่อหลายคนที่การพูดจา “ขาดๆ เกินๆ” แต่สติปัญญายังสมบูรณ์พร้อม

คนที่สนใจเรื่องสังคมการเมืองแม้เพียงเล็กน้อยย่อมทราบดีว่า ในบรรยากาศทางการเมืองปัจจุบัน การกล่าวถึงพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักของปวงชนชาวไทยเป็นเรื่องอ่อนไหวที่สุด โดยมีมาตรา 112 ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักคอยกำกับไว้ คนที่จะฝ่าฝืนกฎเกณฑ์นี้ ถ้าไม่เชื่อมั่นอย่างมากจริงๆ ก็คงต้องมี “บ้า” แถมด้วย

“ผมไม่เข้าใจครับ ผมรับสารภาพมาตลอด ทำไมเมื่อผมมีใบรับรองแพทย์เรื่องโรคจิต ศาลถึงลงโทษเยอะกว่า” เสียงตะโกนถามดังออกมาจากหลังลูกกรง “ธเนศ” ยังไม่เข้าใจผลคดีของตัวเอง เขาไม่เข้าใจว่าศาลไม่เชื่อผลการตรวจตามใบรับรองแพทย์แผ่นนั้น

ปัจจุบันคดีของ “ธเนศ” เลยระยะเวลาตามกฎหมายที่จะยื่นอุทธรณ์ คดีถึงที่สุดแล้ว

ที่ศาลทหารเชียงราย บรรยากาศค่อนข้างผ่อนคลาย ทั้งวันมีคดีของสมัครเพียงคนเดียว หลังออกจากห้องพิจารณาคดี เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ชี้มือให้สมัครเดินเข้าไปในห้องขัง ขณะที่โซ่ตรวนสนิมเขรอะพันอยู่รอบขา ชาวนา IQ ต่ำ เดินเข้าไปอย่างช้าๆ เขาหันหลังกลับมาผลักประตูลูกกรงปิดขังตัวเองไว้ด้านใน แล้วเดินเข้าไปนั่งอย่างสงบอยู่คนเดียวที่มุมหนึ่งของห้องนั้น ต้องใช้เวลาอีกเกือบ 4 ปี จึงจะถึงวันที่เขาได้กลับออกมาเห็นโลกภายนอกอีกครั้ง

คดีของสมัครสิ้นสุดแล้ว การพิจารณาในศาลทหารไม่มีชั้นอุทธรณ์ฎีกา

อ่านข้อมูลคดีของ "ธเนศ" ได้ที่ http://freedom.ilaw.or.th/case/614
อ่านข้อมูลคดีของสมัคร ได้ที่ http://freedom.ilaw.or.th/case/584
อ่านข้อมูลคดีของประจักษ์ชัย ได้ที่ http://freedom.ilaw.or.th/case/666

คลิปผู้ชนะรางวัล PetchaKucha รัฐธรรมนูญที่เด็กต้องการ.... ขวัญข้าว ตั้งประเสริฐ




https://www.youtube.com/watch?v=0erbUAiS5C0

PechaKucha รัฐธรรมนูญ: ขวัญข้าว ตั้งประเสริฐ

iLawclub thailand

Published on Mar 19, 2016

นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 อายุ 12 ปี ขอเสนอเรื่องรัฐธรรมนูญในแง่มุมของเด็กบ้า­ง ระหว่างที่ผู้ใหญ่ก็ยังเถียงกันเอาเป็นเอา­ตาย "รัฐธรรมนูญที่เด็กต้องการ" คือชื่อที่ตั้งมาเองในกิจกรรมนี้ ข้อเสนอหลากหลายถ้าได้ใช้จริงก็ดีกับเด็กแ­ละก็ดีกับผู้ใหญ่ด้วยเหมือนกัน

ถ้าคนแบบ บิลล์ เกตส์, สตี๊ฟ จ๊อบส์, มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก มาเกิดและโตในเมืองไทย พวกเขาจะมั่งคั่งและเป็นที่ชาบูๆอย่างนี้มั๊ย?





