วันศุกร์, กรกฎาคม 31, 2558

ที่เรียกว่า "ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง" + ว่าด้วยกรณี "สุเทพ รีเทิร์น"




ที่เรียกว่า "ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง"
%%%%%%%%%

พูดให้ถึงที่สุด ในทางความคิดแล้ว คำขวัญ "ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง" ที่ชูโดยกปปส.และคสช.มารับลูกต่อนี้ รวมศูนย์ที่ปัญหาใจกลางเดียว

คือประเทศนี้เป็นของใคร? ใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของประเทศ?

และถ้าประเทศเป็นของประชาชนแล้ว มันเป็นของประชาชนทุกคนเท่าเทียมกันหรือไม่?

อย่างอื่นล้วนเป็นปัญหารอง

ส่วนในทางปฏิบัติ "ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง" หมายถึง กระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบไม่ประชาธิปไตย (Transition to Non-Democracy) โดย: -

-ปรับโครงสร้างระบอบการเมืองการปกครองเสียใหม่ให้เรียบร้อย

-ในลักษณะหักแขนหักขาตัดตีนสินมือสถาบันเสียงข้างมากจากการเลือกตั้ง (elected majoritarian institutions) ให้หมดฤทธิ์พิษสง

-และตกอยู่ใต้อำนาจครอบงำที่เป็นจริงของสถาบันที่ไม่ได้มาจากเสียงข้างมากและการเลือกตั้ง (unelected, non-majoritarian institutions หรือที่เรียกกันว่า "อำมาตย์") เสียก่อน

-ค่อยให้จัดการเลือกตั้งอย่างแกน ๆ ขึ้นได้

-แล้วเรียกสิ่งที่ได้มาหลังจากนั้นว่า "ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ"

จะเรียกว่าทำประชาธิปไตยให้เชื่องต่อความเป็นไทย, หรือขูดไส้ประชาธิปไตยจนกลวงโบ๋ แทบไม่มีอำนาจจริง ๆ เหลือ ค่อยให้จัดเลือกตั้งก็ได้

Kasian Tejapira


ooo


ว่าด้วยกรณี "สุเทพ รีเทิร์น"

Somsak Jeamteerasakul



๑. ก่อนที่จะพูดถึงการกลับมาของสุเทพ โดยตรง ผมจำเป็นต้องกล่าวโดยทั่วไปถึงปรากฏการณ์และสถานะของ "กปปส" สักเล็กน้อย

ผมคิดว่า ในด้านที่สำคัญมากด้านหนึ่ง กล่าวได้ว่า "กปปส" ก็คือ พรรคประชาธิปัตย์ หรือถ้าพูดให้ถูกต้องยิ่งขึ้น คือ ขบวนการเคลื่อนไหวมวลชนนอกสภา-บนถนน ของพรรค

ในแง่นี้ กปปส ก็เหมือนกับ นปช นั่นคือ ในขณะที่ นปช คือขบวนการเคลื่อนไหวมวลชนนอกสภา-บนถนน ของพรรคเพื่อไทย กปปส ก็คือองค์กรหรือการเคลื่อนไหวแบบเดียวกันของประชาธิปัตย์

พูดอีกอย่างคือ ในที่สุด พรรคประชาธิปัตย์ ก็หันมาจัดตั้งและใช้การเคลื่อนไหวมวลชนนอกสภา-บนถนน เป็นเครื่องมือการเมืองสำคัญ แบบเดียวกับที่พรรคเพื่อไทยจัดตั้งและใช้ "นปช-เสื้อแดง" มาก่อนหน้านั้นแล้ว (ผมยังมองว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แม้จะ "แชร์" "ฐานมวลชน" กับประชาธิปัตย์ไม่น้อย แต่จริงๆแล้ว ยังไม่อาจนับว่าเป็น "แขนขาการเคลื่อนไหวมวลชน" ของพรรค แบบ กปปส - หรือ นปช ในกรณีพรรคเพื่อไทย)

๒. การเปรียบเทียบเช่นนี้ ทำให้เห็นประเด็นที่สำคัญมากประเด็นหนึ่งด้วย กล่าวคือ ถ้าพูดในแง่ "ความสำคัญ" หรือ อำนาจต่อรอง ภายในพรรคแล้ว

กปปส - คือ สุเทพกับพวกที่มาเป็น "แกนนำ" กปปส - มีความสำคัญต่อ ปชป มากกว่า นปช มีต่อ พรรคเพื่อไทย

อำนาจต่อรองของ "กปปส" (สุเทพกับแกนนำ) ในพรรค ปชป มีมากกว่า อำนาจต่อรองของแกนนำ นปช ในพรรคเพือไทย

อันที่จริง "นปช" นั้น ในแง่อำนาจต่อรองหรือความสำคัญภายในพรรคเพื่อไทย มีน้อยมาก และน้อยลงเรื่อยๆในหลายปีที่ผ่านมา

ถ้าดูโดยเปรียบเทียบง่ายๆ ไม่มีแกนนำ นปช คนไหน มี "ฐานเสียง" ของตัวเองจริงๆ (นี่เป็นปัจจัยสำคัญของการทำให้มีอำนาจต่อรองในพรรค) ไม่ว่า ณัฐวุฒิ จตุพร เหวง หรือ "แกนนำ เสื้อแดง" คนอื่นๆ ทุกคนอย่างมากก็เป็นเพียง "สส. บัญชีรายชื่อ" คือไม่ได้มี "ฐานเสียง" เหมือน สส. เขต

ในขณะที่ สุเทพ ทุกวันนี้ก็ยังรักษาความเป็น "เจ้าพ่อ" สุราษฎร์ไว้ (แสดงออกในวันแรกสุดของการสึก ด้วยการส่งจดหมายค้านการย้าย สภ) แกนนำ กปปส คนอื่นๆ หลายคนก็ยังมีลักษณะเป็น สส เขต มี "ฐานเสียง" โดยตรงมากกว่า แกนนำ นปช

ประเด็นนี้ นำไปสู่ประเด็นที่สำคัญมากคือ ในแง่การเมืองภายในพรรคนั้น ในที่สุด ทักษิณสามารถคุม นปช ได้ ในขณะที่ มาร์ค ไม่สามารถคุมสุเทพได้จริงๆ

แน่นอน เรื่องนี้โยงกับลักษณะความแตกต่างสำคัญระหว่าง ปชป กับ เพื่อไทย ที่ผมเคยพูดถึงมานานว่า ปชป แต่ไหนแต่ไร มาร์คก็ไมใช่ "ผู้นำสูงสุด" แบบเต็มที่หรือ เอาเข้าจริง ไม่ได้มีลักษณะเหมือนเป็น "เจ้าของพรรค" แบบในกรณีทักษิณต่อพรรคเพื่อไทย

๓. สุเทพ และ กปปส เป็นแขนขาหรือการเคลื่อนไหวจัดตั้งมวลชนนอกสภา-บนถนนของ ปชป แต่ขณะเดียวกัน ก็เป็นตัวแทน "ปีก" หรือ "กระแสความคิด" ที่เรียกว่ามีลักษณะ "ฮาร์ดไลน์" ("สายเหยี่ยว") ของ ปชป โดยรวมด้วย (ประเด็นว่า ทำไมสุเทพ ซึ่งในอดีตเป็นเวลานาน เป็นพวก "เม็คดีล" หรือ เจรจาต่อรอง - สมัยนึงเขาถึงกับเป็นคนที่พยายามติดต่อเจรจากับค่ายทักษิณ - กลับกลายมาเป็นตัวแทน "ฮาร์ดไลน์" เป็นประเด็นทีน่าสนใจในแง่ประวัติศาสตร์การเมือง ซึ่งคงต้องรอการศึกษาโดยละเอียดในอนาคต)

การกลับมาของสุเทพ จึงมีความสำคัญต่อ "ดุลย์อำนาจ" ภายใน ปชป คือทำให้เป็นการเพิ่มกำลังและอิทธิพลอำนาจของ "ปีก" หรือกระแสฮาร์ดไลน์ภายในพรรค

กล่าวอย่างเป็นรูปธรรมในปริบทขณะนี้ กระแสฮาร์ดไลน์ใน ปชป ที่มีสุเทพเป็นหัวหอกใหญ่นี้ จะผลักดันและนำพรรคไปสู่ทิศทางหรือแสดงออกมาใน ๒ ด้านสำคัญที่เกี่ยวเนื่องกัน คือ ด้านหนึ่ง ต่อทหาร-คสช จะมีลักษณะวิพากษ์วิจารณ์น้อยลง สนับสนุนมากขึ้น (คงจำได้ว่า ในระยะไม่กี่เดือนหลัง มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ คสช จาก ปชป มากขึ้นๆ) และอีกด้านหนึงซึ่งต่อเนื่องกันคือ จะมีความเป็นไปได้หรือโอกาสที่จะร่วมมือกับ เพื่อไทย ได้น้อยลงๆ

สาระสำคัญของการแถลงข่าวของสุเทพ ยืนยันสิ่งที่ผมเพิ่งเขียนนี้ ไอเดียทีสุเทพเสนอออกมาว่า ต้อง "ปฏิรูปก่อน ไม่ว่าจะนานเท่าใด" ก็คือ บอกว่า คสช จะอยู่ในอำนาจไปอีกเท่าไร ใช้เวลา "ปฏิรูป" อีกนานเท่าไร ไม่สำคัญ

การกลับมาของสุเทพจะเสริมความเข้มแข็งให้กับทิศทางแบบฮาร์ดไลน์นี้ในพรรคประชาธิปัตย์ และทำให้ปีกหรือกระแส (ทีอ่อนอยู่แล้ว - ดูข้างล่าง) ภายในพรรคที่ต้องการประนีประนอมในบางระดับกับฝั่งเพือไทยหรือนักการเมืองเลือกตั้งด้วยกัน เพื่อต่อรองกับทหาร จะยิ่งลำบากหรืออ่อนกำลังลง

๔. ผมเคยเสนอมาก่อนว่า อนาคตของการยกเลิกอำนาจทางการเมืองของทหารอย่างถาวร ขึ้นอยู่กับการ "ปฏิรูปคู่แฝด" คือ การที่ ปชป ต้อง "ขยับ" ออกจากการพึ่งพิงอำนาจทหาร และ เพื่อไทย ขยับออกจากการเป็น "บริษัทชินวัตรการเมืองจำกัด"

การกลับมาของสุเทพ ทำให้การเปลี่ยนแปลงในทิศทางนี้ภายใน ปชป ลำบากขึ้น

ในไม่กี่ปีที่ผ่านมา มาร์คได้สูญเสีย "อำนาจนำ" ในประชาธิปัตย์ (ที่เดิมก็ไม่เคยมีอยู่ในระดับสูงมากอยู่แล้ว) หรือความสำคัญของตัวเองไปเรื่อยๆ เกือบๆจะกลายเป็นเพียง "หุ่นกระบอก" คอยพูด "ตามกระแส" หรือ "อะเจนด้า" (วาระ) ทีคนอื่นๆในพรรคจะพาไป

น่าเสียดายว่า ในหลายปีที่ผ่านมา กระแส "ปฏิรูป-ประนีประนอม" กับนักการเมืองด้วยกัน ภายใน ปชป อ่อนกำลังจนแทบไม่เหลือ ยกเว้นแต่ประเภท "คนแก่ๆ" ภายในพรรคไม่กี่คน (พิชัย พิเชษฐ์) ที่นานๆทีก็ออกมาส่งเสียงบ่นสักที

ไม่กี่ปีก่อน อลงกรณ์ ทำท่าเหมือนกับจะมาในทางนี้ แต่ปีที่ผ่านมา ได้พิสูจน์ว่าเขาแย่กว่าคนอื่นที่ยังอยู่ในพรรคเสียอีก กรณีแทนคุณ ที่เป็นคนเดียวที่ออกมาแสดงการคัดค้าน รปห ทันที - ซึ่งเป็นอะไรที่น่าชมเชย - ก็ยัง "อ่อนอาวุโส" หรือคงกระดูกไม่แข็งเกินไป กว่าที่จะมีผลสะเทือนในพรรคได้

ช่วยเศรษฐกิจดีก่อน แล้วค่อยเอาเรือดำนำ้ดีกว่ามั้ย...ผ่านวงเวียน22 เจอป้ายประกาศเซ้งรอบเลย ออกมาเป่านกหวีดอีกสิคะ!!!




ที่มา เพจเปิดประเด็น

“... สิ่งที่จะเรียกร้องกับทุกท่านก็คือ อย่าเชื่อกองทัพเพียงเพราะว่ากองทัพบอกให้ท่านเชื่อ ขอให้เชื่อกองทัพเพราะท่านพิจารณาแล้วกองทัพทำในสิ่งที่เหมาะสม หรือถ้าจะไม่เชื่อกองทัพ ก็ขอให้ไม่เชื่อเพราะว่าท่านพิจารณาแล้วเห็นว่ากองทัพทำไม่เหมาะสม ไม่ใช่ไม่เชื่อเพราะเราแค่ไม่ชอบกองทัพ ...”
Analayo "Skyman" Korsakul นักสังเกตุการณ์ทางทหารอิสระ
และคณะทำงานเว็บ ThaiArmedForce.com

@เปิดประเด็น///
..... เอกสาร 9 หน้า ซึ่งกองทัพเรือพยายามนำเสนอ ประกอบไปด้วยเหตุผลสำคัญคือ
1.ความจำเป็นในการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือ
2.เรือดำน้ำกับความมั่นคงในสถานการณ์ และภัยคุกคามปัจจุบัน
3.เรือดำน้ำกับผลประโยชน์ของชาติทางทะเล
4.เรือดำน้ำกับความเหมาะสมทางภูมิศาสตร์
5.การพิจารณาคัดเลือกเรือดำน้ำของกองทัพเรือ

..... ความพยายามเสนอเรือดำน้ำด้วยเหตุผลในเอกสาร 9 หน้าของกองทัพเรือ ที่พยายามทำความเข้าใจกับประชาชน ไล่เรียงมาทุกข้อแล้ว นับมาตั้งแต่ข้อแรกที่พยายามให้เหตุผลโยงไปถึง พระราชบิดาฯ ในเรื่องเกี่ยวกับเรือ "ส" อย่างน่าประหลาด เพราะหากจะให้เหตุผลมาเช่นนั้น แล้วพระราชดำรัสของในหลวงเกี่ยวกับเรือดำน้ำเมื่อวันที่ 5 ธ.ค.50 ที่ว่าไทยเป็นอ่าวตื้น ไม่เหมาะสมที่จะมีเรือดำน้ำ

..... แต่จากเหตุผลที่กองทัพเรือให้ไว้ว่า งบประมาณส่วนนี้แม้ไม่ซื้อเรือดำน้ำ ก็นำไปใช้จ่ายอย่างอื่นอยู่ดี ท่ามกลางเศรษฐกิจดิ่งลง มูลค่าการค้า ตกฮวบอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน นับตั้งแต่รัฐประหาร ยิ่งเหมือนย้ำว่า ไม่ว่าอย่างไร "เงินส่วนนี้" ก็ต้องเป็นของกองทัพเรือ ที่ประชาชนควรจ่ายให้ !!!

