วันอังคาร, กุมภาพันธ์ 28, 2560

UN ผิดหวังไทย แขวนร่างกฎหมาย เอาผิดอุ้มหาย-ทรมาน




UN ผิดหวังไทย แขวนร่างกฎหมาย เอาผิดอุ้มหาย-ทรมาน

by Sathit M.
28 กุมภาพันธ์ 2560

ที่มา Voice TV

ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนยูเอ็นผิดหวัง สภาแต่งตั้งไทยซุกลิ้นชักร่างกฎหมายกำหนดโทษอาญาเจ้าหน้าที่รัฐ ซ้อมทรมาน-อุ้มหาย เรียกร้องรัฐบาลทหารเดินหน้าผลักดันตามคำสัญญา

ในวันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ โฆษกสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (โอเอชซีเอชอาร์) แถลงที่นครเจนีวา ว่า ทางโอเอชซีเอชอาร์รู้สึกผิดหวังที่ได้รับทราบเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติของไทย ซึ่งมาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหาร ได้ระงับการพิจารณาร่างกฎหมายเอาปิดทางอาญาต่อเจ้าหน้าที่ที่ทรมานหรือทำให้บุคคลหายสาบสูญ ทั้งๆที่ทางรัฐบาลได้เห็นชอบให้ออกกฎหมายดังกล่าวเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว

ที่ผ่านมา ทางการไทยมักหยิบยกการเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นความคืบหน้าด้านสิทธิมนุษยชน คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติมีกำหนดทบทวนการปฏิบัติตามพันธกรณีของไทยภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ระหว่างการประชุมที่เจนีวาในวันที่ 13-14 มีนาคม

“เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของสภาอีกครั้งโดยเร็ว” โฆษกโอเอชซีเอชอาร์กล่าวในถ้อยแถลงที่เผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊ก.



At a media briefing in Geneva today, our spokesperson delivered the following statement:

We are disappointed by Thailand’s decision not to enact a draft anti-torture and anti-disappearance law, and we call on the Government to promptly reintroduce legislation to criminalise such deplorable acts. Despite the Government’s decision last May to enact the bill, we were informed last week that the National Legislative Assembly - the military-appointed parliament - has shelved the legislation which would have made enforced or involuntary disappearance and torture criminal offences.

Thailand’s Ministry of Justice has been working tirelessly on the bill for a number of years. The Assembly’s decision to reject the bill is very concerning given the continued allegations of torture and disappearances in Thailand, and it is deeply worrying that such actions may now continue without any legal redress. For too long, there has been no accountability on cases of torture and involuntary and enforced disappearances due to the lack of a legislative framework. As a result, perpetrators of such heinous crimes still cannot be prosecuted.

The decision not to enact the bill is also a devastating blow to the families of those who have disappeared. They have the right to know the truth regarding the disappearance of their kin, as well as any progress and the results of investigations.

Since 1980, the United Nations Working Group on Enforced or Involuntary Disappearances has recorded 82 cases of enforced disappearances in Thailand, including the disappearances of respected lawyer Somchai Neelapaijit in 2004 and Karen human rights activist Pholachi “Billy" Rakchongcharoen in 2014. The Department of Special Investigation recently suspended an inquiry into Somchai Neelapaijit’s disappearance due to the lack of a codified law on the crime. We are also concerned about the increasing number of criminal cases brought against human rights defenders in Thailand for reporting allegations of torture and ill-treatment.

Thailand’s human rights record will be reviewed on 13 and 14 March 2017 by the UN Human Rights Committee in Geneva, which scrutinises States’ implementation of the International Covenant on Civil and Political Rights.

PHOTO: Karen children together with foreign and Thai human rights activists light candles for disappeared Karen activist Pholachi “Billy" Rakchongcharoen', in Chiang Mai province, northern Thailand, 23 April 2014. Pholachi Rakchongcharoen went missing on 17 April 2014 after he was stopped and questioned by a Thai National Park chief after coming from Karen villagers to help them with a lawsuit regarding illegal activities in Kaeng Krachan National Park.


องกรค์พุทธยุโรป ยื่นหนังสือต่อประธานองค์กรสิทธิมนุษยชน ประจำสหประชาชาติ เรียกร้อง คสช.ยกเลิก ม.44 ละเมิดสิทธิมนุษยชนรุนแรง + รายการ Overview : 'ธรรมกายอันตราย เมื่อรัฐบาลเรียกใช้บริการกองทัพ'





องกรค์พุทธยุโรป ยื่นหนังสือต่อประธานองค์กรสิทธิมนุษยชน ประจำสหประชาชาติ เรียกร้อง คสช.ยกเลิก ม.44 ละเมิดสิทธิมนุษยชนรุนแรง

Feb 28, 2017
ที่มา คมข่าว

เมื่อวันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2560 หน้าสำนักงานใหญ่องค์การสหประชาติ นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ผู้แทนองค์กรพุทธยุโรปรวมถึงผู้ศรัทธาวัดพระธรรมกายกว่า 150 คน เข้ายื่นหนังสือถึง ฯพณฯ เซียด รา แอด ออล ฮุสเซน (His Excellency Zeid Ra'ad Al Hussein) ประธานองค์กรสิทธิมนุษยชน ประจำสหประชาชาติ เพื่อรับทราบเจตจำนงของชาวพุทธยุโรปในการหยุดยั้งการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลไทยที่มีอันตรายต่อพระพุทธศาสนาดังเช่นกรณีการใช้ ม.44 ต่อวัดพระธรรมกายและชาวพุทธผู้บริสุทธิ์อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติ

การเข้ายื่นหนังสือประท้วงรัฐบาลไทยต่อประธานองค์กรสิทธิมนุษยชน ประจำสหประชาชาติครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากผู้แทนประเทศต่างๆและสื่อมวลชนทั่วโลก เพราะตรงกับการประชุมสามัญประจำปี องค์กรสิทธิมนุษยชน แห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 34 โดยมีผู้แทนรัฐบาลทั่วโลกจาก 193 ประเทศเข้าร่วม

สำหรับชาวพุทธที่มาร่วมกิจกรรมครั้งนี้มาจากหลายประเทศอาทิ อังกฤษ เยอรมัน สวีเดน เดนมาร์ก ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรีย เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาล คสช.ยกเลิกการใช้ ม. 44 จัดการวัดพระธรรมกาย อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง


























ooo

ooo

Overview : 'ธรรมกายอันตราย เมื่อรัฐบาลเรียกใช้บริการกองทัพ'


https://www.facebook.com/VoiceTVonline/videos/10156198465939848/


ฟัง บิ๊กป้อม โบ้ย ไม่รู้ ข่าวว่า 12 วัน ใช้งบฯตำรวจ คุม"วัดธรรมกาย"ไป60 ล้าน....ทำหน้างง บอก "ไม่มีๆค่าใช้จ่าย


.....



https://www.facebook.com/253729448003304/videos/1314852341891004/

แจง ข้าวกล่อง ตำรวจ..../ปัด ไม่มี ค่าใช้จ่าย60ล้าน

"บิ๊กป้อม" เผยเรียกตำรวจมาถาม เรื่อง ค่าข้าวกล่อง ตร. ที่ดูแล"ธรรมกาย"ที่แพงเกินเหตุ โยนแม่ค้าขายกล่องละ80บ.ตอนแรก แต่ตอนนี้ลดเหลือ 50บาท แล้ว ส่วน ข่าวที่ ว่า12 วัน ใช้ไป60 ล้านนั้น ก็ไม่มีๆ

...





อย่าสับสนระหว่างการปกครองโดยกฎหมายอย่างชอบธรรม (rule of law หรือ นิติธรรม) กับ การปกครองโดยกฎเผด็จการอันไม่ชอบธรรมที่ฟอกให้เป็นกฎหมาย (rule by law เช่น ม.44)






สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ: ธรรมกายในประวัติศาสตร์




สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ: ธรรมกายในประวัติศาสตร์

Tue, 2017-02-28 18:15

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
ที่มา ประชาไท

งานวิจัยที่สำคัญชิ้นหนึ่ง เรื่อง “ศาสนทัศน์ของชุมชนเมืองสมัยใหม่ ศึกษากรณีวัดพระธรรมกาย” โดย อภิญญา เฟื่องฟูสกุล ได้ให้ภาพเกี่ยวกับแนวทางของวัดพระธรรมกายได้ชัดเจนว่า ที่แท้จริงแล้ว เป็นหนึ่งในขบวนการปฏิรูปศาสนาพุทธ โดยวางเป้าหมายที่จะให้วัดกลับมาเป็นศูนย์กลางของชุมชน และหวังให้ธรรมกายเป็นศูนย์กลางของการเผยแพร่ศาสนาพุทธ ในการแข่งขันกับวาติกันของคริสต์ศาสนา และเมกกะของศาสนาอิสลาม ในการแข่งขันนี้ วัดพระธรรมกายจึงต้องสร้างองค์กรให้เข้มแข็ง และให้มีเศรษฐกิจให้มั่นคง ควบคู่ไปกับการสร้างคำอธิบายศาสนาพุทธแบบใหม่ให้เป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง”บุญ” หรือเรื่อง”นิพพาน” โดยการใช้มรรควิธีแห่ง”สมาธิ”เป็นเครื่องมือ การเติบโตของวัดพระธรรมกายส่วนหนึ่ง จึงเป็นการตอบสนองความต้องการความหลากหลายทางศาสนาในสังคมสมัยใหม่ เพื่อให้พุทธศาสนาอยู่รอดและมีบทบาทในสังคมสมัยใหม่ต่อไป

ความจริงแล้ววิชาธรรมกายนั้น มีจุดเริ่มต้นมาจากหลวงพ่อวัดปากน้ำ ซึ่งมีชื่อเดิมว่า สด มีแก้วน้อย เกิดเมื่อ พ.ศ.2427 ที่บ้านสองพี่น้อง สุพรรณบุรี ออกบวชเมื่อ พ.ศ.2449 และได้มาเป็นเจ้าอาวาสที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ เมื่อ พ.ศ.2459 แล้วได้เปลี่ยนวัดปากน้ำ ให้กลายเป็นวัดขนาดใหญ่และเป็นที่รู้จัก และที่มีความสำคัญกว่านั้น คือการค้นพบวิชาธรรมกาย โดยการเพ่งสมาธิให้เห็นดวงแก้ว และระลึกถึงพระพุทธคุณเพื่อควบคุมจิตใจ จึงสามารถเข้าถึงความเป็นพุทธะ เมื่อค้นพบวิชาธรรมกายหลวงพ่อสดก็ได้เผยแพร่แก่ศิษย์ ทำให้เป็นที่สนใจของสาธุชนจำนวนมาก หลวงพ่อวัดปากน้ำสั่งสอนศิษย์จนถึงวันมรณภาพเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2502

ศิษย์คนสำคัญคนหนึ่งคือ คุณจันทร์ ขนนกยูง ซึ่งพื้นฐานเดิมเป็นลูกชาวนานครชัยศรี แต่มีศรัทธาแก่กล้าในวิชาธรรมกาย จึงปลงผมเป็นชีประจำอยู่วัดปากน้ำ จนกระทั่งได้ลูกศิษย์คนสำคัญ คือ ไชยบูลย์ สุทธิพล ตามประวัติ ไชยบูลย์เป็นชาวสิงห์บุรี เกิดเมื่อ พ.ศ.2487 และมีความสนใจในพระธรรมตั้งแต่เด็ก จนเมื่อเข้าเรียนที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ก็ได้ศึกษาพระศาสนามากขึ้น ต่อมาได้เข้าศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิยาลัยเกษตรศาสตร์ ก็ได้ทราบเรื่องวิชาธรรมกาย จึงได้มาปฏิบัติธรรมกับแม่ชีจันทร์ที่วัดปากน้ำ ในระหว่างนี้ได้รู้จักกับเพื่อนรุ่นพี่ ชื่อ เผด็จ ผ่องสวัสดิ์ ซึ่งได้รับการชักชวนให้มาศึกษาวิชาธรรมกายด้วยกัน จนเมื่อจบการศึกษาแล้ว เมื่อ พ.ศ.2512 นายไชยบูลย์ก็ตัดสินใจบวชที่วัดปากน้ำ มีฉายาว่า “ธัมมชโย” โดยมีพระเทพวรเวที(ช่วง วรปัญโญ)เป็นพระอุปัชฌาย์ พระธัมมชโยได้ตั้งปรารถนาว่า จะสร้างความก้าวหน้าให้กับพุทธศาสนา และจะไม่สึกตลอดชีวิต ต่อมา พ.ศ.2514 นายเผด็จก็บวชที่วัดปากน้ำ มีฉายาว่า “ทัตตชีโว”

พ.ศ.2513 คุณหญิงประหยัด แพทยพงศาวิสุทธาธิบดี ได้บริจาคที่ดินที่คลองสามปทุมธานี 196 ไร่เพื่อสร้างวัด ฝ่ายแม่ชีจันทร์ พระธัมชโย และ พระทัตตชีโว จึงมาตั้งเป็นสำนักสงฆ์ ชื่อ “ศูนย์พุทธจักรปฏิบัติธรรม” ต่อมา ได้สร้างพระอุโบสถเมื่อปลาย พ.ศ.2520 และได้ตั้งเป็นวัดพระธรรมกาย เมื่อ พ.ศ.2524 และขยายใหญ่จนเป็นวัดสำคัญ

ความสำเร็จอย่างมากของวัดพระธรรมกาย เริ่มตั้งแต่การสร้างลักษณะการจัดพื้นที่ของสิ่งก่อสร้าง เช่น ลักษณะของพระอุโบสถก็สร้างเป็นสีขาว และจัดผังให้มีความโดดเด่น สร้างความเป็นระเบียบ และสะอาดตา มีการจัดพื้นที่จำนวนมากให้เป็นเขตธรรมาวาส ให้เป็นเขตปฏิบัติธรรมของสาธุชน เพื่อรองรับลักษณะการเป็นวัดมวลชน และตั้งใจขยายวัดให้เป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาของโลก จึงสร้างโครงการ เช่น สร้างมหาวิทยาลัยทางพุทธศาสนา สร้างมหาเจดีย์ใหญ่ และสร้างภาพให้พระธัมชโย เป็นผู้นำแห่งศรัทธา