ถ้าคนแบบ บิลล์ เกตส์, สตี๊ฟ จ๊อบส์, มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก มาเกิดและโตในเมืองไทย พวกเขาจะมั่งคั่งและเป็นที่ชาบูๆอย่างนี้มั๊ย? -ไม่ อย่างแน่นอน

หรือ บางคำตอบคงเป็นว่า"ไม่แน่ใจ"

บิลล์ เกตส์ นั้นถูกแฉ(และยอมรับโดยเจ้าตัว)ว่าไม่ได้เป็นอัจฉริยะมาจากไหน แกไปซื้อซอฟต์แวร์จากพวกบ้าคอมพิวเตอร์มาในราคา5หมื่นเหรียญ(ซึ่งหมอนั่นดีใจชิบหายที่ขายได้ในราคานี้ แต่เกตส์โคตรดีใจกว่าที่จะนำมันไปแจ้งเกิดสำหรับเขา) นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของอภิมหาเศรษฐีอันดับ1ของโลกในวันนี้

สตี๊ฟ จ๊อบส์ ก็เริ่มต้นจากขี้โกงเพื่อนที่บ้าคอมพิวเตอร์ แต่ไม่มีหัวการค้า แล้วนำซอฟแวร์นั้นไปขายหากำไรแบบหน้าด้านๆ มีเมียมีลูกแล้วก็ทิ้งไม่มีความรับผิดชอบอะไร ไปตามล่าฝันกับเจ๊โจอัน เบซ(ขวัญใจของผม) เล่ห์เหลี่ยมหักหลังสารพัด

มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์กนี่ก็ด้านมืดไม่แพ้กัน ไม่งั้นคงไม่เป็นเรื่องเป็นความยอมจ่ายมหาศาลเพื่อยุติความกับอดีตเพื่อนนักศึกษาฮาเวิร์ด ในเรื่องไอเดียที่มาของfacebook ซึ่งว่ากันว่าซัคเกอร์เบิร์กไปลอกเพื่อนมา

พูดง่ายๆว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่"คนดี"ในนิยามตามแบบ"ไทยๆ"คาดหวังว่าจะต้องเป็น คือเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จโดยต้องมีคุณธรรมจริยธรรมด้วยอะไรแบบนั้น

แต่พวกเขาคือ"โจรสลัด"แห่ง Silicon Valley

คือไม่ได้มีแต่ด้านดี ด้านที่ประสบความสำเร็จ ด้านที่หันเข้าหาแสงพระอาทิตย์ให้เราได้เห็นแสงสว่าง ทว่ายังมีด้านที่เลวทราม ชั่ว และสามานย์อีกด้านด้วย

ก็คงเหมือนๆผม เหมือนคุณๆที่ยังเป็นปุถุชนที่ยังไม่บรรลุโสดาบันกันทั้งหลายนี่แหละครับ

แต่ผมก็ใช้ซอฟต์แวร์ของเกตส์ ใช้มือถือของจ๊อบส์ และเขียนด่าซักเกอร์เบิร์กในfacebookของเขา...นี่ก็คือข้อดีของคนพวกนี้

จากมิตรสหายท่านหนึ่ง


ที่หลาย ๆ ท่านเขียนเกี่ยวกับรถไฟความเร็วสูงแล้วมีคำถามง่าย ๆ ว่า เคยนั่งกันหรือไม่ ?







ที่มา FB

Noppanan Arunvongse Na Ayuthaya 



ผมอ่านที่หลาย ๆ ท่านเขียนเกี่ยวกับรถไฟความเร็วสูงแล้วมีคำถามง่าย ๆ ว่า เคยนั่งกันหรือไม่ ?

สำหรับผมเองนั้นนั่งอยู่เป็นประจำจนจำไม่ได้ว่ากี่ครั้ง และจำไม่ได้ว่าไปไหนมาบ้างแล้วครับ

รถไฟความเร็วสูงนั้นคนละโครงสร้างกับรถไฟธรรมดา หน้าตาก็ไม่เหมือนกัน คนละเรื่องกันเลยครับ เพียงแต่ยังดูออกว่าเป็นรถไฟเท่านั้นเอง แม้หน้าตาจะเหมือนยานอวกาศวิ่งอยู่บนรางก็ตามครับ

รางก็ไม่เหมือนกันนะครับ ไม่เหมือนรางรถไฟธรรมดา คนละเรื่องกันอีกเหมือนกันครับ

ภายในก็หรูหราทันสมัยเหมือนเครื่องบิน โฮสเตสก็ใส่เครื่องแบบและบริการอย่างเดียวกันกับบนเครื่องบินอีกด้วยครับ

