วันพุธ, ตุลาคม 01, 2568

การที่ไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ ออกมาพูดว่า มีคนเสนอเงินสินบน 40 ล้านบาทเพื่อให้ “เกียร์ว่าง” ไม่ได้ทำให้รัฐมนตรีผู้นี้ดูเป็นนักการเมืองซื่อตรงอย่างที่ตั้งใจ หากแต่เป็น คำสารภาพกลางอากาศ ว่า รู้ว่ามีความพยายามติดสินบน แต่ละเว้นหน้าที่ในการปราบปราม ซึ่งเข้าข่ายผิดกฎหมายชัดเจน


Surawich Verawan
13 hours ago
·
การที่ไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ ออกมาพูดต่อสาธารณะว่า มีคนเสนอเงินสินบน 40 ล้านบาทเพื่อให้ “เกียร์ว่าง” ไม่เอาจริงกับการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ฟังเผิน ๆ เหมือนการประกาศความซื่อสัตย์ว่าไม่ยอมขายศักดิ์ศรี แต่ในความเป็นจริง คำพูดเช่นนี้คือ การยอมรับด้วยปากตัวเอง ว่ารู้ว่ามีการติดสินบนเกิดขึ้นแล้ว และเมื่อรู้แล้วกลับไม่ดำเนินการใด ๆ เลย

ในทางกฎหมาย เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การเล่าเรื่องเอามันส์ แต่คือพฤติกรรมที่เข้าข่ายความผิดชัดเจน ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อันเป็นการเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกหนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับสองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” รัฐมนตรีในฐานะเจ้าพนักงานของรัฐ เมื่อรู้อยู่แก่ใจว่ามีการเสนอสินบน แต่ไม่แจ้งความ ไม่ส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบ ก็เข้าลักษณะ “ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” ตามมาตรานี้โดยตรง

ยิ่งไปกว่านั้น พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 123/5 และ 123/6 ก็กำหนดชัดว่า ผู้ใดให้หรือเสนอสินบนเจ้าหน้าที่รัฐมีความผิด และเจ้าหน้าที่รัฐผู้ใดรับสินบนก็มีความผิดเช่นกัน แม้รัฐมนตรีจะบอกว่าไม่ได้รับ แต่เมื่อทราบว่ามีการเสนอสินบนเกิดขึ้นจริง กลับไม่ดำเนินการส่งเรื่องเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย ก็อาจถูกตรวจสอบว่าเป็นการละเว้น ไม่ทำหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ทั้งที่ตำแหน่งหน้าที่ทางการเมืองบังคับให้ต้องเป็นผู้นำในการสู้กับคอร์รัปชัน

และหากจะพูดถึงความรับผิดชอบในทางการเมือง การกระทำเช่นนี้ไม่เพียงขัดต่อกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นการขัดต่อมาตรฐานจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ เพราะนักการเมืองย่อมมีหน้าที่รักษาความสุจริต โปร่งใส และต้องไม่ละเลยต่อข้อมูลอันเป็นประโยชน์ต่อการปราบปรามอาชญากรรม เมื่อพูดเองว่ามีการเสนอเงินมหาศาล แต่กลับนิ่งเฉย เท่ากับตอกย้ำให้สังคมเห็นว่า ผู้มีอำนาจเลือกที่จะปฏิเสธสินบนเพื่อตัวเอง แต่กลับปล่อยให้เครือข่ายอาชญากรรมยังคงเดินต่อไปได้

ดังนั้น “เกียร์ว่าง 40 ล้าน” ไม่ได้ทำให้รัฐมนตรีผู้นี้ดูเป็นนักการเมืองซื่อตรงอย่างที่ตั้งใจ หากแต่เป็น คำสารภาพกลางอากาศ ว่า รู้ว่ามีความพยายามติดสินบน แต่ละเว้นหน้าที่ในการปราบปราม ซึ่งเข้าข่ายผิดกฎหมายชัดเจน ทั้งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.ป. ป.ป.ช. มาตรา 123/5–123/6 ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ มันสะท้อนถึงความเสื่อมทรามในจริยธรรมการเมือง ที่แม้ปากจะบอกว่า “ผมไม่รับเงิน” แต่การไม่ทำหน้าที่ก็ไม่ต่างอะไรจากการเปิดทางให้เงินนั้นทำงานแทน

ก็ต้องรอดูว่าจะมีใครไปร้องเอาผิดรัฐมนตรีป้ายแดงลูกชายคนโตบุรีรัมย์บ้าง

https://www.facebook.com/photo?fbid=10234582012943938&set=a.1952145435716



การทำประชามติ MOU ไทย-กัมพูชา ที่อยู่บนอันตราย นึกถึง ประชามติ Brexit ของอังกฤษ ในปี 2559 ที่สร้างความเสียหายยาวนาน แต่ด้วยบริบทแบบไทยๆ คิดว่าอาจจะ "ฉิบหาย" กว่าแน่นอน


Noppakow Kongsuwan 
7 hours ago
·
การทำประชามติ MOU ไทย-กัมพูชา ที่อยู่บนอันตราย
อีกประเด็นที่ถูกตั้งคำถามคือ การทำประชามติ MOU ไทย-กัมพูชา ภายในระยะเวลาเพียง 4 เดือน ซึ่งคุณจาตุรนต์อภิปรายเรื่องนี้ในสภา ในวาระรัฐบาลคุณอนุทินแถลงนโยบายสั้นๆ และมองว่า การทำประชามติในช่วงนี้ เป็นเรื่องล่อแหลมและเสี่ยงต่อความเสียหาย เพราะประชาชนยังไม่มีข้อมูลที่ครบถ้วนและยังคงมีอารมณ์โกรธแค้นอยู่
ทั้งยังยกตัวอย่างว่า ที่ผ่านมาเรื่อง MOU ต้องประชุมลับในสภาเพื่อไม่ให้ข้อมูลรั่วไปถึงฝ่ายกัมพูชา แต่รัฐบาลกลับประกาศว่าจะทำประชามติในเวลาสั้นๆ โดยไม่มีใครศึกษาอย่างจริงจัง
"ฝ่ายต่างๆ คิดยังไง จะไปทำประชามติในบรรยากาศที่ประชาชนยังมีความรู้สึกโกรธแค้น ยังมีความรู้สึกไม่พอใจ แล้วไม่มีใครศึกษาจริงจัง เสี่ยงต่อความเสียหายอย่างมาก 4 เดือนนี้ ท่านเตรียมการอะไรแค่ไหน และเตรียมรับกับผลที่จะเกิดแค่ไหน"
....
เรื่องนี้เห็นด้วยกับคุณจาตุรนต์ เรื่องนี้เรื่องใหญ่เกินกว่าจะเอา "อารมณ์" และ "ความถูกใจ" มานั่งตัดสินแล้วตีความว่าเป็น "ความถูกต้อง" และสถานะของ MOU นี้ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจอีก "มาก" ในระยะเวลา 4-6 เดือน กว่าจะทำให้เข้าใจอย่างถ่องแท้
และด้วยบรรยากาศที่เห็นกันว่าอีกฝ่าย เสี่ยงที่จะถูกสังคมประชาทัณฑ์ว่าเป็นพวก "ไม่รักชาติ" ไม่ได้ฟังด้วยซ้ำว่า "ไม่เห็นด้วยให้ยกเลิก...เพราะอะไร" ยิ่งอันตราย
....
ทำให้กลับไปอ่านข่าวเก่าๆ สมัยทำประชามติ Brexit ของอังกฤษ ในปี 2559 และสุดท้าย หลายฝ่ายก็ได้ข้อสรุปว่า การทำประชามติในประเด็นซับซ้อน โดยปล่อยให้ "อารมณ์" มากำหนดทิศทาง ย่อมเสี่ยงต่อผลลัพธ์ที่เป็นปัญหาเรื้อรัง
มีบทวิเคราะห์จำนวนมาก อธิบายไปในทิศทางเดียวกันว่า การโหวตให้ออกจาก EU ในปี 2559 ก็ถูกขับเคลื่อนด้วยคำอธิบายที่เน้นความรู้สึกเป็นหลัก เช่น เส้นทางสู่ความเจริญรุ่งเรือง อำนาจอธิปไตย และการควบคุม หรือการ “ทวงคืนความยิ่งใหญ่ของสหราชอาณาจักร” มากกว่าการอธิบายข้อเท็จจริงเชิงเศรษฐกิจและกฎหมายที่ซับซ้อน ขณะที่เวลาที่ให้กับสาธารณชนก็ไม่เพียงพอ ทำให้คนจำนวนมากไม่เข้าใจผลกระทบจริง
ผลตามมาคือ อังกฤษเผชิญความปั่นป่วนทั้งเศรษฐกิจ เงินปอนด์ตกต่ำ การลงทุน การค้าหดตัว เกิดปัญหาต่อเนื่อง และใช้เวลานานกว่าจะเจรจาเงื่อนไขการออกจาก EU ได้จริง แม้กระทั่งปัจจุบันที่อำนาจในการต่อรองก็น้อยลงกว่าเก่า ฯลฯ
หากสังคมยังไม่ได้รับข้อมูลครบถ้วน แต่ถูกผลักดันให้ลงประชามติในเวลาสั้นๆ และบรรยากาศเต็มไปด้วยความโกรธแค้น แบบปัจจุบันที่เป็นอยู่ ซึ่งหมอกควันแห่งอารมณ์บดบังข้อเท็จจริงและคำอธิบายของผู้เห็นต่างอย่างมิดชิด
ผลที่ออกมามีโอกาสสูงที่จะสร้างความเสียหายยาวนานคล้างคลึงกับกรณี Brexit
และด้วยบริบทแบบไทยๆ คิดว่าอาจจะ "ฉิบหาย" กว่านั้นแน่นอน