ความก้าวหน้าของวัดเห็นได้ภายใน 10 ปี เพราะเมื่อถึง พ.ศ.2533 มีสถิติว่า วัดพระธรรมกายก็มีพระมาบวชถึง 260 รูป สามเณร 214 รูป มีเจ้าหน้าที่ทำงานเต็มเวลา 441 คน พระภิกษุจะแบ่งเป็น “พระใน” คือผู้ที่ตั้งสัตยาธิษฐานว่า จะบวชไม่สึก และต้องพิสูจน์โดยทำงานอุทิศให้กับพระศาสนา ส่วนพระนอกก็คือพระที่มาขอบวชในขั้นต้น และวัดพระธรรมกายก็เน้นในการคัดเลือกบุคคลที่มีการศึกษาเข้ามาบวช สร้างโครงการธรรมทายาท และการอุปสมบทหมู่ภาคฤดูร้อน เผยแพร่หลักธรรมของธรรมกายไปยังชุมนุมพุทธศาสนาตามมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ คือ การเน้นการสร้างพระภิกษุที่มีความรู้ภาษาอังกฤษ เพื่อไปเผยแพร่หลักธรรมทั่วโลก

ความโดดเด่นของวัดพระธรรมกายอีกกรณีหนึ่งที่สร้างความประทับใจ คือการสร้างสัญลักษณ์ร่วม เช่น เครื่องแบบชุดขาว สัญลักษณ์ลูกแก้ว เทคนิคสมาธิ ลักษณะโบสถ์และพิธีกรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเหล่านี้ล้วนเป็น “ภาษา” เฉพาะของชาวธรรมกายที่ใช้สื่ออัตลักษณ์ร่วมของกลุ่ม เช่น การจัดกลุ่มฆราวาสที่ศรัทธาในวัดธรรมกาย เรียกว่าเป็น “กัลยาณมิตร” ซึ่งขยายตัวโดยการชักชวนให้ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ และศึกษาวิชาธรรมกาย นอกจากนี้ คือ การตั้งสถานีโทรทัศน์ของตัวเองในการเผยแพร่คำสอนของพระธัมมชโยและกิจกรรมของวัด

ในท่ามกลางการขยายตัว วัดพระธรรมกายก็เคยถูกโจมตีในหลายเรื่อง ตั้งแต่ถูกต่อต้านและรังเกียจว่า คำสอนของวัดพระธรรมกายไม่เป็นแบบศาสนาพุทธกระแสหลัก โจมตีเรื่องการหาเงินบริจาคและการลงทุนของวัดว่าเป็น “พุทธพาณิชย์” และยังโจมตีในเรื่องที่ทางวัดพระธรรมกายมีกรณีพิพาทกับชาวนาเจ้าของที่ดินรอบวัด เมื่อทางวัดของซื้อที่ดินเหล่านั้นเพื่อขยายวัด กรณีนี้เป็นข่าวหนังสือพิมพ์ในช่วง พ.ศ.2528-2531 ต่อมา ก็คือ ข้อโจมตีเรื่องพระธัมมชโย ยักยอกที่ดินของวัดไปเป็นที่ดินของตนเอง กรณีนี้มีความพยายามในการฟ้องให้พระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิก แต่กรณีเหล่านี้ ก็ยังไม่สามารถที่จะทำลายศรัทธาของสาธุชนจำนวนมากที่มีต่อวัดพระธรรมกาย

จนถึงสมัยเผด็จการทหารหลังการรัฐประหาร พ.ศ.2557 ก็มีความพยายามในการรื้อฟื้นการเล่นงานวัดพระธรรมกายอีกครั้ง โดยหาเหตุจากกรณีที่นายศุภชัย ศรีศุภอักษร ผู้จัดการสหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่น โอนเงินทำบุญให้พระธัมมชโยและวัดพระธรรมกายเมื่อ พ.ศ.2552 แต่ต่อมา พ.ศ.2556 นายศุภชัยถูกดำเนินคดีข้อหาฉ้อโกงสหกรณ์ กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงฟ้องดำเนินคดีย้อนหลังกับพระธัมมชโยในข้อหาฟอกเงินและรับของโจร ซึ่งถือได้ว่าเป็นเรื่องของการหาเหตุเล่นงาน เพราะในทางความเป็นจริงเมื่อมีผู้นำเงินมาบริจาคแก่วัดโดยทั่วไป และต่อมา ถ้าผู้บริจาคมีความผิด ย่อมไม่อาจดำเนินคดีเจ้าอาวาสที่รับเงินได้ แต่กรณีได้รับการวิจารณ์ว่า เป็นความพยายามในการสะกัดไม่ได้สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) แห่งวัดปากน้ำ ซึ่งอาวุโสสูงสุดในมหาเถระสมาคม ขึ้นรับตำแหน่งพระสังฆราช

ในที่สุด วันที่ 16 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา รัฐบาลเผด็จการก็ตัดสินใจใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว ปิดวัดพระธรรมกายเพื่อจับกุมพระธัมมชโย แต่ที่น่าตกใจคือกระแสสังคมฝ่ายอนุรักษ์นิยมกลับแสดงท่าทีเห็นด้วยกับฝ่ายอำนาจรัฐ หากดำเนินการกับพระภิกษุและประชาชนผ่ายสนับสนุนวัดพระธรรมกายในลักษณะเช่นนี้ โดยไม่ได้พิจารณาว่าเป็นใช้อำนาจเบ็ดเสร็จตามอำเภอใจ และยิ่งเป็นการสร้างความแตกแยกในสังคมไทยให้ร้าวลึกต่อไป

หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกใน โลกวันนี้วันสุข ฉบับ 605 วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2560



พระสนิทวงศ์ วัดพระธรรมกาย ตอบโต้ไม่มีคสช.-ม.44 ประเทศจะอยู่กันอย่างไร




https://www.youtube.com/watch?v=oRAJf6auvZg

พระสนิทวงศ์ วัดพระธรรมกาย ตอบโต้ไม่มีคสช.-ม.44 ประเทศจะอยู่กันอย่างไร

Freedom Thailand

Published on Feb 28, 2017

พระสนิทวงศ์ วัดพระธรรมกาย ตอบโต้ถ้าไม่มีทีมโฆษกรัฐบาลทหาร เผด็จการ คสช.และกฎหมาย มาตรา 44 ประเทศชาติจะอยู่กันอย่างไร


พุทธแท้หรือพุทธเทียม ลองฟังพระเทพมังคลาจารย์ รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ วัดท่าตอน พระอารามหลวง




https://www.youtube.com/watch?v=2ApoGP0ryTU

พุทธแท้หรือพุทธเทียม ลองฟังพระเทพมังคลาจารย์ รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ วัดท่าตอน พระอารามหลวง

สถานีข่าวการเมือง

Published on Feb 28, 2017

คลิกเพื่อติดตาม Subscribe สถานีข่าวการเมือง
https://www.youtube.com/channel/UCqGm...

"สมยศ"เตรียมเรียกค่าชดเชย เมื่อพ้นโทษ วางแผนสู้เพื่อ"สิทธิมนุษยชน"




https://www.youtube.com/watch?v=uSsdKFpGf_U

"สมยศ"เตรียมเรียกค่าชดเชย เมื่อพ้นโทษ วางแผนสู้เพื่อ"สิทธิมนุษยชน"

jom voice

Published on Feb 27, 2017

น.ส.ประกายดาว พฤกษาเกษมสุข ลูกสาวนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ผู้ต้องหาคดี 112 ที่ศาลตัดสินลดโทษ 6 ปีจาก 10 ปี และจะได้รับการปล่อยตัว ในกลางปี 2561นี้ว่า เรืองนี้ไม่ได้สร้างความยินดีให้กับครอบครัวมากนัก เพราะ 6 ปีที่ผ่านมา ครอบครัวสูญเสียเงินทอง เสียสุขภาพจิต และชีวิตแต่ละคนเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และไม่ได้ทำให้เกิดความเชื่อมั่น หรือรู้สึกดีต่อกระบวนการยุติธรรมขึ้นเลย เพราะความยุติธรรมที่มาช้า ก็คือความไม่ยุติธรรมอยู่ดี อย่างไรก็ตาม คุณพ่อ ก็ดีใจและวางแผนที่จะออกมาเคลื่อนไหวด้านการปกป้องสิทธิเสรีภาพ และสิทธิมนุษยชนต่อไป โดยไม่ทราบว่า บ้านเมืองเวลานี้ แตกต่างจากเมื่อ 6 ปีที่แล้วมาก ซึ่งครอบครัวไม่ค่อยเห็นด้วย แต่ขึ้นอยู่กับคุณพ่อจะตัดสินใจ ขณะเดียวกันก็คงจะเรียกร้องเพื่อเรียกค่าชดเชยจากการที่ต้องสูญเสียอิสรภาพคุกถึง 6ปี


พวกหน้าด้านหน้าทน ข่มเหงคนด้วยกฎหมายที่ตนเขียนเอง





‘หน้าด้านและดึงดัน’ นั่นคืออัปลักษณะของพวกนักการเมืองตั้งตนเองและลากตั้งคณะนี้ ทั้ง คสช.และลิ่วล้อในหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและอนุมัติกฎหมายทั้งหลาย

ด้านกว่าผังผืดเห็นจะเป็น สนช. โดยเฉพาะตัวหัวหน้าที่ถูกอดีตประธานรัฐสภา ผู้ใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ตบหน้าทางจริยธรรมฉาดใหญ่ “ถ้าผมเป็นประธาน สนช.ตอนนี้ ก็จะขอลาออก”

นายพิชัย รัตตกุล พูดถึง “ปมปล่อย ๗ สนช.โดดร่ม ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา ๙ (๕) ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว ๒๕๕๗ ที่ คสช. เขียนเองกับมือนั่นละ

“ผู้ทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติออกกฎหมายไปบังคับใช้ในสังคม ต้องมีความรับผิดชอบ ยึดหลักการทำหน้าที่ตามกฎหมายสูงสุดคือรัฐธรรมนูญเป็นหลัก ดีกว่าอยู่ทำหน้าที่ต่อไปภายใต้อาณัติของผู้มีอำนาจ แต่ไร้ศักดิ์ศรี”

(http://www.matichon.co.th/news/477944)

แล้วยังโดนนายวีระ สมความคิด เสียบให้อีกดอก “ตามข้อบังคับการประชุมสภา สนช. พ.ศ. ๒๕๕๗ ข้อ ๘๒” กำหนดว่า

“สมาชิกที่ไม่แสดงตนเพื่อลงมติในที่ประชุมสภาเกินกว่า ๑ ใน ๓ ของจำนวนครั้งที่มีการแสดงตนเพื่อลงมติทั้งหมด ในรอบระยะเวลา ๙๐ วัน ให้สมาชิกภาพสิ้นสุดลง” อันนี้เขาเจาะจงที่ “พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา
และ สนช.ที่โดดร่มอีก ๖ คน” โดยตรง

ซ้ำยังอ้างต่างประเทศ “เรื่องอื้อฉาวในทางเลวเช่นนี้ ถ้าเป็นต่างชาติ เช่นญี่ปุ่น เกาหลี นักการเมืองหรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ถูกเปิดโปงเรื่องชั่วเรื่องเลว เขาจะไม่ดาหน้ากันออกมาช่วยคนทำผิดเหมือนของไทย”

นายวีระเพิ่มทางเลือกให้ ไม่เพียงแต่ลาออก ถามว่าจะมีผู้ใดไปผูกคอตายบ้าง หรือถ้าเลือกอยุ่ต่อไปไม่สะทกสะท้านใดๆ เขาเรียก “ไอ้พวกหน้าด้านหน้าทน”

(https://www.facebook.com/Veera-Somkwamkid-181257625305431/)

และที่น่าจะเรียกว่า ‘ด้าน’ เหมือนกันก็ดีเอสไอและ คสช. ในกรณีปิดล้อมวัดธรรมกาย อดข้าวอดน้ำ อดไข่ อดสัญญานวายฟาย นี่ละ ทั่วโลกเขาเรียกร้อง เขาประณาม ก็ยังหน้าทนกันอยู่ได้





วานนี้ (๒๗ ก.พ.) “องค์กรผู้นำพุทธโลก ร่วมกับผู้นำชาวพุทธเกาหลีใต้ ยื่นหนังสือจากการประชุมผู้นำองค์กรพุทธ ๑๐ ประเทศ ณ เมืองพูซาน เกาหลีใต้ ในฐานะผู้แทนของผู้นำองค์กรพุทธทั้ง ๔๐ ประเทศ...

ให้รัฐบาลไทยยกเลิกกฎหมายเผด็จการ ม.๔๔, เลิกทำทารุณกรรมด้วยการปิดล้อมทางเข้าทางออกวัดพระธรรมกาย”

(http://www.matichon.co.th/news/478956)

วันนี้ “ชาวพุทธที่ประเทศแอฟริกาใต้ซึ่งเดินทางไปยื่นหนังสือคัดค้านการใช้มาตรา ๔๔ (ที่เป็นกฎหมายที่ไม่ชอบธรรม) ณ ที่ทำการองค์การสหประชาชาติ กรุงพริทอเรีย”

(http://www.matichon.co.th/news/479161)




กับ “มีการแชร์ภาพที่ระบุว่าเป็นกลุ่มชาวพุทธในเบงกอล ประเทศอินเดีย กำลังถือป้ายมีข้อความภาษาอังกฤษ สื่อความหมายถึงการยืนเคียงข้างวัดพระธรรมกาย ขอให้ธำรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา และยุติการใช้ความรุนแรง”

(http://www.matichon.co.th/news/479128)





ทาง (ด้าน) ดีเอสไอบอกว่าจะลุยค้นอีกวัน แล้วถ้ายังไม่เจอพระธัมมชโยก็อาจจะเจรจา แต่ก่อนจะลงมือทำอย่างนั้นกลับตั้งด่านไล่ตรวจพระ-เณร องค์ไหนไม่มีใบสุทธิเป็นโดนจับยัดคดีอาญาหมด (#PPTVHD36)

อ้อแล้วก็ปฏิเสธเป็นวรรคเป็นเวรว่าไม่ได้ปิดกั้นห้ามนำอาหารเข้าไปเลี้ยงพระเณรในวัดนะ (แต่ที่จริงกว่าจะเข้าได้ ยากฉิ.หา. ต้องขออนุญาตมีพิธีกรรมมากมาย)

ส่วนที่ปฏิเสธไม่ออกตรงที่พระถามว่าเข้าไปค้นแล้วฉกเอาไข่หลายพันฟอง เอาน้ำมันหลายคันรถ ของวัดไปตรวจแล้วหายต๋อม พระขอคืนไม่เห็นตอบ

เหี้ยมอย่างนี้ที่เขาเรียก ‘rule by law’ ข่มเหงด้วยกฎหมายที่ตนเองเขียน




เสร็จแล้วโฆษก คสช. ทับโบก ยังมีหน้ามาถามส่อเสียดเสียอีกว่า “วันข้างหน้าถ้าไม่มี ม.๔๔ ไม่มี คสช.เราจะอยู่กันอย่างไรและอนาคตจะเป็นอย่างไร”

(http://prachatai.com/journal/2017/02/70299)

เห็นมีคนตอบไปแล้วหลายราย แต่ทางนี้ขอบอกว่านั่นละที่เราต้องการ วันพรุ่งนี้เลยเป็นไร ดูสิว่าไพร่ฟ้าจะหน้าชื่นอกตูมแค่ไหน

แต่ก็เห็นท่าจะเป็นไปได้ยากอีกละ ในเมื่อเจ้านายของทั่นโฆษกนั่นเองแย้มพรายแล้วว่า “ถ้ามีอะไรมาขัดขวาง โรดแม็ป มันก็ขยับ ทำไม่เสร็จ เข้าใจแค่นี้พอ ไม่ต้องเรื่องมาก”

(https://www.khaosod.co.th/politics/news_235724)

ทั่นหัวหน้า คสช. อยากให้ “ทุกคนสงบสติอารมณ์...อย่าไปสนใจ มากนัก ให้เจ้าหน้าที่เขาทำงานเท่านั้นเอง”

เออ.