นอกจากนี้ รถไฟความเร็วสูง ไม่ว่าความเร็ว 250km/h 350km/h หรือ 550km/h นั้นไม่มีการขนส่งสินค้าครับ ไม่มีโบกี้สินค้านะครับ หรือแค่เราหอบข้าวของพะรุงพะรังเกินเหตุก็ขึ้นรถไฟความเร็วสูงไม่ได้แล้วครับ ใครนึกจะหอบกระสอบใส่ข้าวโพดขึ้นรถไฟความเร็วสูงไปขายก็ไม่มีทางครับ

รถไฟความเร็วสูงนั้นมีไว้สำหรับขนส่งผู้โดยสารอย่างเดียวเท่านั้นครับ

ข้อดีของรถไฟความเร็วสูงนั้นมีหลายอย่าง คือ มันวิ่งอยู่บนราง ทำให้ตรงเวลาเป๊ะ ๆ ระดับนาที ไม่มี delay ไม่ต้องไป check in ล่วงหน้า 2-3 ชั่วโมงเหมือนเครื่องบิน และไม่ต้องนั่งรถแท๊กซี่ไปกลับจากสนามบินเข้าเมืองอีก เพราะรถไฟความเร็วสูงนั้นวิ่งเข้าถึงใจกลางเมืองโดยตรง และเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายรถไฟใต้ดินอีกด้วย ซึ่งแม้ความเร็วจะช้ากว่าเครื่องบิน แต่เมื่อรวมเวลาเดินทางจากใจกลางเมืองไปกลับสนามบิน และเวลาที่ต้องไป check in ล่วงหน้าสำหรับเครื่องบิน ก็ทำให้ระยะเวลานั้นพอกัน แต่สะดวกสบายกว่า และค่าโดยสารก็มักถูกกว่าเครื่องบิน โดยยังไม่คิดรวมค่าแท๊กซี่ไปกลับสนามบินอีกด้วยนะครับ

ใครอย่าไปคิดตามอดีตผู้นำคนหนึ่ง ทำนองว่า รถไฟความเร็วสูงเอาไว้ขนผักได้ด้วย ผักจะได้ไม่เน่านะครับ อายเขาครับ

นอกจากที่แน่ ๆ ว่า คนไทยจะได้ใช้ประโยชน์ในการเดินทางกันบ้าง โดยไม่ต้องอับอายใครอีกว่า จนป่านนี้เราก็ยังมีแต่รถไฟล้าสมัยบุโรทั่ง ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่างกันอีกต่อไป

เหตุผลสำคัญสำหรับรถไฟความเร็วสูงซึ่งควรเชื่อมต่อกับจีนก็คือ "นักท่องเที่ยวจีน" ครับ

ยกตัวอย่าง ผมแค่เดินไปขึ้นรถไฟใต้ดินที่สถานีที่หน้าบ้านผมในกรุงปักกิ่งนี่ล่ะ หลังจากนั้นมันก็เชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายรถไฟความเร็วสูง ทำให้ผมลงรถไฟอีกครั้งก็โน่นเลยครับ กรุงเทพฯ ครับ

เรายังไม่ได้พูดถึงเซี่ยงไฮ้ ฮาร์บิน ฉางชุน นานกิง เฉิงตู ฉงชิ่ง กวางเจา ฯลฯ และเมืองเล็กเมืองน้อยอีกทั่วประเทศจีน ซึ่งส่วนใหญ่มีรถไฟความเร็วสูงกันแล้วทั้งนั้นอีกครับ พวกเขาสามารถขึ้นรถไฟจากบ้านแล้วลงปลายทางที่ประเทศไทยได้อย่างสะดวกสบาย

จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่จะเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยนั้นจะเพิ่มขึ้นอีกมากมาย และนำรายได้เข้าประเทศอีกมหาศาล

แต่หากใครไม่ชอบให้มีนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้น เพราะคิดว่าประเทศไทยไม่ได้อะไร หรือกลัวว่าสักวันจีนจะส่งทหารแบกปืนนั่งรถไฟความเร็วสูงเข้ายึดประเทศไทยก็อีกเรื่องนะครับ ถกเถียงกันสามวันก็ไม่จบหรอกครับ
grin emoticon
ภาพประกอบ - รถไฟความเร็วสูงฉางชุน-ฮาร์บิน







ooo

ได้โปรดเข้าใจคนจีน...








