"เขมรเหลี่ยมทุกดอก-กัมพูชาการละคร" สำรวจบทบาทสื่อไทยในการกระพือความขัดแย้งไทย-กัมพูชาเมื่อ 5 ชั่วโมงที่แล้ว
บีบีซีไทย
ในความขัดแย้งไทย-กัมพูชาครั้งล่าสุด ทำให้เห็นความท้าทายของบทบาทสื่อไทย เมื่อพวกเขาต้องรายงานสถานการณ์ความขัดแย้งที่มีผลประโยชน์ของชาติเป็นศูนย์กลาง และบางครั้งมันยากที่จะแยกตัวเองออกมาจาก "ความอิน" ได้เมื่อวันที่ 25 ก.ย. ที่ผ่านมา สรยุทธ สุทัศนะจินดา กล่าวขอโทษสาธารณชนผ่านรายการกรรมการข่าวคุยนอกจอ กรณีขอให้ ไบรท์-พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ ผู้ดำเนินรายการร่วม อ่านข่าวความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ด้วยสำเนียงกัมพูชาในเชิงล้อเลียน
"มีบางเพจ หรือบางความคิดความเห็นของบางอินฟลูเอนเซอร์ ประณามผมกับน้องไบรท์ ประเด็น [ให้ไบรท์] ล้อเลียนใช้สำเนียงกัมพูชาในเนื้อหาที่เกี่ยวกับข่าว เรื่องนี้รับทราบ ด่าได้ และผมขออภัยจริงๆ
"พอมาย้อนดูแล้ว ยังไงก็ผิด ผิดพลาด" โดยชี้แจงว่าในช่วงที่ผ่านมานำเสนอกรณีข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณบ้านหนองจาน-บ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ต่อเนื่องมาจึงมีความรู้สึกร่วมว่า ชาวกัมพูชาที่อพยพเข้ามาในฝั่งไทย "ไม่รู้จักบุญคุณ"
"คือมันอิน ความรู้สึกมันอิน พอมานึกย้อนดู มันมาจบที่หลักการสำคัญของสื่อก็คือเราจะต้องไม่ล้อเลียนอัตลักษณ์ของชนชาติอื่น เพราะฉะนั้นพอมาตกแค่นี้ ไม่มีข้อแก้ตัว" นายสรยุทธ กล่าว พร้อมกับบอกว่าได้ลบคลิปที่มีปัญหาออกทั้งหมดแล้ว
"ทัศนะ" ในรายการเล่าข่าวทว่า จากการสำรวจโดยบีบีซีไทย การใช้ภาษา ถ้อยคำ น้ำเสียง ข้อความ และคำพาดหัวต่าง ๆ "ความอิน" ที่นายสรยุทธอธิบายนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นกับเขาเท่านั้น แต่ยังเกิดกับผู้ดำเนินการรายการเล่าข่าวคนอื่น ๆ ด้วย
ผู้ประกาศชายในรายการ
เช้านี้ขยี้ข่าวช่อง 8 กล่าวกับผู้ชมทางรายการขณะรายงานเกี่ยวกับการประชุมคณะกรรมการชายแดนร่วม (JBC) ระหว่างไทย-กัมพูชา ในวันที่ 16 มิ.ย. ว่า "คุณผู้ชมครับ เดี๋ยวพอตัดเป็นข่าวออนไลน์ ขึ้นบนหน้าจอตรงหัวข้อข่าวไปเลยนะ ต้องบอกแบบนี้ครับ 'เหลี่ยมทุกดอก แล้วบอกเพื่อนกัน' ปากบอกเพื่อนนะฮะ แต่หักเหลี่ยมทุกช็อตจริง ๆ" พร้อมกับแสดงความผิดหวังที่การประชุมดูเหมือนจะล่มไม่เป็นท่า
ในวันที่ 23 ส.ค. รายการทุบโต๊ะข่าวของช่องอมรินทร์ทีวี
พาดหัวคลิปในช่องยูทิวบ์ว่า "เหลี่ยมทุกดอกบอกอยากสันติ! เขมรเสริมกำลัง-บิดผล RBC ซุ่มวางบึ้มโจมตีไทย" ขณะที่ผู้ประกาศกล่าวเข้าข่าวโดยพูดว่า "เปิดหลักฐานสำคัญว่า ตอนนี้ เราตั้งเวทีคุยกับกัมพูชา มันได้ประโยชน์จริงหรือเปล่า ที่กัมพูชาบอกกับประชาคมโลกว่าต้องการสันติภาพ แต่ไทยแลนด์รุกรานฉันจังเลย เปิดภาพล่าสุดวันนี้ขึ้นมาเห็นว่า ทหารฝั่งกัมพูชาเคลื่อนกำลังพลต่อเนื่อง..."