คสช.ถามอนาคตไม่มี คสช. และม.44 ประเทศจะอยู่กันอย่างไร? ? ช่วยตอบหน่อย... + “ลีน่าจัง” ทนไม่ไหวแล้ว โพส ทำเอาแฟนคลับสะใจ แห่คอมเม้นพรึ่บ!!




อยู่สบายๆ

ประเทศจะสงบสุขเรียบร้อย และเจริญรุ่งเรือง ทัดเทียมอารยะประเทศ

สบายเลยครับถ้าๆไม่มีคสช

ประเทศชาติ..จะดีขึ้นเยอะคับ.

ประเทศก็เจริญสิครับ ถ้าไม่มีพวกโจร.

เหมือนได้เกิดใหม่

.....

อยู่อย่างไทยใช่ทาสอำนาจเถื่อน
อยู่กันเหมือนเคยอยู่แต่ปู่ย่า
อยู่ขัดแย้งก็แก้กันด้วยปัญญา
ไม่ต้องพึ่งปืนผากับความกลัว
ไม่ต้องพึ่งมาตราสี่สิบสี่
ไม่ต้องพึ่งท่านดีคนอื่นชั่ว
ไม่ต้องพึ่งโมโนหลอกกรอกหูตัว
ไม่ต้องพึ่งพารั้วครองบ้านเรา

อ. เกษียร เตชะพีระ

ooo




ooo





https://www.facebook.com/khaohod/videos/1609649669049593/


ระวัง! น้ำตาพุทธธรรมกายจะกลายเป็นน้ำกรด หากคสช.ยังก้าวข้ามศพไทยไปยึดวัด, สส.สุนัย, 27 ก.พ. 60




https://www.youtube.com/watch?v=2yMySoywEEo&spfreload=5

ระวัง! น้ำตาพุทธธรรมกายจะกลายเป็นน้ำกรด หากคสช.ยังก้าวข้ามศพไทยไปยึดวัด, สส.สุนัย, 27 ก.พ. 60

Voice of Thailand VOT

Streamed live 2 hours ago

สด... จันทร์ที่ 27 ก.พ. 2560, เวลา 23:00 น. (เวลาไทย)
หัวข้อ: ระวัง!... น้ำตาพุทธธรรมกายจะกลายเป็นน้ำกรด หากคสช.ยังก้าวข้ามศพไทยไปยึดวัด
รายการ: รู้เขารู้เรา, 27 ก.พ. 2560
วิทยากร: สส.ดร.สุนัย จุลพงศธร
ผู้ดำเนินรายการ: สุกิจ ทรัพย์เอนกสันติ
สถานีเสียงประชาชนไทย, Voice of Thailand (VOT), ชิคาโก สหรัฐอเมริกา

ooo


*น้ำตาไทยหลั่งไหลกลายเป็นกรด
รินหลั่งรดเผด็จการไฟผลาญสิ้น
ทั้งดาบปืนฝืนประชาพาพังพิน
พลิกแผ่นดินด้วยน้ำตาประชาชน

*บทกวีจากสส.สุนัย แต่งให้กำลังใจสหายธรรมศิษย์วัดธรรมกายทุกท่าน

ไผ่ ยูโนมีอะลิตเติ้ลโก (“Pai” You Know me a little go) | แตกต่าง หลากหลาย เหมือนกัน #3





ไผ่ ยูโนมีอะลิตเติ้ลโก (“Pai” You Know me a little go) | แตกต่าง หลากหลาย เหมือนกัน #3


Mon, 2017-02-27 19:57
ที่มา ประชาไท


วิดีโอจากโครงการ "แตกต่าง หลากหลาย เหมือนกัน" ลำดับที่ 3 ขอนำเสนอเรื่อง “ไผ่ ยูโนมีอะลิตเติ้ลโก” ผลงานโดย จามร ศรเพชรนรินทร์ โดยเป็นผลงานได้รับรางวัลชนะเลิศ และรางวัลขวัญใจมหาชนในงานฉายวิดีโอของโครงการ

"ไผ่ ยูโนมีอะลิตเติ้ลโก" เป็นเรื่องราวทำความรู้จักจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ "ไผ่ ดาวดิน" เจ้าของคำพูดที่ว่า "เราปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นในสังคมได้ สักวันหนึ่งมันก็เกิดขึ้นกับคุณ" ทั้งนี้ไผ่ ผู้เป็นนักกิจกรรมทางการเมือง ถูกจองจำมากว่า 60 วันแล้ว หลังศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวระหว่างพิจารณาคดีฐานความผิดมาตรา 112 "ไผ่ ดาวดิน" เป็นใคร ทำอะไรมาก่อน ลองฟังเองจากเสียงของเขาและครอบครัวผ่านวิดีโอคลิปเรื่องนี้





สำหรับโครงการ "แตกต่าง หลากหลาย เหมือนกัน" สำนักข่าวประชาไท ภายใต้มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน ได้รับการสนับสนุนจากสถานเอกอัครราชทูตแคนาดาประจำประเทศไทย เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นสิทธิมนุษยชนและความหลากหลายในสังคม โดยคัดเลือกเยาวชน 10 ทีมที่มีทักษะพื้นฐานด้านงานวิดีโอและสนใจประเด็นทางสังคม ผลิตรายการวิดีโอเพื่อสื่อสารและสร้างความรับรู้ต่อสาธารณะ โดยมีการฉายครั้งแรกในงานมอบรางวัลให้ผู้สร้างสรรค์ผลงานจากโครงการ "แตกต่าง หลากหลาย เหมือนกัน" ที่โรงภาพยนตร์เอสพลานาด รัชดา เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

เตือน "ม.มหิดล" หยุดหนุน "เผด็จการ" กลับสู่ปณิธาน "ปัญญาของแผ่นดิน"




https://www.youtube.com/watch?v=gqGDl8G6YWY

เตือน"ม.มหิดล"หยุดหนุน"เผด็จการ"กลับสู่ปณิธาน"ปัญญาของแผ่นดิน"

jom voice

Published on Feb 27, 2017

ดร.อนุสรณ์ อุณโณ ตัวแทนเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง คณบดีคณะสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ Thaivoice กรณี ออกแถลงการณ์ ให้กำลังใจการทำหน้าที่ของ สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา ของมหาวิทยาลัยมหดิล ที่ถูก ผู้บริหารมหาวิทยาลัย ตั้งกรรมการสอบเอาผิดออกแถลงการณ์ให้ คสช.ยกเลิกการใช้ม.44 อย่างพร่ำพรื่อว่า เป็นความตกต่ำของสถาบันอุดมศึกษาที่ไม่ยึดมั่นในหลักการแห่งวิชาการ ทั้ง ๆ ที่ สถาบันสิทธิมนุษยชนฯ ได้ทำหน้าที่ตามภารกิจของสถาบันฯ บนพื้นฐานของประสบการณ์และความรู้ด้านสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษาอย่างแท้จริง ผู้บริหาร มหาวิทยาลัยเสียด้วยซ้ำที่แสดงพฤติกรรมข่มขู่ คุกคาม แทนที่จะใช้หลักการของเหตุผลมาหักล้าง และก่อนหน้านี้ บุคคลากร และองค์กรของมหาวิทยาลัย นำชื่อ มหาวิทยาลัย มหิดล ออกมาใช้เคลื่อนไหวทางการเมือง สนับสสนุนกลุ่มการเมืองอย่างชัดเจน แต่ผู้บริหารกลับไม่แสดงท่าทีใด ๆ ซึ่งวิธีการเช่นนี้จะส่งผลต่อความเสื่อมศรัทธาในสถาบันอุดมศึกษาที่มีชื่อเสียงของประเทศอย่างยิ่ง

ooo





สรุป 308 คดี วัดธรรมกาย





"สรุปการดำเนินคดีกับวัดพระธรรมกาย 308 คดี"


เรื่องโดย สุริยา ปะตะทะโย
ภาพโดย Nation TV
17 กุมภาพันธ์ 2560"


คดีที่เกิดขึ้นในพื้นที่ สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี

1.มีความผิดฐานบุกรุก 16 คดี 
2.ความผิดตาม พ.ร.บ.ขนส่งทางบก 20 คดี
3.ความผิดฐานกีดขวางการจราจร 5 คดี
4.ความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา 1 คดี
5.ความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร 128 คดี
6.ความผิดตาม พ.ร.บ.น้ำบาลดาล 1 คดี
7.ความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ 4 คดี
8.ความผิดฐานขัดขวางเจ้าพนักงาน 2 คดี
9.ความผิดฐานเอาไปเสียซึ่งทรัพย์ที่เจ้าพนักงานยึดไว้ 1 คดี
รวม 178 คดี"


-มีการออกหมายจับของศาลธัญบุรีที่855/59 ลงวันที่15 ธ.ค. 59 กับนายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกศิลยานุศิลย์วัดพระธรรมกาย

-มีการออกหมายจับของศาลอาญาที่110/59 ลงวันที่15 ธ.ค. 59 กับนายองอาจ ธรรมนิทา

**คดีที่เกิดขึ้นในความรับผิดชอบของ กองบังคับการปราบปราม(บก.ป.)

1.ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 (ฐานยุยงปลุกปั่น) 1 คดี

-มีการออกหมายจับของศาลอาญาที่109/2560 ลงวันที่13 ธ.ค.59 กับ น.ส.ดวงกมล ทองคณารักษ์

-มีการออกหมายจับของศาลอาญาที่110/2560 ลงวันที่ 13 ธ.ค.59 กับ น.ส.ทิพวรรณ์ สุจริยานุรักษ์

**คดีที่เกิดขึ้นอยู่ในความรับผิดชอบของกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(บก.ปทส.)

1.มีความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ 19 คดี

-มีการออกหมายจับของศาลจังหวัดสีคิ้วที่121/59 ลงวันที่17 พ.ย.59 กับ พระเทพญาณมหามีนีหรือพระธัมมชโย

**คดีที่เกิดขึ้นในความรับผิดชอบของ สภ.เกาะยาว จ.พังงา

1.มีความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร 98 คดี

2.ความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ 1 คดี

3.ความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธ 1 คดี

4.ความผิดตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า(ปะการัง) 1 คดี

5.ความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน(ตัดต้นไม้ขวาง) 1 คดี

6.ความผิดตาม พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม(ตั้งเสาและสถานีวิทยุโดยไม่ได้รับอนุญาต) 1 คดี

รวม 103 คดี

-มีการออกหมายจับศาลจังหวัดพังงา ที่จ.6/2560 ลงวันที่25 ม.ค. 60 กับ พระเทพญาณมหามุนีหรือพระธัมมชโย

-มีการออกหมายจับศาลจังหวัดพังงา ที่จ.7/2560 ลงวันที่25 ม.ค.60 กับ นายเพชร์ แก่นทรัพย์

**คดีที่เกิดขึ้นในพื้นที่ สภ.ภูเรือ จ.เลย

1.ความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ 3 คดี

2.ความผิดฐานออก น.ส.3ก. โดยมิชอบ 2 คดี

3ความผิด พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร 1 คดี

รวม 6 คดี

-มีการออกหมายจับศาลจังหวัดเลยที่174/59 ลงวันที่15 ส.ค. 59 กับ พระเทพญาณมหามนุนี

-มีการออกหมายจับศาลจังหวัดเลยที่175/59 ลงวันที่15 ส.ค. 59 กับ พระทเพพญาณมหามุนีและวัดพระธรรมกาย

**คดีที่เกิดขึ้นในพื้นที่ สภ.อุ้มผาง จ.ตาก

1.มีความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ 1 คดี

-มีการออกหมายจับของศาลจังหวัดแม่สอด ที่ จ.142/59 ลงวันที่ 15 ส.ค. 59 กับ พระธา"

ooo




ooo



ทูตสหรัฐฯเรียกร้องให้ไทยดำเนินการตามโรดแมป เดินหน้าสู่การเลือกตั้ง




เอกอัคราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย เข้าร่วมพูดคุยกับพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจฝึกร่วมทางทหารคอบร้าโกลด์ โอกาสนี้ ยังเรียกร้องให้ประเทศไทยดำเนินการตามโรดแมป เดินหน้าสู่การเลือกตั้ง

ภายหลังการหารือ นายกลิน ที เดวีส์ เอกอัคราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า สหรัฐฯ ชื่นชมไทยที่เป็นเจ้าภาพที่ดีในการฝึกร่วมทางทหารคอบร้า โกลด์ ซึ่งเป็นการสร้างความมั่นคงปลอดภัยในภูมิภาค และความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก

ก่อนย้ำว่า สหรัฐอเมริกา คาดหวังให้ประเทศไทยมีการเลือกตั้งตามโรดแมป นำประเทศเดินหน้าเข้าสู่การเป็นประชาธิปไตย ซึ่งประชาชนควรจะมีส่วนร่วม ส่วนในรายละเอียดของการพูดคุยไม่สามารถเปิดเผยในรายละเอียดได้

ส่วนความเคลื่อนไหว เรื่องปรองดอง พลโทวิชัย แชจอหอ แม่ทัพภาคที่ 2 ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 2 เรียกประชุมผู้ว่าราชการจังหวัด 20 จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และผู้บังคับหน่วยทหารในพื้นที่ เพื่อขับเคลื่อนแผนงานเตรียมรับฟังความคิดเห็น และสร้างความสามัคคีปรองดอง ตามคำสั่ง คสช.แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความปรองดอง หรือ ป.ย.ป.