คนจีนมีมากถึง 1.4 พันล้านคน
แต่คนจีนเกือบครึ่งประเทศไม่สามารถพูดหรือฟังภาษาจีนกลางเข้าใจได้ เพียงแต่สามารถอ่านตัวอักษรจีนได้
เราจึงพบว่า ทีวีจีน ภาพยนตร์จีน แม้มีเสียงพูดภาษาจีนแล้ว แต่ยังต้องมีคำบรรยายภาษาจีนอีกด้วย

จีนยังเป็นประเทศที่กว้างใหญ่ มีขนาดใหญ่กว่าประเทศไทยถึง 25 เท่า พื้นที่กว้างขวางถึง 5 เส้นแบ่งเวลา ซึ่งแม้ทั้งประเทศจะใช้เวลาเดียวกันก็ตาม แต่เวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นและตกในฟากตะวันออกและฟากตะวันตกของประเทศนั้น ห่างกันถึง 5 ชั่วโมงในบางฤดูกาล

ภมิประเทศและภูมิอากาศก็ต่างกันสุดขั้วในแต่ละพื้นที่ อาหารการกินก็ต่างกัน ภาษาพูดก็ต่างกัน วัฒนธรรมก็ต่างกัน

ดังนั้น คนจีน ในแต่ละพื้นที่จึงมีบุคลิกและนิสัยใจคอที่แตกต่างกัน

คนจีนทางตะวันออกเฉียงเหนือ มีบุคลิกนุ่มนวลอ่อนหวาน พูดจาไพเราะนิ่มนวล แต่ใจแข็ง ไม่ยอมประนีประนอมง่าย ๆ

คนจีนทางตะวันตกเฉียงเหนือ พูดน้อย แต่ตรงไปตรงมา ไม่รักษาหน้าใคร
คนจีนทางตะวันตกเฉียงใต้ พูดจาเสียงดัง กระโชกโฮกฮาก ใจร้อน แต่โกรธง่ายหายเร็ว

คนจีนทางตะวันออกเฉียงใต้ พูดจาเสียงดัง แต่ใจกว้าง
ปักกิ่ง เรียบง่าย พูดเพราะ เสียงเบา ไม่ถือตัว
เซี่ยงไฮ้ หรูหรา โอ้อวด และหยิ่ง ฯลฯ เป็นต้น

แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ คนจีนมองประเทศไทยและคนไทยดีมาก คนจีนมองคนไทยเป็นเหมือนญาติ เหมือนเพื่อนสนิท ไม่มีพิษมีภัย คนไทยมีนิสัยน่ารัก ใจดี และประเทศไทยเป็นประเทศที่เจริญแล้ว เทียบชั้นยุโรป ในสายตาคนจีน

คำว่า ประเทศไทย ในภาษาจีน คือ 泰国 อ่านว่า ไท่กั๋ว
ไท่ (泰)เป็นคำมงคล หมายถึง รุ่งเรือง ร่ำรวย ดีงาม
กั๋ว (国) หมายถึง ประเทศ
ประเทศไทยจึงมีชื่อเรียกที่ดีมากในแง่ภาษาและวัฒนธรรมจีน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงภาพลักษณ์ของประเทศไทยในประเทศจีนได้เป็นอย่างดี

ภาพยนต์ไทย ละครไทย ฮิตกันทั่วประเทศจีน ร้านขายของที่ระลึกไทย ร้านให้เช่าพระเครื่องไทย ผลไม้ไทย ฯลฯ มีอยู่ดาษดื่น

ข้าวหอมมะลิไทย คือ ข้าวที่ดีที่สุดในโลกในความรู้สึกของคนจีน
ร้านค้าออนไลน์บน Taobao.com ยังมีขายแม้กระทั่งบัตรโทรศัพท์ไทย สำหรับคนจีนที่จะไปเที่ยวประเทศไทย

ในอีกด้านหนึ่ง คนจีนมีลักษณะที่คล้ายๆ คนไทย คือ คนจีนมักรู้สึกน้อยใจและโกรธเมื่อถูกเหยียดหยามเชื้อชาติ ซึ่งหากเกิดเป็นกระแสขึ้นมาแล้วก็จะลุกลาม และขยายใหญ่โตรุนแรงอย่างรวดเร็วมาก