"เราว่ากันด้วยเรื่องของซีรีส์บิดเบือน การละครของกัมพูชาดีกว่า เพราะก่อนหน้านี้เราจะเห็นนะว่าช่วงหลายวันที่ผ่านมา ทางฝั่งกัมพูชาเสนอในมุมที่ว่าทหารไทยเอารั้วลวดหนามไปวางตลอดแนว..." ผู้ดำเนินรายการเข้มข่าวค่ำของช่องพีพีทีวี (PPTV) กล่าว
เมื่อวันที่ 17 ส.ค. ที่ผ่านมา ขณะเล่าข่าวเกี่ยวกับกรณีความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ซึ่งเกิดขึ้นบริเวณบริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว
ทั้งนี้ พื้นที่นี้มีปักหลักเขตแดนแล้ว แต่มีหลักเขตที่สองประเทศเห็นไม่ตรงกัน ส่งผลให้เกิดพื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ในแนวพื้นที่ทับซ้อน และมีหมู่บ้านชาวกัมพูชาล้ำเข้ามาในเขตแดนไทย

คำพูดของผู้ประกาศที่ด้อยค่าว่ากัมพูชานั้นเชื่อใจไม่ได้ ยังถูกนำเสนอต่อเนื่องในสื่อต่าง ๆ เมื่อเกิดเหตุที่ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชากล่าวหาว่า อีกฝ่ายเป็นผู้เปิดฉากยิงก่อนในบริเวณพื้นที่แถวช่องบก ช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ซึ่งมีเขตติดต่อกับพื้นที่ อ.จวมกสาน จ.พระวิหาร ของกัมพูชา เมื่อวันที่ 27 ก.ย. ที่ผ่านมา
ในวันที่ 28 ก.ย. ที่ผ่านมา ผู้ประกาศหญิงใน
รายการข่าวอรุณอมรินทร์ ทางช่อง 34 HD พูดว่า "ทางเขมรการละครตั้งแต่แนวหน้ายันแนวหลังเลยคุณผู้ชม..." โดยมีผู้ประกาศชายให้เสียงสนับสนุน ขณะที่ฉากหลังขึ้นข้อความว่า "เขมรเปิดก่อน ตั้งกล้องถ่าย ยิง-ระเบิดยั่วยุไทยช่องอานม้า"
"คุณผู้ชม ช่วงเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาต้องบอกว่าเราดูละครกันจนอิ่มเลยนะ กัมพูชาการละคร คือตัวเองก็ยิงแท้ ๆ เลยแต่มาบอกว่าทางฝั่งเรายิง ไม่พอ ทุกอย่างมันดูโบ๊ะบ๊ะ จังหวะเหมือนจัดตั้งกันมา..." ผู้ประกาศพูดเข้าข่าวเหตุที่การยิงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 ก.ย. ใน
รายการเช้านี้ที่หมอชิต วันที่ 29 ก.ย. ที่ผ่านมา
วานนี้ (30 ก.ย.) มีรายงานเกี่ยวกับการฝึกซ้อมของกองทัพอากาศไทยใน
รายการข่าวเที่ยงไทยรัฐ และหนึ่งในผู้ดำเนินรายการ กล่าวในรายการข่าวว่า "ขออนุญาตฝากบอกทางฝั่งเขมรหน่อยนะ ซ้อมวงรอบปกติ อย่าไปปั่นข่าวหรือปล่อยข่าวเฟคนิวส์ว่าไทยยุแหย่อย่างที่คุณทำกับเราเด็ดขาด"
ขณะเดียวกัน ในรายการก็ขึ้นภาพที่สำนักข่าวดังกล่าวระบุว่า เป็นทหารเขมรที่กำลังหวาดกลัวเมื่อได้ยินเสียงเครื่องบินของไทย และทางผู้ดำเนินรายการก็พูดต่อว่า "ส่วนภาพที่คุณขวัญหนีดีฝ่อ ทหารของคุณตกใจ มา [นั่ง] กองรวมกัน อันนี้ช่วยไม่ได้จริง ๆ เพราะมันสะท้อนถึงความในใจและความรู้สึกลึก ๆ ของพวกคุณ"
- ใช้ถ้อยคำที่ด้อยค่าฝ่ายกัมพูชา
"น่าสงสาร สิ่งที่ควรมี...ไม่มี สิ่งที่ไม่ควรมี...มี ผีที่ไม่ควรมี..มี ข้าวปลาอาหารที่ควรมี...ไม่มี รอบนี้ทหารแขมร์มีเนื้อเศษอยู่สองส่วน และกินกับข้าวเปล่า ข้าวสวย ไอ้สิ่งแบบนี้ควรมีเยอะ ๆ เข้าไว้ แต่เขาก็ไม่มี..." ผู้ดำเนินรายการ
ข่าวอรุณอมรินทร์ กล่าวเมื่อวันที่ 8 ก.ย. ที่ผ่านมา ในคลิปข่าวที่พาดหัวว่า "คนละโลก! ทหารไทยจัดเมนูอาหารสุดฟิน เขมรกินข้าวกับมด" โดยคลิปดังกล่าวล้อเลียนว่าทหารกัมพูชาทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ ต่างจากทหารไทยที่มีเสบียงเหลือเฟือ แถมทหารกัมพูชาต้องทนกินข้าวที่มีมดขึ้นแล้ว
ขณะเดียวกัน ผู้ดำเนินรายการหญิงก็กล่าวเสริมต่อว่า "เป็นแบบนี้มันจะน่าเป็นห่วงนะ เพราะเขาจะกลายเป็นปุ๋ยไม่มีคุณภาพ"
"คุณผู้ชมเชื่อเรื่องเวรกรรมไหม" ผู้ประกาศข่าว
รายการข่าวเที่ยงไทยรัฐพูดเมื่อวันที่ 2 ต.ค. "ทหารกัมพูชา ตอนนี้ไม่รู้ว่ากรรมกำลังทำงานหรือเปล่า ป่วยกลางป่า ไม่รู้ว่าไข้ป่าหรือเปล่านะ รถส่งเสบียงเสียกลางทาง น้ำท่วมฐานทหาร ของกินเสบียงก็หมด..."

คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team : IOT) จาก 8 ประเทศ เดินทางไปตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานในพื้นที่ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 (กองกำลังบูรพา) เพื่อรับทราบข้อเท็จจริงปัญหาในพื้นที่ บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว ตามบันทึกข้อตกลงจากผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย -กัมพูชา เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 68
ด้าน น.ส.กุลธิดา สามะพุทธิ หัวหน้ากองบรรณาธิการโคแฟค (COFACT) ซึ่งเป็นองค์กรตรวจสอบข่าวลวงโดยภาคประชาสังคมในประเทศไทยหัวหน้ากองบรรณาธิการโคแฟค และมีหน้าที่มอนิเตอร์ข่าวต่าง ๆ รายวันเพื่อตรวจสอบข่าวลวง บอกกับบีบีซีไทย ว่าพวกเขาเห็นแนวโน้มข่าวที่สื่อหลักนำเสนอในทิศทางปลุกความรู้สึกชาตินิยมหรือสร้างความเกลียดชังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจมาจากการที่สำนักข่าวให้พื้นที่กับข่าวเรื่องนี้มากขึ้นตามพัฒนาการของสถานการณ์ แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียดจะเห็นว่าส่วนใหญ่แล้วปัญหาไม่ได้อยู่ในเนื้อหาข่าว แต่กลับอยู่ในคำพูดของผู้ดำเนินรายการเล่าข่าวมากกว่า
"มันจะนับเป็นข่าวได้ไหมไม่รู้ แต่มันอยู่ในคำพูดของผู้ประกาศที่มันพ่วงมา ที่มันสร้อยเข้ามา" น.ส.กุลธิดา กล่าว
ขณะที่ รศ.รุจน์ โกมลบุตร อาจารย์จากคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน ม.ธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นกับบีบีซีไทยว่า การแสดงความเห็นในรายการเล่าข่าวไม่ใช่ปัญหาใหม่
เขาบอกว่า การใส่ทัศนคติและความรู้สึกของผู้ดำเนินการเล่าข่าวเป็นปัญหาเรื้อรังยาวนานของการทำงานสื่อไทย นับตั้งแต่เกิดรายการข่าวประเภทนี้ขึ้น ซึ่งเป็นประเภทรายการได้รับความนิยมจากผู้ชม จากการใช้ภาษาเล่าข่าวที่เข้าใจง่าย
"พอผู้ประกาศข่าวเป็นคนเล่าข่าว ก็เริ่มมีเป็นผู้เชี่ยวชาญ เริ่มมีทัศนะลงไปในข่าว ซึ่งมันเป็นปัญหาจนถึงทุกวันนี้ แล้วทัศนะที่ว่าเนี่ย ที่ใส่เข้าไประหว่างดำเนินรายการ ผมคิดว่ามันเป็นผลต่อผู้ฟังนะ เมื่อเปรียบเทียบกับ information (ข้อมูลข่าวสาร) ที่ตรงไปตรงมา แต่วงเล็บด้วยยังไม่นับว่า information นั้น 'ดีหรือเปล่า' ดังนั้นเมื่อ information บวกกับทัศนะเข้าไป มันก็ทำให้ information ไม่ไปในทางที่มันควรจะเป็น" เขากล่าว
นักวิชาการรายนี้บอกว่า การใช้ถ้อยคำเป็นเรื่องที่สื่อต้องระมัดระวัง ควรหลีกเลี่ยงภาษาที่เหยียดหยาม ยั่วยุ แบ่งเขา แบ่งเรา แบ่งดำ-ดี-ชั่ว
"อย่างเช่น คำว่าเขมรการละคร ก็เป็นคำที่ตีตราเขา" รศ.รุจน์ กล่าว "อย่างบางช่องก็พูดถ้อยคำกระตุ้นอารมณ์ เช่น เขมรเอาเด็กมาเป็นโล่มนุษย์ หรือล้อเลียนทหารเขมรกินข้าวเปล่า"
"เวลาอ่านข่าวเขมร นักข่าวไทยก็จะชักสีหน้าว่าไม่เชื่อ อะไรแบบนี้" เขาสะท้อนถึงการแสดงออกด้านอวัจนภาษาของผู้ดำเนินรายการข่าวบางรายการในช่วงนี้
สื่อไทยมีปัญหาใดบ้าง ในการรายงานสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชานักวิชาการด้านสื่อจาก ม.ธรรมศาสตร์ ตั้งข้อสังเกตว่า หากดูเนื้อข่าวที่มีอยู่ในขณะนี้ ก็พบว่าไม่มีอะไรใหม่ในเชิงประเด็นข่าว แต่เป็นความคืบหน้าจากสถานการณ์เดิมที่ทราบกันอยู่แล้ว
"มันเริ่มวนแล้วนะครับ ถ้าหากเป็นข่าวน้ำท่วมหรือถนนยุบ มันก็แทบจะไปต่อไม่ได้แล้ว"
"แต่ว่าเขาพยายามทำให้มันไปต่อให้ได้ เพราะว่าคนชอบดูมั้ง อันนี้ผมเดานะ เขาเลยพยายามไปต่อให้ได้เรื่อย ๆ ด้วยการใช้มุกเรื่องความเป็นชาติ เรื่องไทยต้องชนะ เขมรต้องแพ้ เราเป็นคนดี เขา (หมายถึงกัมพูชา) เป็นคนเลว เขมรบิดเบือนอีกแล้ว เมื่อใดพวกกัมพูชาจะตาสว่าง"
"แต่ถ้าคนดูไม่เอา เขาก็คงไม่ไปต่อไง แต่ว่าพอทำข่าวแบบนี้ คนดูก็เอา" รศ.รุจน์ กล่าว
นักวิชาการผู้นี้มองว่าเพื่อให้ข่าวรายวันที่ไม่มีประเด็นใหม่มากนักสามารถไปต่อได้และยังครองพื้นที่ข่าวส่วนใหญ่ที่น่าจะถูกใจผู้ชมต่อไปได้ สำนักข่าวจึงใช้ "ท่าง่าย" นั่นคือนำโพสต์ตามสื่อสังคมออนไลน์มาขยายเล่าในข่าว