https://www.facebook.com/Noppakow.kong/posts/2109999099408508



#มหากาพย์นายหน้า ในสภา รังสิมันต์ โรม และ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส. พรรคประชาชน เปิดข้อมูลที่พวกเขาเชื่อว่าพบความเชื่อมโยงระหว่างนักการเมืองในรัฐบาลทั้งในอดีตและปัจจุบันกับที่ปรึกษาสมเด็จฮุน เซน อดีตผู้นำกัมพูชา และชาวต่างชาติ มีส่วนพัวพันกับการฟอกเงินและสแกมเมอร์ในกัมพูชา


บีบีซีไทย - BBC Thai
6 hours ago
·
รังสิมันต์ โรม และ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส. พรรคประชาชน เปิดข้อมูลที่พวกเขาเชื่อว่าพบความเชื่อมโยงระหว่างนักการเมืองในรัฐบาลทั้งในอดีตและปัจจุบันกับที่ปรึกษาสมเด็จฮุน เซน อดีตผู้นำกัมพูชา โดย สส. ปชน. กล่าวหาว่าชาวต่างชาติคนดังกล่าวมีส่วนพัวพันกับการฟอกเงินและเครือข่ายสแกมเมอร์ในกัมพูชา: https://bbc.in/48FcDub

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1335270831966411&set=a.627743042719197






https://x.com/PPLEThai/status/1973023061449548108

https://www.facebook.com/wirojlak/posts/1309388047644413

Wiroj Lakkhanaadisorn - วิโรจน์ ลักขณาอดิศร 
13 hours ago
·
[ คลื่นสึนามิ "ทุนเทาข้ามชาติ" กำลังหลากเข้ายึดประเทศไทย รัฐบาลอนุทินรู้ทันหรือไม่ ]
..........................................................
วันนี้ (30 กันยายน 2568) เวลา 14.15 น. โดยประมาณ ผมได้รับโอกาสอภิปรายในวาระการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ในประเด็นข้อ 9.1 เรื่องการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ภัยไซเบอร์ และการหลอกลวงประชาชนในรูปแบบต่างๆ
.
ผมอภิปรายเพื่อเตือนให้รัฐบาลรับรู้ถึงขบวนการเงินสกปรก ทั้งเงินสีดำ และเงินสีเทา ที่มีที่มาจากการหลอกลวงประชาชนไทย ไม่ว่าจะเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การหลอกลวงออนไลน์ หรืออาชญากรรมไซเบอร์รูปแบบต่างๆ ที่มีฐานปฏิบัติการใหญ่อยู่ที่ประเทศกัมพูชา
.
เงินสกปรกก้อนมหึมาเหล่านี้จะถูกเคลื่อนย้ายกลับมาฟอก ผ่านการซื้อกิจการเพื่อตัดราคา และทุ่มตลาดเพื่อบ่อนทำลายผู้ประกอบการไทยที่ประกอบธุรกิจอย่างสุจริต ไม่เพียงเท่านั้นครับ ปัจจุบันทุนเทาข้ามชาติเหล่านี้ เหิมเกริมถึงขนาดเคลื่อนย้ายเงินสีดำไปลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ ผ่านช่องทางตลาดหลักทรัพย์ ระบบการเงิน และธนาคาร เพื่อยึดครองแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ เอาเงินที่หลอกคนไทยมากอบโกยทำกำไร บ่อนทำลายเศรษฐกิจชาติ
.
สิ่งที่น่าเป็นห่วงยิ่ง คือ การสมคบคิดระหว่างกลุ่มอาชญากรข้ามชาติ กลุ่มทุนสามานย์ และกลุ่มการเมืองโสมม ของทั้งฝั่งไทย และฝั่งกัมพูชา ที่มุ่งหวังที่จะแสวงหาผลประโยชน์ ทำให้ปัญหาลุกลามจนกลายเป็นความเสี่ยงด้านความมั่นคงของชาติ และความปลอดภัยในชีวิต และทรัพยสินของประชาชน การแก้ปัญหาจึงจำเป็นต้องทำควบคู่กัน ทั้งการขับเคลื่อนเชิงนโยบายที่เชื่อมโยงกันทั้งกฎหมาย การกำกับดูแลตลาดทุน การตรวจสอบเส้นทางการเงิน การประสานงานระหว่างหน่วยงานความมั่นคง และหน่วยงานระหว่างประเทศ เพื่อปราบปรามขบวนการเหล่านี้ให้สิ้นซาก ไม่ให้กล้าที่จะย่ามกรายเข้ามาที่แผ่นดินไทยของเรา
.
ภัยร้ายจากทุนเทาข้ามชาติ รุนแรงไม่ต่างจากคลื่นสึนามิ หากรัฐบาลประเมินสถานการณ์ต่ำเกินไป ขาดความใส่ใจ หรือถึงขั้นปล่อยให้เครือข่ายของทุนเทาข้ามชาติเข้ามาแฝงตัว ถือครองอำนาจรัฐ กว่าจะรู้สึกตัว ประเทศไทยอาจกลายเป็นศูนย์กลางการฟอกเงินของโลก และประชาชนจะตกอยู่ในสภาพไม่ต่างจากทาส ถูกครอบงำด้วยเครือข่าย “บัญชีม้า” ที่แผ่กระจายอยู่ในทุกหย่อมหญ้า




ตอนล่าสุดของซีรีส์ #มหากาพย์นายหน้า ภาคอินเตอร์มาแล้วค่ะ พีคขึ้นเรื่อยๆ เรื่องนี้ ในตอนนี้คุณ Tom เสนอว่าแม้แต่ Worldcoin สตาร์ทอัพที่ Sam Altman ร่วมก่อตั้ง (และสแกนม่านตาคนไทยไปมากมายจน PDPC ต้องออกโรงเตือน) ก็มาเกี่ยวด้วย 5555

https://www.facebook.com/SarineeA/posts/pfbid02hwDFBtg4HC4crziLfeXmGJgnXzeXD7oYrZcMBt95gNmFxN19oXk7pBnMREFWGN2zl

Sarinee Achavanuntakul - สฤณี อาชวานันทกุล 
18 hours ago
·
ตอนล่าสุดของซีรีส์ #มหากาพย์นายหน้า ภาคอินเตอร์มาแล้วค่ะ พีคขึ้นเรื่อยๆ เรื่องนี้ ในตอนนี้คุณ Tom เสนอว่าแม้แต่ Worldcoin สตาร์ทอัพที่ Sam Altman ร่วมก่อตั้ง (และสแกนม่านตาคนไทยไปมากมายจน PDPC ต้องออกโรงเตือน) ก็มาเกี่ยวด้วย 5555
สังเกตว่าบทความภาคภาษาไทยตอนหลังๆ รวมถึงตอนล่าสุดนี้ด้วย ให้เข้าไปอ่านได้ฟรีโดยไม่ต้องใช้อีเมลแล้ว สงสัยนักข่าวเจาะอยากเอาใจแฟนคลับในไทย :>
รอดูผลการตรวจสอบของทางการไทยที่นายกหนูลั่นวาจาไว้ว่าจะทำ (หวังว่าจะได้เห็นในชาตินี้ )