เนื่องจากจีนเป็นประเทศใหญ่ มีประชากรมหาศาล และมีชาตินิยมรุนแรง กรณีดังกล่าวจึงมักบานปลายจนเกินคาดคิด ถึงขั้นรัฐบาลจีนต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อดับกระแสอยู่บ่อยครั้ง

หลายปีก่อน คนจีนเคยน้อยใจประเทศฝรั่งเศส เพราะประธานาธิบดีฝรั่งเศสพูดจาดูถูกประเทศจีน เท่านั้นก็ทำให้เกิดกระแสต่อต้านฝรั่งเศส สินค้าฝรั่งเศสขายไม่ออก รถยนต์ยี่ห้อซีตรองซึ่งมีภาพลักษณ์เป็นรถยนต์หรูหรา กลับกลายเป็นรถยนต์ที่น่ารังเกียจเพียงแค่ข้ามคืน (จนถึงปัจจุบัน)

กล้วยหอมซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของฟิลิปปินส์นั้นหายไปจากตลาดจีน ทำให้กระทบกระเทือนเศรษฐกิจฟิลิปปินส์ เนื่องจากคนจีนไม่ยอมซื้อ เพราะกรณีพิพาททะเลจีนใต้ และประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ปากไว วิจารณ์ประเทศจีนแรงไปสักนิด

ห้างสรรพสินค้าญี่ปุ่นในหลาย ๆ เมืองถูกทุบทำลาย รถยนต์ญี่ปุ่นนับพันคันทั่วประเทศถูกไล่ทุบไล่ตีกลางถนน สินค้าญี่ปุ่นถูกกระชากออกจากมือผู้ใช้แล้วทุ่มลงพื้น ฯลฯ เพราะกระแสเกลียดชังญี่ปุ่นที่เคยขึ้นเป็นครั้ง ๆ

แต่ทั้งหมดนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นกับคนไทย ไม่เคยเกิดขึ้นกับสินค้าไทย และไม่เคยเกิดขึ้นกับภาพลักษณ์ประเทศไทย หากคนไทยไปไหนมาไหนในประเทศจีนก็มักจะได้รับการต้อนรับขับสู้ด้วยรอยยิ้มเป็นอย่างดี คนจีนกุลีกุจอให้คำแนะนำช่วยเหลือ พูดจาโอบอ้อมอารี มีน้ำใจและรอยยิ้มให้คนไทยอยู่เป็นประจำ

กระทั่งเร็วๆ นี้ กระแสผิดหวังและน้อยใจคนไทยเริ่มเกิดขึ้นในประเทศจีน เนื่องจากกระแสข่าวของสื่อมวลชน และโซเชียลมีเดียในประเทศไทย ซึ่งด่าเหยียดหยามประนามนักท่องเที่ยวจีนอย่างรุนแรง ทำให้ขณะนี้เริ่มกลายเป็นกระแสต่อต้านประเทศไทยและคนไทยขึ้นในประเทศจีน

สื่อมวลชนจีนเริ่มตั้งคำถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนจีนและคนไทย ในลักษณะการให้เกียรติทางชาติพันธุ์และศักดิ์ศรีของประเทศ และเริ่มนำเสนอมุมมองในด้านไม่ดีของประเทศไทยมาเผยแพร่ทางโทรทัศน์และสื่อต่าง ๆ แทนที่แต่เดิมนั้นแทบไม่เคยปรากฎด้านไม่ดีของประเทศไทยทางสื่อมวลชนจีนแม้แต่นิดเดียว
สิ่งที่เกิดขึ้นนับว่าน่าเป็นห่วง เพราะอาจลุกลามบานปลายไปถึงเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และความร่วมมือระหว่างประเทศ

ในแต่ละประเทศ ในแต่ละเชื้อชาติ ย่อมมีทั้งคนดีและคนไม่ดีปะปนกัน ย่อมมีทั้งผู้มีมารยาทสังคมดีและไม่ดี ไม่ต่างกัน ไม่ว่าเชื้อชาติใด

อีกทั้ง โลกในปัจจุบันนั้นมีการสื่อสารที่ไร้พรมแดน และภาษาไม่ใช่อุปสรรคเสมอไป เรื่องราวใดเกิดขึ้นในประเทศไทยก็อาจได้ยินถึงอีกประเทศหนึ่ง โดยใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่นาที

การดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติในลักษณะเหมารวม นอกจากไม่สมเหตุสมผลแล้วยังอาจทำให้เกิดเรื่องราวบานปลายใหญ่โตอย่างที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น ทำให้เกิดความเสียหายในระยะยาว ซึ่งยากต่อการแก้ไข และไม่เป็นผลดีกับใคร

Noppanan Arunvongse Na Ayudhaya
27/3/58


ที่มา FB
Addie P. Hirunkate


วันพุธ, มีนาคม 30, 2559

Al Jazeera: Is Thailand on its way back to democracy?





It has been two years since the Thai military overthrew Prime Minister Yingluck Shinawatra, a move it said was necessary to restore stability after years of political uncertainty. But since then, Thailand's military rulers have been accused of rolling back democracy. They have now unveiled the final draft of a controversial new constitution, that many argue will enshrine the military's powers. Thais will get to decide for themselves, when they vote on the draft, in a referendum in August. So, will this constitution put Thailand on a path to democracy? Or further political uncertainty?

Source: Al Jazeera
29 Mar 2016


https://www.youtube.com/watch?v=-s2CJm8hFc0

Link for Video Clip
http://www.aljazeera.com/programmes/insidestory/2016/03/thailand-democracy-160329150547832.html


It has been two years since the Thai military overthrew Prime Minister Yingluck Shinawatra, a move it said was necessary to restore stability after years of political uncertainty.

But since then, Thailand's military rulers have been accused of rolling back democracy.

They have now unveiled the final draft of a controversial new constitution that many argue will enshrine the military's powers.

Thais will get to decide for themselves when they vote on the draft in a referendum in August.

So will this constitution put Thailand on a path to democracy? Or further political uncertainty?

Presenter: Folly Bah Thibault

Guests:

Sunai Phasuk - Senior researcher on Thailand for Human Rights Watch

Verapat Pariyawong - Visiting scholar at SOAS, University of London

Norachit Sinhaseni - Spokesman for Thailand’s Constitution Drafting Committee

Source: Al Jazeera

.....

Related story:

Thailand unveils latest charter perpetuating army's power

Jerome Taylor
AFP
March 28, 2016




ประยุทธ์ดอดไปอเมริกาเมื่อคืน ร่วมประชุมความมั่นคงทางด้านปรมาณู ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี โอบาม่าเชิญผู้นำประเทศต่างๆ ไปร่วมประชุม ‘สุดยอด’ สองวัน หาความร่วมมือกำจัดกวาดล้างขบวนการก่อการร้ายไอสิส





ประยุทธ์ดอดไปอเมริกาเมื่อคืน ร่วมประชุมความมั่นคงทางด้านปรมาณู หรือ Nuclear Security Summit ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี ช่วงวันที่ ๓๑ มีนา ถึง ๑ เมษา

รับประกันงานนี้ไม่มีการประท้วง ฉะนั้นย่อมไม่มีการจัดรถบัสขนคนไปให้กำลังใจ ประหยัดงบประมาณสถานทูตได้อีกหน่อย แต่คงไม่ประหยัดงบฯ ต้อนรับคณะนายกฯ เท่าไรนัก

อย่างไรก็ดีการไปอเมริกาของ ‘ตุ๊ดตู่’ ครั้งนี้แม้จะดูไม่มีความหมายอะไรนัก แต่ว่ายังมีนัยยะแฝงเร้นเล็กน้อย

ไม่ใช่การได้รับรางวัล ‘Nuclear Industry Summit Awards’ ที่เป็นเพียงหนึ่งใน ๑๗ ประเทศที่เขาจับเอามาเชิด หากเป็นการเสนอตัวมีบทบาทช่วยสหรัฐในการรบกับ ‘ไอสิส’

ในถ้อยแถลงทางการรัฐบาล คสช. อ้างว่าการไปร่วมประชุมนิวเคลียร์ที่อเมริกา “เพื่อยืนยันเจตนารมณ์ของไทยร่วมกับประชาคมโลก วางรากฐานโครงสร้างด้านความมั่นคงทางนิวเคลียร์ที่แข็งแกร่ง...”