..... เรือดำน้ำจีน ที่มีระบบหนีภัยทางท่อตอร์ปิโดว์ ซึ่งประเทศอื่น ๆ ใช้ห้อง Escape Chamber ที่ล้ำหน้ากว่า แถมยิ่งอ้างระบบ AIP (Air Independent Propulsion) ที่สามารถดำน้ำนานได้ถึง 21 วัน ซึ่งมันก็มีกันแทบทุกประเทศที่ผลิตเรือดำน้ำ ก็ไม่ได้เสริมว่าเรือดำน้ำจีนน่าซื้ออย่างไร แถมในสัญญาก็ไม่ได้ระบุชัดว่าจีนจะถ่ายทอดเทคโนโลยีให้จนถึงขั้นสร้างเรือดำน้ำได้เอง อีกทั้ง แผลเก่าที่ยังคาใจ กับกรณี GT200 และเรือเหาะ ที่ยังไม่มีใครถูกสอบสวนหรือรับผิดชอบเลยสักราย ก็ยังค้างคาใจ

..... แล้วหากกองทัพเรืองบเหลือ? ท่ามกลางเศรษฐกิจฝืดเคือง!!! แทนที่จะอมเงินไว้ เมื่อไม่ได้นี่จะเอาโน่นให้หมดงบ สู้เสียสละ ช่วยเศรษฐกิจดีก่อน แล้วค่อยเอาเรือดำน้ำดีกว่ามั้ย เพราะยอมรับว่าเหตุผลที่กองทัพเรือพยายามนำมาแสดง นับเป็น "มิติใหม่" ของความพยายามไขข้อสงสัย ชี้แจงกับประชาชนให้หายข้องใจ

..... แต่ทางที่ดี ควรจัดซื้อกันในยุคที่ "ตรวจสอบกันได้" ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ที่ไม่ใช่ทหารครองเมือง จะโปร่งใส และสง่างาม อีกทั้งยังได้ชี้แจงได้เต็มที่ โดยไม่ประสบกับการเห็นต่างทางการเมืองเข้ามาแทรกแซง เหตุผลที่พยายามหามาของกองทัพเรือ ก็นับว่ามีส่วนดี แต่การชะลอไว้นับว่าดีที่สุด

..... หรือจะเร่งด่วน ท่ามกลางเศรษฐกิจทรุดฮวบ กองทัพได้ทำสัญญางบผูกพันในยุคเผด็จการครองเมือง ที่ตรวจสอบไม่ได้เลย หากพลังพลาดไป เกิดแผลใหญ่เสียหายขึ้นมาอีก จะให้ใครรับผิดชอบ ในเมื่อ คสช. ได้นิรโทษการกระทำตนเองหมดสิ้นแล้ว !!!

#เปิดประเด็น
https://www.facebook.com/issuesopen
Twitter : @IssuesOpen
Google+ :
https://plus.google.com/+IssuesOpenthailand/posts

ooo





เกิดมาครึ่งชีวิตไม่เคยเจอคลองถม พาหุรัด ประกาศเซ้ง

ตอนมาผ่านวงเวียน22 เจอป้ายประกาศเซ้งรอบเลย

ออกมาเป่านกหวีดอีกสิคะ!!!

Charan Ampornklinkeaw
...

"เชลล์" เตรียมเลิกจ้างพนักงาน 6,500 คน | เดลินิวส์

อ่านต่อที่ : http://www.dailynews.co.th/foreign/338401



หางโผล่ ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง คือ เป้าหลอก




การยุบสภา คือการคืนอำนาจให้กับประชาชน
ผู้ที่ขัดขวางการเลือกตั้งจนกระทั่งเป็นโมฆะ คือโจรที่ดักปล้นอำนาจกลางทาง
การนำอำนาจที่ปล้นมาจากประชาชน ไปให้หัวหน้าโจรเลือกนายกฯเอง
นายกฯที่มาจากระบอบ "เทือกตั้ง" ผู้นั้น ย่อมเป็นผู้ที่ "รับของโจร"ครับ..!!

กำนันสุเทพฯ ที่แท้ก็คือหัวหน้ากบฏโจร ที่รวมหัวกับองค์กรอิสระบางองค์กร ตั้งตนเป็นแก็งค์ปล้นอำนาจประชาชน บังหน้าด้วยการขายฝัน "ปฏิรูปประเทศไทย" ซึ่งวันนี้ "หางโผล่" ตามนิยามที่เพจ "อาณาจักรไบกอน" ได้โพสต์ไว้ จากการกระทำและคำพูด ของนายสุเทพฯเอง

สรุปประเด็นคร่าวๆ ของการประกาศตัวเองเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ มีดังนี้ครับ
- ยึดทรัพย์ตระกูลชินวัตรทั้งหมด
- แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี แล้วนายสุเทพฯจะนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อให้ในหลวงทรงลงพระปรมาภิไธย
- กำนันสุเทพฯจะเป็นผู้รับสนอง พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯเอง
- แต่งตั้งสภานิติบัญญัติขึ้นเอง เพื่อปฏิรูปประเทศ, แก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นๆ
- เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วจึงจะยอมให้มีการเลือกตั้ง

เพจ"อาณาจักรไบกอน" ได้ใช้คำว่า "หางโผล่" นิยามตัวตนของนายสุเทพฯได้ชัดเจนดีครับ นับวันลายยิ่งออกให้เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่าการกระทำของนายสุเทพฯ เป็นการกระทำเพื่อชาติบ้านเมือง หรือว่าเป็นการกระทำเพื่อพรรคการเมืองกันแน่

พรรคประชาธิปัตย์ แพ้ซ้ำซากมาเป็นระยะเวลาสิบๆปี พอมีเหตุให้อ้างเพื่อใช้ในการชุมนุมระดมคน นายสุเทพฯก็ลาออกจากพรรคฯเพื่อมานำม็อบ สัญญาว่าจะชุมนุม 2-3 วันเสร็จไม่ทำให้ใครต้องเดือดร้อน แต่ก็ตระบัดสัตย์ยืดเยื้อมาเป็นเวลา 4-5 เดือนแล้ว ธุรกิจเจ๊งรวมกันเป็นแสนล้านไม่เคยสนใจรับผิดชอบ พอม็อบจุดติดก็ชวนกันลาออกหมดทั้งพรรคฯ จนรัฐบาลต้องยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน มาวันนี้กลับถูกดักปล้นกลางทาง และไม่ยอมให้อำนาจกลับไปสู่มือของประชาชนอีกต่อไป

นายสุเทพฯถือเป็นเทือกเถาเหลากอของพรรคประชาธิปัตย์ครับ เราต้องยอมรับว่าการออกมาป่วนเมืองครั้งนี้ อาจจะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ได้เปรียบและมีคะแนนตีตื้นขึ้นได้บ้าง แต่การแตกหน่อออกมาเป็น กปปส.เพื่อเสนออะไรที่เกื้อหนุนต่อระบอบอำมาตย์ และเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย อย่างรุนแรงเช่นนี้ ย่อมส่งผลให้พรรคประชาธิปัตย์ ไม่สามารถจะรักษาจุดยืนในระบอบประชาธิปไตยได้อีกต่อไป

ในระยะยาวเชื่อว่า พรรคประชาธิปัตย์จะเสียคะแนนเสียงเยอะครับ ถ้าการสู้กันทางความคิดครั้งนี้ หากระบอบประชาธิปไตย พ่ายแพ้ต่อระบอบอำมาตยาธิปไตยอีกครั้ง ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศที่เจริญรั้งท้ายบนเวทีโลก ไปร่วมประชุมที่ไหนนายกฯไทยก็ต้องไปยืนห่อเหี่ยว ไม่สง่าผ่าเผยเหมือนกับประเทศประชาธิปไตย ที่นายกฯมาจากการเลือกตั้ง คนไทยเตรียมอับอายชาวโลกกันอีกครั้งได้เลย

คนที่ได้ดีที่สุดน่าจะเป็นกำนันสุเทพฯครับ เพราะเป็นคนเสนอชื่อนายกฯด้วยตนเอง ย่อมเปรียบเสมือนนายที่มีบุญคุณกับคนที่ตัวเองตั้ง พอตั้งไปแล้วอาจมีการงุบงิบ สั่งการให้นายก"เทือกตั้ง"ผู้นั้น จัดที่สปก. 4-01 อีกสักล้านไร่ อาจปั่นราคาน้ำมันปาล์มขึ้นไปเฉียด 100 บาทกันอีกครั้ง หรืออาจจัดหาเขาที่มันแพงๆ มาครอบครองอีกสัก 4-5 เขาก็ได้ ใครจะรู้..!!

ถ้าเป็นแบบนี้ ท่านว่าที่นายกฯเถื่อน คงจะได้ฉายาใหม่ ไม่ลองโดนดูบ้างไม่รู้หรอกครับ
ท่านว่าที่ "นายกฯขี้ข้าสุเทพ"

เครดิต : อาณาจักรไบกอน
www.facebook.com/bygonreturn

ที่มา FB

Oak Panthongtae Shinawatra


วันพฤหัสบดี, กรกฎาคม 30, 2558

เพจดัง โพสต์รณรงค์ทำดีเพื่อชาติ บอยคอตสินค้า สหรัฐฯ ช่วงเข้าพรรษา ไม่ห้ามเล่น FB หรือใช้ Iphone เพราะเป็นอาวุธในการสู้รบ... Nick Ragan หนับหนุนสลิ่มบอยคอตเมกา อียู



สลิ่ม รักชาติ พวกมึงต้อง บอยข่อต อเมกา
Posted by Nick Ragan on Wednesday, July 29, 2015
https://www.facebook.com/nick.ragan.92/videos/vob.100009337517984/1470425166612053/?type=2&theater

ooo

เริ่มเเล้ว! เพจดัง โพสต์รณรงค์ทำดีเพื่อชาติ บอยคอตสินค้า สหรัฐฯ ช่วงเข้าพรรษา


ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

วันนี้ 30 ก.ค.58 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ใช้เฟสบุ๊กชื่อดัง Siriwanna Jill ซึ่งมักแสดงความเห็นทางการเมือง มีผู้ติดตามมากกว่า 170,000 คน โพสต์ข้อความ เชิญชวนคนไทยให้ยุติการสนับสินค้าที่มาจากสหรัฐอเมริกา เพื่อตอบโต้ต่อความพยายามในการคว่ำบาตรไทย มีข้อความดังนี้

"ทำดีเพื่อชาติ ช่วงเข้าพรรษา งดซื้อสินค้า ที่เป็นสัญลักษณ์ ความเป็นอเมริกัน ในมิติของวัฒนธรรมอเมริกัน ทุนนิยม และประชาธิปไตย ในแบบอันธพาลอเมริกา เลิกเข้าร้าน McDonald , Starbucks , krispykreme etc. ซึ่งเข้ามาเปิดสาขา เพื่อสยายปีก เข้ามาครอบงำ วัฒนธรรมไทย การที่สหรัฐฯ แสดงความไม่พอใจ รัฐประหารของกองทัพไทย และออกมาเป็นตัวตั้งตัวตี ในการคว่ำบาตร และรังแกไทยสารพัด ให้อยู่ที่ Tier 3 หวังล้มล้างการปกครองประเทศ ด่้วยรูปแบบ Arab Spring เหมือนที่เคยทำกับ ตะวันออกกลาง

“เราคนไทยต้องร่วมใจกัน ด้วยการตอบโต้ จุดอ่อนของรัฐบาลสหรัฐฯ คือภาคธุรกิจระดับโลก แค่ยอดขายตก 3 วันกระอักโลหิตตาย ไม่อยู่เฉยแน่ ต้องรีบกดดันรัฐบาล ให้ปรับเปลี่ยนนโยบาย คนไทยต้อง ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง

ขออย่าเข้าใจผิดว่า ต้องเลิกเล่น FB หรือใช้ Iphone เลิกไม่ได้เด็ดขาด เพราะเป็นอาวุธในการสู้รบ เหมือนยุทธภัณฑ์ทางทหาร ที่ไม่มีข้อห้ามว่า ต้องไม่ใช้อาวุธจากสหรัฐฯ ในการทำสงคราม




เรื่องกองกำลังสำรองใน USA

บทความโพสต์อยู่ใน Facebook ส่วนตัว:  เรื่องกองกำลังสำรองใน USA


เห็นมติชนวันนี้ลงข่าว เลยขอโต้กลับหน่อย เพราะการเป็นทหารนั้น อย่าโกหกหรือมั่วข้อมูล โดยเฉพาะการอ้างเรื่องของ USA เกี่ยวกับกำลังสำรอง

(อ้างอิงจากมติชนกลาโหม ย้ำ กม.กำลังสำรอง เพื่อพร้อมรบ-ลดภาระงบกองทัพ อ้าง สหรัฐฯ-ออสเตรเลีย ก็มี 





กองทัพบกไทยกล่าวว่า

".....โดยมีไว้เพื่อบริหารจัดการหมุนเวียนคนในชาติให้มีส่วนร่วมเตรียมความพร้อมในการป้องกันประเทศและการช่วยเหลือประชาชนในภาวะวิกฤตของชาติ ซึ่งประเทศต่างๆ เช่นสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย จีนและประเทศอื่นๆ ต่างก็มีกฎหมายในลักษณะเช่นนี้ เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงแห่งรัฐ อีกทั้งไม่เป็นภาระด้านงบประมาณในยามปกติ...."