พลโทวิชัย กล่าวว่า แนวทางรับฟังความคิดเห็นในพื้นที่ภาคอีสาน มี 4 ขั้นตอน ประกอบด้วย การรับฟังความคิดเห็น ประชุมกลุ่มย่อย จัดเวทีสาธารณะ และจัดทำสัญญาประชาคมจากประชาชนทุกภาคส่วน เพื่อนำข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่ดิน ก้าวข้ามความขัดแย้ง พร้อมเดินหน้าสู่ความสามัคคีปรองดอง

ขณะที่การพูดคุยปรองดอง ที่กระทรวงกลาโหม วันพรุ่งนี้ เชิญ 5 พรรคการเมืองให้ความเห็น ได้แก่พรรคทวงคืนผืนป่าประเทศไทย, พรรคพลังเครือข่ายประชาชน, พรรคพลังสหกรณ์, พรรคมหาชน และพรรคยางพาราไทย

ที่มา
http://news.voicetv.co.th/thailand/465687.html


ooo

เมื่อทูตสหรัฐฯ ถูกถามถึงท่าที หากไทยเลื่อนวันเลือกตั้งออกไป ?



https://www.youtube.com/watch?v=jsr6sqjMQyA

matichon tv

Published on Feb 27, 2017

Official Matichon TV

ooo





"บิ๊กตู่" เปรยโรดแมพ นั่นคือโรดแมพ ทำเมื่อไหร่ เสร็จเมื่อไหร่ อะไรเมื่อไหร่ แต่ถ้ามันมีอะไรมาขัดขวาง โรดแมพ มันก็ขยับ/ขอ ทุกคนสงบสติอารมณ์ ทำบ้านเมืองสงบเรียบร้อย จะทำอะไรก็ตามนึกถึงคนส่วนใหญ่ของประเทศ อย่าไปให้ความสนใจ เรื่องขัดแย้ง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช.กล่าวภายหลังเป็นประธานในพิธีบวงสรวงการก่อสร้างและยกเสาเอกพระเมรุมาศในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของกรมศิลปากร และคาดว่าจะใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 1 ปี หรือประมาณเดือนกันยายน-ตุลาคม 2560 ก็เสร็จเรียบร้อย และจะมีพิธีที่ยิ่งใหญ่ เพื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพ

"ช่วงนี้อยากให้ทุกคนสงบสติอารมณ์ ทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย นึกถึงคนส่วนใหญ่ทั้งประเทศเขาบ้าง จะทำอะไรก็ตามนึกถึงคนส่วนใหญ่ของประเทศ รัฐบาลคิดทุกอย่าง นึกถึงคนทั่วประเทศอยู่ทุกวันๆ แก้ปัญหาทุกปัญหาทุกวันๆ เพราะฉะนั้นอะไรที่ไม่จำเป็น อะไรที่เป็นความขัดแย้ง อะไรที่ไม่สร้างสรรค์ อย่าไปให้ความสนใจมากนัก ให้เจ้าหน้าที่เขาทำงานเท่านั้นเอง" นายกฯกล่าว

นายกฯ กล่าว ขอบคุณอีกครั้งสำหรับเจ้าหน้าที่และขอชื่นชมเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ซึ่งในส่วนของรัฐบาลที่ได้มอบหมายรองนายกฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และรัฐมนตรีส่วนที่เกี่ยวข้องรวมถึงคณะกรรมการอำนวยการฯทั้งคณะ ที่ตนเป็นประธาน วันนี้ได้มาเห็นความก้าวหน้าและสบายใจว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผนงาน

"การจะทำอะไรก็ตามต้องมีแผนงาน การสร้างที่นี่ก็มีแผนงานไปจบเดือนกันยายน-ตุลาคม เหมือนกับรัฐบาลทำงานก็มีโรดแมพ นั่นคือโรดแมพ ทำเมื่อไหร่ เสร็จเมื่อไหร่ อะไรเมื่อไหร่ แต่ถ้ามันมีอะไรมาขัดขวาง โรดแมพมันก็ขยับ ทำไม่เสร็จ เข้าใจแค่นี้พอ ไม่ต้องเรื่องมาก" พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ที่มา FB

Wassana J. Nanuam

.....


ขู่ไปเรื่อย ทั้งที่รู้ตัวดี โรดแมปยิ่งขยับ ไม่ได้เลือกตั้งซักที ตัวเองนั่นละจะลำบาก "ขาลง" ประดังทุกด้าน เศรษฐกิจปีนี้ โลกผันผวน รัฐบาลก็ต้องกู้ๆๆๆ ซ้ำเก็บภาษีไม่เข้าเป้า เรื่องอื้อฉาว น้องชาย รถไฟ ก็ประดัง ยังดีนะมีธรรมกายเป็นเหยื่อประชานิยมสลิ่ม แต่ถ้าลงท้ายจัดการธรรมกายไม่ได้ สลิ่มนั่นละจะปรามาสไร้น้ำยา 555


Atukkit Sawangsuk


วันจันทร์, กุมภาพันธ์ 27, 2560

Overview : 'มติประชาชน อยากเห็นรัฐถอนกำลัง หยุดปิดล้อมวัด เลี่ยงสังคมแตกแยก'




https://www.youtube.com/watch?v=Q85NkCCGVfw

อ.ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ OVERVIEW 27-2-2017

SHTV

Published on Feb 27, 2017

Overview : 'มติประชาชน อยากเห็นรัฐถอนกำลัง หยุดปิดล้อมวัด เลี่ยงสังคมแตกแยก'

.....



เป้าหมายการแก้กฏหมายสงฆ์เกี่ยวกับการจัดการทรัพยสินและการศึกษาทางโลกของคณะสงฆ์ไทย - เป้าหมายจริง คือ เข้าไปยึด เพื่อบริหารจัดการเงินสดของวัดทั่วไทย กว่า 300,000 ล้านบาท และ เข้าไปจัดการทรัพย์สินวัดทั่วไทย กว่า 20 ล้านล้านบาท เริ่มต้นที่ วัดธรรมกาย




ที่มา FB


Phrasitthisak Sirinuntho

ส่วนหนึ่งจากโพสต์
https://www.facebook.com/Sitthisak1453/posts/1358787280851233




#ด่วน..!!! ข่าวกรองวงใน สนช.สายพุทธ ( ไฟถึงบ้านแล้วตื่นหรือยัง มหาเถร.. จะยอมจำนนต่อทรราชหรือจะ ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อเอกราชของพุทธศาสนาในประเทศไทย...???? )
=================
การแก้กฏหมายสงฆ์เกี่ยวกับการจัดการทรัพยสินและการศึกษาทางโลกของคณะสงฆ์ไทย

สาระสำคัญ:
@ ยุบรวม พศ. ไปอยู่กับกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรม

@ ควบรวมการจัดการศึกษาของ มจร และ มมร มหาวิทยาลัยสงฆ์ 2 แห่งเข้าด้วยกัน มีสถานะเป็นศูนย์การศึกษาและการฝึกปฏิบัติธรรมตามแนวไตรสิกขา เน้นการศึกษาพระไตรปิฎก ยุบเลิกหลักสูตรที่มหาวิทยาลัยทางโลกเขาจัดการศึกษาอยู่แล้วทุกหลักสูตร

@เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลกอย่างแท้จริง

@หรืออาจตั้งชื่อเป็นหลักสูตรพุทธศาสตร์เท่านั้น

@การขอและอนุมัติงบประมาณสนับสนุนการจัดการศึกษาของหน่วยงานใหม่ ให้เป็นหน้าที่ของกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม

@พระที่เรียนจบแล้วต้องคงสภาพความเป็นพระถาวร เพื่อดูแลและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ห้ามลาสิกขามาหางานทำแข่งกับคฤหัสถ์

@ ยกเลิก พรบ.สงฆ์ 2505 แก้ไขเพิ่มเติม 2535 เพื่อยุบทิ้งมหาเถรสมาคม

@ให้นำพรบ.สงฆ์ 2484 มาใช้แทน ซึ่งจะเป็นการปกครองแบบสังฆสภา สังฆมนตรี

@พระสงฆ์บวชแล้วห้ามลาสิกขา เหมือนพุทธเถรวาทในประเทศอินเดีย และศรีลังกา

@รายได้ของพระที่เกิดจากกิจนิมนต์และรายได้อื่น ๆ ระหว่างบวชต้องตกเป็นของวัด และจัดส่งเข้ากองคลังกลางผ่านกรมการศาสนา

@รายได้อื่น ๆ ที่ไม่ได้เกิดจากกิจศรัทธาต้องเสียภาษีบุคคลธรรมดาในอัตราภาษีก้าวหน้า

@พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาห้ามเปิดบัญชีธนาคารเพื่อสะสมทรัพย์

@ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้จ่ายทรัพย์ไม่ว่ากรณีใด ต้องผ่านไวยาวัจกรของวัดนั้น ๆ ห้ามพระสงฆ์จับต้องเงินทองด้วยตนเอง เพื่อรักษาศรัทธาของพุทธศาสนิกชน

@ ยกเลิกนิตยภ้ตเกี่ยวกับสมณศักดิ์ทั้งหมดที่เคยได้รับ

@โดยมีคณะอนุกรรมาธิการด้านศาสนา ศิลปวัฒนธรรมที่มีนายสมพร เทพสิทธาเป็นประธานเป็นผู้รับผิดชอบ

( มหาเถร มจร และ มมร ออกมาสู้ได้แล้วหรือยัง...??? )

.



เบื้องหลัง การบุกธรรมกาย

เป้าหมายจริง คือ เข้าไปยึด เพื่อบริหารจัดการเงินสดของวัดทั่วไทย กว่า 300,000 ล้านบาท และ เข้าไปจัดการทรัพย์สินวัดทั่วไทย กว่า 20 ล้านล้านบาท

เริ่มต้นที่ วัด ธรรมกาย....คิวต่อไป วัดสระเกศ วัดโสธร และวัดพระพุทธชินราช วัดพระปฐมเจดีย์ วัดใหญ่ชัยมงคล วัดไร่ขิง ....

ใครอาศัยใบบุญ เช่าตึกแถว เช่าที่วัดทำกิน เช่าบ้านช่องในที่วัด ก็เตรียมตัว เตรียมใจ ไว้ให้ดี ควายจะไล่ขวิดกัน ทั้งแผ่นดินละงานนี้....

ล้มธรรมกายได้ ก็ล้มได้ทุกวัด ไม่มีเหลือ เหนือสุด ยัน ใต้สุด ไม่มีรอดแล้วงานนี้....

รายการคืนความสุขให้เหล่าคนดี แล้วละครับ......

#OpSingleGateway

https://timeline.line.me/…/_dcxSjsVTrDP…/1148816457404061598






แพทย์หญิง ยุนนี่ อินดริอานี่ คุณหมอชาวเอเซียในเยอรมัน เขียนถึงความประทับใจที่ได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดธรรมกาย การกล่าวร้ายต่อวัด เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และเป็นการทำลายพระพุทธศาสนาในประเทศไทย




Dr. med. Yunni Indriani Kardiologin von München


“วัดพระธรรมกายไม่ใช่ลัทธิ” จากสติปัญญาและหัวใจคุณหมอชาวเอเชีย เกียรตินิยมเหรียญทองแพทย์เยอรมัน

ทุกวันนี้กลุ่มทางศาสนาโดยส่วนมากมักจะถูกมองว่าเป็น'ลัทธิ' ซึ่งในความเป็นจริงก็เป็นการเรียกขึ้นมาเพื่อให้เกิดความรู้สึกด้านลบ ดังที่วัดพระธรรมกายในขณะนี้กำลังเผชิญ เกิดจากความไม่รู้และไม่เข้าใจของคนและสื่อเท่านั้นเอง

โดย Aksornsiri
เวป Win News
http://winne.ws/n13577

27 ก.พ. 2560

หากท่านใดที่เคยเรียนที่ประเทศเยอรมนีจะพบว่าระบบการศึกษาของเยอรมันนั้น การออกเกรดจะกลับหัวกลับหางกับของไทย ให้เอา 5ลบเกรดเยอรมันจะกลายเป็นเกรดไทย เช่น1.00 ของเยอรมัน คือ 4.00 ของไทย หรือ เกรดเอ และเกรดของเยอรมันนั้นโหดหินจริงๆ ใครที่คว้าเกรด 1.00 ของเยอรมันมาได้ ถือว่าสุดยอดจริงๆ

เป็นเรื่องน่าชื่นชม ที่มีชาวเอเชียสามารถเรียนคณะแพทย์ในมหาวิทยาลัยของประเทศเยอรมนี ด้วยเกรดเยอรมันที่น้อยกว่า1.00 นั่นคือสติปัญญาในการศึกษาเล่าเรียนของเธอยอดเยี่ยมมาก ผลการเรียนได้มากกว่าเกรดเอนั่นเอง!!!

คุณหมอท่านนี้คือ แพทย์หญิง ยุนนี่ อินดริอานี่ เกิดในครอบครัวคหบดีเชื้อสายจีนที่ตั้งหลักปักฐานทำธุรกิจที่ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่ประเทศบ้านเกิดของเธอ เธอสามารถสอบเข้าเรียนต่อคณะแพทย์ในประเทศเยอรมนีได้และเรียนจบระดับเกียรตินิยมเหรียญทอง

เมื่อสอบถามถึงเทคนิคการเรียนของเธอ เธอตอบอย่างถ่อมตัวว่า เธอไม่ใช่คนเก่ง แต่มีความพยายามเท่านั้นเอง ความรู้ภาษาเยอรมันของเธอด้อยกว่าเพื่อนชาวเยอรมัน เธอจึงต้องอดทนอ่านหนังสือหลายๆรอบ มีการเขียนสิ่งที่อ่านแล้วออกมาเป็นภาพเพื่อช่วยในการจดจำ เธอบอกอีกว่า สิ่งที่ทำให้เธอทำได้เช่นนี้เพราะ “ การฝึกสมาธิ”

คุณหมอยุนนี่ได้มาฝึกสมาธิที่ศูนย์สาขาของวัดพระธรรมกายในประเทศเยอรมนีตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนภาษา ช่วงไหนสะดวกก็เป็นอาสาสมัครช่วยงานวัดอย่างไม่เกี่ยงงาน ไม่ว่าจะเป็นการล้างจาน ทำความสะอาดวัด และงานด้านภาษาภาษาเยอรมัน จนปัจจุบันแม้เรียนจบและทำงานแล้ว คุณหมอยุนนี่ ก็ยังปฏิบัติต่อวัดเช่นเดิมและช่วยดูแลเรื่องสุขภาพของพระ เจ้าหน้าที่ และสาธุชนที่มาทำบุญที่วัดอีกด้วย

ขณะเดินทางระหว่างประเทศ คุณหมอยุนนี่ เคยช่วยชีวิตผู้โดยสารที่เกิดเหตุป่วยฉุกเฉินบนเครื่องบิน3ครั้ง จนได้บัตรกำนัลของสองสายการบินมาเลยทีเดียว