อรรถพล บัวพัฒน์ หรือ “ครูใหญ่” ถูกลงโทษจำคุก 3 ปี จากข้อกล่าวหาผิด 112 ในกรณีการปราศรัยเกี่ยวกับเผ่ามังกรฟ้าจากการ์ตูน "วันพีซ" (One Piece) - มารู้จัก มังงะ-อนิเมะ และวันพีซ สัญลักษณ์การต่อสู้ของการเมืองไทยและโลก


บีบีซีไทย - BBC Thai
13 hours ago
·
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเปิดเผยว่าศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาคดีของ อรรถพล บัวพัฒน์ หรือ “ครูใหญ่” โดยมีคำสั่งลงโทษจำคุก 3 ปีที่ จากข้อกล่าวหาในฐานความผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ในกรณีการปราศรัยในการชุมนุมทางการเมืองบริเวณแยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2563 ซึ่งเขาได้เคยปราศรัยเกี่ยวกับเผ่ามังกรฟ้าจากการ์ตูน "วันพีซ" (One Piece) และการแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์
.
คดีดังกล่าวมี ปารีณา ไกรคุปต์ อดีต สส. จังหวัดราชบุรี จากพรรคพลังประชารัฐ เป็นผู้กล่าวหา
.
ในตอนนี้ อรรถพลยังคงถูกคุมขังในเรือนจำและไม่ได้รับการประกันตัวในคดี ม.112 อีกคดีหนึ่ง กรณีปราศรัยที่อำเภอภูเขียวอยู่ก่อนแล้ว ตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย. 2568
.
ย้อนอ่านที่มาและเรื่องราวเกี่ยวกับคดีที่ศาลเพิ่งตัดสินได้ที่: https://bbc.in/4nWtehJ
.
ชมคลิป มังงะ-อนิเมะ และวันพีซ สัญลักษณ์การต่อสู้ของการเมืองไทยและโลก ได้ที่นี่: https://www.youtube.com/watch?v=ubVOIEr2kKg&t=6s
.....

2563 วันพีซและเผ่ามังกรฟ้าในไทย


"เอาง่าย ๆ ว่าตอนที่เราถูกแจ้งข้อกล่าวหา เราถูกแจ้งข้อกล่าวหาด้วยข้อความ 'ราชประหาร' แต่เราแก้ตกไปแล้ว ไปยันอัยการมาแล้ว อัยการก็เลยไม่ฟ้องด้วยข้อความนี้ เลยไปฟ้องด้วยข้อความ 'มังกรฟ้า'" นายอรรถพลระบุ

ในช่วงปี 2563 นายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ครูใหญ่" หนึ่งในแกนนำของกลุ่มที่ใช้ชื่อว่า "ขอนแก่นพอกันที" และ กลุ่ม "ราษฎร 2563" ขึ้นปราศรัยในเวทีการชุมนุมหลายครั้ง

ทว่าการปราศรัยครั้งหนึ่งที่กล่าวข้อเรียกร้องในการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยและมีที่มาจากประชาชน พร้อมกับมีการกล่าวเปรียบเปรยถึงการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องวันพีซ (One Piece) เมื่อ 15 พ.ย. 2563 ที่แยกราชประสงค์ นำมาสู่การถูกร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีข้อหาดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แก่เขา

น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ อดีตสภาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ซึ่งในเวลานั้นยังดำรงตำแหน่ง สส. เป็นผู้ที่เข้าแจ้งความร้องทุกข์ จากกรณีที่เขาขึ้นปราศรัยมีการใช้คำว่า "ราชประหาร" เทียบกับ "รัฐประหาร" ซึ่ง น.ส.ปารีณา ผู้กล่าวหา เห็นว่าเป็นการแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์

อรรถพล เปิดเผยกับบีบีซีไทยเมื่อวันที่ 19 ส.ค. คดี ม.112 อันสืบเนื่องมาจากการปราศรัยครั้งนั้นที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการ์ตูนวันพีซ การสืบพยานทั้งฝั่งโจทก์และจำเลยเสร็จสิ้นแล้ว และศาลนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 30 ก.ย. ที่จะถึงนี้



หลังจากนั้น อรรถพลจึงนำข้อความที่ น.ส.ปารีณา โพสต์ มาใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องหมิ่นประมาท น.ส.ปารีณา ที่ศาลจังหวัดขอนแก่น ซึ่งผลออกมาคือ ศาลตัดสินให้เขาชนะคดี เขาจึงนำคำพิพากษาของศาลขอนแก่นไปร้องที่อัยการ

ทว่าเหตุการณ์หลังจากนั้น กลับกลายเป็นว่า อัยการได้มีคำสั่งฟ้องคดี ม.112 ต่อเขา โดยไปนำข้อความอื่นจากการปราศรัยครั้งเดียวกันมาแทน เพราะประเด็นคำว่า "ราชประหาร" ตกไปแล้ว โดยศาลจังหวัดขอนแก่น

"เอาง่าย ๆ ว่าตอนที่เราถูกแจ้งข้อกล่าวหา เราถูกแจ้งข้อกล่าวหาด้วยข้อความ 'ราชประหาร' แต่เราแก้ตกไปแล้ว ไปยันอัยการมาแล้ว อัยการก็เลยไม่ฟ้องด้วยข้อความนี้ เลยไปฟ้องด้วยข้อความ 'มังกรฟ้า'" นายอรรถพลระบุ

เกี่ยวกับเนื้อหาเกี่ยวกับ "มังกรฟ้า" ที่อรรถพลปราศรัย และนำมาสู่การถูกฟ้องข้อหา ม.112 เขาได้กล่าวถึง "เผ่ามังกรฟ้า" ซึ่งเป็นกลุ่มองค์กร/กลุ่มตัวละครตัวร้ายในการ์ตูนเรื่องวันพีซ โดยเขาได้วิจารณ์ลักษณะของกลุ่มตัวร้าย นี้ว่าเป็นพวกที่ "มองเห็นประชาชนเป็นแค่ผักปลา จะฆ่าก็ได้ จะอะไรก็ได้"

ไม่ใช่แค่ ไทย ยังมีชิลี อินโดนีเซีย ที่การ์ตูนถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ต่อต้านรัฐ

การเชื่อมโยงการ์ตูนกับการเมืองไม่ได้มีตัวอย่างแค่ในไทยเท่านั้น

ตั้งแต่เดือน ก.ค. ที่ผ่านมา สำนักข่าวในหลายประเทศทั่วโลกต่างรายงานข่าวการนำธงสัญลักษณ์จากการ์ตูนเรื่องวันพีซมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของการประท้วงรัฐบาล

ในเดือน ก.ค. ที่อินโดนีเซีย ประชาชนผู้ประท้วงจำนวนหนึ่งนำธงโจรสลัดกะโหลกไขว้สวมหมวกฟาง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มโจรสลัดลูฟี่ กลุ่มตัวเอกจากเรื่องวันพีซ มาประดับประดาตามบ้านเรือนสถานที่ต่าง ๆ หรือกระทั่งบริเวณท้ายรถยนต์ เพื่อเป็นการตอบโต้ต่อคำเรียกร้องของนายปราโบโว ซูเบียนโต ผู้นำอินโดนีเซีย ที่ต้องการให้ชาวอินโดนีเซียชูธงแดงและขาวประจำชาติก่อนวันประกาศอิสรภาพของประเทศในวันที่ 17 ส.ค.