----------------------------------------------------

ดิฉันเตยเขียนบทความในเรืองนี้ไว้ อยู่ที่นี่ค่ะ เกี่ยวกับ --> กองหนุนสำรองของ USA


----------------------------------------------------

ขอตอบเป็นข้อๆ นะคะ:

1. ทาง US ไม่มีการบังคับหรือเรียกตัวผู้คน เข้ามาฝึกในกองกำลังสำรอง ไม่ว่าจะเป็นใน Army Reserve หรือ National Guards ทุกอย่างต้องมาจากการอาสาสมัครทั้งสิ้น เพราะเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญด้วย

2. ผู้ชายอายุ 18-2ุ6 ปี จะต้องไปลงทะเบียนที่ Selective Service System เพื่อขึ้นบัญชีไว้ เพราะเป็นกฎหมายบังคับของรัฐบาล เพื่อสวัสดิการต่างๆ ในอนาคต และที่สำคัญคือ ไม่มีการเรียกตัวประชาชนมาเป็นเวลานานกว่า 40 ปีมาแล้ว (ครั้งสุดท้ายก็สมัยสงครามเวียดนาม)

(การขี้นทะเบียนทหารกับ Selective Service System เป็นกฎหมายบังคับของรัฐบาลกลาง เพื่อสิทธิในการกู้ยืมเงินในการเล่าเรียน รวมไปถึงการทำงานในรัฐบาลกลาง และการขอสัญชาติอเมริกันด้วย  แต่ตนเองไม่จำเป็นต้องไปแตะต้องการเป็นทหารแม้แต่วันเดียว และคนที่เป็นคนต่างด้าวหรือถือ Green Card ก็จะต้องไปลงทะเบียนด้วยเช่นกัน)

3. การป้องกันประเทศนั้น เป็นหน้าที่ของทหาร และเรามีพวก Army Reserves ซึ่งเป็นอาสาสมัคร ไม่ใช่การบังคับออกมาเป็นกฎหมายอย่างที่กำลังทำอยู่ในประเทศไทย

4. การช่วยเหลือประชาชนในยามวิกฤตนั้น ทหารจะเข้ามายุ่งกับพลเรือนไม่ได้ เพราะกฎหมายเขามีอยู่ทุกๆ รัฐ เรื่องภายในจะเป็นหน้าที่ของ National Guards หรือ กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ ซึ่งอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของ ผู้ว่าการรัฐ (Governor) ของแต่ละรัฐ ไม่ใช่กระทรวงกลาโหม (Department of Defense) หรือภายใต้การกำกับการของกองทัพใดๆ

National Guards เป็นประชาชนธรรมดา ไม่ใช่ทหาร ติดอาวุธได้ และไปฝึกกันกับฝ่ายทหาร มีทหารบังคับบัญชา แต่ต้องรายงานตัวกับผู้ว่าการรัฐ

ทหารจะเข้ามาจุ้นจ้านในกิจการของพลเรือนไม่ได้ รวมทั้งค่ายทหารจะต้องอยู่นอกเมืองหลวงทุกแห่งค่ะ

5. ใน US นั้น ผู้ที่อาสาสมัครเป็น Reserves จะไปฝึกกันสองสัปดาห์ต่อปี และวันหยุดสุดสัปดาห์ หนึ่งครั้งของทุกๆ เดือน มีเบี้ยเลี้ยงให้ตามกฎหมาย ไม่ใช่ฝึกกัน สองเดือน อย่างนี้ คนที่เป็นผู้ว่าจ้างก็แย่มากๆ (รายละเอียดอยู่ในบทความลิ้งค์ข้างบน) 

การฝีกฝนแบบนี้ เป็นเรื่องดี เพื่อความชำนาญอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ฝึกแล้วลืมเพราะไม่ได้ใช้กันนาน รวมทั้ง อาจจะมีการ upgrade ทักษะ ว่าด้วยเทคโนโลยี่ใหม่ๆ ที่ก้าวหน้าขึ้นมาทุกๆ วันอีกด้วย

ถ้าไม่เข้าใจกฎหมายการเกณฑ์ทหารสำรองใน US ก็น่าจะไปศึกษาบ้าง เพราะใน US เราไม่มีการบังคับเรียกกำลังพลสำรองแน่นอน

ส่วน National Guards นั้น มีการฝึกเหมือนทหาร แต่หลักการจริงๆ นั้น คือ การอาสาสมัครหรือ Volunteers

----------------------------------------------------

คุณจะเห็นได้จาก web ว่า ถ้าอยากจะเป็นสมาชิกของ National Guards ก็ต้องมีคุณสมบัตครบถ้วนอย่างไร...

https://www.nationalguard.com/eligibility

(ใน US เขาก็ไม่ให้อายุเกิน 35 ปี เพราะสภาพร่างกาย)

You cannot be older than 35 years.

อ้างอิงhttp://todaysmilitary.com/joining/army-reserve

----------------------------------------------------

แบบอย่างของประเทศไทย ด้วยการออกกฎหมายบังคับนั้น จะมายกตัวอย่างว่า มีแบบนี้ใน US เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง 100% ค่ะ

ดิฉันไม่ทราบว่า Australia กับ China มีระบบอะไรบ้าง ต้องให้คนที่รู้มาตอบในเรื่องนี้

----------------------------------------------------

ถ้ามีข้อมูลว่า US มีระบบนี้ อยากให้เอามาแชร์ให้เห็นหน่อยนะคะ เพราะเราไม่มีกฎหมายบังคับเรียกคนมาฝึกกันเป็นเวลาสองเดือนอย่างแน่นอน


และถ้ากองทัพบกไทยไม่สามารถหาเอกสารอ้างอิงเกี่ยวกับ US ในเรื่องแบบนี้ได้ ก็หมายความว่า ท่าน "มั่ว" ให้คนฟังแล้วนะคะ


Happy Thursday ค่ะ

Doungchampa Spencer-Isenberg
 —

วัดใจ "บารัค โอบามา" 90 วัน ดาบ 2 "คว่ำบาตรไทย" (29 ก.ค. 58) ดูคลิป ตอบโจทย์ ไทยพีบีเอส




ตอบโจทย์ ไทยพีบีเอส : วัดใจ "บารัค โอบามา" 90 วัน ดาบ 2 "คว่ำบาตรไทย" (29 ก.ค. 58)

ThaiPBS
Published on Jul 29, 2015
ดำเนินรายการโดย : ณัฏฐา โกมลวาทิน

ผู้ร่วมรายการ : คุณกษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

ตอบโจทย์ ไทยพีบีเอสวันนี้ ร่วมพูดคุยในประเด็น...
เบื้องหลังการคงอันดับเทียร์ 3 ค้ามนุษย์ของไทย
เกมการเมืองระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐอเมริ­กา
ท่าทีประธานาธิบดีโอบามากับการคว่ำบาตรไทย

ติดตามชมรายการตอบโจทย์ ไทยพีบีเอส ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 22.00 - 22.30 น. ทางไทยพีบีเอส หรือรับชมผ่านทีวีออนไลน์ทาง http://www.thaipbs.or.th/Live


ประเทศไทยใหญ่คับโลกเหรอ...จึงคิดจะแบนสหรัฐ อียู เพราะเสือกมาแบนสินค้าประมงไทย แถมยังเสือกแถลงการณ์ด่า คสช.อยู่บ่อยๆ




เรื่องที่สลิ่มนกหวีดพันธมิตรหลากสีคิด

เราต้องแบนสหรัฐ เพราะเสือกมาแบนสินค้าประมงไทย แถมยังเสือกแถลงการณ์ด่า คสช.อยู่บ่อยๆ และให้ ICAO มาธงแดงการบินของไทย แถมยังตัดสิทธิ GSP สินค้าไทยอีกต่างหาก ใหญ่มาจากไหนวะ

เราต้องแบนสหภาพยุโรป เพราะเสือกมาแบนสินค้าประมงไทย แถมยังเสือกแถลงการณ์ด่า คสช.อยู่บ่อยๆ ให้ที่พักพิงกับผู้ลี้ภัยมากมาย ไม่ยอมส่งตัวกลับอีกต่างหาก มึงจะเคารพสิทธิมนุษยชนและกติกายูเอ็นมากไปป่ะ ต้องเคารพกฎหมายไทยดิวะ และไม่ยอมมีความสัมพันธ์กับ คสช.อีกต่างหาก ใหญ่มาจากไหนวะ

เราต้องแบนอังกฤษ เพราะแม่งไปเวียดนาม อินโดฯ สิงคโปร์ มาเลย์ฯ แต่เสือกไม่คิดจะทำการค้ากับไทย บักเดวิด คาเมร่อน มันมองข้ามมหาอำนาจแห่งภูมิภาคอย่างเราได้อย่างไรกัน ห้างอังกฤษสินค้าอังกฤษต้องไม่เข้าไม่ซื้อ ที่ส่งลูกไปเรียนอังกฤษอะไรแบบนี้ต้องเรียกกลับให้หมด

เราไทยแลนด์ ตอนนี้ค้าขายกับรัสเซียแล้วไงอีดอก นี่ไงไปซบจีน ค้าขายกับพญามังกรอีดอก ประชากรมหาศาลนะเมิงอย่าดูว์ถืก

*****

เรื่องที่เกิดขึ้นควรพิจารณาให้ดี (แบบไม่สลิ่มฯลฯ)

ไทยโดนสหรัฐและสหภาพยุโรปแบนเรื่องประมงเพราะปัญหาการค้ามนุษย์ ถามว่าทำไมสมัยรัฐบาลก่อนเขาผ่อนปรน อ่อ ก็คือเค้าถือหลักการผ่อนปรนให้ เพื่อให้รัฐบาลวางแผนในการจัดการ (ผมลืมว่าชื่อแนวทางหลักการภาษาอังกฤษเรียกว่าอะไร) เพราะยังไงซะประเทศเหล่านี้เขาก็มั่นใจว่ารัฐบาลพลเรือนจะแก้ปัญหา จึงใช้วิธีผ่อนปรนกันมาตลอด(นานแล้ว) ทีนี้พอมาถึงยุครัฐประหาร นานาชาติเค้าไม่คุยด้วยแล้วไง เพราะเป็นผู้นำรัฐที่ไม่ได้มาจากประชาชน แถมขึ้นชื่อเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชน

สหรัฐก็เลยแบนสินค้าประมงตู้มๆ แถมตัดสิทธิ์ GSP ซะเลย โดยให้เหตุผลว่า GDP ไทยโตขึ้นเลยเส้นยากจนมากแล้วเลยตัดสิทธิ์

อียูก็ทำตามรายงาน มีการค้ามนุษย์ (โรฮิงยานี่ไง). มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน (จับคนในประเทศ ออกกฎหมายตามใจชอบ ฯลฯ และอุยกูร์นี่ไง) มีการรัฐประหาร มีการปรับทัศนคติ มีการล่า 112 สหภาพยุโรปหรืออียู ก็ประกาศงดสังฆกรรมกับไทยทางด้านการเมือง ระงับการเยือน และไม่ให้ไปเยือนด้วยนะ ตั้งแต่ 23 มิ.ย.2557 มติก็คงเดิมมาแต่นั้น ประมงก็แบนไทย GSP ก็ตัดของไทยทำให้สินค้าไทยหลายประเภทเจอกำแพงภาษีเพิ่มขึ้น (+12%)

ไทยนกหวีด ที่ดีใจว่าไทยไปค้าขายกับรัสเซีย เข้ากลุ่มยูเรเซีย ควรรู้ด้วยว่า ตอนนี้ค่าเงินรูเบิ้ลตกไปที่ 60.30 ต่อ $1 ต้องปลดข้าราชการ 1.1 แสนคนเพื่อลดรายจ่าย ราคาน้ำมันยังตกต่ำกว่า $50/barrels ซึ่งสินค้าส่งออกสำคัญที่สร้างรายได้ให้แก่รัสเซียคือน้ำมันและก๊าซ เมื่อราคาตกก็ทำให้รัฐบาลมีรายได้น้อยลำบากเป็นธรรมดา (ปล.เศรษฐกิจรัสเซียใหญ่เทียบเท่าแค่รัฐเท็กซัสของสหรัฐแค่รัฐเดียวเท่านั้นแหละ)

จีนเองที่จะไปซบตั้งแต่สองสัปดาห์ก่อน ที่ตลาดหุ้นปั่นป่วน นี่ก็ซรวนซวนเซอยู่เลย

แล้วไทยจะหันหน้าไปไหน ???

- ขอกู้ IMF ก็ไม่ได้เพราะเขามีเงื่อนไขห้ามรัฐบาลเผด็จการกู้ เขากลัวก่อหนี้แล้วทิ้งให้รัฐบาลพลเรือน หรือเกิดเอาเงินไปใช้มั่วตั้ว จะกลายเป็นเอาเงินไปให้เผด็จการคอรัปชั่น การหากู้จึงตกไป

- จะเปิดคู่ค้าใหม่ แถบแคริบเบียน หรืออเมริกาใต้ เขาก็มีคาใจไทยจากกรณีโรฮิงยา ตอนนั้น ปธน.เอกวาดอร์ออกมาประกาศรับช่วยเหลือ พอเขาเห็นไทยไม่ช่วยโรฮิงยาตอนนั้น คิดว่าสหพันธ์ประเทศกลุ่มอเมริกาใต้เค้าจะเอากับไทยมั้ยล่ะ

- เปิดคู่ค้าใหม่ประเทศตะวันออกกลาง ก็คงไม่น่าจะทำการค้ารอดเท่าไหร่ จาก
1) กรณีอุยกูร์ ที่ส่งคืนจีนเป็นการเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความรังเกียจคนไทยในใจชาวตุรกีที่กระจายอยู่ทั่วโลก
2) กรณีละเมิดสิทธิชาวมุสลิมสามจังหวัดชายแดนใต้ กรณีนี้มีรายงานมากมาย ยิ่งทหารมาก ยิ่งวุ่นไม่รู้ทำไม
3) กรณีโรฮิงยาตอนนั้นชาติมุสลิมหลายชาติยื่นเสนอความช่วยเหลือ อย่างที่ทราบคือเราให้หันหัวเรืออกไปจากไทย
4) กรณีของซาอุลดความสัมพันธ์กับไทยเหลือแค่ระดับเลขานุการโท

จะหันหน้าหาชาติมุสลิมก็บอกเลยว่า "ยาก"

- หรือจะเปิดคู่ค้าใหม่ทางแปซิฟิค หรือโอเชียเนียบ้าง อันนี้ก็ยากนะอย่างรัฐบาลออสเตรเลียและนิวซีแลนด์เขาก็ชัดเจนว่า ไม่ยุ่งวุ่นวายด้วยกับรัฐบาลเผด็จการทหาร

คสช.หันไปทางไหน ใครๆ ก็ไม่รัก
มันสำนึกตัวเองบ้างรึเปล่าหว่าว่าบริหารไม่เป็น
และไม่มีใครคบ ดังนั้นรีบๆลาออกไปเสียเถิด
คืนอำนาจให้ประชาชน

สำหรับสลิมนกหวีดพันธมิตรหลากสี ที่กำลังเชียร์ค.ส.ช. อยู่อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู ปิดหูปิดตาเชียร์อย่างบ้าคลั่ง หวังว่าจะได้แย้มกะลา มาอ่านข้อความนี้แล้วเกิดสติปัญญาบ้าง หากเกิดปัญญาแม้สักเล็กน้อยก็คงดี


Wanchalearm Satsaksit



ooo


Atukkit Sawangsuk

เช้ามาเห็นหัวข่าวไทยรัฐ
"สื่อนอก-เอ็นจีโอแฉ มะกันให้ไทยคงเทียร์ 3 อ้างมาตรการไม่พอ"
หัวข่าวไทยโพสต์
"เปลือยอันธพาลโลก ถลกสหรัฐเล่นการเมืองทุบไทย/สว.มะกันแฉบารัค"

ตอนแรกหลงปลื้มใจ โห มี สว.มะกัน สื่อนอก NGO ช่วยเรียกร้องความเป็นธรรมให้พี่ไทย
ที่ไหนได้ เขาประท้วงว่าทำไมมาเลย์กับคิวบาติดเทียร์ 2
อ่านข่าวจนปวดตา หาไม่เจอว่าใครประท้วงแทนไทยไม่ควรได้เทียร์ 3



โถ พูดอย่าง พล.ทท.นันทเดชดีกว่า เราจัดอันดับให้ไอ้กันมั่ง ให้ติดเทียร์ 4-5 ไปเลย แจกใบแดงอียูด้วย แล้วบอยคอตต์ไม่นำเข้าสินค้ามัน 555 (จริงไม่กลัว กลัวไม่จริง เห็นแต่พวกคนชั้นกลางระดับบนคนมั่งมีนี่ละ ใช้สินค้ายุโรปอเมริกา เที่ยวยุโรปอเมริกา พวกเสื้อแดงพวกชั้นกลางชนบทเคยใช้ที่ไหน)

...



ห่วงตัวมึงเองเถอะ ไอ้พวกที่บอกจะแบน มันยังใช้ facebook ใช้โทรศัพท์ Apple อยู่เลย เค้าไม่ซื้อข้าวบ้านเรา เค้าแบนเรานี่แหละเรื่องใหญ่ สินค้าของเขามีขายทั่วโลกและเป็นที่นิยมทั่วโลก ไม่ได้ขายแค่ประเทศไทยเขาคงไม่แคร์หรอก. ห่วงว่าเค้าจะแบนไทยดีกว่ามั้ง

พวกมึงกลัว ไอ้กัน มันจะอายัดทรัพยสินพวกมึงในต่างประเทศ แบบพม่า อิหร่าน สิ ถึงได้ออกอาการปอดแหก เมื่อวานยังเห่าเสียงดัง พอวันนี้เริ่มหงอย แหละ

รวมคลิปเด็ด V.2

...