"มันก็เป็นท่าง่ายกว่าไปทำข่าวสืบสวนสอบสวน ซึ่งยากเย็นแสนเข็ญ ต้นทุนก็แพง งั้นก็ทำข่าวต่อจากอินฟลูเอนเซอร์นี่แหละ ง่ายดี แถมยังได้ตังด้วย"
ทว่า อีกหนึ่งปัญหาที่ตามมาคือ การตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นกับเนื้อหาสื่อสังคมออนไลน์ที่สื่อหลักหยิบยกมาเล่นเท่านั้น แต่เกิดขึ้นกับตรวจสอบข้อมูลที่ได้จากแหล่งข่าวทางการด้วย
รศ.รุจน์ หยิบยกตัวอย่างเหตุการณ์วันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาต่างแสดงไทม์ไลน์เพื่อโต้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ยิงอาวุธเข้ามาในพื้นที่ก่อน ซึ่งในความเห็นของเขากองบรรณาธิการ (บ.ก.) ปักใจเชื่อได้อย่างไรว่าข้อมูลไทม์ไลน์ของฝ่ายไทยนั้นถูกต้อง
"หรือแม้แต่เหตุทหารเหยียบกับระเบิด โอเค ข้อมูลมันดูน่าจะเป็นไปได้มากว่าเราอาจโดนวางระเบิด แต่ว่าในเชิงการตรวจสอบข้อเท็จจริง คำถามง่าย ๆ ถึงกอง บ.ก. เลยก็คือ ซอร์ส (source -แหล่งข่าว) ของกอง บ.ก. คือใคร เท่าที่ดูซอร์สก็มาจากกองทัพ ซึ่งจะบอกว่าน่าเชื่อถือเสียทีเดียวก็ไม่ใช่ เพราะว่าก่อนหน้าที่เราจะมีปัญหากับเขมร เรายังตั้งคำถามสารพัดกับกองทัพอยู่เลย" ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเสียชีวิตของทหารเกณฑ์ในค่ายทหาร งบประมาณมหาศาลที่นำไปซื้ออาวุธ ไปจนถึงความโปร่งใสของกองทัพ
"แต่ทำไมพอยิงกันตู้มเดียว เราก็กระโดดเชื่อทุกอย่างที่กองทัพพูด อันนี้ผมว่าเป็นเรื่องการตรวจสอบ fact (ข้อเท็จจริง) นะ คือแนวโน้มสื่อตอนนี้ทำหน้าที่เป็นไปรษณีย์ ไม่ได้ตรวจสอบเลยว่า fact มันคืออะไร ซึ่งผมก็ประหลาดใจว่าเขมรพูดอีกอย่าง กองทัพบกของไทยพูดอีกอย่าง มันจะขนาดนั้นได้อย่างไร"
รศ.รุจน์ ติงว่าสื่อมวลชนไม่ควรถือว่าข้อมูลจากหน่วยงานทางการนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่เชื่อถือได้เสมอไป เพราะสุดท้ายตัวสื่อเองจะกลายเป็นเรื่องมือขยายการโฆษณาชวนเชื่อของรัฐได้ และแท้จริงแล้วสื่อมวลชนไม่ได้มีหน้าที่ขยายสารของกองทัพ

ทุ่นระเบิด PMN-2
เช่นเดียวกัน น.ส.กุลธิดา หัวหน้ากองบรรณาธิการโคแฟค เสริมว่าสื่อมักจะรู้สึกปลอดภัยเมื่ออ้างข้อมูลจากรัฐ แต่ก็ต้องระมัดระวังด้วยว่าอาจกำลังขยายการสื่อสารที่ทางกองทัพพยายามสร้างขึ้นมาด้วย
"คิดว่าต้องติดไว้หน่อยว่า กองทัพบกเองก็สื่อสารในทิศทางสร้างความรู้สึก พอสื่อรายงานแถลงหรือสิ่งที่กองทัพพูด ก็ช่วยกันขยายแฮชแท็กที่กองทัพบกสร้างขึ้นมาด้วย"
พร้อมกันนี้ ทั้งคู่ยังตั้งข้อสังเกตการทำงานของเพจเฟซบุ๊กที่ชื่อว่า
"กองทัพบก ทันกระแส" ที่เหมือนทำหน้าที่สื่อสารเกี่ยวกับกรณีไทย-กัมพูชา ด้วยบทบาทที่ รศ.รุจน์ อธิบายว่า "แบบพับแขนเสื้อเป็นนักเลงเล็กน้อย" คู่ขนานไปกับสื่อทางการของกองทัพ ขณะที่ทาง น.ส.กุลธิดาก็เห็นว่า มีสื่อหลักนำเนื้อหาต่าง ๆ ของเพจนี้ไปเล่าต่อในข่าว
จากการสำรวจโดยบีบีซีไทยพบว่า หลายครั้งที่เพจนี้ใช้
ภาษาที่ตีตราและ
ลดทอนความน่าเชื่อถืออีกฝ่าย
ก่อนหน้านี้ นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร (สส.) จ.ฉะเชิงเทรา จากพรรคประชาชน เคยแสดงความกังวลว่า เพจดังกล่าวอาจบ่มเพาะให้เกิดความขัดแย้งซึ่งมีผลต่อบรรยากาศการหยุดยิงระหว่างสองฝ่าย
ทว่า พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบกเคยชี้แจงแล้วว่า เพจดังกล่าวไม่ใช่เพจทางการของกองทัพ แต่มีบทบาทในการสื่อสารข่าวสารให้ทันต่อสถานการณ์ เน้นภาษาเข้าใจง่าย เข้าถึงคนรุ่นใหม่ "และป้องกันการบิดเบือนข้อมูลทำให้คลาดเคลื่อนในเบื้องต้น ก่อนที่เพจทางการจะเผยแพร่ข้อมูลอย่างเป็นทางการตามกระบวนการที่ถูกต้อง เหมาะสม ซึ่งย่อมต้องใช้เวลาในการกลั่นกรองถ้อยคำที่มากกว่า อาจส่งผลทำให้ข้อมูลที่ถูกต้องสื่อสารได้ล่าช้า ไม่ทันท่วงที"
นอกจากนี้ โฆษกกองทัพบกยังเน้นย้ำว่า การสื่อสารรูปแบบนี้เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้น ไม่ใช่การปลุกปั่นหรือยั่วยุตามที่ถูกตั้งข้อสังเกต