หลายคนเลือกที่จะชูธงโจรสลัดเหล่านี้ หรือที่รู้จักกันในชื่อ "จอลลี่โรเจอร์" เพื่อแสดงออกถึงความไม่พอใจต่อรัฐบาลที่รวมศูนย์อำนาจมากขึ้นเรื่อย ๆ ภายใต้การนำของปราโบโว ซึ่งเป็นอดีตนายพล ที่ก้าวขึ้นบริหารประเทศ เมื่อ ต.ค. ปีที่แล้ว

ในการประท้วงละลอกใหม่ของอินโดนีเซียที่เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 25 ส.ค. จากประเด็นเงินช่วยเหลือค่าที่พักของสมาชิกรัฐสภา จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 7 ราย ธง "จอลลี่โรเจอร์" ก็ยังถูกโบกสบัดโดยผู้ชุมนุมเช่นเดียวกัน

ประชาชนอินโดนีเซียประท้วงต่อต้านนโยบายเงินช่วยเหลือค่าบ้านต่อสมาชิกรัฐสภาซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 50 ล้านรูเปียห์ (ราว 100,000 บาท) ซึ่งพวกเขามองว่าเป็นการใช้งบประมาณโดยไม่ชอบธรรม

ย้อนกลับไปในปี 2562 ที่ชิลี ได้เกิดการชุมนุมประท้วง อันมีจุดชนวนจากปัญหาความเหลื่อมล้ำและความไม่พอใจต่อการบริหารงานของรัฐบาลในขณะนั้น

บีบีซีไทยพบว่าตัวการ์ตูนจากญี่ปุ่นอย่าง "พิคาชู" (Pikachu) ได้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์หลักของการประท้วงนั้นเช่นเดียวกัน เช่นเดียวกับตัวละครหรือการ์ตูนเรื่องอื่น ๆ เช่น นารูโตะ ดาบพิฆาตอสูร เผ่าพิภพไททัน โปเกมอน และ วันพีซ ที่ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อต้านในการประท้วงซึ่งเริ่มต้น ณ กรุงซาติอาโก เมืองหลวงของประเทศ ก่อนที่จะขยายวงกว้างไปยังเมืองอื่น ๆ ทั่วประเทศ

ทำความรู้จักโลก "วันพีซ" เรื่องราวแห่งสมบัติในตำนาน


ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เส้นทางการตามหาสมบัติชิ้นนี้มีแต่จะยากขึ้นเรื่อย ๆ ตัวร้ายที่โผล่ออกมาในแต่ละภาคก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกัน

การ์ตูนเรื่อง "วันพีซ" ตีพิมพ์ครั้งแรกในญี่ปุ่น ในปี 2540 ในรูปแบบมังงะโดย เออิจิโร โอดะ และการตูนเรื่องนี้กลายเป็นหนึ่งในแฟรนไชส์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก มังงะเรื่องนี้มียอดขายมากกว่า 520 ล้านเล่ม และนำมาทำเป็นซีรีส์ทางโทรทัศน์หรือซึ่งนิยมเรียกว่าอนิเมะมากกว่า 1,100 ตอน

เส้นเรื่องหลักของมังงะเรื่องนี้เล่าถึงการผจญภัยของตัวเองอย่าง มังกี้ ดี.ลูฟี่ และลูกเรือของเขาในการออกตามหาสมบัติในตำนานที่มีชื่อว่า "วันพีซ" ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพและการแสวงหาความหมายของชีวิต

ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เส้นทางการตามหาสมบัติชิ้นนี้มีแต่จะยากขึ้นเรื่อย ๆ ตัวร้ายที่โผล่ออกมาในแต่ละภาคก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกัน

ในโลกของมังงะวันพีซ ผู้เขียนแต่งเรื่องราวให้กองทัพเรือที่ควรจะเป็นผู้รักษากฎระเบียบของสังคมกลายเป็นตัวร้าย ขณะเดียวกันก็เขียนให้กลุ่มโจรสลัดที่ดูเป็นตัวร้ายในโลกความเป็นจริงกลายเป็นตัวเอก อย่างไรก็ดี ผู้แต่งอย่างโอดะ ก็ไม่ลืมเขียนให้มีกลุ่มโจรสลัดที่มีพฤติกรรมร้ายกาจไม่แพ้กองทัพเรือและพร้อมจะฆ่าทุกคนเพื่อให้ได้ครอบครองวันพีซเช่นเดียวกัน

โครงสร้างของกลุ่มองค์กรต่าง ๆ ในโลกวันพีซอาจแบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม ได้แก่
  • ประชาชนธรรมดา หรือทาส คือบุคคลทั่วไปที่อาศัยอยู่ตามเกาะต่าง ๆ
  • กลุ่มโจรสลัด คือผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายการปกครองของ "รัฐบาลโลก"
  • กลุ่มปฏิวัติ คือผู้ที่มีเป้าหมายในการล้มล้าง "รัฐบาลโลก" และ "เผ่ามังกรฟ้า"
  • รัฐบาลโลก คือกลุ่มบุคลากรที่กำกับดูแลองค์กรต่าง ๆ เช่น ไซเฟอร์โพล (หน่วยข่าวกรอง) และ กองทัพเรือซึ่งทำหน้าที่ดูแลระเบียบโลกและปกป้องเผ่ามังกรฟ้า
  • ห้าผู้เฒ่า คือกลุ่มบุคคล 5 คน ที่ทำหน้าที่เป็นฝ่ายบริหารสูงสุดของรัฐบาลโลก
  • เผ่ามังกรฟ้า คือกลุ่มชนชั้นสูงสุด ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและกุมอำนาจทั้งหมดของรัฐบาลโลก มีอภิสิทธิ์เหนือทุกสรรพสิ่งในโลกวันพีซ
ทว่านอกจากจะแบ่งกลุ่มตัวละครออกได้เป็น 6 กลุ่มแล้วนั้น ยังมีตัวละครอีกหนึ่งตัวที่มีชื่อว่า "ท่านอิม" ซึ่งเปรียบเสมือนผู้นำสูงสุดตัวจริงของจักรวาลวันพีซ แต่นับจนถึงปัจจุบันผู้แต่งอย่าง โอดะ ยังไม่ได้เปิดเผยว่าตัวละครนี้มีหน้าตาอย่างไร โดยผู้อ่านจะเห็นแค่เป็นเพียงเงาสีดำ ๆ เท่านั้น

การตีความ "อำนาจ" ของกลุ่มคนใน "วันพีซ" สะท้อนถึงไทยอย่างไร


"ไอ้ตัวละครลูฟี่มันไม่ใช่แค่ความเข้มแข็ง แต่มันคือความไม่แยแสต่อความทุกข์ด้วย ความไม่มีอะไรซับซ้อนในวิธีคิด มันคือการพุ่งไปและเชื่อว่าก็จะไปอย่างนี้ อย่างเดียว" อรรถพลกล่าว

แล้วเหตุใดผู้คนในหลายประเทศต่างหยิบยกการ์ตูนเรื่องวันพีซขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้

อรรถพล แกนนำกลุ่มราษฎร มองว่าไม่ว่าประเทศใดจะปกครองด้วยระบอบการเมืองแบบใด แต่สิ่งที่มีร่วมกันคือโครงสร้างทางอำนาจของกลุ่มคน แม้จะแตกต่างกันออกไปตามบริบทก็ตาม

"เช่นที่เราพูดถึงเผ่ามังกรฟ้า ในประเทศไทยคุณจะนึกถึงใคร คุณอาจจะนึกถึงคนที่มีอำนาจซึ่งแต่ละคนตีความได้ไม่เหมือนกัน" เขาระบุ

ในมุมมองของอรรถพล เขาตีความว่าท่านอิมคือทุน "ที่มองไม่เห็นแต่อยู่เบื้องหลังควบคุมทุกอย่าง" และมองห้าผู้เฒ่าว่าเป็นประเทศมหาอำนาจ

"ผมคิดว่าผู้แต่งอย่างอาจารย์โอดะน่าจะพยายามเอาโครงสร้างทางอำนาจ กลุ่มคนที่มีอำนาจ มาอนุมานเป็นตัวละคร ซึ่งแต่ละประเทศอาจจะ [ตีความ] ไม่เหมือนกัน" อรรถพล ยกตัวอย่าง "เขาอาจจะคิดที่ประเทศญี่ปุ่นนะ ซึ่งมันก็อาจจะใกล้เคียงกับเราหน่อย แล้วมันก็มีบางอย่างที่เหมือนกันนั่นแหละ มีกองกำลัง มีนายทุน มีขุนศึก มีศักดินา มีตัวละครที่เรามองไม่เห็นอะไรเลย พอเราอ่าน มังงะหรือดูอนิเมะ มันก็จะเริ่ม 'เอ๊ะ คล้ายๆ บ้านเราจัง' ซึ่งแน่นอนกลุ่มคนที่มันมีอำนาจก็มีพฤติกรรมแบบเดียว ๆ กันทั้งโลก มันก็เลยสามารถที่จะเข้าใจว่าเป็นประเทศกูได้ทั้งโลก" เขาเสริม

เช่นนั้นเขามองว่าใครในประเทศไทยคือ ลูฟี่ ?