เศรษฐกิจทำพิษ!!! 6 เดือน ลอยแพแรงงานแล้ว 3.2 แสนคน!!! น่าจะรู้แล้วนะว่าบริหารประเทศมันไม่ง่าย!!!



เศรษฐกิจทำพิษ!!! 6 เดือน ลอยแพแรงงานแล้ว 3.2 แสนคน!!!

ที่มา Ispace Thailand
BY BOURNE
ON JULY 28, 2015

ผลจากสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ในช่วงปีนี้ ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงานได้เปิดเผยว่า ในช่วงเวลา 6 เดือนแรกของปี 2558 ภาคแรงงานได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ตกต่ำอย่างมาก โดยมีการเลิกจ้างแรงงานแล้วกว่า 37,714 คน มีผู้ว่างงานรวม 324,774 คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

นายวรานนท์ ปีติวรรณ รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กระทรวงแรงงานกำลังติดตามสถานการณ์แรงงานอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงนี้ที่เริ่มมีกระแสการเลิกจ้างและปลดลูกจ้างแรงงาน ขณะเดียวกันก็เฝ้าระวังกลุ่มธุรกิจและอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยง และอาจได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ อย่างกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีฐานการผลิตในประเทศไทย และเป็นกลุ่มที่มีผลต่อสภาพเศรษฐกิจโดยรวม รวมทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์



ส่วนการเลิกจ้างของบริษัท ซัมซุง อิเล็คโทร-แม็คคานิคส์ นครราชสีมา จำกัดนั้น ก่อนหน้านี้ กสร.ได้รับหนังสือชี้แจงจากบริษัทดังกล่าวว่า ได้ประกาศเลิกจ้างพนักงานแล้วเบื้องต้น 1,365 คน เมื่อวันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยเริ่มมีพนักงานที่ถูกเลิกจ้างทยอยยื่นแบบขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน รวมถึงเงินพิเศษตามอายุงานแล้วตามลำดับ และคาดว่าจะมีพนักงานของบริษัท ซัมซุง ถูกเลิกจ้างเพิ่มอีก 800 คน ในวันที่ 30 ส.ค.นี้



โดยบริษัท ซัมซุง อิเล็คโทร-แม็คคานิคส์ นครราชสีมา จำกัด นี้เป็นโรงงานผลิตมอเตอร์ฮาร์ดดิสก์ คอมพิวเตอร์ ป้อนส่งโรงงานต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งอุตสาหกรรมประเภทอิเล็กทรอนิกส์มียอดการสั่งผลิตลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้บริหารบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมนี้มีการตัดสินใจปิดกิจการ และลดจำนวนพนักงานอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

ด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ก็ทยอยปลดพนักงาน โดยภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์นั้นยอดจำหน่ายในช่วง 5-6 เดือนแรกของปีนี้ที่เติบโตลดลงไป 15-16%

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธาน ส.อ.ท. กล่าวถึงกรณีการเลิกจ้างงานของบริษัทซัมซุง อิเล็คโทร-แม็คคานิคส์ นครราชสีมาว่า เป็นปกติของธุรกิจที่มีการเพิ่มหรือลดพนักงาน และที่ผู้ประกอบการบางส่วนย้ายฐานการผลิตไปเวียดนาม ส่วนหนึ่งมาจากได้สิทธิประโยชน์ทางการค้ามากกว่าที่ไทย ทั้งนี้ เอกชนยังต้องการให้ภาครัฐพิจารณาเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อช่วยเรื่องสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ซึ่งยังไม่มีความคืบหน้า


สำหรับสถานการณ์การเลิกจ้างแรงงานในปี 2558 นั้น ตั้งแต่เดือน ม.ค.-มิ.ค. 2558 มีแรงงานถูกเลิกจ้างรวม 37,714 คน แยกเป็นเดือน ม.ค.เลิกจ้าง 7,810 คน เดือน ก.พ. 6,279 คน เดือน มี.ค. 5,109 คน เดือน เม.ย. 6,395 คน เดือน พ.ค. 5,781 คน และ เดือน มิ.ย. 6,340 คน ซึ่งสาเหตุที่ทำให้นายจ้างมีการเลิกจ้างแรงงานมากที่สุด คือ ปิดกิจการ 37.68% และ นายจ้างลดจำนวนพนักงาน 35.93%

ส่วนยอดตัวเลขของผู้ว่างงานในปี 2558 ตั้งแต่เดือน ม.ค.-มิ.ค. 2558 มีผู้ตกงานรวม 324,774 คน แยกเป็น เดือน ม.ค. 45,705 คน เดือน ก.พ. 54,081 คน เดือน มี.ค. 50,181 คน เดือน เม.ย. 52,648 คน เดือน พ.ค. 60,499 คน และ เดือน มิ.ย. 61,660 คน โดยตัวเลขการเลิกจ้าง และการว่างงานทั้งหมดเป็นข้อมูลของจากผู้ว่างงาน และถูกเลิกจ้างที่ขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนขอรับผลประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน กองวิจัยตลาดแรงงาน กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน


จากภาพรวมของการเลิกจ้าง และจำนวนผู้ว่างงานใน 6 เดือนแรกของปี 2558 ถือว่ามีภาวะที่น่าเป็นห่วงเพราะมีอัตราที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากการเลิกกิจการ และปรับลดพนักงานเป็นสำคัญ นอกจากนี้ข้อมูลตัวเลขผู้ว่างงาน 3.2 แสนคน นั้นยังเป็นเพียงตัวเลขของแรงงานที่เป็นผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ที่มาขอรับผลประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานเท่านั้น ไม่รวมถึงภาคแรงงานนอกระบบ รวมถึงประชาชนในภาคเกษตรกรรมที่ไม่ได้ถูกจัดอยู่ในระบบของกรมแรงงาน แต่ทั้งนี้ก็ล้วนได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ทำให้รายได้ลดลงหรือไม่มีรายได้ในช่วงเวลานี้!!!

อย่างไรก็ตาม แม้สภาพเศรษฐกิจของไทยในยุครัฐบาล คสช. จะย่ำแย่ถึงเพียงนี้ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ยังคงมองว่าตนเองและคณะรัฐมนตรีทำงานอย่างเต็มที่แล้ว โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “1 ปีที่ผ่านมาการทำงาน ถ้าพัฒนาไม่เยอะ คงไม่เดินหน้ามาขนาดนี้ วันนี้ทุกคนทำงาน ที่ผ่านไม่มีใครไปไล่การทำงานเท่านี้ ทำกันขนาดนี้ยังได้แค่นี้เลย ถ้าสถานการณ์เป็นแบบเดิม สิ่งต่างๆที่แก้จะเป็นแบบนี้หรือไม่ จะดีขึ้นหรือไม่”


นอกจากนี้พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวปกป้องคณะรัฐมนตรีสายทหารว่า “ทำไม ใครที่เป็นมืออาชีพ ที่ผ่านมามืออาชีพทำมาตั้งนานแล้ว แล้วได้อะไรขึ้นมาบ้าง ทหารมันโง่นักหรือไง วันนี้ต้องยอมรับว่าทหารเข้ามาต้องเข้ามา ทหารไม่ได้โง่นักหรอก การทำงานที่ผ่านมาเขาก็ทำกันแบบนี้ ข้าราชการเขาก็ทำงาน ไปถามนักการเมืองด้วยว่าทำกันหรือเปล่า วันนี้สั่งงานทุกเม็ด แต่อยู่ที่ข้าราชการทำได้แค่ไหน ไม่ใช่อยู่ที่ใครเข้ามามีฝีมือหรือไม่มีฝีมือ ตนไม่เชื่อตรงนั้น เพราะคิดว่าไม่ต่างกัน ไม่มีอะไรต่างกัน”




ก็น่าสนใจว่า รัฐบาล คสช. ที่มีคณะนายทหารเป็นรัฐมนตรีจำนวนมากชุดนี้ จะสามารถนำพาประเทศพ้นวิกฤติทางเศรษฐกิจไปได้หรือไม่ หรือแม้ว่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรี แต่คณะรัฐมนตรีใหม่ที่เข้ามาร่วมรัฐบาลก็น่าจะเป็นบุคคลที่มีความใกล้ชิดกับคณะนายทหารชุดนี้ ซึ่งไม่น่าจะสามารถสร้างความแตกต่างได้แต่อย่างใด อย่าลืมว่าที่ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจมากมายเช่นทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการยึดอำนาจ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ น่าจะรู้แล้วว่าบริหารประเทศมันไม่ง่าย!!!

ooo




กิตติรัตน์ ณ ระนอง ฝาก บิ๊กตู่ ศก.ไม่ดี อะไรควรก็รีบ ๆทำซะ อย่าช้า

matichon tv

Published on Jul 28, 2015
Matichon TV นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าถึงกระแสการปรับครม.ของรัฐบาลประยุทธ์ ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นอำนาจของพล.อ.ประยุทธิ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการตัดสินใจ อย่างไรก็ตาม รู้สึกเป็นห่วงภาวะเศรษฐกิจของประเทศในภาพ­รวม ซึ่งไม่ดีเลย ดังนั้น การแก้ไขอะไร เพื่อให้เศรษฐกิจดีขึ้นไม่ว่าจะอยู่ข้างไห­น หรือฝ่ายไหน ทุกคนก็อยากให้เศรษฐกิจดีขึ้น ทั้งนี้ ขอฝากคนที่มีอำนาจตัดสินใจด้วยว่า จะทำอะไรก็รีบๆทำ


ทำอย่างไร? จะไม่เสียของ




ที่มา เพจ
ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี


ทำอย่างไร? จะไม่เสียของ

จนได้ ที่สุดสหรัฐฯ ก็จัดลำดับการค้ามนุษย์ของประเทศไทยให้อยู่ในระดับเทียร์ 3 ต่ำสุดต่อไปอีกปี พูดกันตรงๆ ผมก็มองเห็นรัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหามากอยู่ เพียงแต่มันยังไม่พอเท่านั้นเอง หากจะให้ผมเดาว่าเกิดอะไรขึ้น ผมจะขอเดาว่าเขาคงไม่เชื่อว่าเป็นการแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืน (sustainable) นะซิ การแก้ไขโดยรัฐบาลจากการปฏิวัติรัฐประหารจะถือป็นบรรทัดฐานว่ายั่งยืนยืนได้อย่างไร เครื่องมือทางกฎหมาย เช่น ม. 44 คงไม่มีชาติไหนเขายอมรับเป็นมาตรฐานได้ ผู้ที่กระทำความผิดก็จับแต่หัวหน้า แต่ลูกน้องอีกมากพะเลอกลับรอด แต่เอาเป็นว่าผมขอให้กำลังใจทุกท่านทำต่อไป เพราะเรื่องทาสนี้มันควรจบไปจากประเทศไทยนานแล้ว ที่มันยังมีอยู่ก็เพราะพวกทำนาบนหลังคน (ไม่ต้องรอฝน) ผมก็ขอแช่งให้ตกนรกทองแดงก็แล้วกัน

ที่เป็นห่วงอยู่ก็คือเรื่องประมง ขอยืนยันว่าลูกศิษย์ลูกหาผมทำงานกันหามรุ่ง กองทัพเรือเองก็ควรได้รับการชมเชย แต่หาก EU เขาเกิดรังเกียจรัฐบาลปฏิวัติขึ้นมา(แบบเดียวกับสหรัฐฯ) มีหวังเราคงซวยแน่นอน ผมคงไม่กล้าถามหรอกครับว่า รัฐบาลจะอยู่อีกนานเท่าไร แต่ว่าอยู่อีกสั้นๆน่ะ ดีที่สุด

อีกเรื่องที่ร้อนๆหนาวๆ แทนเพื่อนพ้องที่เป็นเสนาบดีทั้งหลาย สถานการณ์แบบนี้ไม่ดีหรอกครับ ในฐานะเป็นปลัดกระทรวงและอธิบดีมานาน ลือกันอย่างนี้ไม่มีใครทำงานแน่ เพราะจะเดาว่าคนสั่งจะไม่เอาอยู่แล้ว สำหรับรัฐมนตรีเอง ผมก็ว่าคนไม่อยากทำงานเท่าไร เผลอๆ อาจไม่อยากเจอใครเพราะกลัวเขาไม่ตามไม่เชื่อฟัง ผมว่าท่านนายกฯมีอำนาจเต็มที่อยู่แล้วจะเอาอย่างไรก็ว่าไปเลย ที่ลากยาวมานี้เห็นแค่โพลคนทำงานก็แทบหมดกำลังใจแล้ว ปัญหาที่ผมเห็นก็คือหากเปลี่ยนจะเอาใครมา ไอ้ที่อยากมาน่ะ เก่งจริงหรือ และพวกที่อยากให้เขามาเขาจะมาหรือ

เมื่อคืนดู CNN ถ่ายทอดประธานาธิบดีสหรัฐฯ Obama กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมผู้นำอัฟริกาที่ เอธิโอเปีย ท่านให้คำอธิบายหลักการประชาธิปไตยได้น่าฟัง (บางคนคงไม่อยากฟัง) ท่านย้ำเน้นถึงสิทธิ เสรีภาพและความเท่าเทียมกันของพลเมือง ท่านบอกว่าเสรีภาพจะมาแลกกับความมั่นคงไม่ได้(ไทยว่าไงครับ) ท่านเรียกร้องการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ ยุติธรรมและโปร่งใส (ผมขอแถมไม่มีการปิดล้อมหน่วยเลือกตั้ง) ท่านให้ความสำคัญเป็นกติกาว่า ประชาชนและสื่อจะต้องสามารถแสดงออกถึงความคิดเห็นต่างๆได้อย่างเป็นอิสระ (ไม่ทราบว่าการเชิญไปปรับทัศนะคติเข้าข้อนี้หนือเปล่า) ผมอยากถามท่านทั้งหลายว่าประชาธิปไตยแบบไทยๆน่ะเป็นอย่างไร อยากให้ลองเปรียบเทียบกับที่ท่านประธานาธิบดีสหรัฐฯ ท่านว่าไว้อะไรมันจะดีกว่ากัน

เรื่อง Tier 3 ก็ดี เรื่อง IUU ประมงก็ดี หากจะแก้ทางการเมืองให้เบ็ดเสร็จ คืนอำนาจให้ประชาชนเถิดครับ ทำรัฐธรรมนูญให้อยู่ในหลักนิติธรรมและนิติรัฐ จัดเลือกตั้งให้ประชาชนเขาได้เลือกคนเลือกนโยบายที่เขาชอบเขาพอใจ ทำเท่านี้แหละครับของจะไม่เสีย
ooo


ooo




โดย Pipob Udomittipong 

ผลการถูกจัดอันดับรั้งท้ายในแง่การแก้ปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานทาส ทำให้ไทยตกขบวนเข้าร่วมเป็นคู่สัญญาความตกลงการค้าใหญ่สุดในภูมิภาคอย่าง Trans-Pacific Partnership (TPP) แน่นอน เพราะกฎหมายของสหรัฐฯ (Trade Promotion Authority - TPA) ที่แก้ไขล่าสุด ห้ามไม่ให้รัฐบาลสหรัฐฯ เจรจากับประเทศที่ติดแบล็คลิสต์ Tier 3 ตามรายงาน TIP ไม่ต้องแปลกใจ มาเลย์เร่งแก้ไขปัญหานี้เพื่อให้หลุดจากแบล็คลิสต์ Tier 3 เพื่อจะได้เดินหน้าเจรจาเงื่อนไข TPP กับสหรัฐฯ