สื่อหลักเป็นส่วนหนึ่งในการขยายข่าวลวงที่กระพือความเกลียดชังกัมพูชาอย่างไรน.ส.กุลธิดาบอกกับบีบีซีไทยว่า นับตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. เป็นต้นมา หรือวันที่เกิดเหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ทางโคแฟคพบว่า มีข่าวลวงทุกรูปแบบเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการ
กุโควตคำพูดทั้งที่เจ้าตัวไม่ได้พูด การนำคลิปเก่าที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยมาอ้างว่าเป็นเหตุการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชา
การใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอมาตัดต่อภาพ หรือปลอมแปลงเป็นบุคคลอื่นในลักษณะดีพเฟค (Deepfake) เป็นต้น ซึ่งเธอเห็นว่า แนวโน้มเนื้อหาข่าวลวงที่ผลิตโดยเอไอมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
"อย่างที่เห็นคอมเมนท์ในโคแฟค หลายคนจะคิดว่าคุณไป fact check (ตรวจสอบข้อเท็จจริง) ทำไม คือบางคนเขาก็รู้ว่ามันปลอม แต่มันป่วนเขมรดี" เธอกล่าว
เมื่อสอบถามว่าเนื้อหาข่าวลวงส่วนใหญ่มีที่มาจากแหล่งใด ทางหัวหน้ากอง บ.ก. ของโคแฟค ตอบว่า เนื้อหาดังกล่าวมักเกิดขึ้นโดยผู้ใช้ (user) สื่อโซเชียลมีเดียหรือสื่อสังคมออนไลน์ทั่วไป เนื่องจากปัจจุบันเจ้าของแพลตฟอร์มต่าง ๆ เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถทำรายได้จากเนื้อหาที่โพสต์ จึงทำให้เกิดการผลิตเนื้อหาที่เป็นข่าวลวงจำนวนมากตามมา ซึ่งสนใจเพียงยอดเข้าถึง (reach) และจำนวนการมีส่วนร่วม (engagement) เป็นหลัก
"ที่เจอคือเป็นผู้ใช้โซเชียลมีเดียทั่วไป บางคนยอดติดตามไม่ได้เยอะ แต่ว่าโพสต์ของเขาที่เกี่ยวกับกัมพูชายอดวิว ยอดแชร์ ทะลุหลักล้าน ทั้งที่โพสต์อื่น ๆ มีแค่หลักร้อย ก็ตั้งข้อสังเกตว่าน่าจะเป็นผู้ใช้โซเชียลมีเดียทั่วไปที่หารายได้จากเนื้อหาจริง ๆ" น.ส.กุลธิดา กล่าว

ส่วนวัตถุประสงค์ของเนื้อหาข่าวลวงต่าง ๆ เธอเห็นว่ามักอยู่ในประเด็นล้อเลียน ล้อเล่น ด้อยค่าฝ่ายกัมพูชา หรือแสดงความเหนือกว่าของฝ่ายไทย เช่น
กรณีการสร้างภาพด้วยเอไอบิดเบือนว่าสมเด็จฮุน เซน ผู้นำกัมพูชามีสายสัมพันธ์ลึกซึ้งกับพลโทหญิงมาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมของกัมพูชา หรือกรณีที่ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์พากัน
แชร์คลิปการซ้อมปฐมพยาบาลของบุคลากรสาธารณสุขของกัมพูชา โดยระบุว่าเป็นคลิปซ้อมห่อศพและเคลื่อนย้ายร่างทหารที่เสียชีวิต
"อันนี้พีพีทีวีนำไปรายงานข่าวค่ำ ผู้ประกาศก็คุยกันสนุกสนานว่ายังไม่จะรบเลย ซ้อมตายเสียแล้ว ในเชิงล้อเล่นขำ ๆ แม้ผู้ประกาศออกตัวว่าไม่รู้ว่าเหตุการณ์นี้คืออะไรกันแน่ มันก็กลับไปสู่คำถามว่าถ้าหากคุณยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร แล้วคุณนำมาเสนอได้อย่างไร" เธอกล่าว
นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่นำคลิปอดีตทหารกัมพูชาซึ่งเป็นคนแก่มาเผยแพร่ต่อว่ากำลังร่ำลาลูกสาวเพื่อไปรบที่ชายแดน
แต่ทางโคแฟคตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วพบว่า ชายชราคนดังกล่าวมาซื้อยาใน จ.มณฑลคีรี และชาวกัมพูชารายหนึ่งได้ถ่ายคลิปไว้เพราะเห็นว่าน่าสงสาร โดยจุดเริ่มต้นมาจากเพจเฟซบุ๊กชื่อว่า Army Military Force ซึ่งนำคลิปดังกล่าวมาเผยแพร่ในวันที่ 5 ส.ค. และเขียนคำบรรยายว่า "พลทหารวัย 87 ปี กำลังรอเพื่อลาลูกสาว (ลูกสาวเป็นเภสัชชุมชน) เพื่อไปเสริมกำลังที่แนวหน้า" โดยคลิปนี้มีผู้เข้าชมมากกว่า 2.9 ล้านครั้ง
ทั้งนี้ บีบีซีไทยพบว่าเพจ Army Military Force เป็นสื่อนำเสนอข่าวเกี่ยวกับทหารและยุทโธปกรณ์ โดยทางเพจออกตัวว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกองทัพ
ต่อมา ทางโคแฟคพบว่าคลิปดังกล่าวถูกเพจเฟซบุ๊กไทยรัฐนิวส์โชว์ นำไปเผยแพร่ต่อในวันที่ 6 ส.ค. 2568 ต่อ โดยพาดหัวว่า "พลทหารกัมพูชาวัย 87 บอกลาลูก เตรียมตัวไปเสริมกำลังที่แนวหน้า" ก่อนจะลบโพสต์ในเวลาต่อมา เมื่อทางโคแฟคเฉลยว่า ข้อเท็จจริงของคลิปดังกล่าวเป็นเช่นไร