ตัวเอกอย่าง มังกี้ ดี. ลูฟี่ คือตัวละครที่ไม่เพียงบังเอิญได้กิน "ผลปีศาจ" จนมีพลังระดับเทพพระอาทิตย์ แต่ยังเป็นตัวละครที่มุ่งมั่นในเป้าหมายของตันเองอย่างการเป็น "เป็นเจ้าแห่งโจรสลัด" โดยไม่สนว่าศัตรูที่ดาหน้ากันเข้ามาทั้งฝั่งรัฐบาลโลกหรือโจรสลัดด้วยกันเองจะเก่งแค่ไหนก็ตาม หรือตามคำจำกัดความของนายอรรถพลคือ "ไอ้ตัวละครลูฟี่มันไม่ใช่แค่ความเข้มแข็ง แต่มันคือความไม่แยแสต่อความทุกข์ด้วย ความไม่มีอะไรซับซ้อนในวิธีคิด มันคือการพุ่งไปและเชื่อว่าก็จะไปอย่างนี้ อย่างเดียว"

ต่อคำถามข้างต้น นายอรรถพลตอบว่าเขาไม่เห็นบุคลิกของลูฟี่ในตัวละครการเมืองไทยเพราะมองว่า "ลูฟี่คือ mindset [แนวคิด] เทียบกับใครไม่ได้เลย" แต่เป็นความเชื่อต่อการเปลี่ยนแปลงเพื่อสิ่งที่ดีกว่า


ที่มา
ธงโจรสลัด "วันพีซ" ถึง เผ่ามังกรฟ้า ถอดปรากฏการณ์มังงะในการชุมนุมทางการเมืองจากไทยสู่อินโดนีเซีย
อ่านบทความเดิมทัั้งฉบับได้ที่
https://www.bbc.com/thai/articles/cm2123j7vlyo


มังงะ-อนิเมะ และวันพีซ สัญลักษณ์การต่อสู้ของการเมืองไทยและโลก - BBC News ไทย

Sep 15, 2025
จาก ธงโจรสลัด "วันพีซ" ถึง เผ่ามังกรฟ้า ถอดปรากฏการณ์มังงะในการโลกการเมือง ทั้งในฐานะโฆษณาชวนเชื่อของรัฐ และ "อาวุธของผู้อ่อนแอ"

https://www.youtube.com/watch?v=ubVOIEr2kKg&t=6s


'ชูวิทย์' เปิดเอกสารลับ ‘ฮั้ว สว.’ เป็นการสรุปพฤติกรรม การเชื่อมโยง วิธีการทำงานของแต่ละบุคคล รวมถึงพรรคที่เกี่ยวข้อง

https://www.facebook.com/ChuvitKamolvisit/posts/1357951842362959

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ 
4 hours ago
·
“ฮั้ว ส.ว.” กินรวบประเทศไทย
.
ทั้งเรื่องเขากระโดง และ ฮั้ว ส.ว. กลายเป็นประเด็นหลักในการอภิปราย 2 วันในสภา
.
ที่มีนายกฯ อนุทิน นำเสนอนโยบายบริหารประเทศ
.
หากเทียบกัน 2 เรื่อง ผมมีความเห็นว่า “ฮั้ว ส.ว.” มีความซับซ้อนกว่าอยู่มาก
.
เพราะเขากระโดงมีผลสรุปจากศาลถึง 3 ศาล ตั้งแต่ศาลชั้นต้น อุทธรณ์ ฎีกา ไปจนถึงศาลปกครอง และ ป.ป.ช.
.
อย่างเดียวที่ทำได้ คือ “ซื้อเวลาไปเรื่อยๆ“
.
การบังคับใช้กฎหมาย กลับกลายเป็นเรื่องการเมือง โยนกันไปมาเหมือนเด็กเล่นขายของ
.
แต่เรื่อง “ฮั้ว ส.ว.“ หนักกว่ามาก เพราะเป็นการวางแผน “กินรวบประเทศไทย“ ส่งผลถึงการคัดเลือกองค์กรกลางต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจมากมาย
.
ไม่ว่าศาลรัฐธรรมนูญเอง ป.ป.ช. กกต. และอื่นๆ อีกมาก ที่ต้องผ่านมติเห็นชอบของ ส.ว.
.
ใครจะขึ้นตำแหน่งสำคัญต่างๆ จึงต้องผ่าน ส.ว. โดยทั้งสิ้น
.
ผลกระทบเป็นวงกว้าง หาก ส.ว. ไม่เป็นอิสระ มีคนกดรีโมทสั่งการได้ ก็เท่ากับควบคุมระบบกลไกของรัฐได้หมด แม้แต่รัฐธรรมนูญ
.
เมื่อกลไกในการตรวจสอบรัฐบิดเบี้ยว สามารถบงการชี้ให้ซ้ายหันขวาหันได้ อันนี้ถือเป็นอันตรายใหญ่หลวงกว่าเขากระโดงหลายร้อยเท่า
.
เอกสารนี้เป็นการสรุปพฤติกรรม การเชื่อมโยง วิธีการทำงานของแต่ละบุคคล รวมถึงพรรคที่เกี่ยวข้อง
.
บรรดา ส.ส. ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้าน หรือฝ่ายแค้น ไม่ควรปล่อยให้เรื่องนี้เป็นเพียง “คดีแลกเปลี่ยนผลประโยชน์” ของนักการเมือง
.
นี่ต่างหากคือสิ่งสำคัญเร่งด่วนกว่าการแก้รัฐธรรมนูญ
.
ยิ่งเมื่อ ส.ว. ถูกสั่งได้ แล้วจะแก้รัฐธรรมนูญได้หรือ?
.
ส้มกับแดงควรรู้ว่าจะทำอะไรให้กับประเทศ เพื่ออนาคตของประเทศ
.
ไม่ใช่เอาแต่พูดดูดีในสภา แต่เมื่อถึงเวลาไปกดปุ่ม “งดออกเสียง”
.
ประชาชนคนทั่วไปจะได้รู้ว่า ใครทำอะไรไว้กับบ้านเมืองนี้
.
ฝ่ายค้านกินภาษีอากรของประชาชน
.
ส่วนผมไม่ได้เป็น ส.ส. นะครับ
.
แต่เรื่องนี้หากผมมีข้อมูลขนาดนี้ เป็นฝ่ายค้านแค่คนเดียว
.
แค่ผลักเบาๆ รัฐบาลก็ล้มแล้ว ไม่ต้องไปรอถึง 4 เดือนให้เสียของ