TPP เป็นสัญญาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับอีกหลายสิบประเทศ มูลค่าการค้าประเทศเหล่านี้รวมกันเกือบครึ่งหนึ่งของโลก ประเทศที่เข้าร่วม TPP แถว ๆ นี้ นอกจากมาเลย์ ก็มีเวียดนาม สิงคโปร์ บรูไน ฟิลิปปินส์ “quid pro quo” ประเทศที่เข้าร่วม TPP ต้องปรับปรุงมาตรฐานด้านแรงงาน ส่งเสริมเสรีภาพคนงาน เพื่อแลกกับการส่งสินค้าไปขายในสหรัฐฯ ด้วยอัตราภาษี 0% เวียดนามเป็นประเทศหนึ่งที่น่าจะได้ประโยชน์มาก (จากการส่งออกเสื้อผ้าและรองเท้าปีละกว่าหมื่นล้านเหรียญไปสหรัฐฯ)

ส่วนไทยฝันหวานไปก่อน อย่างน้อยต้องให้หลุดจาก Tier 3 ที่แย่คืออุตสาหกรรมส่งออกอาหารทะเล ซึ่งเราเป็นหนึ่งในสิบผู้ส่งออก seafood รายใหญ่สุดของโลก ปีหนึ่งมีมูลค่าส่งออก 7 พันล้านเหรียญ จ้างงานกว่าสามแสนคน สหรัฐฯ เป็นตลาดใหญ่สุดของเรา (1.7 พันล้านเหรียญ/ปี) แต่ที่ผ่านมาเพราะปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานทาสนี่แหละทำให้การนำเข้าขอสหรัฐฯ ไม่กระเตื้องขึ้นมา รายงาน TIP รอบนี้ กระทบหนักแน่นอน ยิ่งถ้าเจอคว่ำบาตรด้วยละก็...
http://www.stopillegalfishing.com/news_article.php?ID=1549
https://fas.org/sgp/crs/misc/R43491.pdf
http://thediplomat.com/…/what-the-trans-pacific-partnershi…/
http://www.vox.com/…/…/what-is-the-trans-pacific-partnership

ooo



สื่อไทยออกเเต่ข่าวเมืองไทยได้ Tier 3 จาก สหรัฐ เเต่ยังไม่มีใครรายงานสาเหตุที่ทำไมเมืองไทยยังได้ Tier 3 เเต่มาเลย์เซียได้ Tier 2 

AP มีรายงาน ที่อาจเป็นสาเหตุ

Credit เพจ CSI LA



คลิปจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ วิเคราะห์การเมืองไทย และเล่าถึงความเลวร้ายของ คสช. ในงานคนไทยแอลเอ ร่วมฉลอง 66 ปี วันเกิด ดร.ทักษิณ ชินวัตร



ท่านจารุพงศ์ เลขาธิการเสรีไทย & คนไทยแอลเอ ร่วมฉลอง 66 ปี วันเกิด ดร.ทักษิณ ชินวัตร

มหาวิทยาลัย ประชาชน Official

Published on Jul 27, 2015
ท่านจารุพงศ์ เลขาธิการเสรีไทย & คนไทยแอลเอ ร่วมฉลอง 66 ปี วันคล้ายวันเกิด ดร.ทักษิณ ชินวัตร 26 กรกฎาคม 2558 โดย ท่านจารุพงศ์ได้วิเคราะห์การเมืองไทยด้วยค­วามห่วงใย และเรียกร้องให้คนไทยทั่วโลก ร่วมมือกับองค์การเสรีไทย เพื่อเปลี่ยนระบอบ
https://youtu.be/YcStl2u7NHo

ooo






วันพุธ, กรกฎาคม 29, 2558

มโนสำนึกของอานนท์ อำภา เรื่อง ที่ไปฟ้อง คสช. ด้วย มาตรา ๑๑๓ นั้นทำไปทำไม - กลุ่มพลเมืองโต้กลับ เชิญชวน เจอกันที่ศาลอาญา 13.30 น 30 กค. อุทธรณ์คำสั่งศาล ไม่รับฟ้องพล.อ.ประยุทธ์และคสช.




บ่อยครั้งที่ฉันถามตัวเองว่า ที่ไปฟ้อง คสช. ด้วย มาตรา ๑๑๓ นั้นทำไปทำไม ทำไปศาลก็ไม่รับพิจารณากลับจะพิพากษาให้การกระทำที่ผิดกฎหมายกลายเป็นไม่ผิดกฎหมาย ทำไปมิเท่ากับเป็นการยืนยันหรือสร้างตราประทับให้ คสช. เกิดความชอบธรรมหรือ ?

แต่ "คำตอบ" ที่อึงอลในมโนสำนึกทุกครั้งมันบอกฉันว่า การตั้งเรื่องฟ้อง คสช. นั้นมันเป็นการยืนยันสำหรับมโนสำนึกของฉันเองว่า มันผิด !!! การปล้นอำนาจไปจากประชาชนนั้นมันผิด และไม่อาจมีการยืนยันหรือตราประทับใดทำให้การกระทำที่ผิดมันเป็นถูกได้

วันนี้มหาพายุกำลังพัด เราไม่อาจมองเห็นหลักชัยได้ แต่หากเรายืนหยัดอยู่ด้วยความมั่นคง เมื่อพายุมันสงบลง เราจะเห็นหลักชัย และเดินไปที่หลักชัยร่วมกัน

อานนท์ อำภา
...



ที่มา บีบีซีไทย

กลุ่มพลเมืองโต้กลับ อุทธรณ์คำสั่งศาล ไม่รับฟ้องพล.อ.ประยุทธ์และคสช. ข้อหาล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย

นายอานนท์ นำภา ทนายความของกลุ่มพลเมืองโต้กลับเปิดเผยกับบีบีซีว่า วันนี้ตนและสมาชิกกลุ่ม ได้เดินทางไปยื่นอุทธรณ์คดีที่กลุ่มได้ยื่นฟ้องพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชากับพวกซึ่งเป็นสมาชิกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.รวม 5 คน ในข้อหากบฏ เป็นการอุทธรณ์คำสั่งของศาลอาญา ที่มีคำสั่งไม่รับฟ้องไปเมื่อวันที่ 29 พ.ค. ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ นายพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ สมาชิกกลุ่มพลเมืองโต้กลับ และพวกซึ่งเป็นกลุ่มพลเมืองโต้กลับ รวม 15 คน ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กับคนที่เหลือที่ประกอบด้วยพล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ในข้อหาร่วมกันใช้กำลังขู่เข็ญประทุษร้ายและล้มล้างเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ อันเป็นความผิดฐานกบฏ และยังได้ออกคำสั่งในนามคสช.หลายฉบับ อันเป็นการละเมิดสิทธิ์และเสรีภาพของประชาชนและสื่อมวลชน ทำให้โจทก์ทั้ง 15 คนได้รับความเสียหาย จึงขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 113 และ 114

นายอานนท์ระบุว่า วันนี้ได้ดำเนินการยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฟ้องดังกล่าว และศาลนัดมาฟังคำสั่งในอีก 5 วันข้างหน้า

"การที่ศาลมีคำสั่งไม่รับฟ้องโดยอาศัยเหตุที่ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ และคสช. ได้รับการนิรโทษกรรมไปตามบทบัญญัติมาตรา 48 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ. 2557 แล้วนั้น ทางกลุ่มเห็นว่าศาลในระบบประชาธิปไตยไม่ควรยอมรับอำนาจจากการรัฐประหาร”

นายอานนท์ยังระบุด้วยว่า การที่ศาลชั้นต้นใช้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญซึ่งทำให้มีขึ้นโดยผู้ที่ทำรัฐประหารมายกเว้นการรับผิดให้แก่ผู้ถูกฟ้องทั้งห้านั้นเป็นการไต่สวนพิจารณาคดีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย


ทักษิณไหน...บิ๊กตู่ จำ ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้ ...ลืมไปแล้ว




บิ๊กตู่ จำ ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้ ...ลืมไปแล้ว
matichon tv

Published on Jul 29, 2015
Matichon TV เมื่อเวลา 12.30 น. ที่กระทรวงอุตสาหกรรม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่­งชาติ(คสช.) ยังกล่าวถึงกระแสข่าว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยินดีมาเป็นที่ปรึกษา รัฐบาล

ooo


"ใครนะ ผมลืมไปชื่อนี้ไปแล้ว" ...จาก ประยุทธ์ ถึง ทักษิณ....




"บิ๊กตู่" วอนทุกคนให้เวลา ขรก.ทำงานบอกไม่ใช่สั่งปุ๊บได้ปั๊บ เพราะต้องเห็นใจเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านประเทศทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน ยันไม่รู้เรื่อง "สมคิด" แจ้งไม่เข้าร่วม ครม. ส่วน "แม้ว"อาสา เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ บอกลืมชื่อนี้ไปแล้ว

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า ที่ก.อุตสากกรรม

โดยได้กล่าวชื่นชมการดำเนินงานของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยระบุว่าเรื่องบางเรื่องต้องให้เวลาข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทำงานด้วย ที่สำคัญต้องเข้าใจวัฒนธรรมและธรรมเนียมการปฏิบัติของข้าราชการเพราะเขาต้องรักษากฎกติกาให้มากที่สุด เพราะจะให้พลาดพลั้งไม่ได้ ถ้าจะพลาดพลั้งก็เป็นเพราะใครเป็นคนสั่งให้เขาทำพลาด และโทษต่างๆ ก็ตกมาอยู่ที่ข้าราชการประจำทั้งสิ้น

"ก็ต้องเห็นใจและเราต้องปรับความเข้าใจกันทั้งหมด เพราะช่วงนี้เป็นช่วงแห่งการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่อนาคตที่รุ่งโรจน์ เพราะฉะนั้นอย่าไปฟังไอ้คนที่ออกมาพูด ที่เคยอยู่มาแล้ว แล้วไม่ทำ ทำไม่สำเร็จแล้วมาพูดว่าเราอยู่ทุกวันก็ไปว่าคนพวกนั้นบ้างสิ คนทำงานโดนทุกวันมันไม่ได้"

พล.ประยุทธ์ กล่าวว่า การทำงานต่อจากนี้ทุกคนต้องร่วมมือกันไม่ว่าจะเป็นข้าราชการการเมือง ข้าราชการประจำ ประชาชน ทุกคนต้องเตรียมความพร้อมเพราะในวันหน้าการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยเขาต้องมาอยู่แล้ว ทุกคนจึงต้องเตรียมความพร้อม

"ผมไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร เราต้องเร่งสร้างประเทศให้มีความเข้มแข็งไม่ว่าจะใครนักการเมือง ข้าราชการ ประชาชนทุกหมู่เหล่าเป็นเจ้าของประเทศนี้ทั้งนั้น เราจะมาทำลายประเทศนี้กันทำไม ที่ผ่านมาเราก็แย่อยู่แล้ว วันนี้ต้องช่วยกันเร่งทำทุกอย่างให้ดีขึ้น

โดยเร็ว ยอมรับว่ามันไม่ทันใจไม่เหมือนกันกับพอกลับไปบ้าน นอนตื่นขึ้นมาแล้ว เอาตังค์จากกระเป๋าซ้ายย้ายไปกระเป๋าขวาแล้วจบ มันไม่ใช่"

การทำงานเรามีหลายกระทรวง หลายหน่วยงาน กฎหมายกี่พันฉบับก็ต้องทำงานด้วยความระมัดระวัง แต่ก็ต้องเร็วเข้มงวดว่าจะลดขั้นตอนตรงไหนได้บ้าง อันไหนที่ต้องร่วมมือกันต้องมาคุยกัน

"แต่วันนี้เป็นช่วงของการเปลี่ยนผ่านมันอาจจะติดขัดบ้างและข้าราชการก็ไม่ใช่คอมพิวเตอร์ พอกดปุ๊บแล้วจะออกมาเลย แต่ถือว่ารัฐบาลนี้ทำเร็วที่สุดกว่าทุกรัฐบาล"

พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงกระแสข่าวที่ระบุว่า นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษา คสช.ด้านเศรษฐกิจ ได้แจ้งว่าไม่ขอรับตำแหน่งใดๆ ในการปรับ ครม.ครั้งนี้กับผมว่า "ใครแจ้ง ผมยังไม่เห็นเลย ไม่รู้เรื่องว่าจะรับหรือไม่รับ แล้วยังไม่เห็นว่าผมจะตั้งใครเข้ามาเลยที่มีข่าวออกมาขอถามว่า ใครแจ้ง แล้วแจ้งกับใคร ผมเองยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย เขาแจ้งผ่านสื่อมาหรือ ข่าวเรื่องนี้มาจากไหน แหล่งข่าวเป็นใคร ประเภทแหล่งข่าวสภากาแฟของพวกสื่อ อย่าไปสนใจมากนัก มันพูดเรื่อยเปื่อย ตั้งได้ทุกวันนั่นแหละ ถ้ามีข่าวปลดนายกฯ เมื่อไหร่แล้วค่อยมาถามผม"

เมื่อถามถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เสนอตัวเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจให้กับรัฐบาลนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้หันมาหาผู้สื่อข่าวแล้วทำท่าเป็นไม่ได้ยิน ก่อนจะยกมือป้องหูพร้อมถามกลับว่า "ใครนะ ผมลืมไปชื่อนี้ไปแล้ว"

ก่อนที่จะเดินออกจากวงให้สัมภาษณ์ไปทันที
ที่มา เพจ Wassana Nanuam

18 ก.ค. 2558


ครม. ตู่ ๒ ไม่ต้องห่วงไรแล้ว อย่างน้อยได้ ‘แม้ว’ ออกปาก




ครม. ตู่ ๒ ไม่ต้องห่วงไรแล้ว อย่างน้อยได้ ‘แม้ว’ ออกปาก

“บอกมา ถ้าอยากให้ไปช่วย” แก้ไขเศรษฐกิจ อดีตนายกฯ ส่งซิก

(http://www.komchadluek.net/detail/20150728/210574.html)

ถึงจะมี ‘สมคิด’ (จาตุศรีพิทักษ์) จ่อรอไว้แล้ว ก็ใช่จะดีกว่า ‘หม่อมอุ๋ย’

อย่างไรเสีย ข้าวยากหมากแพงคราวนี้เห็นทีจะฟื้นยาก หากคิดตามนักวิเคราะห์จากโซเชียลมีเดียรายนี้

Harit Mahaton เขียนไว้บนเฟชบุ๊ค ต้องลองอ่านของเขาดู

…ตอนนี้จะเปลี่ยนรัฐมนตรีเศรษฐกิจมากี่คนก็ไม่มีประโยชน์ เพราะรากของปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้เกิดจากเนื้อแท้ของกลไกทางเศรษฐกิจไทยที่ไม่ดี แต่เกิดจากปัญหาทางการทูต และการเมืองล้วนๆ ไปเอาพระเจ้าที่ไหนมาเป็น รมต. ก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ก็ลองคิดดูว่า รายได้ประเทศ ๗๕% มาจากการส่งออก ถ้าต่างชาติเลิกคบ มาเที่ยวน้อยลง มันจะเหลือเขืออะไร