"แต่เราก็พบว่าแม้ไทยรัฐลบคลิปไปแล้ว หลายวันผ่านไป ข่าวนี้ก็ยังถูกเล่าในรายการวิทยุของ MCOT คลื่น FM 100.5 ซึ่งเป็นคลื่นข่าว" น.ส.กุลธิดา กล่าว และเสริมว่า กรณีเป็นตัวอย่างที่ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าข่าวลวงถูกนำไปขยายโดยสื่อหลักได้อย่างไร

เธอยกตัวอย่างย้อนกลับไปวันที่ 25 ก.ค. หรือหนึ่งวันหลังเกิดการปะทะ ทางโคแฟคพบว่า เพจกรรมกรข่าวของสรยุทธ สุทัศนะจินดา ซึ่งมีผู้ติดตามมากกว่า 5 ล้านราย ก็รายงานเนื้อหาจากเพจ Army Military Force ที่ระบุว่าทหารไทยเข้ายึดพื้นที่ปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งต่อมาทางกองทัพระบุว่า ไม่เป็นความจริง
"แม้ข่าวนี้ไม่ได้อยู่ในช่อง 3 แต่มันเผยแพร่ผ่านช่องกรรมกรข่าวทางยูทิวบ์ ประมาณหนึ่งอาทิตย์ผ่านไปก็พบว่า คลิปดังกล่าวก็ไม่ได้ถูกลบออก แล้วคลิปของสรยุทธที่เล่าข่าวนี้มันถูก [ผู้ใช้] ตัดไปลงติ๊กตอก (TikTok) จำนวนมาก แล้วคนทั่วไปเวลาเขาได้ยินเสียงสรยุทธ เขาก็เชื่อไปแล้วว่า 50-60% ว่า ข่าวนี้มันจริง มันถูกตรวจสอบมาแล้ว" หัวหน้ากอง บ.ก.โคแฟค กล่าว
น.ส.กุลธิดาเห็นว่า การทำงานในลักษณะนี้ ยิ่งทำให้เกิดคำถามต่อกระบวนการบรรณาธิกรข่าวของกอง บ.ก. ข่าวแต่ละสำนักอย่างปฏิเสธไม่ได้ และทำให้เห็นว่าสื่อหลักมีแนวโน้มนำเนื้อหาในสื่อสังคมออนไลน์มาเผยแพร่ต่อโดยไม่ได้ตรวจสอบที่มาและข้อเท็จจริงให้ครบถ้วน ทั้งที่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นช่องทางให้สื่อหลักได้ส่งผู้สื่อข่าวไปทำงานในพื้นที่จริงอย่างมืออาชีพ
"สื่อที่ดี โดยเฉพาะในสถานการณ์เช่นนี้ มันควรเป็นจะเป็นการนำเสนอข่าวด้วยนักข่าวที่ไปเห็นด้วยตาจริง ๆ ซึ่งคิดว่าสื่อก็มีทีมงานจำนวนมากอยู่แล้ว และผู้สื่อข่าวก็พร้อมมากที่จะนำเสนอสิ่งที่เขาเห็น มันเสียโอกาสที่เขาจะได้รายงานจากพื้นที่จริง แต่ต้องมานั่งรายงานเนื้อหาจากโซเชียลแทน"
เธอเสริมด้วยว่า ปัจจุบันเนื้อหาของสื่อต่าง ๆ นำเสนอข้ามแพลตฟอร์มเพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้ชมมากขึ้น และอัลกอรึทึมของแพลตฟอร์มต่างๆ ก็มีแนวโน้มแสดงเนื้อหาตามความ "ถูกใจ" ของผู้ใช้งาน และนั่นยิ่งทำให้ข่าวลวงเดินทางออกไปได้ไกลมากยิ่งขึ้น
ในฐานะผู้คลุกคลีกับข่าวลวง น.ส.กุลธิดาบอกว่า ผู้คนไม่ควรประเมินอันตรายจากข่าวลวงต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะข่าวลวงเหล่านี้สามารถนำมาซึ่งความรุนแรงทางกายภาพได้
อย่างปัจจุบัน ทุกวันที่เธอนั่งมอนิเตอร์ข่าวและเนื้อหาต่าง ๆ บนสื่อสังคมออนไลน์ ก็ยังเห็นบัญชีจำนวนหนึ่งที่ออกไล่ล่าทำร้ายแรงงานชาวกัมพูชาในไทย พร้อมกับอัดคลิปในทำนองว่า ตนเอง "จัดการให้แล้ว"
"เราไม่รู้หรอกว่า [ข่าวลวง] มันกำลังบ่มเพาะอะไรในใจคน หรือมันกำลังสร้าง mindset (ชุดความคิด) แบบไหนในประชาชนของเรา พูดง่าย ๆ คือสักวันหนึ่งถ้ามันกลายเป็นความรุนแรงต่อกันจริง ๆ ในเชิงกายภาพ เราจะอยู่กันแบบไม่สงบสุขเลย มันจะทำลายสันติสุขในสังคมระยะยาว ต่อให้ไม่มีปัญหาเรื่องชายแดน"

ข้อสรุปโคแฟค คือ ภาพนิ่งที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อว่า "เดชา นฤนารท" นำมาอ้างเท็จว่าเป็นการเคลื่อนพลของทหารเขมรนั้น เป็นภาพที่นำมาจากคลิปที่ถ่ายในเมืองชเวโก๊กโก่ จังหวัดเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา ไม่ใช่ภาพ "ทหารเขมร" ตามที่ผู้โพสต์อ้าง อย่างไรก็ตาม โคแฟคยังไม่สามารถระบุที่มา เหตุการณ์และวัน-เวลาที่ถ่ายคลิปได้
หัวหน้ากอง บ.ก. ของโคแฟค บอกกับบีบีซีไทยด้วยว่า ในช่วงหลัง ๆ ยังพบข่าวลวงที่ "ทำให้เห็นความพยายามอยากให้มีการรบ" เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญด้วย
กรณีล่าสุด ในห้วงวันที่ 22-25 ก.ย. ที่ผ่านมา โคแฟค