ไอลอว์ชวนอ่านสรุปข้อมูลที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ใช้ AI จับภาพบัตรเลือก สว. ระดับประเทศ ซึ่งสนับสนุน สส.วาโย ว่า การเลือก สว. ระดับประเทศมีลักษณะเกาะกลุ่มกันชัดเจน


iLaw
9 hours ago
·
29-30 กันยายน 2568 อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทย ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยมีการอภิปรายอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับนโยบายต่างๆของรัฐบาล
.
วาโย อัศวรุ่งเรือง สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้อภิปรายนโยบายรัฐบาลในข้อ 9 รักษาหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัดโดยให้ถือว่าการกระทำของเจ้าพนักงานของรัฐในกรณีเหล่านี้เป็นการกระทำความผิดทางวินัยร้ายแรงและต้องดำเนินการทางอาญาอย่างเด็ดขาด ซึ่งมีข้อ 9.2 ที่ระบุถึงการใช้กฎหมายและเจ้าหน้าที่ของรัฐไปเพื่อประโยชน์ทางการเมือง โดยวาโยยกคดีโกงเลือก สว. ขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของการอภิปราย
.
ช่วงหนึ่ง วาโยได้นำแผนภาพความสัมพันธ์เกี่ยวกับการลงคะแนนเลือก สว. ระดับประเทศมาแสดง ที่ระบุว่า คะแนนการเลือก สว. ระดับประเทศมีลักษณะเกาะกลุ่มกันชัดเจน และปรากฏลักษณะเช่นนี้ทั้ง 20 กลุ่ม ทำให้มีสว. ส่วนหนึ่งลุกขึ้นประท้วง จนวันมูหะหมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาสั่งให้วาโยรีบสรุปคำอภิปราย
.
ไอลอว์ชวนอ่านสรุปข้อมูลที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ใช้ AI จับภาพบัตรเลือก สว. ระดับประเทศได้ที่ https://www.ilaw.or.th/articles/53462

https://www.facebook.com/photo?fbid=1214245037415780&set=a.625664036273886



อธิบายกฎหมายทะเล และทำความเข้าใจปม MOU 44 ไม่ให้คลาดเคลื่อน



อธิบายกฎหมายทะเล และทำความเข้าใจปม MOU 44 ไม่ให้คลาดเคลื่อน

โดย ดร.สรจักร เกษมสุวรรณ
11.12.2024
The Standard

บทความนี้เขียนขึ้นสืบเนื่องมาจากมีผู้ทรงคุณวุฒิท่านหนึ่งเขียนถึงการบรรยายของ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เรื่อง MOU 44 ในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2024 เมื่อเดือนที่แล้ว และกล่าวว่าคำบรรยายของ ดร.สุรเกียรติ์ จะทำให้สังคมเข้าใจผิด เพราะ ดร.สุรเกียรติ์ “ยังไม่เข้าใจกฎหมายทะเลสากล UN” และผู้ทรงคุณวุฒิท่านนี้ก็อธิบายหลักกฎหมายทะเลไว้หลายประการ

แต่ผมเกรงว่าข้อความของผู้ทรงคุณวุฒิดังกล่าวที่มีการเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์อย่างกว้างขวางนั้น จะยิ่งทำให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับบทบัญญัติกฎหมายทะเล และทำให้ผู้สนใจด้านนี้ หรือนิสิตนักศึกษาที่ร่ำเรียนวิชากฎหมายระหว่างประเทศหรือกฎหมายทะเลเข้าใจหลักกฎหมายผิดพลาดไปกันใหญ่ และด้วยความเคารพผู้ทรงคุณวุฒิท่านดังกล่าว เนื่องด้วยกระผมทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเกี่ยวกับกฎหมายทะเลและอาเซียนช่วงปี 1982-1987 ที่ LSE ประเทศอังกฤษ ผมจึงคิดว่าน่าจะพอมีภูมิความรู้ทางด้านกฎหมายทะเลอยู่บ้าง จึงขออนุญาตอธิบายในบางประเด็นที่ท่านผู้ทรงคุณวุฒิกล่าวถึงไว้

ท่านกล่าวถึง ‘อนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล 1958 ข้อ 12’ ผู้ที่เชี่ยวชาญและมีความรู้ทางด้านกฎหมายทะเลดีจะไม่กล่าวเช่นนี้เด็ดขาด เนื่องจากอนุสัญญากฎหมายทะเล 1958 (ที่เรียกว่าอนุสัญญาเจนีวาด้วยก็ได้นั้น) มีถึง 4 ฉบับด้วยกัน ได้แก่ อนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขต อนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป อนุสัญญาว่าด้วยทะเลหลวง และอนุสัญญาว่าด้วยการจับปลาและสงวนรักษาทรัพยากรที่มีชีวิตในทะเลหลวง การอ้างแค่เพียงอนุสัญญาเจนีวา 1958 ข้อ 12 เป็นการอ้างที่ไม่มีความหมาย เพราะไม่สามารถทราบได้ว่าท่านกำลังหมายถึงบทบัญญัติข้อ 12 ในอนุสัญญาฉบับใดใน 4 ฉบับดังกล่าว ฉะนั้นจะต้องอ้างข้อ 12 จากอนุสัญญาฉบับใดฉบับหนึ่งใน 4 ฉบับนี้จึงจะเข้าใจว่าท่านหมายถึงบทบัญญัติใด เพราะข้อความในข้อ 12 ของทั้ง 4 ฉบับก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง นี่เป็นเพราะท่านจะเขียนอย่างย่อๆ ง่ายๆ (แต่ทำให้ไม่เข้าใจ) หรือเพราะท่านไม่ทราบก็ไม่อาจทราบได้ครับ

ท่านได้กล่าวถึง ‘อนุสัญญาสหประชาชาติ UN ว่าด้วยกฎหมายทะเล 1982 (UNCLOS 3) ข้อ 15’ ข้อความนี้ก็อีกเช่นกัน ผู้ที่เชี่ยวชาญและมีความรู้ด้านกฎหมายทะเลดีก็จะไม่กล่าวเช่นนี้ เนื่องจากท่านกำลังกล่าวถึง 2 สิ่ง แต่มาวงเล็บทำให้เข้าใจว่า 2 สิ่งนั้นคือสิ่งเดียวกัน UNCLOS 3 หรือ UNCLOS III นั้นหมายถึงการประชุมกฎหมายทะเลแห่งสหประชาชาติครั้งที่ 3 ระหว่างปี 1973-1982 (The Third UN Conference on the Law of the Sea หรือ UNCLOS III) ซึ่งนำไปสู่อนุสัญญากฎหมายทะเลแห่งสหประชาชาติ 1982 (UN Convention on the Law of the Sea 1982 หรือ UNCLOS 1982) ฉะนั้นจะกล่าวถึงอนุสัญญา UNCLOS 1982 หรือการประชุม UNCLOS 3 ก็กล่าวถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่มาวงเล็บเหมือนเป็นสิ่งเดียวกันเช่นนี้ไม่น่าจะถูก

ต่อมาท่านผู้ทรงคุณวุฒิท่านกล่าวว่า “กฎหมายสากลทั้งสองระบุว่า กรณีที่ฝั่งทะเลของรัฐประชิดกัน ถ้าไม่ได้ตกลงเป็นอื่น รัฐใดย่อมไม่มีสิทธิขยายทะเลอาณาเขตของตนเลยเส้นมัธยะ” ก็เลยทำให้อนุมานได้ว่า อนุสัญญาเจนีวา 1958 ข้อ 12 ที่ท่านกล่าวถึง หมายถึงข้อ 12 แห่งอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขต ซึ่งทั้งข้อ 12 นี้ และข้อ 15 แห่ง UNCLOS 1982 ต่างก็เป็นบทบัญญัติว่าด้วยการปักปันแบ่งเขตทะเลอาณาเขต ผมจึงขออธิบายเรื่องทะเลอาณาเขตกับเส้นมัธยะให้เข้าใจเพิ่มเติมดังนี้

ทั้งหลักกฎหมายระหว่างประเทศและหลักกฎหมายทะเล ทั้งหลักจารีตประเพณี ทั้งที่บัญญัติในอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยทะเลอาณาเขต และในหมวด 2 ของอนุสัญญากฎหมายทะเล 1982 (UNCLOS 1982) ทะเลอาณาเขตเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนอธิปไตยของรัฐชายฝั่ง รัฐชายฝั่งมีอำนาจอธิปไตยเหนือทะเลอาณาเขต และ UNCLOS 1982 ก็บัญญัติให้รัฐชายฝั่งมีทะเลอาณาเขตไม่เกิน 12 ไมล์ทะเลวัดจากเส้นฐานชายฝั่ง