กับ “พบและหารือร่วมกับสภาธุรกิจสหรัฐ-อาเซียน และสภาหอการค้าสหรัฐ เพื่อหารือถึงความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับภาคเอกชนของสหรัฐ”

(http://www.tnamcot.com/content/435763)

หากแต่แท้จริงความสำคัญของการที่ประธานาธิบดีโอบาม่าเชิญผู้นำประเทศต่างๆ กว่า ๕๐ แห่งไปร่วมประชุม ‘สุดยอด’ สองวัน นั้นอยู่ที่การหาความร่วมมือกำจัดกวาดล้างขบวนการก่อการร้ายไอสิสเป็นหลักใหญ่





“ประเด็นการสนทนาเรื่องต่อต้านไอสิสนี้กำหนดมาตั้งแต่เดือนมกราคมแล้ว” นางลอร่า โฮลเกต ผู้อำนวยการอาวุโสของสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ สำหรับการลดจำนวนอาวุธร้ายแรง การก่อการร้าย และภัยคุกคาม กล่าวในการแถลงข่าวประชุมสุดยอดครั้งนี้

“นี่ก็เป็นจังหวะปะเหมาะพอดี หลังจากที่ปรากฏคลิปวิดีโออันน่าห่วง” นางโฮลเกตอ้างถึงคลิปวิดีโอกว่าสิบชั่วโมงซึ่งทางการเบลเยี่ยมค้นพบในครอบครองของตัวการก่อการร้ายวางระเบิดในกรุงปารีสเมื่อเดือนพฤศจิกายน และในเบลเยี่ยมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

เป็นวิดีโอการติดตามสะกดรอยบรรดาผู้เชี่ยวชาญเรื่องพลังงานปรมาณูในยุโรป

พวกผู้ก่อการร้ายไอสิสได้แสดงให้เห็นว่าต้องการครอบครองอาวุธปรมาณู “ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเราได้เห็นองค์กรก่อการร้ายแสดงความทะเยอทะยานที่จะมีอาวุธนิวเคลียร์กัน” รองที่ปรึกษาความมั่นคงกล่าวในการแถลงข่าวเดียวกัน

“น้อยคนเชื่อว่าไอสิสจะสามารถผลิตระเบิดอะตอมิคได้” รายงานข่าวเอเอฟพีระบุ “แต่หลายคนหวั่นว่าพวกนั้นมีช่องทางได้ยูเรเนี่ยมและพลูโตเนี่ยมมาไว้ในครอบครอง และผลิต ‘ระเบิดสกปรก’ ก็ได้

ระเบิดดังกล่าวไม่ถึงกับทำให้เกิดการระเบิดทำลายขนาดใหญ่โต แต่จะปล่อยกัมมันตภาพรังสีออกสู่สภาพแวดล้อมเป็นภัยมหันต์ต่อสุขภาพร่างกาย ก่อผลร้ายทางการแพทย์และเศรษฐกิจ”

ทั้งนี้เนื่องจากสารกัมมันตรังสีในปริมาณน้อยมีอยู่เกลื่อนกลาดตามมหาวิทยาลัย โรงพยาบาล และสถานที่อื่นๆ ทั่วโลก ซึ่งนับแต่ทศวรรษ ๑๙๙๐ เป็นต้นมา มีแร่กัมมันตรังสีหายไป หรืออยู่ในครอบครองของผู้ไม่ได้รับอนุญาตแล้วถึง ๒,๘๐๐ รายการ

โครงการสกัดกั้นไอสิสไม่ให้มีอาวุธนิวเคลียร์นี้ประธานาธิบดีโอบาม่าเป็นผู้ริเริ่มไว้เมื่อปี ๒๕๕๓ ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่ถึงปีในช่วงบั้นปลายของการดำรงตำแหน่ง การประชุมครั้งนี้จึงเป็นการมัดแขนกำชับกับบรรดาผู้นำประเทศต่างๆ เพื่อให้ประธานาธิบดีคนต่อไปให้ความสำคัญสืบเนื่องต่อไปในสมัยหน้า

(http://www.straitstimes.com/…/isis-threat-raises-stakes-for…)

ไม่ว่าคณะทหาร คสช. จะมองเห็นช่องเสนอตัวช่วยปราบไอสิส เพื่อให้สหรัฐผ่อนปรนไม่กดดันเรื่องการคืนประชาธิปไตยให้ประชาชน และสงวนท่าทีไม่จี้ไม่ไชให้เร่งจัดการเลือกตั้งนำรัฐบาลพลเรือนมาบริหารประเทศโดยไว