วิกฤตเศรษฐกิจเนี่ยมันเกิดจากว่า ต่างชาติเซ็งไทยมีปัญหาการเมืองมาตั้งแต่ปี ๔๘ เขาเอาเงินมาลงทุน แล้วจะศูนย์เปล่าเอา ตอนเจ๊ปูมาก็เลยไปสัญญากับเขาว่า ‘จบละ’ จากนี้ไปการเมืองไทยจะนิ่ง เดี๋ยวไทยจะลงทุนทำโครงสร้างพื้นฐานใหม่ หอบลูกหอบหลานมาตั้งโรงงานได้เลย

ปรากฎดันมีรัฐประหาร สองล้านๆ ที่โม้ไว้ก็ไม่ได้ทำ

แล้วพอเขาถามว่า "สัส มึงจะจบยังเนี่ย" พ่อทหารหัวใสก็ดันไปตอบว่า "ไม่รู้ว่ะ ถ้าไม่พอใจกูก็อาจจะรัฐประหารอีก"

ฝรั่ง-ญี่ปุ่นเลยบอกว่า โอเค มึงตีกันไป กูกู๊ดบาย ซาโยนาระ

...วิกฤติเศรษฐกิจคราวนี้จะมีหน้าตาเป็นยังไง

อย่างแรกมันคงไม่ฟ้าถล่ม โลกทลายแบบ ๔๐ หรอกครับ แต่ความยิ่งใหญ่ในวันเก่าๆ คงจะไม่กลับมาแล้ว

ต่อให้กลับมาเลือกตั้ง รัฐบาลใหม่ไปเดินสายบอกฝรั่งกับญี่ปุ่นว่า "กลับมาเถอะ ไทยสงบแล้ว" ก็คงไม่มีใครเชื่อแล้วล่ะ อินโดฯ มาเลฯ พม่า รอเขาอยู่

ดังนั้นมันคงไม่ใช่วิกฤติชั่วคราว แต่น่าจะเป็นผลระยะยาว ๕-๑๐ ปี จนกว่านักลงทุนจะลืมว่าเคยเจ๊งที่ไทยไปเท่าไหร่นั่นล่ะ

...สิ่งที่เหี้ยที่สุดของรัฐบาลนี้คือมันไม่มีแผนงานเพื่อการแก้ปัญหาห่าเหวอะไรเลย

โอเค เอาล่ะ จะบอกว่าปัญหาไม่ได้เกิดจากพวกท่าน เป็นความผิดอีปูก็ได้

สมมุติว่าเป็นแบบนั้น แต่เสร็จแล้วพวกท่านมีแผนจะแก้ปัญหาอะไรยังไงบ้าง ไม่มีใครเคยพูดเคยบอกอะไรเล้ยย

แถลงข่าวแต่ละที แทนที่จะบอกว่าจะแก้ปัญหายังไง ก็มีแต่โยนไปว่าความผิดเศรษฐกิจโลกบ้าง รัฐบาลที่แล้วบ้าง มาตอนนี้หนักกว่าเดิม รมว.คลัง แมร่งโยนให้เป็นความผิดนายกฯ ที่เป็นทหารไม่มีความรู้เรื่องเศรษฐกิจ

(https://www.facebook.com/renyongle/posts/986139348084088)




ถึงแม้คราวหน้า ก็ใช่ว่าจะหลุดรอดจาก ‘Disobedient Economy’ ดังที่ Nikkei Asian Review ฟันธงไว้เมื่อเกือบสองเดือนที่แล้วได้

“ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ความคล่องแคล่วของประเทศไทยที่ได้สมยาว่า เศรษฐกิจเทฟลอน มาบัดนี้มีรอยแตกปรากฏ และเพื่อนบ้านพากันแซงหน้าไป”

อย่างนั้นเห็นท่าจะโยนความผิดให้ชุดก่อน (ตู่ ๑) อีกแมะ นี่แหละลำแสง ‘แม้ว’ จึงได้ปรากฏไง




แม้นว่า “นางสุดารัตน์ (เกยุราพันธ์) ได้ออกมาปฏิเสธในช่วงต้นสัปดาห์ ว่าการร่วมเป็นรัฐบาลแห่งชาตินั้นไม่เป็นความจริง การที่เราเติบโตมาทางเส้นทางการเลือกตั้งเข้ามาตามกติกาประชาธิปไตย เราก็ดำรงในทางนั้นมาโดยตลอด ถ้าเราจะยุติชีวิตทางการเมืองหรือเดินต่อ เราก็คงต้องรักษาจุดยืนนี้ต่อไป"

(http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1437726784)

จริงไม่จริง แค่ไหนไม่รู้ละ แต่ขอฟัง Atukkit Sawangsuk ด้วยอีกคน

“ข่าวเจรจากับหน่อย (สุดารัตน์), ประชา (พรหมนอก) ที่เขาใหญ่ หลายคนบอกว่าเรื่องจริง แต่น่าจะไม่ใช่ตอนปรับ ครม. น่าจะเป็นการปูทางสู่เลือกตั้ง”

มิใย ภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาฯ เพื่อไทย จะออกมาสยบกระแส “ผลักดันคุณหญิงสุดารัตน์ขึ้นเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ ๑ ของพรรค ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป...

เพราะกติกาก็ยังไม่ชัด จะมีเลือกตั้งหรือไม่ก็ยังไม่รู้ ประชุมพรรคก็ยังไม่ได้ ทั้งนี้ ในฐานะที่ตนดูแลพรรคขณะนี้ขอยืนยันว่า ยังไม่ถึงเวลา”

(http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php…)

ถ้างั้นกลับไปฟังอธึกกิตอีกที

“คสช.จะต้องตัดสินใจครั้งใหญ่หลายเรื่องพร้อมกันในช่วงใกล้ๆ นี้ ปรับ ครม. ย้ายทหาร แล้วก็จะผ่านร่าง รธน.ไหม (ต้องจับตาว่าบวรสากจะแก้ รธน.อย่างไรอีกในช่วงเวลา ๓๐ วัน) ซึ่งผ่าน-ไม่ผ่าน ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอีก เพราะ คสช. ก็สั่ง สปช.ไม่ได้หมด ทำประชามติ คสช. ก็สั่งใครไม่ได้หมด เผลอๆ สลิ่มเองจะไม่ยอมให้ รธน. ผ่านเพราะอยากให้ลุงตู่อยู่นานๆ (ใจตรงกัน ๕๕๕)”

นานแค่ไหน ตอบแทนลุงตู่ได้ทันทีว่า แค่โร้ดแม็พขีดให้ เพียงแต่โร้ดแม็พลุงตู่นี่เปลี่ยนแปลงง่าย เปลี่ยนแล้วหลายหน เปลี่ยนใหม่ได้ตลอด

หากคำนวณตามที่ สนช. พีรศักดิ์ พอจิต บอกนักข่าวที่ลพบุรี โร้ดแม้พล่าสุดจะไปหยุดที่ต้นปี ๒๕๖๐ อย่างเบาะๆ

เพราะถ้าหากร่าง รธน. ผ่านม่านสลิ่มใน สปช. มาได้ตอนต้นปีหน้า (๕๙) ก็จะเข้าสู่โหมดประชามติ ที่พีรศักดิ์บอกว่า สนช. จะต้องเตรียมการ จัดพิมพ์เนื้อหาร่างฯ ส่งให้ประชาชนศึกษา ๒๘ ล้านครัวเรือน งานเยอะ ต้องเลื่อนวันลงประชามติออกไปอย่างน้อย ๑ เดือน รู้ผลตอนปลายกุมภาพันธ์ ๕๙ กว่าจะรู้เรื่องรู้ราวจัดเลือกตั้งได้ก็ปลายปี (ดีเซ็มเบอร์) ๕๙ ได้รัฐบาลใหม่ เริ่มทำงานต้นปี ๖๐

(http://www.khaosodenglish.com/detail.php?newsid=1437371207)

ถ้าถามพวกสภาพ่อลูก ไพบูลย์ นิติตะวัน สปช. เขายืนยันขอสองปีก่อนเลือกตั้ง อยากปฏิรูปเยอะๆ เทอะๆ

รวมความว่าลุงตู่ยังอยู่อีกพักใหญ่ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง (โดยเฉพาะในกรณีที่ ร่าง รธน. ไม่ผ่าน สปช. และ/หรือ ประชามติไม่ผ่าน) ดังนั้นจึงต้องเตรียมการให้ ‘อยู่ดี’ กว่าที่ผ่านๆ มาปีกว่า

โดยเฉพาะ (อีกที) ต้องมีมาดเท่ห์ๆ ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ย้ำต้อง ‘มาด’ นะ แก้ได้แค่ไหนไม่สำคัญไปกว่า ‘มาด’ เหตุเพราะ ‘มาด’ เป็นสิ่งซึ่งทำให้ต่างชาติ และมหาอำนาจยอมรับ

มาดง่ายๆ ที่จะทำให้ต่างชาติและมหาอำนาจยอมรับ ก็คือวิถีทางประชาธิปไตย ประชาชนได้ใช้สิทธิเสียงอย่างเสรี มีการเลือกตั้งอย่างเท่าเทียมและเที่ยงธรรม และข้อสำคัญที่สุดซึ่งสากลเรียกร้องกันอย่างอึงมี่ขณะนี้ ต้องมีกระบวนการพิจารณาคดีและบังคับใช้กฏหมายที่ไม่ลำเอียง

แต่มาดง่ายๆ อย่างนั้น ‘ทำยาก’ สำหรับประเทศไตแลนเดียในสภาพที่เป็นอยู่ ดูมาและดูไปแล้วเกือบทำไม่ได้เลยเชียว “It’s not going to happen.” คนบางเหล่าตั้งแง่

แต่กระนั้นมันมีทางเลี่ยง ไม่ได้อ้อม ไม่ลงข้างลงคู แต่ว่าซิกแซ็กซอกแซกไปให้ถึงเลือกตั้ง ไปด้วยมาดไม่ยากอย่าง ‘เท่ห์ๆ’ ผสมกับ ‘ดูดี’

“This is when Thaksin comes in to play.” ใครบางทั่นไม่ได้ว่าไว้ แต่ใครไม่รู้ (คงจะ) คิดอยู่

ว่าไปแล้วใครเล่าที่เข้า-ออกประเทศโน้นประเทศนี้อย่าง ‘เท่ห์ๆ’ ถี่ยิบเท่าทักษิณ ดูไบ จีน สิงคโปร์ อังกฤษ เยอรมนี นิคารากัว รัสเซีย อาฟริกา และล่าสุดอเมริกา ถ้าหากรัฐบาล ‘ชั่วคราวยาวหน่อย’ ตั้งเขาให้เป็นที่ปรึกษา น่าจะทำให้ ‘ดูดี’ มากยิ่งกว่า ‘เสียหลาย’

แถมยังมีผลพลอยได้ในภาพลักษณ์แห่งการปรองดอง ที่ไม่เคยปรากฏให้เห็นเป็นประจักษ์เลยสักครั้งเดียว

ปัญหามีแค่ มันจะทำให้เป็นที่ขัดเคือง ขุ่นข้อง กระเทือนซางพวก ‘สลิ่ม’ และนักปฏิรูป ‘อย่าเพิ่งเลือกตั้ง’ ทั้งหลายไม่น้อย เท่านั้นเอง




ยิ่งบัดนี้พระเทพเทือกสึกออกมาแล้ว ประกาศชัดจะไปรื้อฟื้น กปปส. และจัดตั้งขบวนการอาชีวะขึ้นเป็นหลักแหล่ง

“คงทำหน้าที่เข้มข้นขึ้น ทั้งในด้านดำเนินโครงการ การจัดกิจกรรม โดยจะทำงานไม่ขัดกับกลไกการปฏิรูป และพร้อมทำงานสนับสนุนด้านภาคประชาชนทุกรูปแบบ”

(http://www.posttoday.com/analysis/report/378696)

หวังแต่ว่าจะไม่มีการผลิตศิษย์อาชีวะแบบที่เคยเป็น ‘sidekicks’ ของมือปืนป็อปคอร์น ตอนเป่านกหวีดปิดกรุงเทพฯ ออกมาอย่างผ่าเผยยิ่งกว่านวพลในอดีต

ภาพพวกอาชีวะโค่งไล่ตบผู้ขับขี่ที่ทนรอพวกเขาอัญเชิญกรวยออกไปจากช่องจราจรบนทางด่วนไม่ไหว หรือไล่ตึ๊บผู้สัญจรที่ถลำล้ำเข้าไปในเขตอโคจรลุงกำนันย่านลุมพิณี อาจเป็นที่สบอารมณ์ของ ผบ.ทบ.สมัยนั้น

แต่ว่าในขณะนี้ที่ซึ่ง International recognition เป็นคุณสมบัติขาดหายสำหรับ คสช. อุบาทว์การณ์ ‘อาชีวะเทพเทือก’ อาจกลายเป็นหอกข้างแคร่ของนายกฯ ลุงตู่ต่อไปข้างหน้าก็ได้


มองเห็นอะไรไหมครับ : ทักษิณ กับ การเมืองไทย + เรื่องเก่าเล่าใหม่ : ความชั่วร้ายของวาทกรรม ‘ระบอบทักษิณ’




ที่มา เวปพันทิป

คือ การเมืองไทยนั้น มันอยู่ในกำมือของขุนศึก นักการเมือง กลุ่มธุรกิจ มาตลอด

แบ่งกันกิน แบ่งกันใช้ ร่ำรวยกันถ้วนหน้า

นับหัว ชี้นิ้วได้เลยครับ ไม่กี่ตระกูล ไม่กี่พวก และยิบย่อยลงมาหาพวกลูกกะแป๋งอีกนับร้อยนับพัน

ประชาชนเป็นแค่ไม้ประดับ

ร้อนก็แจกน้ำ หนาวก็แจกผ้าห่ม ท่วมก็ถุงยังชีพ ชั่วนาตาปี

เป็นช่องให้ "อำนาจนอกระบบ" คงสถานะ

นี่คือ "โครงสร้าง" ของการเมืองไทย

และวันนี้ กำลังเดินย้อนกลับเข้าสู่วังวนเดิม

ทักษิณนั้น ไม่ใช่คนดีบริสุทธิ์ผุดผ่องหรอกครับ ก็ผลผลิตหนึ่งของธุรกิจการเมืองไทย

แต่เขานำความ "ใหม่" มาสู่การเมืองไทย

ใหม่ในหลาย ๆ ด้าน ทั้งด้านการบริหารจัดการงานบ้านเมือง ทั้งด้านการใช้ประชาชนเป็นตัวขับเคลื่อน ไม่ใช่แค่ไม้ประดับ

ทักษิณพยายามทำลาย "โครงสร้าง" เดิม ๆ เพื่อเดินไปสู่ "โครงสร้าง" ใหม่

คือจะดีจะเลว ก็ใช้นโยบายอันเป็นรูปธรรมต่อผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวขับเคลื่อนทางการเมือง