ข้อ 12 แห่งอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยทะเลอาณาเขต 1958 และข้อ 15 แห่ง UNCLOS 1982 บัญญัติไว้คล้ายคลึงกันว่า ในกรณีที่รัฐชายฝั่งมีชายฝั่งประชิดหรือตรงข้ามกัน หากไม่สามารถทำความตกลงเพื่อปักปันแบ่งเขตแดนกันได้ ก็จะไม่มีรัฐใดที่จะมีเขตทะเลอาณาเขตเกินเส้นมัธยะ (Median Line) นอกจากจะมีเหตุผลจำเป็นอื่น เช่น การอ้างสิทธิทางประวัติศาสตร์ หรือการมีสภาวะพิเศษ ที่ทำให้การใช้วิธีอื่นกำหนดเขตทะเลอาณาเขตเหมาะสมกว่า หมายความว่าในเขตทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลนี้ รัฐที่มีชายฝั่งประชิดหรือตรงข้าม ต้องเจรจาทำความตกลงกันเพื่อปักปันแบ่งเขตทะเลอาณาเขตระหว่างกัน แต่หากไม่สำเร็จก็ควรต้องใช้เส้นมัธยะ เว้นแต่มีเหตุผลพิเศษหรือจำเป็นอื่น เส้นมัธยะหรือ Median Line นี้คือเส้นที่ทุกจุดบนเส้นมีความยาวเท่ากัน เมื่อวัดจากพิกัดบนเส้นฐานบนชายฝั่งของรัฐชายฝั่งทั้งสองรัฐ

ผู้ทรงคุณวุฒิท่านนี้กล่าวต่อไปว่า “กรณีไทย TH – กัมพูชา KH เส้นมัธยะคือเส้นที่ทั้งสองประเทศลากจากหลักเขตที่ 73 แบ่งกึ่งกลางระหว่างเกาะกูดกับเกาะกงเพื่อความเป็นธรรมในการเดินเรือ” ในประเด็นนี้หากต้องนำวิธีการใช้เส้นมัธยะมาใช้ ทั้งไทยและกัมพูชาก็ต้องเจรจาตกลงในเรื่องการใช้จุดพิกัดเพื่อกำหนดเส้นมัธยะต่อไป ไม่ใช่ใครที่ไหนจะมากำหนดเอาเองแบบนี้ได้ กฎหมายทะเลทั้งจากอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขต 1958 หรือ UNCLOS 1982 ระบุไว้ชัดเจนว่า ต้องเป็นความตกลงของประเทศคู่กรณี และทะเลอาณาเขตถือว่าเป็นเขตอำนาจอธิปไตยของรัฐชายฝั่ง ไม่เกี่ยวกับความเป็นธรรมในการเดินเรือ

ท่านผู้ทรงคุณวุฒิท่านกล่าวต่อไปว่า “ดังนั้นการขีดเส้น 200 ไมล์ทะเลจึงต้องลากออกจากเส้นมัธยะนี้ มิใช่ดังที่ ดร.สุรเกียรติ์ อธิบาย ทำให้ผู้ฟังเข้าใจผิดว่าทุกประเทศมีสิทธิไปลากเส้นจากฝั่งทะเลไปทิศทางใดก็ได้ 200 ไมล์ตามอำเภอใจแบบกัมพูชาทำ พื้นที่ทะเลรอบเกาะกูดของไทยจึงถูกกัมพูชาลากเส้นทับซ้อนตั้งแต่ชายฝั่งไปชนเกาะกูด ซึ่งกรณีแบบนี้ไม่ปรากฏที่ใดในโลก”

ท่านน่าจะกำลังสับสนหรือกำลังสร้างความสับสนระหว่างพื้นที่ที่เป็นทะเลอาณาเขตกับพื้นที่ที่เป็นไหล่ทวีป หรือเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (EEZ) เพราะที่ผ่านมาท่านกำลังกล่าวถึงทะเลอาณาเขต และหลักกฎหมายที่กำหนดให้มีความกว้าง 12 ไมล์ทะเล แต่เมื่อพูดถึงเขต 200 ไมล์ทะเล เรากำลังไปกล่าวถึงเขตไหล่ทวีปหรือ EEZ ซึ่งมีบทบัญญัติต่างจากทะเลอาณาเขตโดยสิ้นเชิง เอามากล่าวถึงปะปนกันแบบนี้ไม่ได้

ไหนๆ พูดถึงเกาะกูดก็ขอย้ำชัดเจนเลยว่า สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส 1907 กำหนดไว้ชัดเจนอย่างไม่มีทางเป็นอื่นไปได้ว่า เกาะกูดเป็นพื้นที่ในดินแดนไทย อยู่ภายใต้เขตอำนาจอธิปไตยของไทย 100% จบครับ ถ้าต้องขึ้นศาลโลกไทยก็ชนะอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ

ฉะนั้นการอ้างสิทธิทับซ้อนที่เป็นปัญหานั้น ปัญหาอยู่ไหน และเกิดจากอะไร? ซึ่งก่อนจะไปอธิบายตรงนั้นกระผมจำเป็นต้องอธิบายหลักการกฎหมายทะเลเกี่ยวกับไหล่ทวีปและเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (EEZ) เสียก่อน

เนื่องจากคำนิยามของไหล่ทวีป หรือ Continental Shelf ภายใต้อนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยไหล่ทวีป 1958 ถูกแก้ไขใหม่ภายใต้หมวด 6 แห่งอนุสัญญากฎหมายทะเล 1982 หรือ UNCLOS 1982 ว่าด้วยไหล่ทวีป

นิยามไหล่ทวีปในปัจจุบันจึงหมายถึงบริเวณผืนดินใต้น้ำที่ยื่นต่อเนื่องมาจากผืนดินใต้ทะเลอาณาเขตที่มีโครงสร้างทางธรรมชาติต่อเนื่องกัน มีความกว้างไม่เกิน 200 ไมล์ทะเล (หรืออาจเกินกว่านั้น แต่ไม่เกิน 350 ไมล์ทะเล หากในความกว้างดังกล่าวยังไม่จรดขอบไหล่ทวีป) ทั้งอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยไหล่ทวีป 1958 และ UNCLOS 1982 บัญญัติไว้เหมือนกันว่า รัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตย (Sovereign Rights) ในเขตไหล่ทวีป เพื่อสำรวจและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติบนพื้นผิวและใต้พื้นผิวไหล่ทวีป กฎหมายมิได้บัญญัติให้รัฐชายฝั่งมีอำนาจอธิปไตย (Sovereignty) หรือกำหนดให้ไหล่ทวีปเป็นเขตดินแดนอธิปไตยของรัฐ เพียงให้รัฐมีสิทธิอธิปไตยสำหรับการสำรวจและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ แปลว่าสิทธิของรัฐชายฝั่งนี้เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติเท่านั้น และสิทธินี้ทำให้รัฐชายฝั่งสามารถออกกฎหมายเกี่ยวกับการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติได้ หากนอกจากนั้นไปก็กระทำมิได้ และการใช้สิทธินี้จะไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อสถานะทางกฎหมายของห้วงน้ำที่อยู่เหนือไหล่ทวีปด้วย (ซึ่งแปลว่าถ้าเลยทะเลอาณาเขตมาแล้ว พื้นน้ำก็จะเป็นทะเลหลวง หรือน่านน้ำสากล จะดำรงคงสภาพทางกฎหมายเสมือนเป็นทะเลหลวงต่อไป รัฐชายฝั่งไม่ได้เป็นเจ้าของ)