เหมือนเช่นที่สหรัฐปฏิบัติต่อรัฐบาลทหารของอียิปต์ หรือไม่ อียิปต์โมเดลที่เคยเป็นไปได้ก็อาจจะกลายเป็นเพียงฝันร้ายช่วงหนึ่ง ของปรากฏการณ์อาหรับเบ่งบานเท่านั้น

เมื่อปลายอาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง มีบทบรรณาธิการหนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์คไทม์ชิ้นหนึ่งกล่าวถึงนโยบายต่างประเทศสหรัฐภายใต้ประธานาธิบดีโอบาม่าสมัยสอง เรียกร้องให้เปลี่ยนแนวทางเสียใหม่ “Time to Rethink US Relationship with Egypt”





รัฐบาลทหารแปลงกายเป็นพลเรือนของอียิปต์ซึ่งมาจากการยึดอำนาจรัฐบาลเลือกตั้ง (คล้ายไทย)โดยนายพลเอลซีซีเมื่อปี ๒๕๕๖ ที่สหรัฐแถลงแสดงท่าไม่พอใจในระยะต้นๆ แล้วมีการระงับเงินช่วยเหลือทางทหารอยู่พักเดียว เมื่อปรากฏว่ารัฐบาลทหารไล่ล่าสังหารฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองในขบวนการภราดรภาพมุสลิม ซึ่งองค์การสิทธิมนุษยชนแจ้งว่าตายไปนับพันคน

แต่แล้วเมื่อนายพลเอลซีซีถอดเครื่องแบบไปลงเลือกตั้งได้คะแนนท่วมท้น ๘๙.๙๙ เปอร์เซ็นต์ สหรัฐก็กลับไปโอนเงินช่วยเหลือ ๑.๓ พันล้านดอลลาร์กลับเข้าบัญชีกองทัพอียิปต์ตามปกติอีก เพื่อใช้จ่ายในปฏิบัติการณ์ฟาดฟันกับไอสิส

มิใยที่เสียงเรียกร้องอึงมี่ มีการยื่นคำร้องเรียนถึงประธานาธิบดีโอบาม่าทั้งจากองค์กรสิทธิมนุษยชน กระทั่งผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลางสองคนที่เคยทำงานให้รัฐบาลโอบาม่าสมัยแรก ชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลของนายพลเอลซีซีปราบปรามประชาชนที่เห็นต่างหนักหนายิ่งกว่าเก่า

จนถึงจุดที่ ทามาร่า ค้อฟแมน วิตเตส ผู้เชี่ยวชาญของสถาบันบรุ๊คกิ้งที่เคยเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ บอกว่า “อียิปต์ไม่ใช่สมอเรือยึดเหนี่ยวความมั่นคง หรือแม้แต่หุ้นส่วนที่ควรไว้วางใจอีกต่อไปแล้ว”

(http://www.nytimes.com/…/time-to-rethink-us-relationship-wi…)

ฉันใดก็ฉันนั้น หากจะมีการอ้อล้อขอเป็นหุ้นส่วนความมั่นคงด้านนิวเคลียร์ต้านไอสิสกับโอบาม่า เพื่อให้อเมริกาลูบหลังเหมือนอย่างอียิปต์ ประเทศไทยในยุคยืดเวลาเปลี่ยนผ่านของรัฐบาลประยุทธ์ก็ยัง ‘ไร้สาระหาที่ติมิได้’ เกินกว่าพี่เบิ้มที่ไหนจะเชื่อมือ

ทั้งที่เวลานี้พื้นที่ประเทศไทยอยู่นอกเหนือเป้าหมายของกระบวนการไอสิส หากชักศึกจิฮ้าดเข้าบ้านเพื่อจะให้ค่าใช้จ่ายจากผู้อุปถัมภ์ตามมาด้วย จะมีปัญหาการทำหน้าที่ยามรักษาความปลอดภัยให้แก่ชาวบ้านที่ไม่อิโหน่อิเหน่

เหมือนพวกไอ้เณรตามสามจังหวัดชายแดนใต้ต้องเจ็บตายง่ายๆ เป็นเหยื่อแลกงบฯ ดับไฟ ด้วยไหม