เมื่อทราบข่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับวัดพระธรรมกายในช่วงนี้ เธอจึงเขียนเรื่องราวสื่อสารไปทางโลกออนไลน์เป็นภาษาเยอรมัน ใจความแปลเป็นไทยว่า

“ ดิฉันชื่อยุนนี่ อินดริอานี เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านหัวใจในเมืองมิวนิคสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับพระสงฆ์และวัดพระธรรมกายเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกหดหู่ใจเป็นอันมากโดยที่วัดพระธรรมกายนั้นมักจะถูกเข้าใจผิดไปว่าเป็นลัทธิหนึ่งเท่านั้น คำว่า“ลัทธิ” ในภาษาเยอรมัน มีรากศัพท์มาจากภาษาละตินที่แปลว่า การทำตามๆ กันและแปลงความหมายมาเป็น การทำตามผู้นำ

ทุกวันนี้กลุ่มทางศาสนาโดยส่วนมากมักจะถูกมองว่าเป็นลัทธิซึ่งในความเป็นจริงก็เป็นการเรียกขึ้นมาเพื่อให้เกิดความรู้สึกด้านลบ ดังที่วัดพระธรรมกายในขณะนี้กำลังเผชิญ ในหลายสื่อมีการใช้คำว่าลัทธิต่อวัดพระธรรมกาย ซึ่งในความเห็นส่วนตัว เป็นการกระทำที่เกิดจากความไม่รู้ของประชาชนและนักข่าวผู้ที่ไม่ได้เข้าใจวัดพระธรรมกายและในฐานะที่เราเองก็ต้องมีหน้าที่ในการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง กับสื่อต่างๆไปจนถึงระดับสากลเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องต่อวัดพระธรรมกาย

ดิฉันไปวัดพระธรรมกายศูนย์สาขาในต่างประเทศอย่างสม่ำเสมอมากกว่าสิบสามปีไปปฏิบติธรรมและทำบุญที่วัดพระธรรมกายในแคว้นบาวาเรียน ได้ศึกษาคำสอนทางพระพุทธศาสนาจากพระสงฆ์และเรียนรู้วิธีการปฏิบัติธรรมที่นั่น จนพบกับความสงบและปล่อยวางช่วยผ่อนคลายความเครียดจากอาชีพแพทย์ จนฉันสามารถจะส่งต่อความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้นไปยังคนรอบข้างด้วย

คณะสงฆ์จากวัดพระธรรมกายได้ให้ความรู้ในหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ไม่ได้มีการบังคับให้เชื่อโดยไม่มีความสมัครใจ ไม่มีใครบังคับฉันให้เข้าวัดพระธรรมกาย และไม่มีใครมากีดกั้นการเข้าวัดของฉันด้วย ในทางตรงกันข้ามวัดกลับสอนให้รู้จักมีความรัก ความเมตตา และมีน้ำใจต่อผู้อื่น

ฉันจึงรู้สึกประทับใจหลายสิ่งของวัดที่เป็นสิ่งดีและสอนให้คิดบวกและเป็นสิ่งที่ทางวัดสอนให้กับคนในสังคมโดยไม่ยึดติดกับความเป็นศาสนาแต่ให้ยึดหลักมนุษยธรรม

จนถึงวันนี้ฉันแน่ใจว่าวัดพระธรรมกายไม่ใช่ลัทธิและก็หวังให้สถานการณ์ในประเทศไทยสงบและเป็นธรรมโดยไว

การแจ้งข้อกล่าวหาและอาชญากรรมต่อท่านเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายนั้น(หลวงพ่อธัมมชโย) เป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวด ละเมิดสิทธิมนุษยชนและริดรอนสิทธิในการนับถือศาสนาซ้ำยังเป็นการทำลายพระพุทธศาสนาในประเทศไทย”

หากชาวพุทธทั้งหลาย ใช้หลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชนคือ "กาลามสูตร "ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆอย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ คงไม่เกิดความขัดแย้งทางความคิดด้านศาสนาของคนไทยอย่างรุนแรงจนใกล้จะเป็นสงครามกลางเมือง ทำร้ายคนไทยด้วยกันเอง ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้

.....พึงตั้งสติให้มากกว่านี้ ก่อนที่ประเทศไทยจะเกิดความสูญเสียทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและพุทธศาสนาไปมากกว่านี้

ข้อความจากคุณหมอยุนนี่ เป็นภาษาเยอรมัน (German)





Mein Name ist Yunni Indriani, ich komme aus Allgäu und bin als Kardiologin in einem Lehrkrankenhaus von München tätig. Die jetzige Situation gegen die Mönche und den Dhammakaya Tempel in Thailand macht mich zutiefst traurig. Zumal wird häufig dem Dhammakaya Tempel als eine Sekte vorgeworfen.

Etymologisch geht das Wort Sekte auf das lateinische "secta"zurück, welches vom Verb "sequi" - "folgen" i.S.v. "einem Meister nachfolgen" abzuleiten ist.

Heutzutage werden Gruppen, meist religiöse Gruppen, deren Ansichten meist sehr radikal und abwegig sind sowie den ethischen Grundwerten der Gesellschaft widersprechen, als Sekten bezeichnet. Dass der Dhammakaya Tempel in vielen Medien als eine Sekte häufig propagiert wurde, liegt meiner Meinung nach an fehlendem Kenntnis von vielen Leuten und Journalisten über den Dhammakaya Tempel. Wir Menschen haben aber trotzdem die Aufgabe, die Informationsflut der Medien, unter anderem in der virtuellen Welt, zu überblicken, jedoch nicht blind zu vertrauen.

Ich besuche regelmäßig seit mindestens 13 Jahren den Dhammakaya Tempel in Königsbrunn Bayern um zu meditieren und Verdienste zu machen. Die Belehrungen durch die Mönche im Dhammakaya Tempel und das Praktizieren von Meditation bringen mehr Frieden und Gelassenheit in mein stressiges Berufsleben als eine Ärztin. Ich kann mehr Empathie zeigen und meine Freude besser mit Mitmenschen teilen.

Die Mönche aus dem Dhammakaya Tempel geben uns die Belehrungen von Buddha weiter, es gibt hier keine Offenbarung den einzig wahren Weg zur Erlösung zu kennen. Ich wurde nicht gezwungen, dem Dhammakaya Tempel beizutreten und wurde bisher von der übrigen Welt nicht abgegrenzt. Ganz im Gegenteil, meine zwischenmenschlichen Beziehungen werden durch mehr Liebe, Freundlichkeit und Empathie deutlich optimiert.

Ich bin außerdem sehr begeistert, wieviel gute und positive Dinge der Dhammakaya Tempel und dessen Laien bisher zur Gesellschaft beigetragen haben, nicht nur religiös, sondern auch humanitär.

Ich kann sicher sagen, dass der Dhammakaya Tempel alles andere als eine Sekte ist. Ich hoffe, dass die Situtation in Thailand friedlich und gerecht ausgehen wird.

Falsche Anschuldigung und Kriminalisierung gegenüber dem Abt und dem Dhammakaya Tempel verletzen nur noch die Menschenrechte und Religionsfreiheit und gefährden das weitere Überleben des Buddhismus in Thailand.

ข้อความคุณหมอยุนนี่ ภาษาอังกฤษ(English)

My name is Yunni Indriani. I live in Bavaria and work as a cardiologist in a hospital in Munich. What happens to the temple and the monks makes me very sad. Besides this the Dhammakaya temple is often called "sect, but it is really not a sect!

The origin of this word goes back to the Latin language and means "to follow a master". Today religious groups which are radical and opponent to fundamental values are called "sect". I think that lacking knowledge about the Dhammakaya temple is the reason why the media often call the temple a sect.

I have been visiting the Dhammakaya temple in Königsbrunn for more than 13 years. The teachings and the meditation practice bring peace serenity in my stressful life.

The monks at the Dhammakaya temple give us Buddha's teachings. I was not forced to anything by the temple. And I am not isolated from the rest of the world just because I am a member of the temple. It's the opposite : I live more happily and empathically with all the people in my life.

The Dhammakaya temple does a lot of good things to the society - not only religious but also humanitarian.

I can surely testify that the Dhammakaya temple is not a sect. I hope the situation in Thailand will end peacefully and fair. False accuses at the temple and the abbot hurt human rights threaten Buddhism in Thailand.


คลิป พระสนิทวงศ์ แถลงข่าวชี้แจง 27 กพ. 2560 ถึงสถาณการณ์ ผลกระทบ และความเสียหายวัดพระธรรมกายได้รับ




https://www.youtube.com/watch?v=cwNnr7pUgQc

20170227 พระสนิทวงศ์แถลงข่าว27กพ2560 สถาณการณ์วัดพระธรรมกาย

DMC_USA

Published on Feb 27, 2017

พระสนิทวงศ์ วัดพระธรรมกาย
วันที่ 27 ก.พ. 2560 เวลา 10.00 น.
วันที่ 12 ของปฏิบัติการ รัฐใช้งบประมาณไปแล้วกว่า 60 ล้านบาท

วัดพระธรรมกายได้รับผลกระทบ

1.สูญเสีย “เสรีภาพในการนับถือศาสนา” และการเผยแพร่ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

2.กล่องวงจรปิด ที่ประตู 1 ถูกทำลาย 5 ตัว

3.อาหารที่โรงครัวซื้อไว้ ผักสด 1 คันรถ เนื้อหมู 1 คันรถ เน่าเสีย ไม่สามราถนำเข้ามาได้ มูลค่าความเสียหาย 200,000 บาท

4.หมูของชาวบ้านที่จะมาถวายวัด ถูกยึดไป 300 ตัน , ไข่หาย 2,000 ฟอง อาจดูเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไร้สาระ น่าขำ แต่เป็นเรื่องสะเทือนจิตใจของพุทธบริษัท ที่ของถวายพระสงฆ์ที่ตั้งใจด้วยจิตศรัทธาสูญหายไป

5.น้ำมันที่เตรียมไว้ ถูกสูบออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาต จำนวน 98,000 ลิตร มูลค่าความเสียหาย 1.5 ล้านบาท

กรณีน้ำมันที่ถูกยึดเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ DSI ยึดไว้ เป็น ของกลางคดีอาญา

๐ คำว่า "ทรัพย์ของกลางในคดีอาญา" คือ (1) ทรัพย์ที่มีไว้เป็นความผิด (2) ได้มาโดยผิดกฎหมาย (3) ทรัพย์ของกลางได้ใช้กระทำความผิดหรือตั้งใจกระทำความผิด

๐ การเข้ามาตรวจค้น ตรวจยึด หรือกระทำการใดๆ เจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องกระทำการโดยเปิดเผย บริสุทธิ์ หากการเข้ามาตรวจยึดน้ำมันในครั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้แต่ยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่งก็ปิดป้ายทะเบียนรถยนต์ ชื่อบริษัทผู้ประกอบกิจการและไม่อนุญาตให้ตัวแทนของเจ้าของน้ำมันถ่ายรูปเก็บไว้เป็นหลักฐานในการตรวจยึด กล่าวโดยสรุปคือ ไม่ยินยอมให้มีการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่

๐ จึงไม่ทราบเหมือนกันว่าเจ้าหน้าที่ดีเอสไอมีวัตถุประสงค์อะไร ? น้ำมันก็นำมาใช้อำนวยความสะดวกสำหรับรถในองค์กร ไม่ได้นำมาขายโกงราคา หรือเพื่อจะนำไปเป็น เชื้อเพลิงในการก่อเหตุความไม่สงบแต่อย่างไร เพียงแต่มีปริมาณที่มาก เพราะรถในองค์กรมีจำนวนมากเท่านั้นเอง หากทำการตรวจเสร็จแล้ว ทางวัดพระธรรมกายขอคืนด้วย

6.ถูกตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ต ตั้งแต่วันที่ 25 ก.พ. ปิดกันเสรีภาพในการรับรู้ข่าวสารของประชาชน เป็นการละเมิด “สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานในการรับรู้ข่าวสารของประชาชน” สร้างความทุกข์ใจให้กับประชาชนที่เป็นพ่อแม่ ไม่สามารถติดต่อกับลูกพระลูกเณรในวัดได้ หรือพ่อแม่พี่น้องที่ไม่มีสามารถติดต่อญาติในวัดได้ ความทุกข์ใจของคนเป็นพ่อแม่ญาติพี่น้อง ตีเป็นมูลค่าความสูญเสียไม่ได้

7.ถูกเจ้าหน้าที่ขึ้นไปเหยียบย้ำขึ้นบน #พระมหาธรรมกายเจดีย์ #พระมหาเจดีย์พระพุทธเจ้าล้านพระองค์ สิ่งศักดิ์สทิธิ์ประจำวัด ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก ประดิษฐานพระพุทธรูปตัวแทนพระพุทธเจ้า 1 ล้านพระองค์ และที่เจ้าหน้าที่เหยียบขึ้นไป คือ โซนสังฆรัตนะ โดยปกติจะอนุญาตให้เฉพาะพระสงฆ์สามเณร ขึ้นไปนั่งสมาธิเท่านั้น แม้ญาติโยมผู้บริจาคก็ยังไม่เคยได้เดินขึ้นไปบนเจดีย์เลย

8.พระเณรและญาติโยม ขาดสอบบาลี 569 รูป/คน เพราะจากสถานการณ์ ม.44 ทำให้ไม่กล้าไปสอบ และไม่มีสมาธิไปสอบ รวมทั้ง รถเช่าไม่กล้ามารับ เนื่องจากกลัว ม.44

9.ญาติโยมที่ได้รับบาดเจ็บ จากการปะทะ มี 1 รายบาดเจ็บสาหัส ซี่โครงหักซี่ ที่ 1-6 ไหปลาร้าหัก เลือดออกที่หู แต่โรงพยาบาลแรกรับ ไม่กล้ารับรักษา เพราะกลัว ม.44

10.ตู้คอนเทนเนอร์ปิดล้อม และปิดกันขวางทางเข้าออกตรงประตู 5 ซึ่ง รมต.สุวพันธ์ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ไม่มีการ “ปิดล้อม” แต่ในความเป็นจริง ขณะนี้ตู้คอนเทรนเนอร์ ยังปิดขวางประตูอยู่ ทั้งนี้ จากเบาะแส วันศุกร์ที่ 24 ก.พ. ที่ผ่านมาพบ มีตู้คอนเทนเนอร์ ขนาด 12 เมตร จำนวน 2 ตู้ ปิดทางเข้า ประตู 15 โดยมีการให้ข่าวจากเจ้าหน้าที่รัฐ อ้างว่า เจ้าหน้าที่ของทางวัดนำไปปิด ซึ่งไม่เป็นความจริง แต่อย่างใด โดยหลักฐานจากภาพกล้องวงจรปิดก็ชัดเจนว่า เป็นเจ้าหน้าที่ใช้ยานพาหนะของดีเอสไอ เป็นผู้นำตู้คอนฯ ได้นำมาวางปิดขวางประตูทางเข้า 15 ฝั่งนอกวัด