ไม่ใช่แค่กลุ่มก้อนผลประโยชน์เข้าเซฟเฮ้าท์ ตกลงเกี๊ยะเซียะ แบ่งปันผลประโยชน์กันอย่างเดิม

out put ที่ออกมา จึงเป็นว่า ได้ทุกคน

นักการเมืองได้ ธุรกิจได้ ประชาชนได้

(แต่เป็นวิธีที่ทักษิณและกลุ่มทักษิณได้เป็นกอบเป็นกำฝ่ายเดียว กลุ่มโครงสร้างเดิมอดอยากปากแห้ง)

ซึ่งอย่างน้อย ก็ยังดีกว่าที่ขุนศึกได้ ธุรกิจได้ นักการเมืองได้ ประชาชนไม่ได้

และที่สำคัญ คือการทำลายโครงสร้างเดิม ๆ นั้น กระทบต่ออำนาจนอกระบบอย่างยิ่ง

สิ่งที่อยากให้มองเห็นคือ แม้ไม่ใช่ "ธรรมาภิบาล" อย่างที่อ้างกันได้อ้างกันดี

แต่อย่างน้อย ก็ดีกว่ารูปแบบเดิม ๆ แน่นอน

ที่เคยกล่าวหาว่า ทักษิณ นโยบายและวิธีคิดของทักษิณ จะนำพาบ้านเมืองประสบปัญหานานาประการนั้น

ผ่านมาสิบปี ชัดแล้วนะครับว่าไม่จริง

ไม่จริงอย่างไร ก็ดูได้จากสถานการณ์บ้านเมืองหลังทักษิณไป ที่พยายามไม่เดินตามรอยทักษิณ

แต่สุดท้าย ก็ไปไม่รอด หันกลับมาเดินตามรอยทุกที

เมื่อคืน ได้ยินเสียงทีวีแว่ว ๆ จากช่องบลูสกายว่า อภิสิทธิ์พูดเรื่องการกระตุ้นด้วยงบประมาณภาครัฐนั้นไม่พอ

ต้องกระตุ้นการบริโภคภายในด้วย

ผมได้ยินแล้วก็สะดุ้ง อ้าว ด่าเขามาตลอดว่าประชานิยม แล้วทำไมอยู่ดี ๆ ดันพูดและคิดแบบที่ทักษิณทำมาโดยตลอด

(แต่อภิสิทธิ์ก็อ้อม ๆ แอ้ม ๆ ว่า ต้องมีการควบคุมดูแล... บลา ๆ ๆ ไปตามประสา "ดีแต่พูด"

ที่พูดเรื่องเศรษฐกิจทีไร เหมือนคนจบโรงเรียนการพูด มากกว่าจบเศรษฐศาสตร์จากอ๊อกฟอร์ด)

ทักษิณนั้น เข้าใจทะลุมานานแล้วครับ ว่างบประมาณนั้น แค่เสี้ยวของเม็ดเงินในระบบ

คิดดูสิครับ จีดีพีสิบล้าน ๆ งบประมาณแค่สองล้านล้าน (เป็นรายจ่ายประจำซะ 80% เหลือเป็นงบลงทุนนิดเดียว)

หวังพึ่งงบประมาณอย่างเดียว (อย่างที่รัฐบาลนี้หลงทางคิดว่าจะกระตุ้นได้ หรือ ปชป. แจกสองพัน ) ไม่พอครับ

ทักษิณจึงใช้วิธีกระตุ้นการบริโภคภายในด้วย ให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบ

ตั้งแต่เริ่มแรกที่เขาเข้ามา ไม่ว่าเรื่องพักชำหนี้เกษตรกร กองทุนหมู่บ้าน ฯลฯ

และที่สำคัญ เขา "คุม" ให้การเมืองนิ่ง เพื่อสร้างความเชื่อมั่น

ความเชื่อมั่นเกิด ระบบก็เดิน เทียบกับวันนี้ ลากยังไงก็ไม่เดิน เพราะความเชื่อมั่นไม่มี

แล้วทำไมไม่มีใครคิด ใครทำอย่างทักษิณ

ที่คิดแล้ว ทำแล้ว นำพาบ้านเมืองผ่านทะลวงปัญหาไปได้ แม้ไม่ทั้งหมด แต่ดีกว่าแบบเดิม ๆ และดีกว่าทุกวันนี้แน่

อันนี้ คงเพราะติดยึดอยู่กับโครงสร้างแบบเดิม ๆ

ทำอะไรแล้วสะเทือนถึง "อำนาจนอกระบบ" มีแต่ตายกับตาย แถมอยู่ร่วมในโครงสร้างมฤตยูมาด้วยกันตลอด

จะมาปีนเกลียวกันได้ไง

นี่คือปัญหาของบ้านเมืองครับ

ไม่ใช่เรื่องคนดี คนไม่ดี ไม่ใช่เรื่องจริยธรรม คุณธรรม โกงไม่โกง อะไรหรอก

แต่คือปัญหาด้านโครงสร้างล้วน ๆ

โครงสร้างที่ข้าราชการอ่อนแอ ไร้ประสิทธิภาพ เป็นนายประชาชน

โครงสร้างที่การเมืองและธุรกิจต้องไม่ "เฉิดฉาย" เกินหน้าการตา และต้องสวามิภักดิ์

โครงสร้างที่ ทุกเรื่องทุกอย่างต้องเข้าไปสู่ "หลุมดำ" ที่ย้อนกลับมาหาประชาชนแค่ถุงยังชีพ ผ้าห่ม รถแจกน้ำ

และโครงสร้างที่ขุนศึกต้องขึ้นกับการกดปุ่มของอำนาจนอกระบบ

ไม่ได้ว่าให้ใครนะครับ ไม่ได้พาดพิงใครนะครับ

แค่แสดงความคิดเห็นในเรื่องปัญหาของบ้านเมือง

นี่อ้อมสุดอ้อมแล้ว เขียนแบบถนอมคำถนอมรายละเอียดสุด ๆ แล้ว

เกรงกลัวเต็มที่แล้ว อย่าอุ้มผมเลยนะครับ

ooo
เรื่องเก่าเล่าใหม่

ทักษิณ : ความชั่วร้ายของวาทกรรม ‘ระบอบทักษิณ’

ที่มา Thaksin Wordpress
โดย รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์

คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ในการเคลื่อนไหวของแนวร่วมกลุ่มจารีตนิยม-ราชการ ปัญญาชนขวาจัด และปัญญาชนตีสองหน้า เพื่อโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2540 อาวุธทางการเมืองที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งของพวกเขาคือ วาทกรรม ‘ระบอบทักษิณ’ ซึ่งถูกใช้มาตั้งแต่เริ่มต้นก่อกระแส ไปจนถึงรัฐประหาร 19 กันยายน แล้วก็ยังถูกใช้ต่อมาอีกเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐประหาร

คำว่า ‘ระบอบทักษิณ’ ถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยนักวิชาการรัฐศาสตร์-คอลัมนิสต์ที่เป็นพวกขวาจัด อิงแอบอยู่กับสถาบันจารีตประเพณีมาต่อต้านประชาธิปไตย ปฏิเสธทุนนิยม และต่อต้านโลกาภิวัฒน์ วาทกรรม ‘ระบอบทักษิณ’ เป็นการจงใจผสมปนเปทางความคิดด้วยการจับเอาระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ 2540 ตลอดจนสถาบันการเมืองประชาธิปไตยทั้งหมด มาผูกติดกับตัวบุคคลนักการเมือง แล้วตั้งฉายาแบบเหมารวมว่า ‘ระบอบทักษิณ’ ชูขึ้นเป็นเป้าโจมตี บิดเบือน ใส่ร้าย โดยมิเพียงทำลายตัวบุคคล แต่มุ่งโค่นล้มระบอบประชาธิปไตยและฉีกรัฐธรรมนูญทั้งหมด แล้วโยนบาปไปให้นักการเมือง ปกปิดความจริงที่ว่า พวกจารีตนิยมนั่นแหละที่เป็นปัจจัยขัดขวางประชาธิปไตยมาทุกยุคสมัย

ผู้ประดิษฐ์และใช้วาทกรรม ‘ระบอบทักษิณ’ อ้างว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2540 ได้มีนักการเมืองชนะเลือกตั้งเข้ามาเกาะกุมระบบการเมือง แล้วใช้อำนาจไปทำลายประชาธิปไตย ละเมิดรัฐธรรมนูญและสิทธิมนุษยชน แทรกแซงองค์กรอิสระ ทำให้กลไกตรวจสอบถ่วงดุลไม่ทำงาน รวมถึงการซื้อเสียงหลอกลวงประชาชน และนโยบายเศรษฐกิจแบบเบ็ดเสร็จที่กอบโกยประโยชน์เข้าสู่พวกตน ผลก็คือ แม้จะยังมีรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้ง แต่ทั้งหมดก็ถูกนักการเมืองครอบงำอย่างเบ็ดเสร็จ

ฉะนั้น ทั้งประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญ ‘ได้ถูกทำลาย’ หรือ ‘ถูกรัฐประหารโดยทักษิณ’ ไปนานแล้วก่อนวันที่ 19 กันยายน ระบอบการเมืองที่ว่านี้แหละ ที่เรียกว่า ‘ระบอบทักษิณ’

ตรรกะ ‘ระบอบทักษิณ’ ดังกล่าว ได้แพร่กระจายดุจเนื้องอกมะเร็งร้ายไปสู่นักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย นักเคลื่อนไหวองค์กรพัฒนาเอกชน ราษฎรอาวุโส สมาชิกวุฒิสภาปีกขวาจัด สื่อสารมวลชน และนักการเมืองพรรคฝ่ายค้าน คำว่า ‘ระบอบทักษิณ’ ถูกใช้เป็นคำด่าทอเพื่อปลุกอารมณ์เกลียดชังคลุ้มคลั่งอย่างไร้เหตุผลในหมู่มวลชนจำนวนหนึ่ง ก่อเป็นการประท้วง ยั่วยุ สร้างความรุนแรงให้เป็นวิกฤตการเมือง ทั้งหมดเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ทีละขั้นตอนโดยพวกจารีตนิยม กระทั่งสำเร็จเป็นรัฐประหาร 19 กันยายนตามต้องการ

เป้าหมายทางการเมืองตั้งแต่ต้นของแนวร่วมจารีตนิยม-ราชการ และปัญญาชนขวาจัดคือ ต้องการโค่นล้มประชาธิปไตยและฉีกรัฐธรรมนูญ แต่เพื่อปกปิดเป้าประสงค์ที่แท้จริง พวกเขาจึงต้องใช้กุศโลบายเอาตัวบุคคลนักการเมืองมาเป็นเปลือกห่อหุ้มปิดบังระบอบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญ 2540 ไว้ แล้วเรียกเหมารวมว่า ‘ระบอบทักษิณ’ จากนั้นก็โจมตี ใส่ไคล้ บิดเบือน ป้ายสี ด้วยข้อมูลเท็จต่างๆ นานา ผสมกับการปลุกอารมณ์คลั่งชาติอย่างสุดขั้ว ทำให้นักการเมืองที่ถูกใช้ห่อหุ้มรัฐธรรมนูญอยู่นั้นกลายเป็น ‘อภิทรราชและมหาอสุรกายจากนรก’ ‘จอมขายชาติ’ และ ‘พวกจาบจ้วงสถาบันกษัตริย์’

จากนั้น ก็ชูคำขวัญ ‘โค่นล้มระบอบทักษิณ’ ซึ่งเนื้อแท้คือการเรียกร้องให้โค่นล้มระบอบประชาธิปไตยและฉีกรัฐธรรมนูญนั่นเอง และนี่เป็นความชั่วร้ายประการหนึ่งของวาทกรรม ‘ระบอบทักษิณ’ เพราะมันอำพรางเป้าประสงค์ที่แท้จริงที่ต้องการทำลาย ด้วยการเบี่ยงเบนความสนใจจากระบบการเมืองและรัฐธรรมนูญไปที่ตัวบุคคลนักการเมือง ทำให้ผู้คนหลงเข้าใจว่า ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการ ‘ขับไล่ทักษิณและทำลายเครือข่ายระบอบทักษิณ’ ไม่ใช่การโค่นล้มประชาธิปไตยและฉีกรัฐธรรมนูญ นับเป็นอุบายที่ได้ผล สามารถหลอกใช้ปัญญาชนส่วนหนึ่งที่อ่อนหัดได้ เพราะคนพวกนี้คิดว่า ตนต้องการประชาธิปไตย แต่เกลียดชังนักการเมืองทุจริต พอได้ยินคำขวัญ “โค่นล้มระบอบทักษิณ” ก็พากันตื่นเต้น ตะลีตะลานวิ่งตามด้วยกลัวว่าจะ ‘ตกขบวน’ กระโดดเข้าร่วมขับไล่ทักษิณกันอย่างคึกคัก โดยเชื่ออย่างไร้เดียงสาว่า พวกตนกำลัง ‘ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยด้วยการขับไล่นักการเมืองทุจริต และจะโค่นล้มทักษิณลงได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อรัฐธรรมนูญ’

แต่หารู้ไม่ว่า การโค่นล้ม ‘ระบอบทักษิณ’ ก็คือการโค่นล้มประชาธิปไตย ฉีกรัฐธรรมนูญ และรื้อฟื้นระบอบเผด็จการอำนาจนิยมแบบเปิดเผยของพวกจารีตนิยมขึ้นมาอีกครั้ง

วาทกรรม ‘ระบอบทักษิณ’ ยังถูกใช้เป็นตรรกะที่สร้างความถูกต้องชอบธรรมให้กับรัฐประหาร เพราะในเมื่อระบอบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญ 2540 ได้ถูกละเมิดหรือทำลายไปก่อนแล้วโดยทักษิณ และในเมื่อ ‘ระบอบทักษิณ’ เป็นเผด็จการทรราชย์ของนักการเมืองที่ทุจริตและขายชาติ รัฐประหาร 19 กันยายนจึงไม่ใช่การโค่นล้มระบอบประชาธิปไตยและฉีกรัฐธรรมนูญ แต่เป็นการ ‘โค่นล้มระบอบทักษิณที่เป็นเผด็จการและทุจริต’ รัฐประหาร 19 กันยายนจึงมี ‘ลักษณะพิเศษที่ไม่เหมือนรัฐประหารทั้งปวงในอดีต’ ไม่ใช่ ‘รัฐประหารที่เลว’ หากแต่เป็นรัฐประหารที่ ‘จำเป็นและเลี่ยงไม่ได้’ เพื่อโค่นล้มเผด็จการของนักการเมืองและเพื่อ ‘ปฏิรูปการเมือง’ นำมาซึ่งการเมืองที่ขาวสะอาดบริสุทธิ์และปราศนักการเมืองชั่วอีกต่อไป

และนี่คือตรรกะเลวร้ายที่บรรดาปัญญาชนขวาจัด ปัญญาชนเดือนตุลา รวมถึงนักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย องค์กรพัฒนาเอกชน ราษฎรอาวุโส ล้วนใช้เป็นเหตุผลดาหน้ากันออกมาสนับสนุนรัฐประหารกันอย่างครึกครื้นและไร้ยางอาย แม้แต่พวกปัญญาชนตีสองหน้า โดยเฉพาะนักวิชาการอาวุโสบางคนด้านประวัติศาสตร์ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ ก็ยังใช้ตรรกะดังกล่าวมาแก้ตัวว่า “ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร แต่ถึงอย่างไร รัฐประหารยังเลวน้อยกว่าระบอบทักษิณ”