ตรวจสอบพบว่า ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ในไทยจำนวนมากนำคลิปงานสถาปนากองอาวุธราชหัตถ์ของกัมพูชาที่เกิดขึ้นในเดือน ก.ค. ปีที่แล้วมาอ้างว่า เป็นคลิปทหารกัมพูชากำลังเติมกำลังในแนวหน้า หรืออ้างว่าเป็นกองกองบัญชาการองครักษ์ (BHQ) กำลังเคลื่อนพล รวมถึงนำภาพทหารในเมืองชเวโก๊กโก่ จ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยงของเมียนมา มาอ้างว่าเป็นทหารกัมพูชาหลายพันนายกำลังเคลื่อนพลสู่ชายแดนไทย เป็นต้น
"ในแง่วัตถุประสงค์ เราอาจไม่ได้ทำวิจัยชัดเจน แต่อย่างกรณีเสริมกำลัง คิดว่าในนัยหนึ่งมันอาจจะเป็นเหมือนกับความพยายามอยากให้มีการรบ ส่วนความรู้สึกว่าอยากให้ทหารปิดจ๊อบ ปิดจบสักที มันมีอยู่ตลอด เพราะฉะนั้นเนื้อหาที่บอกว่ากัมพูชาเอาอีกแล้ว เสริมกำลังอีกแล้ว มันอาจเป็นการกระตุ้นให้กองทัพทำอะไรสักอย่าง สร้างแรงกดดันให้ประชาชนรู้สึกว่ากัมพูชายังไม่นิ่ง ทหารควรทำอะไรได้แล้ว" น.ส.กุลธิดากล่าว
"วงเกลียวแห่งความเงียบ" ปัญหาเมื่อสื่อพูดเหมือนกันหมดรศ.รุจน์ กล่าวเสริมว่า เมื่อพิจารณาจากปัญหาของการทำงานสื่อข้างต้น อีกปัญหาหนึ่งที่จะตามมา และเขาค่อนข้างเป็นกังวล คือ ภาวะ "วงเกลียวแห่งความเงียบ (Spiral of Silence)" ซึ่งทำให้เสียงที่แตกต่างหรือผู้ที่คิดว่า ตนเองเป็นเสียงข้างน้อยไม่กล้าแสดงความเห็น หรืออาจจะกล่าวได้ว่าแทบไม่มีพื้นที่ให้คนเหล่านี้
"พอเห็นสื่อพูดเหมือนกันหมด mood and tone (อารมณ์และโทน) เดียวกัน ใช้ซอร์สแหล่งเดียวกัน ในที่สุดมันจะทำให้เกิดปรากฏการณ์ 2 อย่าง อันที่หนึ่ง คือ คนที่มีความเห็นต่างจะคิดว่าเราเป็นเสียงส่วนน้อย เราไม่น่าจะถูก อันที่สอง คือ คนที่กล้าพูด ใจแข็งหน่อย ก็ต้องเจอปัญหาทัวร์ลง ซึ่งก็ต้องนับถือเขานะครับ ไม่ว่าสิ่งที่เขาออกมาพูดมันจะถูกหรือผิด ชอบหรือไม่ก็ตาม"
รศ.รุจน์ ยกตัวอย่างผู้ที่ถูกทัวร์ลงล่าสุด คือ ศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ นักวิชาการ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ที่ออกมาแสดงความเห็น ว่าคนไทยกำลังเชื่อผิด ๆ จากการคิดว่า ประเทศจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลยจากการปิดด่านชายแดน เพราะมองว่าเป็นการลงโทษกัมพูชาให้เกิดความย่อยยับทางเศรษฐกิจ ทั้งที่ฝ่ายที่เจ็บหนักกว่าคือไทย
เช่นเดียวกับสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยที่
ถูกกระแสตีกลับในสื่อสังคมออนไลน์ หลังสื่อกัมพูชารายงานว่าการปิดด่านชายแดนกระทบกับบริษัทญี่ปุ่น และ อูเอโนะ อาสึชิ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำกัมพูชา ขอให้ทั้งสองประเทศเปิดด่าน เนื่องจากนี้การลงทุนของญี่ปุ่นในประเทศไทยเกิดขึ้นภายใต้นโยบายไทยแลนด์พลัสวัน (Thailand Plus One) ซึ่งเป็นการลงทุนในประเทศไทยพ่วงการขยายไปยังประเทศเพื่อนบ้านในกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม (CLMV)
"เขาไม่ได้เข้าข้างใครเลยนะครับ เขากำลังทวงสัญญาจากเราที่ไปดึงให้เขาเข้ามาลงทุน" รศ.รุจน์ กล่าว และเสริมว่าหากเกิดปัญหาภาวะวงเกลียวแห่งความเงียบขึ้น จะยิ่งทำให้สังคมไม่เห็นความเป็นไปได้อื่นในการหาทางออกจากวิกฤตความขัดแย้งครั้งนี้
"ผมเห็นว่าเราต้องการเสียงแบบนี้ แม้ว่าเสียงเหล่านั้นมันจะถูกมองว่า 'ผิด' แต่เราต้องส่งเสริมให้เสียงอื่น ๆ มันออกมา เพราะในสถานการณ์แบบนี้เสียงที่แตกต่าง มันมีแนวโน้มจะเงียบตัวเอง" เขากล่าว
เป้าหมายการทำงานของสื่อควรเป็นอย่างไรนักวิชาการด้านสื่อจาก ม.ธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นต่อว่า ในเวลานี้ทุกฝ่ายเห็นตรงกันหมดว่าประเทศกำลังอยู่ในสถานการณ์ความขัดแย้ง ดังนั้นสื่อเอง รวมถึงผู้ชม ก็ควรตั้งสติแล้วว่า เป้าหมายการสื่อสารควรดำเนินไปในทิศทางใด และมีเป้าหมายพาสังคมไปในทางไหน
"คือพวกคุณจะเล่นยอดรีชแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ใช่ไหม ซึ่งผมก็จะบอกว่าข่าวมันเริ่ม out (เก่า) แล้วนะ โดยตามเนื้อผ้ามันแทบจะไปต่อไม่ได้แล้ว แต่ว่ามันยังเอ็นจอย (enjoy) อยู่ใช่ไหม ผมก็จะบอกว่าไม่น่าใช่ ดังนั้น ผมคิดว่าเราควรหาทางออกร่วมกันในปัญหานี้ ในฐานะที่เราต้องอยู่ด้วยกันอย่างสันติสุข เป็นเพื่อนบ้านมันโกรธกันได้ แต่ว่ามันควรเป็นเพื่อนบ้านที่คุยกันได้มากกว่า มันควรสื่อสารให้กลับไปค้าขายกันได้ เที่ยวเล่นกันได้ ทะเลาะกันบ้างก็ได้ ผมคิดว่าตั้งเป้าแบบนี้ดีกว่าไหม มันไม่ใช่เรื่องแพ้-ชนะ มันไม่ควรมีใครแพ้-ชนะ" รศ.รุจน์ กล่าว