11.วัดถูกใส่ร้ายว่า เตรียมก่อความวุ่นวายและก่อความรุนแรง ซึ่งทางวัดขอปฏิเสธ เพราะแนวทางของวัดพระธรรมกาย คือ สงบ สันติ อหิงสา ญาติโยมที่มาคือ สวดมนต์ นั่งสมาธิ

12.เตรียมมีการใส่ร้ายวัดกรณีสถาบัน ... ขณะนี้มีข่าวลือว่า อาจมีเจ้าหน้าที่บุกเข้ามา และโปรยใบปลิว หรือพิมพ์เอกสาร โจมตีสถาบันสูงสุด อันเป็นที่เคารพของคนไทยเพื่อใส่ร้ายวัดนั้น ทางวัดขอชี้แจงว่า ทางวัดให้ความเคารพต่อสถาบันชาติ ศาสนา มหากษัตริย์ มาโดยตลอด ในพิธีวางศิลาฤกษ์อุโบสถวัดพระธรรมกาย 24 ธันวาคม พ.ศ. 2520 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ฯ เสด็จแทนพระองค์มาในพิธี และในพิธีหล่อรูปเหมือนทองคำ หลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ได้รับพระเมตตาจาก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงเสด็จมาเป็นประธานเททองหล่อรูปเหมือนด้วยพระองค์เอง เมื่อปี พ.ศ. 2537 เหล่านี้ล้วน ยังความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้นต่อวัดพระธรรมกายมาจนถึงปัจจุบัน

ooo



ชวนฟัง รายการคิดเพื่อไทย... แก้ปัญหาวัดพระธรรมกาย ยิ่งรัฐบาลทหาร คสช.ทำรุนแรง สังคมยิ่งขัดแย้ง - ดร.เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ ม.มหิดล




https://www.youtube.com/watch?v=0KnrSkD2riU&app=desktop

แก้ปัญหาวัดพระธรรมกาย ยิ่งรัฐบาลทหาร คสช.ทำรุนแรง สังคมยิ่งขัดแย้ง

Freedom Thailand


Published on Feb 25, 2017

แก้ปัญหาวัดพระธรรมกาย ยิ่งรัฐบาลทหาร เผด็จการ คสช.ทำรุนแรง สังคมยิ่งขัดแย้ง/ รายราย คิดเพื่อไทย วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2560

ooo




ฟังยัง... พระสนิทวงศ์แถลงข่าวด้วยน้ำตาเมื่อทราบเป็นทางการว่าประยุทธจะยึดวัดธรรมกายนำไปบริหารเอง..."เราสร้างวัดเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาไม่ใช่ถวายประยุทธ์ จันทร์โอชา"




https://www.youtube.com/watch?v=WBUuLqGSc3M&app=desktop

สร้างวัดพระธรรมกายเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ไม่ใช่ถวายพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

Freedom Thailand

Published on Feb 25, 2017

สาธุชนร่วมกันถวายปัจจัยเพื่อสร้างวัดพระธรรมกายเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ไม่ใช่ถวายพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และวงศ์ตระกูลจันทร์โอชา


ooo

*น้ำตาไทยหลั่งไหลกลายเป็นกรด
รินหลั่งรดเผด็จการไฟผลาญสิ้น
ทั้งดาบปืนฝืนประชาพาพังภินท์
พลิกแผ่นดินด้วยน้ำตาประชาชน

*บทกวีจากสส.สุนัย จุลพงศธร แต่งให้กำลังใจสหายธรรมศิษย์วัดธรรมกาย

การ ‘kowtow’ ต่ออำนาจเผด็จการ





เป็นเรื่องอีกละ มาตรา ๔๔ อำนาจ ‘สมเสร็จ’ เผด็จการสร้างสรรค์ ครานี้ทำให้มหาวิทยาลัยมหิดลกลายเป็นขนหน้าแข้ง คสช. ไปในพลัน

เรื่องมันโยงใยมายืดยาว ถ้าจะเอาตามที่สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดมหาวิทยาลัยมหิดลระบุไว้ ก็ได้แก่

“คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คำสั่ง 4/2560 เรื่องการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 105/2557 คำสั่ง 5/2560 เรื่องมาตรการให้อำนาจกำหนดพื้นที่ควบคุมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย คำสั่ง 6/2560 เรื่องการแต่งตั้งนายกเมืองพัทยา คำสั่ง 7/2560 เรื่องการปรับปรุงระบบพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ คำสั่ง 8/2560 เรื่องการขับเคลื่อนการปฏิรูปการบริหารงานส่วนบุคคลท้องถิ่น คำสั่ง 9/2560 เรื่องการดำเนินโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองลาดพร้าวและคลองเปรมประชากรเพื่อแก้ไขปัญหาการบุกรุกลำน้ำสาธารณะ คำสั่ง 10/2560 เรื่องการปรับปรุงการบริหารงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย คำสั่ง 11/2560 เรื่องการกำกับการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐ และคำสั่ง 12/2560 เรื่องการกำหนดตำแหน่งและแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตําแหน่ง”

โดยเฉพาะคำสั่งที่ ๕ และ ๑๒ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับกรณีวัดพระธรรมกาย อันเป็นข่าวอื้อฉาวส่งกลิ่นเน่าไปทั่วโลก ว่ารัฐบาลทหารประเทศไตแลนเดียรังแกศาสนสำนักและประชาชน




มาตรา ๕ เป็นคำสั่งให้ใช้กำลังเข้าค้นหาพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาส ซึ่งมีการปิดล้อมห้ามคนเข้า พระ-เณรภายในขาดแคลนอาหาร จนต้องขึ้นป้ายบนเสาสูงร้องเรียนต่อชาวโลกว่า “เราต้องการอาหาร”

ส่วนมาตรา ๑๒ เป็นการ ‘สั่งเด้ง’ ผู้อำนวยการสำนักพุทธศาสนาแห่งชาติไปเข้ากรุประจำสำนักนายกฯ เพียงเพราะเขาให้ความเห็นว่าพระธัมมชโยไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหาที่ตำรวจและดีเอสไอต้องการจับกุมตัวไปดำเนินคดี

เสร็จแล้ว คสช. ตั้ง “ผู้บัญชาการสำนักคดีภาษีอากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ” ไปทำหน้าที่แทน จนเป็นที่วิพากษ์กันว่า คสช. ใช้สติปัญญาพินิจพิเคราะห์เลิศล้ำ ถ้าจะให้ดีมีสมดุล น่าจะย้าย ผอ. สำนักพุทธไปประจำที่ดีเอสไอสลับกัน

(สำหรับตัวอย่างข้ออ้างเรื่องกลิ่นเน่าของรัฐไทย ล่าสุดที่เห็นเป็นข่าวของอัลจาซีร่า “Dhammakaya temple and Thailand's saffron resistance.” http://www.aljazeera.com/…/dhammakaya-temple-thailand-saffr… โพสต์แนะนำโดยนักข่าวชาวเยอรมัน ‘Wolfgang Staible’ ว่า “Kriegsrecht verhängt - Buddhistischen Tempel vom Militär umstellt. -jws-” พากษ์ไทย “กฎอัยการศึก - พุทธสถานห้อมล้อมโดยกองทัพ. – jws-”)

ความร้ายแรงของ ม.๔๔ ทำให้มีประชาชนคนหนึ่งพลีชีพเพื่อต่อต้านการใช้อำนาจสมเสร็จของ คสช. ดังกล่าว ตามหลักฐานใหม่ที่ดีเอสไอไม่สน แต่แหล่งข่าวสื่อสังคมค้นพบว่า

“คือลุงแกเครียดค่ะ แกไม่เอา ม.๔๔ แกเข้าบ้านไม่ได้ ติดต่อครอบครัวไม่ได้ คนอยู่รอบวัดเดือดร้อน พี่สาวที่อยู่ใกล้วัดติดต่อสามีไม่ได้เพราะไม่ให้เข้าหมู่บ้าน ทหารล้อม คนขายของเค้าขายของไม่ได้ เค้าเครียดกัน ลุงแกเลยทำแบบนี้เพื่อให้คสช.ยกเลิกคำสั่ง ม.๔๔ คนก็มาโยงกับธรรมกาย คนละเรื่องนะ”

(http://www.thethainews.net/2017/02/44_25.html)

ซึ่งสถาบันสิทธิฯ มหิดล ก็ทำถูกต้องแล้วที่ออกแถลงการณ์กลางดึก (๕ ทุ่มคืนวันที่ ๒๕ กุมภา) “ขอเรียกร้องให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติยุติการใช้อำนาจตามมาตรา ๔๔ แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๔) พุทธศักราช ๒๕๖๐”

(http://www.matichon.co.th/news/476822)

แต่การยืนหยัดต้านอำนาจเผด็จการที่ล่วงล้ำสิทธิมนุษยชนขององค์กรสิทธิมนุษยชนในสังกัด ม.มหิดล ไม่เป็นที่สบอารมณ์ของผู้บริหารมหาวิทยาลัย อย่างนายแพทย์เกษม วัฒนชัย นายกสภามหาวิทยาลัย และนายแพทย์อุดม คชินทร อธิการบดี

จึงได้มีแถลงการณ์อีกฉบับในนามมหาวิทยาลัยตามออกมา ยืนหยัดจุดก้งโค้ง ‘kowtow’ ต่ออำนาจเผด็จการ อ้างว่าการคัดค้านมาตรา ๔๔ เป็น

“ทางที่เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย” พร้อมทั้งคำรามคาดโทษด้วยว่า “ซึ่งทางมหาวิทยาลัยจะได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงและพิจารณาทางวินัยต่อไป”





ซึ่ง Thanapol Eawsakul “สรุปเป็นความโง่ กร่าง และเชลียร์คณะรัฐประหารเกินเหตุของผู้บริหารมหาวิทยาลัยมหิดล” และ Pavin Chachavalpongpun แค่บอกว่า “โอ๊ย สถาบันการศึกษาต่ำตม”

ส่วน Korrakot Kanthamang มีคำถาม “แล้วมหิดลกลัวอะไรครับ สมัยออกมาเป่านกหวีดสร้างความปั่นป่วนเต็มถนนคนอื่นไม่เห็นด้วยก็ยังเอาชื่อมหาวิทยาลัยมาแอบอ้าง”

ครานั้นเมื่อพฤศจิกา ๕๖ “กลุ่มนักศึกษา บุคลากร และศิษย์เก่า รวมถึงคณาจารย์ของมหาวิทยาลัยมหิดล จำนวนมากได้รวมตัวกันเพื่อแสดงพลังคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม

โดยได้มีการเคลื่อนขบวนเดินเท้ามาตามถนนพระรามที่ ๖ พร้อมเป่านกหวีด ชูป้าย และส่งเสียงตะโกน” แถมยังพากันไปขึ้นเวที คปท. ที่แยกอุรุพงษ์ด้วย

(http://www.innnews.co.th/show/492762/%A9)





นั่นดูเหมือนจะไม่ใช่การ “แอบอ้างชื่อมหาวิทยาลัย” (เพราะใช้กันตรงๆ เลย) และเป็นการแสดงออกด้วย “เสรีภาพทางวิชาการ” (เพราะไม่ได้มีแถลงการณ์ตามมาว่าจะพิจารณาทางวินัย)

หากพิจารณาความชั่วช้าและชั่วร้ายของ กม.นิรโทษกรรม กับ กม.ให้อำนาจเบ็ดเสร็จพวกยึดอำนาจ แล้วอาจจะพอๆ กัน แม้กรณีหลังจะทำความเดือดร้อนให้แก่ประชากรมากกว่า แต่ไฉนมหาวิทยาลัยมหิดลกลับยกย่องอย่างหลัง

หากเป็นเพราะความเกรงกลัวต่ออำนาจ คสช. ก็สามารถทำได้ด้วยการคลานเข้าไปกราบขอโทษเป็นการภายใน ไม่ควรที่จะมาออกแถลงการณ์ประจานตัวเอง

ที่ทั้งแสดงว่า ‘หงอ’ ไม่พอ หากชี้ชัดว่าทำตัวดุจสมุนรับใช้เจ้านายอีกด้วย

ชาวพุทธบังคลาเทศ...เนปาล นั่งสมาธิ..สวดมนต์ เตือนสติรัฐไทยยุติ ม.44 (ขออนุโมทนากับชาวพุทธชาวบังคลาเทศ และ เนปาล ด้วยครับ)




พุทธศาสนิกชนชาวบังคลาเทศ1


ชาวพุทธบังคลาเทศ...เนปาล นั่งสมาธิ..สวดมนต์ เตือนสติรัฐไทยยุติม.44

ชาวพุทธในประเทศบังคลาเทศ และเนปาล สวดมนต์ นั่งสมาธิเตือนสติรัฐไทยยุติม.44 กับวัดพระธรรมกายและพระธัมมชโย http://winne.ws/n13559

โดย ฺB-Uro
ที่มา เวป Win News
26 ก.พ. 2560

เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟซบุ๊กพระสนิทวงศ์ วุฑฒิวังโส ผอ.สำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย ได้แชร์ภาพชุดพร้อมข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมของสมาคมศิษย์เก่าธรรมทายาทแห่งบังกลาเทศ ซึ่งมีการจัดงานฉลองครบรอบ 1 ปี ของการก่อตั้งสมาคมฯ โดยมารวมกันเพื่อร่วมประกอบพิธีจุดโคมประทีป สวดมนต์นั่งสมาธิ อวยพรให้วัดพระธรรมกาย อีกทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยุติการใช้กฎหมายมาตรา 44 กับวัดพระธรรมกาย และพระธัมมชโย ที่วัดสันติปูร์อรัญกุฏิ เมืองปันชารี บังกลาเทศ เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา




พุทธศาสนิกชนชาวบังคลาเทศ2




พุทธศาสนิกชนชาวบังคลาเทศ3


และในขณะเดียวกันของวันนี้...เฟสบุคพระสนิทวงศ์ได้ลงภาพ พระภิกษุ แม่ชี พุทธศาสนิกชนชาวเนปาล ได้ร่วมกันสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร วิงวอนให้ยุติการทำลายวัดพระธรรมกาย และยุติการใช้ ม.44 ยุติความรุนแรงกับพระ และสาธุชนในวัดพระธรรมกายอีกด้วย




พุทธศาสนิกชนชาวเนปาล1


สำหรับเรื่องนี้นับว่ามีแรงกระเพื่อมไปทั่วโลกจากมาตรการที่รัฐบาลทหาร(คสช.) ออกคำสั่งมาตรา44 บังคับใช้กับวัดพระธรรมกายในการเข้าตรวจค้น และทำการอายัติอุปกรณ์ และสถานที่ภายในวัดหลายรายการ โดยไม่สนใจกับภาพลักษณ์ของประเทศ ความเป็นเมืองพุทธของไทยอย่างสิ้นเชิง...