อัปลักษณ์ทางตรรกะมาถึงจุดสูงสุดในปัจจุบัน เมื่อเราได้เห็นบทความ คอลัมน์หนังสือพิมพ์ และการเสวนาอภิปรายของคอลัมนิสต์ นักวิชาการ และราษฎรอาวุโส ที่ทำตัวเป็นทนายแก้ต่างให้กับเผด็จการ พากันสาธยายว่า บัดนี้ ได้เกิดปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดขึ้นในการเมืองไทยแล้วคือ ระบอบรัฐประหารของคณะทหารที่มีปืนอยู่ในมือและปกครองด้วยประกาศ คำสั่งและกฎอัยการศึกในขณะนี้ กลับ ‘สุภาพอ่อนโยน’ ไม่เป็นเผด็จการ คุมระบบราชการไม่ได้ และไม่สามารถใช้อำนาจรุนแรงเด็ดขาดได้เท่ากับ ‘ระบอบทักษิณ’ ที่เป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จได้ทั้งๆ ที่มีรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระต่างๆ มากมาย นี่แหละคือข้อพิสูจน์ว่า กลุ่มทุนการเมืองนั้นแยบยลและเลวร้ายเพียงใดเพราะ ‘สามารถเป็นเผด็จการได้ด้วยการเลือกตั้งและรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย’ ฉะนั้น ระบอบรัฐประหาร 19 กันยายนจึง ‘ไม่เป็นเผด็จการ’ หากแต่เป็น ‘ประชาธิปไตยปฏิรูป’ หรืออย่างมากก็เป็นแค่ ‘เผด็จการครึ่งใบ’

คนที่อ้างว่า ‘รัฐประหารเลวน้อยกว่าระบอบทักษิณ’ ก็เพื่อผัดหน้าทาแป้ง ปกปิดใบหน้าปีศาจของระบอบเผด็จการทหาร คนพวกนี้มีทัศนะ แนวคิด และมาตรฐานประชาธิปไตยที่บิดเบือนกลับตาลปัตรอย่างแท้จริง เพราะภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลไทยรักไทยเป็นเวลา 5 ปี แม้จะไม่ใช่ช่วงเวลาที่เป็นประชาธิปไตยในมาตรฐานสูงเท่าประเทศที่เจริญแล้ว แต่ก็พอจะถือได้ว่า ‘เป็นประชาธิปไตยค่อนข้างมาก’ สำหรับการเมืองไทยตั้งแต่ปี 2475 เป็นต้นมา อันเนื่องมาจากคุณลักษณะที่ก้าวหน้าของรัฐธรรมนูญ 2540 จริงอยู่ว่า ผู้นำรัฐบาลและนักการเมืองฝ่ายบริหารมีอำนาจมาก คุมรัฐสภาผ่านการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมากที่เหนียวแน่น มีอิทธิพลสูงต่อองค์กรอิสระผ่านวุฒิสภา ทั้งดำเนินมาตรการบางอย่างที่หมิ่นเหม่ต่อประชาธิปไตย (เช่น สงครามปราบยาเสพติด) แต่สถาบันการเมืองประชาธิปไตยส่วนใหญ่ก็ยังคงทำงานต่อไปได้ และยังสามารถทำการตรวจสอบถ่วงดุลได้ระดับหนึ่ง รวมทั้งยังมีพรรคฝ่ายค้าน สื่อมวลชนอิสระ ตลอดจนสถาบันตุลาการที่ไม่ได้อยู่ในอำนาจของรัฐบาล

แต่การยอมรับว่า ‘สถาบันการเมืองประชาธิปไตยถูกกระทบกระเทือนและหมิ่นเหม่’ นั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับการสรุปว่า ‘รัฐธรรมนูญและสถาบันการเมืองประชาธิปไตยถูกทำลายไปแล้ว’ เราจึงได้เห็นสื่อสารมวลชนทุกแขนง แม้แต่สื่อของรัฐเอง ต่างรุมโจมตีรัฐบาลไทยรักไทยได้ต่อเนื่องยาวนาน มีการชุมนุมประท้วงที่ล่วงละเมิดกฎหมายและสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่นมากที่สุด ทั้งยั่วยุด่าทอ และท้าทายให้เกิดความรุนแรงที่ยืดเยื้อยาวนาน โดยที่รัฐบาลไทยรักไทยตกเป็นฝ่ายรับและไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เลย นี่ละหรือ ‘ระบอบทักษิณ’ ที่เป็นเผด็จการทรราชเบ็ดเสร็จจากขุมนรก!

วาทกรรม ‘ระบอบทักษิณ’ ยังบิดเบือนเนื้อแท้ของระบบการเมืองไทยก่อน 19 กันยายนให้เป็นระบบการเมืองที่นักการเมืองและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทั้งที่ความจริงแล้ว แม้แต่ระบอบรัฐธรรมนูญ 2540 ในท้ายสุด ก็ยังเป็นเพียงเปลือกนอกของระบอบอำนาจนิยมแฝงเร้นของพวกจารีตนิยมที่ยึดกุมอำนาจรัฐจริงมาตั้งแต่รัฐประหาร16 กันยายน 2500 โดยมีเปลือกนอกสลับกันเป็นช่วงๆ ระหว่างเผด็จการทหารกับการเมืองแบบเลือกตั้งเท่านั้น เพียงแต่ว่า ในช่วง 4 ปีแรกของรัฐบาลไทยรักไทย อำนาจของพวกจารีตนิยมได้แฝงเร้นมากขึ้นและปล่อยให้รัฐธรรมนูญ 2540 ได้แสดงผลสะเทือนทางประชาธิปไตยออกมาได้ระดับหนึ่ง แต่ในที่สุด พวกจารีตนิยมก็ทนไม่ได้ ต้องกระโดดออกมาในที่โล่งแจ้งอีกครั้งเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ด้วยการโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและฉีกเปลือกที่เป็นรัฐธรรมนูญ 2540 ทิ้ง

ข้อนี้เห็นได้จากความจริงที่ว่า รัฐบาลไทยรักไทยได้เริ่มสูญเสียอำนาจจริงไปแล้วตั้งแต่ต้นปี2549 เมื่อกลุ่มจารีตนิยมเคลื่อนไหวอย่างลับๆ โดยด้านหนึ่ง ก็สนับสนุนการชุมนุมประท้วงขับไล่บนท้องถนน และให้พรรคฝ่ายค้านคว่ำบาตรการเลือกตั้ง สร้างเป็นสถานการณ์วิกฤตนอกสภา แต่ในอีกด้านหนึ่ง ในระบบการเมืองและราชการ ก็เข้าแทรกแซงหน่วยงานรัฐบาล ทหารตำรวจ องค์กรอิสระ สื่อมวลชนของรัฐ ไปจนถึงสถาบันตุลาการ ทำให้รัฐบาลไทยรักไทยเป็นอัมพาตและตายไปทีละส่วน

รัฐประหาร 19 กันยายนเป็นเพียงการตัดสายใยชีวิตการเมืองอันบอบบางที่เหลืออยู่เป็นเส้นสุดท้ายของรัฐบาลไทยรักไทยเท่านั้น ความชั่วร้ายของวาทกรรม ‘ระบอบทักษิณ’ ก็คือ มันปิดบังความจริงที่ว่า แท้จริงแล้ว ภายใต้ร่มเงาแห่งอำนาจแฝงเร้นของกลุ่มจารีตนิยมตั้งแต่ปี 2500 เป็นต้นมา รัฐบาลจากการเลือกตั้งทุกชุดล้วนอ่อนแออย่างยิ่ง แม้แต่รัฐบาลไทยรักไทยซึ่งเข้มแข็งยิ่งกว่ารัฐบาลเลือกตั้งในอดีตด้วยเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ 2540 ในท้ายสุด ก็ยังอ่อนแอและไร้พลังโดยสิ้นเชิงในการต่อกรกับอำนาจจารีตนิยม

เนื้อแท้ของวาทกรรม ‘ระบอบทักษิณ’ ยังมีนัยว่า ระบอบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญ 2540 นั่นแหละที่เป็นต้นเหตุรากเหง้าของพฤติกรรมชั่วร้ายของนักการเมือง ผู้ประดิษฐ์และใช้วาทกรรม ‘ระบอบทักษิณ’ จึงเป็นพวกต่อต้านประชาธิปไตยและการเมืองแบบเลือกตั้ง โดยมองว่า ประชาธิปไตยไม่ว่าที่ไหนในโลก แม้แต่ในประเทศที่เจริญแล้ว ล้วนเลวทรามทั้งสิ้น คือผลิตแต่นักการเมืองเลวๆ ขึ้นสู่อำนาจทั้งนั้น เพราะมองไปทางไหน ประเทศใด ก็เห็นแต่นักการเมืองในลักษณะดังกล่าว

พวกนิยมวาทกรรม ‘ระบอบทักษิณ’ จึงมีลักษณะร่วมกันคือ เกลียดชังต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกลียดชังตะวันตก ประณามระบบการเมืองประชาธิปไตยในประเทศเหล่านั้นว่า ‘จอมปลอม เป็น ‘ประชาธิปไตยสามานย์’ คนพวกนี้เชื่อในลัทธิชนชั้นผู้นำและระบอบอภิสิทธิ์ชน เชื่อว่า การเมืองต้อง ‘ให้คนดีมาปกครองบ้านเมือง’ และ ‘ผู้นำต้องมีคุณธรรมจริยธรรม’ ซึ่งเอาเข้าจริงก็ล้วนคลุมเครือ เป็นอัตวิสัย และจอมปลอม เพราะในท้ายสุด ‘คนดี มีคุณธรรมจริยธรรม’ ที่สมควรมีอำนาจปกครองในความคิดของพวกเขาก็คือ พวกเขาเองนั่นแหละที่มีทั้งชาติ วงศ์ตระกูล ทรัพย์ ภูมิปัญญา การศึกษา และ ‘คุณธรรมจริยธรรม’ เพียบพร้อม และมีจำนวนคนน้อยนิดบนสุดยอดปิรามิดของสังคม

พวกนิยมวาทกรรม ‘ระบอบทักษิณ’ ปฏิเสธแนวคิดที่ว่า ในเมื่อผู้ปกครอง ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นนำจากตระกูลสูงส่งเพียงใด เป็นสกุลผู้ดีสืบเนื่องมานับร้อยปี หรือสามัญชนและนักการเมืองทั่วไป ทุกชาติทุกภาษาทั่วโลก ล้วนเป็นมนุษย์ธรรมดาที่เห็นแก่ประโยชน์ตนกันทั้งนั้น ล้วนชอบใช้อำนาจ ไม่ชอบถูกตรวจสอบ ไม่ชอบข้อจำกัดทางกฎหมาย มักเล่นพรรคเล่นพวก และมีแนวโน้มทุจริตถ้ามีโอกาส

ฉะนั้น จุดประสงค์ของการเมืองจึงไม่ใช่เป็นเรื่อง ‘ให้คนดีมาปกครองบ้านเมือง’ แต่เป็นการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญ รวมถึงระบบกฎหมาย องค์กรอิสระ ตลอดจนสถาบันและประเพณีปฏิบัติทางประชาธิปไตยต่าง ๆ ตามหลักการตรวจสอบและถ่วงดุล เพื่อเป็นกรอบจำกัดและกดดันให้ผู้ปกครองและนักการเมืองมีพฤติกรรมการใช้อำนาจไปในแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนให้มากที่สุด

เราจะเห็นความบิดเบี้ยวของวาทกรรม ‘ระบอบทักษิณ’ ได้ชัดเจนเมื่อนำตรรกะเดียวกันไปใช้ในต่างประเทศ เช่น ในสหรัฐอเมริกา เราก็จะได้วาทกรรม ‘ระบอบบุชง เพราะจอร์จ ดับเบิลยู บุช เป็นประธานาธิบดีที่ถูกกล่าวหาว่า ละเมิดสิทธิมนุษยชนมากที่สุด ทั้งให้ดักฟังโทรศัพท์ชาวอเมริกันโดยศาลไม่รับรอง กักขังผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายที่อ่าวกวนตานาโมนานนับปีโดยไม่ตั้งข้อกล่าวหา และมีข่าวพัวพันกับนักลอบบี้ที่ทุจริต ส่วนรองประธานาธิบดิกเชนีย์ก็ถูกกล่าวหาว่า ทุจริตมาตั้งแต่ชนะเลือกตั้งสมัยแรก แม้ว่าพรรคเดโมแครตจะชนะเลือกตั้งได้เสียงข้างมากในสภา ก็ยังทำอะไรบุชไม่ได้ ฉะนั้น ทางออก ‘ที่เลียงไม่ได้’ ก็คือ ต้องให้กองทัพสหรัฐฯ ออกมาก่อรัฐประหารขับไล่บุชและฉีกรัฐธรรมนูญ!? ส่วนในอังกฤษ เราก็จะมี “ระบอบแบลร์” เพราะโทนี่ แบลร์ เป็นนายกรัฐมนตรีที่ออกกฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายที่ถูกหาว่า ละเมิดสิทธิมนุษยชนคนอังกฤษ ใช้เสียงข้างมากในสภาผู้แทน นำประเทศเข้าสู่สงครามอิรักโดยไม่ฟังเสียงประชามตินอกสภา ในขณะที่ภริยาก็เคยถูกกล่าวหาว่า รับประโยชน์ที่ไม่ชอบธรรม ส่วนพรรคฝ่ายค้านก็ไร้น้ำยาเพราะพรรคแรงงานของนายแบลร์มีเสียงข้างมาก ‘เป็นเผด็จการรัฐสภา’ ฉะนั้น ทางออกคือ ต้องเรียกร้องขอ ‘นายกฯมาตรา 7’ จากพระราชินีอลิซาเบ็ธ หรือให้ฝ่ายทหารออกมาทำรัฐประหาร!?

แต่ความชั่วร้ายประการสำคัญที่สุดของวาทกรรม ‘ระบอบทักษิณ’ คือ มันเบี่ยงเป้าบิดประเด็นไปจากต้นเหตุปัญหาที่แท้จริงของการเมืองไทย โดยจับเอานักการเมือง รัฐธรรมนูญ 2540 และสถาบันประชาธิปไตยทั้งหมด มาผสมปนเปกันเข้าแล้วขึงพืดขึ้นบนตะแลงแกง ให้เป็นเป้าของการด่าทอ ทุบทรมาน โบยตี ฟันแทงต่างๆ ด้วยความเคียดแค้นเกลียดชัง ให้ผู้คนเข้าใจว่า นี่แหละคือต้นเหตุแห่งความฉิบหายทางการเมืองตลอดหลายปีมานี้ ทั้งที่ต้นเหตุปัญหาที่แท้จริงของการเมืองไทยคือ พวกจารีตนิยม ซึ่งผูกขาดแกนในอำนาจรัฐมายาวนานตั้งแต่ปี 2500 ถึงปัจจุบัน เป็นรากเหง้าของรัฐประหารครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดหลายสิบปีมานี้ และเป็นอำนาจแฝงเร้นที่ขัดขวาง กัดเซาะ และบ่อนทำลายประชาธิปไตย ทำให้รัฐธรรมนูญและสถาบันการเมืองประชาธิปไตยอ่อนแอ ขี้โรค ไม่พัฒนา และถูกทำลายได้ง่ายตลอดมา