เขาเสนอว่า สำหรับการรายงานสถานการณ์รายวัน สื่อควรเลิกรายงานข่าวในลักษณะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเล่นบทเหยื่อหรือเป็นผู้ถูกกระทำ ระมัดระวังทั้งเรื่องการใช้น้ำเสียง ถ้อยคำ และหลีกเลี่ยงการแสดงทัศนคติลงไปในการเล่าข่าว โดยเฉพาะถ้อยคำที่ปลุกเร้ากระแสชาตินิยม เกลียดชัง ด้อยค่าประเทศเพื่อนบ้าน
อีกหนึ่งสิ่งสำคัญ คือ เขาเสนอว่าสื่อควรรายงานสถานการณ์ให้สมสัดส่วนกับขนาดของเหตุการณ์ เพื่อไม่ให้ความเข้าใจของประชาชนเกิดความคลาดเคลื่อน
"วันก่อนที่เกิดการยิงกัน (27 ก.ย.) มันยิงกันชั่วโมงเดียวเอง แต่บางช่องรายงานเหมือนยิงกันราวกับชาติหนึ่ง จริง ๆ ก็รายงานข่าวนี้ได้ แต่ต้องให้น้ำหนักน้อยกว่านี้ ในความเห็นของผมนะ"
ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา นักวิชาการผู้นี้ยังเห็นว่า สื่อไทยกลับไม่ขยายให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างเท่าที่ควร แต่เน้นไปที่ความเคลื่อนไหวรายวันและหยิบเนื้อหาในสื่อสังคมออนไลน์มาอ่าน
"มันควรจะรายงานให้มากขึ้นว่า สิ่งที่เราเห็นอยู่ข้างหน้าในตอนนี้ เบื้องหลังมันคืออะไรกันแน่" รศ.รุจน์ กล่าว
ปัญหาเชิงโครงสร้างในทัศนะของเขา หมายถึงนโยบายรัฐที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งครั้งนี้ ไปจนถึงกติการะหว่างประเทศที่ส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายเกิดข้อพิพาท

กองทัพบกนำสื่อมวลชนลงพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว โดยนำเข้าสำรวจพื้นที่ปฏิบัติการบ้านหนองหญ้าแก้ว เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2568
อีกข้อเสนอแนะหนึ่ง คือ สื่อควรสร้างความสมดุลพื้นที่ข่าวให้หลากหลายมากกว่าที่เป็นอยู่ ไม่เน้นการสัมภาษณ์ผู้มีตำแหน่งสูง ๆ แต่ควรเพิ่มน้ำเสียงที่หลากหลายเข้าไป โดยเฉพาะเสียงของประชาชนที่กำลังได้รับผลกระทบ
"คนเล็กคนน้อยคือเจ้าของประเทศนะครับ แต่ทำไมเราแทบไม่ได้ยินเสียงของพวกเขาเลย มันมีคำพูดหนึ่งที่อธิบายว่า สงครามและความขัดแย้งทั้งหลายที่เกิดขึ้น มันคือความขัดแย้งของคนเป็นผู้นำไม่กี่คน แล้วก็ส่งคนตัวเล็กตัวน้อยไปฆ่า นี่เป็นคำพูดที่แทงใจมาก แต่สื่อมันไม่ค่อยทำหน้าที่ตรงนี้ ไม่ค่อยพยายามให้เสียงคนเล็กคนน้อย"
สุดท้ายเขาเน้นย้ำว่าอีกสิ่งหนึ่งที่สื่อควรระวัง คือ การนำเสนอสารจากหน่วยราชการของรัฐ เพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์คำโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda)
"ผมคิดว่าเรายังสามารถใช้คำว่าโฆษณาชวนเชื่อจากรัฐได้ เพราะว่าเขาพูดอยู่ฝ่ายเดียว แล้วก็ไม่อยากให้คนอื่นได้พูดด้วย นี่จึงเป็นสิ่งสำคัญว่า ทำไมผมต้องการเห็นสื่อนำเสนอข้อมูลที่หลากหลาย"
อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่าท่ามกลางเนื้อข่าวที่วน ๆ อยู่ในตอนนี้ รวมถึงปัญหาการรายงานข่าวที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น สุดท้ายแล้วเขาก็หวังว่าสุดท้ายแล้ว "ความเบื่อของคนดูจะเข้ามาจัดการ" จนทำให้สำนักข่าวต่าง ๆ หยิบยกเนื้อหาจากสื่อสังคมออนไลน์มาเล่นน้อยลง และขยับไปทำเรื่องอื่นที่ผู้คนให้ความสนใจมากกว่า
"ถ้ามองอย่างสุดติ่ง มันก็น่ากลัว หากทำข่าวเพื่อเอาแพ้ เอาชนะกันอย่างนี้ สักวันก็คงเอาปืนขึ้นมายิงกันอีกรอบ แต่ผมก็ยังมีความหวังมากกว่าว่า เดี๋ยวให้ความรู้สึกเบื่อ [ของคนดู] มันเกิดขึ้นมาก่อน สื่อก็คงเลิกนำเสนอสักที"
"แต่ผมก็ยังเชียร์ให้กลับไปทำข่าวปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่พอเบื่อเรื่องนี้ ก็ไปหาประเด็น sensational (เร้าอารมณ์) เรื่องใหม่มาทำ ซึ่งแบบนั้นไม่น่าจะดี" รศ.รุจน์ กล่าวทิ้งท้าย
https://www.bbc.com/thai/articles/czx02z3047ko