#ทีมงานวินนิวส์




พุทธศาสนิกชนชาวเนปาล2




พุทธศาสนิกชนชาวเนปาล3



.....

สาธุๆชาวพุทธนานาชาติไม่ทิ้งไทย

ความเห็นหนึ่งในโพสต์



มีการทักท้วงว่าพระที่ธรรมกายใช้ผ้าปิดปาก แต่รถทหารทำไมปิดทะเบียนรถ + 10 วัน รัฐใช้เงินไป 50 ล้านบาทในการดำเนินการล้อมธรรมกาย การปิดทางเข้าออกรอบวัดพระธรรมกาย ทำชาวบ้านคลองสาม เดือดร้อนหนัก





ooo




https://www.facebook.com/KALALAND321/videos/975651702565612/


วัฒนา เมืองสุข ยืนยันว่าสิทธิและเสรีภาพจะได้มาจากการต่อสู้เท่านั้น เผด็จการไม่เคยเมตตาหยิบยื่นให้ทั้งที่เป็นของประชาชนมาแต่แรก ถูกเชิญไปกองทัพภาคที่ 1 27 กุมภาพันธ์





"ผมถูกเชิญไปกองทัพภาคที่ 1"

คุณอนวัช ธนเจริญรัฐ หรือคุณสมพงษ์ โตเฉย ได้สละชีวิตเพื่อประท้วงการใช้อำนาจเผด็จการตามมาตรา 44 กรณีวัดพระธรรมกาย ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยและได้แสดงความเห็นคัดค้านมาตั้งแต่ต้นเพราะเชื่อว่าจะนำไปสู่ความรุนแรงในที่สุด สุดท้ายสิ่งที่ทุกคนไม่ต้องการเห็นก็เกิดขึ้น ผมขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้เสียชีวิต หวังว่าเหตุการณ์จะคลี่คลายโดยเร็ว

วานนี้ผมได้รับการติดต่อจากผู้บังคับกองพันท่านหนึ่งของกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ แจ้งว่าผู้บังคับบัญชาอยากพบผมเพื่อขอข้อมูลบางประการ ขอเชิญผมไปพบในวันเวลาที่ผมสะดวก ผมเห็นว่าเป็นการเชิญมาอย่างสุภาพจึงตอบรับจะไปที่กองทัพภาคที่ 1 ในวันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ เวลา 10.00 น. หลายคนเมื่อทราบข่าวได้แสดงความเป็นห่วง บางคนคาดเดาว่าคงเป็นเพราะผมแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ขอให้ผมนำยาที่ต้องกินประจำติดตัวไปด้วยเผื่อต้องอยู่ยาว ผมตอบไปว่าการแสดงความคิดเห็นเป็นเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้น คสช. หรือใครก็ไม่มีอำนาจมาควบคุมตัวผม การขอข้อมูลคงไม่ต้องใช้เวลานานนัก เสร็จเมื่อไรผมจะขอกลับเพราะยังมีอะไรที่ต้องทำอีกมาก แล้วจะเล่าให้ทุกท่านฟังครับ

ท่ามกลางข่าวร้ายก็ยังมีข่าวดี คดีที่ผมถูก คสช. ส่งทหารมาอุ้มไปควบคุมตัวและนำไปฟ้องศาลเพราะการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ซึ่งศาลได้พิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่าเป็นเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ นั้น บัดนี้คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว ผมขอขอบคุณคุณนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทยและทีมงานที่ช่วยเป็นทนาย พร้อมทั้งเพื่อนๆ อีกหลายท่านที่ไปเป็นพยานให้ สิ่งนี้เป็นเครื่องยืนยันว่าสิทธิและเสรีภาพจะได้มาจากการต่อสู้เท่านั้น เผด็จการไม่เคยเมตตาหยิบยื่นให้ทั้งที่เป็นของประชาชนมาแต่แรก

วัฒนา เมืองสุข
พรรคเพื่อไทย
26 กุมภาพันธ์ 2560



Watana Muangsook

ooo





นัก กม.วิพากษ์ ม.44 ทำลายระบบยุติธรรม 'ไม่มีอะไรที่ ม.44 ทำไม่ได้' ระบุคนไทยได้ ม.44 เฉลี่ยสัปดาห์ละครั้ง




https://www.youtube.com/watch?v=WeZJRQNR2ww

นัก กม.วิพากษ์ ม.44 ทำลายระบบยุติธรรม

SHTV

Published on Feb 26, 2017

VoiceNews - VoiceTV21 @Voice_TV

...

คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดเสวนาทางวิชาการ "มาตรา 44 อำนาจที่ศาลไม่อาจตรวจสอบ" โดยวิทยากรซึ่งเป็นนักกฎหมาย ร่วมอภิปรายปัญหา ชี้มาตรา 44 กำลังปิดกั้นการตรวจสอบความชอบโดยกฎหมาย ทำให้ระบบยุติธรรมเข้าสู่ความล่มสลายจนขาดควมน่าเชื่อถือ และองค์กรตุลาการกำลังถอยหลังไปสู่ระดับเดียวกับประเทศด้อยพัฒนา

ในงานเสวนา ได้หยิบยกกรณีคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 4/2559 เรื่องยกเว้นการบังคับใช้ผังเมือง เป็นกรณีศึกษาปัญหาจากการใช้บังคับมาตรา 44

ผู้ช่วยศาสตราจารย์จันทจิรา เอี่ยมมยุรา จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า ตามหลักการของประเทศที่เป็นนิติรัฐและประชาธิปไตย การพัฒนาประเทศต้องถูกกำกับด้วยกฎหมาย เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม แต่ในกรณีประเทศไทย เมื่อมีการนำมาตรา 44 มาใช้ อำนาจการตรวจสอบจึงไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างที่ควรเป็น

รองศาสตราจารย์สมชาย ปรีชาศิลปะกุล จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระบุว่า ในปัจจุบัน บทบาทของศาลในประเทศไทย กำลังถอยหลังกลับเข้าสู่ระดับเดียวกับประเทศด้อยพัฒนา จากการมีส่วนเข้าแทรกแซงทางการเมือง โดยเฉพาะเมื่อมีการยึดอำนาจและการใช้มาตรา 44 ก็ยิ่งทำให้องค์กรตุลาการเป็นเพียงเครื่องมือทางการเมืองของฝ่ายผู้มีอำนาจ

ส่วนนายสุรชัย ตรงงาม ทนายความมูลนิธินิติธรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม ระบุว่าการใช้มาตรา 44 มีความต่างจากกฎหมายพิเศษภายใต้คณะรัฐประหารอื่นๆ ซึ่งบัญญัติให้ถูกต้องเพียงแค่ตามรัฐธรรมนูญ และยังเปิดช่องทางให้สามารถตรวจสอบได้อยู่บ้าง แต่มาตรา 44 กลับบัญญัติให้ทุกการกระทำภายภายใต้กฎหมายนี้ ถูกต้องไปโดยสิ้นเชิง โดยไม่สามารถนำกฎหมายอื่นมาตรวจสอบหักล้างได้ ทำให้การทำหน้าที่ของนักกฎหมาย เป็นไปด้วยความยากลำบาก


ที่มา Voice TV 21

http://news.voicetv.co.th/thailand/465390.html


44 MISSION IMPOSSIBLE

นับตั้งแต่รัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 จนกระทั่งประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 มาตราหนึ่งของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่เป็นที่รู้จัก และถูกพูดถึงมากที่สุด คงหนีไม่พ้น มาตรา 44 ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ออกคำสั่งหัวหน้า คสช. โดยอาศัยอำนาจจากมาตรานี้แล้วถึง 136 ฉบับ

แต่มาตรา 44 คืออะไร ทำอะไรได้บ้าง ทำไมใครๆต่างก็เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ใช้อำนาจตามมาตรานี้ และมาตรานี้ได้สร้างผลงานอะไรให้สังคมไทยบ้าง

ร่วมพูดคุยกับ
ณรงค์ศักดิ์ เนียมสอน iLaw
ภาวิณี ชุมศรี ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
พิมพ์สิริ เพชรน้ำรอบ นักสิทธิมนุษยชน

อ่านสรุปการพูดคุยได้ที่ http://www.tlhr2014.com/th/?p=3547
ooo

เสวนา 'ไม่มีอะไรที่ ม.44 ทำไม่ได้' ระบุคนไทยได้ ม.44 เฉลี่ยสัปดาห์ละครั้ง





Sun, 2017-02-26 15:28
ที่มา ประชาไท


เสวนาผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ในหัวข้อ “44 MISSION IMPOSSIBLE: ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีอะไรที่ ม.44 ทำไม่ได้?” เผยมีการออกคำสั่งจากมาตรา 44 แล้ว 138 ฉบับ เฉลี่ยสัปดาห์ละครั้ง-ใช้กว้างขวางแทบทุกเรื่อง ชี้แม้ ม.44 อาจจะสำเร็จในมุมของผู้ครองอำนาจเพราะเร็ว ง่าย สั่งการแล้วย้ายได้ทันที แต่การใช้อำนาจแบบนี้ไม่ได้แก้ปัญหาได้จริง


เมื่อวันที่ 25 ก.พ. 2560 ที่ผ่านมา ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน จัดเสวนาผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์ในหัวข้อ “44 MISSION IMPOSSIBLE: ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีอะไรที่ ม.44 ทำไม่ได้?” เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนสถานการณ์ว่าด้วยการใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ในยุคของคสช. โดยมีวิทยากรร่วมแลกเปลี่ยน ได้แก่ ภาวิณี ชุมศรี ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน, ณรงค์ศักดิ์ เนียมสอน จากโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) และพิมพ์สิริ เพชรน้ำรอบ นักสิทธิมนุษยชน

ทำไมถึงต้องมีมาตรา 44?

ณรงค์ศักดิ์ เนียมสอน เห็นว่าในขณะที่กำลังร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราว ที่ประกาศใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 ก.ค.57 โดยผู้ร่างสำคัญคือวิษณุ เครืองาม และพรเพชร วิชิตชลชัย ก็มีการเสนอแนวคิดว่าต้องร่างให้สามารถสนับสนุนการปฏิรูปต่างๆ ได้ คนที่สนับสนุนคสช. ก็เห็นว่าน่าจะมีสิ่งที่คล้ายๆ มาตรา 17 ในธรรมนูญชั่วคราวปี 2502 สมัยจอมพลสฤษดิ์ พูดง่ายๆ คือมีสิ่งที่ทำให้การรัฐประหารไม่เสียของเหมือนกับในปี 2549

ภาวิณี ชุมศรี เห็นว่ามาตรา 44 กลายเป็นการใช้อำนาจของคสช.ที่ใช้ง่าย และสะดวก เป็นการใช้อำนาจโดยคสช.ที่ไม่ได้ที่มาจากกระบวนการปกติ แต่อ้างอิงการใช้อำนาจกับรัฐธรรมนูญที่ตนเองเป็นคนออก แล้วให้คสช.ออกคำสั่งต่อเจ้าหน้าที่ได้โดยตรง ทั้งที่ปกติการออกกฎหมายแบบนี้ จำเป็นต้องใช้ผ่านข้าราชการประจำ หรือผ่านกลไกของรัฐที่มีอยู่เดิมตามกฎหมายนั้นๆ บทบัญญัติกว้างๆ ที่ให้อำนาจแบบนี้ จึงเป็นการเขียนออกมาเพื่อให้ตนเองทำงานได้

พิมพ์สิริ เพชรน้ำรอบ เห็นว่ามาตรา 44 ไม่ได้ต่างอะไรจากกฎอัยการศึก เพราะคำสั่งหัวหน้าคสช. มีผลในทั้งทางนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ เป็นอำนาจเบ็ดเสร็จทุกอย่าง แต่ข้อดีคือสามารถอธิบายกับต่างชาติได้ง่ายกว่ากฎอัยการศึก ว่ามันอยู่ในรัฐธรรมนูญ มีที่มาที่ไปรองรับ และสิ่งที่ทำให้สะดวกแก่การใช้มากๆ คือมันบัญญัติว่าไม่ต้องรับผิด อยากใช้อำนาจแบบไหนก็ได้









เนื้อความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ.2557

ออกคำสั่งจากมาตรา 44 แล้ว 138 ฉบับ เฉลี่ยสัปดาห์ละครั้ง-ใช้กว้างขวางแทบทุกเรื่อง

ณรงค์ศักดิ์ เนียมสอน ได้ประมวลภาพรวมของการใช้มาตรา 44 โดยตั้งแต่เดือนก.ค.57 มีการออกคำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับแรก ในเดือนธ.ค.57 ส่วนในปี 2558 มีการออกอีกอย่างน้อย 48 ฉบับ เฉลี่ยแล้วเดือนละ 4 ฉบับ โดยฉบับสำคัญคือคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 ซึ่งกลายเป็นภาพจำของคน ว่ามาตรา 44 มันคือเรื่องนี้ ที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ทหารเข้าจับกุมและตรวจค้นต่างๆ

ต่อมาในปี 2559 มีการใช้ออกคำสั่งอีก 78 ฉบับ ปริมาณเพิ่มขึ้น เฉลี่ย 6.5 ฉบับต่อเดือน ส่วนปี 2560 มีการใช้ออกคำสั่งอีก 11 ฉบับ รวมแล้วในเวลา 2 ปี 7 เดือน หัวหน้าคสช.มีการใช้ออกมาตรา 44 ออกคำสั่งมาแล้ว 138 ฉบับ เฉลี่ย 4 ฉบับต่อเดือน หรือสัปดาห์ละหนึ่งฉบับ

ณรงค์ศักดิ์ระบุว่าอาจจะแบ่งประเด็นที่มีการใช้มาตรา 44 ออกคำสั่งได้เป็น 8 เรื่องคร่าวๆ ได้แก่ 1) เรื่องการจัดระเบียบสังคม เช่น เรื่องป้องกันการแข่งขันรถจักรยานยนต์, การควบคุมสถานบริการ, การป้องกันการทะเลาะวิวาทของนักเรียน/นักศึกษา 2) คำสั่งที่ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อจำกัดสิทธิเสรีภาพ เช่น คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/58, 13/59 หรือ 41/59 ที่ให้อำนาจกสทช.ในการควบคุมการนำเสนอข่าวสาร

3) คำสั่งที่ใช้เพื่อปะผุความผิดพลาดจากการออกกฎหมาย เช่น คำสั่งเรื่องเรียนฟรี 15 ปี เพื่อแก้ไขจากร่างรัฐธรรมนูญมีชัยที่กำหนดเรื่องเรียนฟรี 12 ปี, คำสั่งเรื่องกำหนดให้หน่วยงานรัฐมีหน้าที่อุปถัมภ์ทุกศาสนา เพื่อแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญที่เน้นให้รัฐสนับสนุนพุทธศาสนานิกายเถรวาท 4) คำสั่งที่ใช้กับเรื่องการเมือง โดยในบางคำสั่งจงใจใช้กับคนบางคน เช่น การถอดยศทักษิณ หรือเรื่องการให้อำนาจเจ้าหน้าที่จัดการกับคดีจำนำข้าวของคุณยิ่งลักษณ์ รวมทั้งเรื่องวัดธรรมกาย ก็เห็นว่าอยู่ในหมวดนี้

5) เรื่องการปกครองท้องถิ่น ทั้งเรื่องการระงับการเลือกตั้งท้องถิ่น การปลดผู้ว่ากทม. การตั้งผู้ว่าเมืองพัทยาใหม่ 6) คำสั่งเรื่องการจัดการกับองค์กรอิสระ เช่น การระงับการสรรหาคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย หรือคณะกรรมการกสทช. 7) การแต่งตั้ง/โยกย้ายข้าราชการ เรื่องนี้ออกคำสั่งเยอะมาก อย่างน้อย 22 ฉบับ มีคนได้รับผลกระทบหลักหลายร้อยคน โดยเรียกร้องความเป็นธรรมไม่ได้ 8) เรื่องเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม เช่น เรื่องการประกาศเขตเศรษฐกิจพิเศษ, การยกเว้นการใช้ผังเมือง การควบคุมอาคาร หรือการแก้ไขกฎหมายสิ่งแวดล้อม คำสั่งเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะเอื้อต่อทุนใหญ่มากขึ้น

ณรงค์ศักดิ์ สรุปนิยามแนวทางการใช้มาตรา 44 ว่ามีลักษณะเป็นการรวมศูนย์อำนาจ ไม่ต้องรับผิดชอบ ลดอำนาจท้องถิ่น และลิดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชน








ศาลปฏิเสธตรวจสอบการใช้อำนาจจากมาตรา 44

ภาวิณี ชุมศรี เห็นว่าทั้งในมาตรา 44 และตัวคำสั่งหัวหน้าคสช.หลายฉบับ มีคำสำคัญที่ถูกอ้างถึงเสมอคือ “เพื่อความรักษาความสงบเรียบร้อย” “เพื่อความมั่นคงในราชอาณาจักร” หรือ “เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน” คำแบบนี้ ในทางกฎหมาย มันเป็นคำที่กว้างขวางมาก และเอื้อต่อการเปิดโอกาสให้ใช้อำนาจตามอำเภอใจ คำพวกนี้กลายเป็นคำใช้อ้างในการใช้อำนาจไปในทางใดทางหนึ่ง เพื่อประโยชน์ของรัฐบาลเอง โดยไม่สามารถตรวจสอบการใช้อำนาจได้ และคำสั่งพวกนี้ก็จะอยู่ยาวต่อไป อย่างคำสั่งเรื่องวัดพระธรรมกายเอง ก็ไม่ได้มีกำหนดเวลาสิ้นสุดคำสั่ง

แม้แต่ในกฎหมายปกติที่เกี่ยวกับสถานการณ์ฉุกเฉิน อย่างพ.ร.บ.ความมั่นคง, พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือกฎอัยการศึก สองในกฎหมายสามฉบับนี้ มีการกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนว่าประกาศได้ไม่เกินสามเดือน ในกฎอัยการศึกก็มีการกำหนดนิยาม ว่าเมื่อไรถึงต้องเลิก แต่พอคสช. ใช้ถ้อยคำอย่างเพื่อความสงบเรียบร้อย หรือเพื่อความมั่นคง คำถามคืออะไรจะเป็นเหตุให้มายกเลิกคำสั่งพวกนี้ได้ ทำให้เห็นว่ามันมีลักษณะเป็นการใช้อำนาจแบบยาวหรือถาวร ไม่ใช่กรณีพิเศษ

แม้ในบทบัญญัติของมาตรา 44 เอง ที่ระบุว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญและเป็นที่สุด แต่ถ้าเราดูในคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/58, 13/59 หรือแม้แต่ 5/60 ที่มีการระบุว่าให้เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน นำมาตรา 17 ของพ.ร.ก.ฉุกเฉินมาใช้โดยอนุโลม ซึ่งมาตรานี้พูดถึงว่าหากเจ้าหน้าที่กระทำไปตามคำสั่ง จะไม่ต้องรับผิดทางแพ่งและอาญา ก็ต่อเมื่อกระทำโดยสุจริต ไม่เกินสมควรแก่เหตุ และไม่เลือกปฏิบัติ คือมันยังมีช่องของการตรวจสอบการใช้อำนาจอยู่

เราก็เคยพยายามร้องเรื่องการควบคุมตัวมิชอบตามคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/58 แต่ศาลก็ยกคำร้อง เพราะเห็นว่าเป็นเจ้าพนักงานตามคำสั่งนี้โดยชอบ จึงมีอำนาจในการควบคุมตัว เราก็พยายามอธิบายว่าแม้เป็นการใช้อำนาจตาม 3/58 แต่การใช้อำนาจนั้นก็ต้องไม่เกินสมควรแก่เหตุ มันไม่ใช่ใช้อำนาจตามคำสั่งนี้แล้วทำอะไรก็ได้ มันควรจะมีการรับผิดชอบต่อการใช้อำนาจได้ แต่ปัญหาคือองค์กรตุลาการไม่ยอมรับในการตรวจสอบ ยิ่งทำให้คำสั่งนี้มีสภาพเป็นคำสั่งเด็ดขาดมากขึ้น คือมีสภาพตรวจสอบไม่ได้ และไม่ต้องรับผิด มากยิ่งขึ้นไปอีก

ทั้งคำสั่งพวกนี้ ยังไปยกเว้นการใช้กฎหมายอาญาตามปกติ ที่เจ้าหน้าที่ซึ่งจะจับกุมผู้ต้องหา ต้องมีพยานหลักฐานไปออกหมายเรียกหรือหมายจับโดยศาล ถึงจะนำตัวผู้ต้องหามาสอบสวนได้ แต่คำสั่งลักษณะนี้ กลับให้อำนาจควบคุมตัวมาก่อน 7 วัน ไม่ต้องขอศาล ห้ามเจอญาติ-ทนายความ แล้วหลังจากนั้นก็อาจเอาคำสอบสวนโดยทหารนั้นมาดำเนินคดี ถ้าเราอยู่ในสังคมที่เป็นประชาธิปไตย มันจะไม่สามารถมี “กฎหมาย” ที่มีหน้าตาแบบนี้ได้

แม้แต่การควบคุมตัวโดยกฎอัยการศึกในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เกิดการซ้อมทรมานคน จนเสียชีวิตระหว่างคุมตัว ผู้เสียหายยังไปฟ้องเรียกค่าเสียหาย ศาลปกครองก็รับพิจารณา ถือว่ากรณีเป็นการละเมิด ศาลก็ตรวจสอบวินิจฉัยว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่นเดียวกัน ในกรณีคำสั่งจากมาตรา 44 ถ้าเจ้าหน้าที่ทำผิด ศาลก็ควรจะตรวจสอบได้



เลิกกฎอัยการศึก ใช้ ม.44 = เครื่องมือสร้างภาพลักษณ์ของ คสช.

พิมพ์สิริ เพชรน้ำรอบ เห็นว่าคสช. เองยังพยายามรักษาภาพลักษณ์ของไทยต่อนานาชาติ การใช้อำนาจโดยผ่านมาตรา 44 ทำให้ง่ายกว่าในการอธิบายกับนานาชาติ ยกตัวอย่างเช่น ไทยเป็นภาคีกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) เป็นกติการะหว่างรัฐ แต่ก็มีช่องว่างให้รัฐหลบหลีก แม้ใน ICCPR จะปกป้องสิทธิต่างๆ แต่ก็มีส่วนที่บอกว่ารัฐสามารถจะละเว้นจากการคุ้มครองสิทธิตามที่บัญญัติไว้นี้ได้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เชื่อว่ารัฐไทยมีการแจ้งขอยกเว้นคุ้มครองสิทธิชั่วคราวช่วงที่ประกาศใช้กฎอัยการศึก แต่การจะคงกฎอัยการศึกไว้ต่อไปเรื่อยๆ จะยิ่งทำให้ต่างชาติมองว่า “ประเทศไม่ปกติ” จะมีคำถามได้ว่าจะใช้ไปถึงเมื่อไร ไม่ปกติอย่างไร มีการตรวจสอบว่าจำเป็นแค่ไหนในการยกเว้นการคุ้มครองสิทธิ การใช้มาตรา 44 ในทางหนึ่ง จึงคือการทำให้ดูเหมือนประเทศกลับมาเป็น “ปกติ” ทั้งจากสายตาต่างชาติและความรู้สึกของคนในชาติด้วย แต่น่าสนใจว่า แล้วรัฐไทยได้ประกาศแจ้งยกเลิกเรื่องการยกเว้นคุ้มครองสิทธิชั่วคราวหรือยัง เมื่อมีการประกาศยกเลิกกฎอัยการศึก

พิมพ์สิริยังเห็นว่าการใช้คำในคำสั่งที่ออกตามมาตรา 44 ต่างๆ ทั้งเรื่องความมั่นคง ความสงบเรียบร้อยต่างๆ มีความคล้ายคลึงกับหลายประเทศที่พยายามออกกฎหมายเพื่อจำกัดสิทธิเสรีภาพ คือจะพยายามใช้คำกว้างๆ แบบนี้ และเพื่อให้เข้ากับข้อยกเว้นในสนธิสัญญาสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศต่างๆ อย่างเช่น ข้อ 19 ใน ICCPR ที่คุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกและการแสดงความคิดเห็น แต่มีการระบุตอนท้ายว่าเสรีภาพเหล่านี้สามารถถูกจำกัดได้ด้วยเหตุผลเรื่องความมั่นคงของชาติ หรือความสงบเรียบร้อยต่างๆ โดยรัฐชาติต่างๆ เองก็เห็นช่องว่างนี้

แต่ในกฎหมายระหว่างประเทศเอง ก็ขยายความว่าต่อให้อ้างความมั่นคงของชาติ หรือความสงบเรียบร้อย ก็ต้องเป็นไปตามคำจำกัดความตามกฎหมาย รวมทั้งต้องยึดหลักความจำเป็นและความได้สัดส่วน ว่าการจำกัดสิทธิเหล่านี้ มีความจำเป็นจริงๆ ไหม และมันได้สัดส่วนสมควรแก่เหตุไหม ก็ต้องอธิบายตรงนี้กับต่างชาติด้วย

พิมพ์สิริยังเห็นว่าแม้ในหลายประเทศที่ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยมาก จะมีกฎหมายที่จำกัดสิทธิเสรีภาพอย่างร้ายแรงเหมือนกัน แต่ประเทศส่วนใหญ่ ก็ไม่ได้มีข้อกฎหมายที่ให้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดขนาดมาตรา 44 ที่ให้อำนาจทั้งในทางนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ โดยที่ศาลก็ไม่เข้าไปตรวจสอบ



ผลการใช้มาตรา 44 กับอนาคตสังคมไทย

ณรงค์ศักดิ์ เห็นว่าการใช้อำนาจจากมาตรา 44 ไม่เวิร์ค อาจจะเวิร์คในแง่จิตวิทยา หล่อเลี้ยงใจคนหรือมวลชนของคสช. แต่จากคำสั่ง 138 ฉบับ โดยส่วนตัวยังแทบไม่เห็นเรื่องไหนประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาต่างๆ คนที่ถูกใช้เองก็กลับรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม โดยหลังจากนี้ แม้จะมีรัฐธรรมนูญและเลือกตั้งใหม่แล้ว คำสั่งที่ประกาศออกมาโดยใช้มาตรา 44 เอง ก็จะยังอยู่ต่อไป เพราะในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญใหม่ มีการระบุว่าคำสั่งคสช.ต่างๆ จะยกเลิกได้ ต้องมีการประกาศออกมาเป็นพระราชบัญญัติ ไม่ได้ยกเลิกไปพร้อมคสช. ในส่วนของตัวมาตรา 44 ก็จะยังอยู่แม้จะประกาศรัฐธรรมนูญใหม่ จนกว่าจะมีการเลือกตั้งและตั้งรัฐบาลใหม่ได้

ด้านภาวิณี เห็นว่าการใช้อำนาจจากมาตรา 44 อาจจะสำเร็จในมุมของผู้ครองอำนาจ เพราะมันเร็ว ง่าย และทำได้เลย จับได้เลย สั่งการแล้วย้ายได้ทันที แต่การใช้อำนาจแบบนี้ไม่ได้แก้ปัญหาได้จริง อย่างเรื่องการใช้กับเรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษ ก็นำไปสู่การทวงคืนพื้นที่ มีชาวบ้านได้รับผลกระทบ หรือการไปจับคนเพราะออกมาแสดงความคิดเห็น ออกมาชุมนุมในเรื่องต่างๆ สิ่งเหล่านี้อาจได้ประโยชน์กับฝ่ายรัฐ แต่ในมุมกลับกัน กลับยิ่งเป็นการสั่งสมปัญหา และคนจะยิ่งเรียนรู้การใช้อำนาจลักษณะนี้ ว่าเกินขอบเขตและไม่มีความเป็นธรรม และประชาชนไม่ได้มีพื้นที่ ไม่ได้มีเสรีภาพ และไม่ได้มีส่วนร่วมกับการใช้อำนาจแบบนี้

พิมพ์สิริ เห็นว่าภาพใหญ่ของการใช้มาตรา 44 คือการออกแบบประเทศให้เป็นอย่างที่คสช.ต้องการ ตามโรดแม็ป 20 ปี โดยดูเหมือนไม่มีวิธีไหนที่จะควบคุมทุกองคาพยพของระบบราชการให้ขยับได้ นอกจากการใช้คำสั่งที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จแบบนี้ มันคือความพยายามออกแบบระบบโครงสร้างของเศรษฐกิจ สังคม การเมืองของไทย ให้เป็นแบบที่เขาต้องการ แต่คนที่จะได้รับผลกระทบในอีก 20 ปีข้างหน้า กับการออกแบบประเทศที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงนี้ ไม่ใช่คนที่ออกกฎหมายหรือคำสั่งพวกนี้ แต่คือคนที่ยังไม่ได้แก่มาก เป็นคนรุ่นใหม่ๆ ที่จะต้องอยู่กับประเทศนี้ต่อไป