ข้อ 6 แห่งอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป 1958 กำหนดว่า หากไหล่ทวีปเดียวกันอยู่ติดกับรัฐชายฝั่งมากกว่า 1 รัฐที่มีแนวชายฝั่งประชิดติดกัน หรือมีชายฝั่งตรงข้ามกัน การปักปันแบ่งเขตไหล่ทวีปของรัฐดังกล่าวจะต้องเป็นผลมาจากการทำความตกลงระหว่างกัน หากทำความตกลงกันไม่ได้ และหากไม่มีสภาวะพิเศษอื่นๆ ที่ต้องนำมาพิจารณาด้วย ก็ให้ใช้หลักเส้นมัธยะเป็นตัวกำหนด แต่เนื่องจากเขตไหล่ทวีปมีความกว้างขวางมากกว่าเขตทะเลอาณาเขตมาก และชายฝั่งของรัฐที่มีความเว้าเข้า โค้งออก เว้าๆ แหว่งๆ และมีสภาพพิเศษอื่นๆ ทำให้การเจรจาทำความตกลงเป็นไปได้ยาก และหากใช้เส้นมัธยะ รัฐจำนวนมากก็พบว่าไม่เกิดความเป็นธรรมแก่ตน เช่นในกรณีของเยอรมนีที่มีชายฝั่งเว้าเข้ามาในแผ่นดิน ขณะที่เพื่อนบ้านได้แก่ เนเธอร์แลนด์และเดนมาร์กมีชายฝั่งที่โค้งเข้าไปในทะเล ทำให้เมื่อใช้หลักเส้นมัธยะ เยอรมนีจะเหลือไหล่ทวีปเป็นรูปกรวยคว่ำ พื้นที่ที่ได้จะน้อย ไม่เป็นธรรมต่อสัดส่วนความยาวของชายฝั่ง ทั้งสามประเทศจึงร้องขอให้ศาลโลก (ICJ) พิจารณาตัดสินในปี 1969 ศาลตัดสินว่ากฎหมายบัญญัติให้รัฐคู่กรณีต้องเจรจาเพื่อบรรลุความตกลงที่มีผลเป็นธรรมระหว่างกัน โดยคำนึงถึงสภาวะพิเศษต่างๆ (เช่นภูมิศาสตร์ และอื่นๆ) และเส้นมัธยะเป็นเพียงวิธีการหนึ่งที่จะสามารถนำไปใช้ในการปักปันแบ่งเขตไหล่ทวีป หากนำไปใช้แล้วสามารถบรรลุความตกลงที่เป็นธรรมกันได้ แต่เป็นวิธีการ มิใช่เป็นบทบัญญัติบังคับของกฎหมาย

คำตัดสินของ ICJ คดีนี้มีผลต่อแนวคิดเรื่องการปักปันแบ่งเขตพื้นที่ทางทะเลอย่างมาก ทำให้บทบัญญัติว่าด้วยการปักปันแบ่งเขตไหล่ทวีปใน UNCLOS 1982 ในข้อ 83 ไม่กล่าวถึงเส้นมัธยะอีกเลย เพียงบัญญัติว่าการปักปันแบ่งเขตไหล่ทวีปของรัฐที่มีชายฝั่งประชิดหรือตรงข้าม ต้องเป็นผลมาจากการทำความตกลงระหว่างกัน เพื่อบรรลุผลที่เป็นธรรมภายใต้หลักกฎหมายระหว่างประเทศ

เขตเศรษฐกิจจำเพาะ (EEZ) เกิดจากการที่รัฐชายฝั่งเป็นจำนวนมาก ประสงค์จะมีเขตประมง เขตอนุรักษ์ และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นน้ำในส่วนที่เลยทะเลอาณาเขตของตนเองออกมา ซึ่งเดิมทีกฎหมายทะเลไม่อนุญาตเพราะเป็นพื้นที่น่านน้ำสากลที่เรียกว่าทะเลหลวง ในหมวด 5 แห่ง UNCLOS 1982 จึงกำหนดให้มีเขต EEZ สำหรับรัฐชายฝั่ง มีความกว้างไม่เกิน 200 ไมล์ทะเล นับจากเส้นฐาน (Baselines) ชายฝั่ง และเป็นเขตที่มีสถานะจำเพาะทางกฎหมาย คือรัฐชายฝั่งมีเพียงสิทธิอธิปไตยอีกเช่นกัน เพื่อการสำรวจ แสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิต การบริหารจัดการ และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นน้ำ และเขตผืนดินและใต้ผืนดินที่อยู่ใต้ห้วงน้ำนั้น ตลอดจนสามารถออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสำรวจ ใช้ประโยชน์ และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในเขต EEZ ได้ แต่ไม่มีอำนาจอธิปไตย และยังกำหนดให้นำบทบัญญัติว่าด้วยทะเลหลวงมาใช้กับห้วงน้ำที่รัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตย EEZ แปลว่ารัฐชายฝั่งไม่ได้เป็นเจ้าของพื้นน้ำหรือห้วงน้ำ เป็นเจ้าของเฉพาะทรัพยากรธรรมชาติ และเนื่องจากเป็นเขตสิทธิอธิปไตยเหนือทรัพยากรธรรมชาติเหมือนกัน และมีความกว้าง 200 ไมล์ทะเลเหมือนกันกับไหล่ทวีป จึงอาจกล่าวได้ว่าพื้นที่ที่เป็นไหล่ทวีปและ EEZ ก็เป็นพื้นที่เดียวกันที่ซ้อนกันอยู่ (ยกเว้นพื้นที่ไหล่ทวีปที่อาจเกิน 200 ไมล์ทะเลออกไป)

การปักปันแบ่งเขต EEZ ก็เช่นกัน ข้อ 74 แห่ง UNCLOS 1982 ก็ใช้ข้อความเดียวกับข้อ 83 ในส่วนของไหล่ทวีป คือไม่มีการกล่าวถึงเส้นมัธยะ ฉะนั้นการกล่าวว่าให้ขีดเส้น 200 ไมล์ทะเลลากออกไปจากเส้นมัธยะจึงไม่สอดคล้องกับหลักกฎหมายทะเล

นอกจากนั้นบรรดาผู้แทนและนักกฎหมายที่ไปร่วมประชุม UNCLOS III มีเป็นจำนวนมากที่ (ก) เข้าใจดีว่า การเจรจาปักปันเขตไหล่ทวีปเพื่อบรรลุข้อตกลงมันสำเร็จได้ยากจริงๆ มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย (ข) แต่ก็เข้าใจดีว่ารัฐอยากได้ไหล่ทวีป และ EEZ เพราะอยากมีสิทธิอธิปไตยในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ หากยังตกลงกันไม่ได้ ต่างฝ่ายต่างก็เสียโอกาสทางเศรษฐกิจที่จะนำทรัพยากรมาใช้ ด้วยเหตุนี้ ข้อ 74 วรรคสาม และข้อ 83 วรรคสาม แห่ง UNCLOS 1982 จึงบัญญัติว่า ระหว่างที่ยังรอเจรจาเพื่อบรรลุความตกลงอยู่นั้น เพื่อความเข้าใจและความร่วมมืออันดีระหว่างกัน รัฐที่เกี่ยวข้องควรจะพยายามทุกวิถีทางที่จะดำเนินมาตรการชั่วคราว (Provisional Arrangements) ในลักษณะที่นำมาปฏิบัติได้จริงๆ ไปพลางก่อน โดยการมีมาตรการดำเนินการชั่วคราวนี้จะไม่มีผลแต่อย่างใดทั้งสิ้น ไม่ว่าในทางใดทางหนึ่งกับผลการบรรลุความตกลงในที่สุดของรัฐที่เกี่ยวข้อง มาตรการดังกล่าวอาจมีหลากหลาย แต่หมายรวมถึงการทำความตกลง Joint Development Area เพื่อพัฒนาและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติร่วมกันไปพลางๆ ในลักษณะเดียวกับที่ไทยทำกับมาเลเซีย และกลายเป็นแนวปฏิบัติของรัฐจำนวนไม่น้อยที่มีความขัดแย้งในการอ้างสิทธิไหล่ทวีปทับซ้อน และต่อมามีวิธีการในการแสวงประโยชน์โดยการแบ่งทรัพยากรร่วมกันที่หลากหลาย จนนักวิชาการกฎหมายทะเลมีบทความ ทำวิทยานิพนธ์ และเขียนหนังสือเกี่ยวกับการทำ Joint Development Area เพื่อนำทรัพยากรมาใช้ร่วมกันในช่วงที่ยังไม่บรรลุความตกลงมากมาย

กระบวนการในการที่รัฐจะมีเขตไหล่ทวีปและ EEZ ควรทำอย่างไร? โดยทั่วไปเนื่องจากเขตทางทะเลทั้งสองนี้มิใช่เขตที่รัฐชายฝั่งได้มาโดยอัตโนมัติ เนื่องด้วยไม่ใช่เขตดินแดนอำนาจอธิปไตยของรัฐ รัฐชายฝั่งจึงต้องประกาศอ้างสิทธิในไหล่ทวีปและ EEZ พร้อมทั้งประกาศให้ประเทศเพื่อนบ้านและประชาคมโลกรู้ว่าเขตที่ตนประกาศอ้างสิทธินั้นอยู่ในบริเวณใด โดยดำเนินการตามกระบวนกฎหมายของตนเอง และเมื่อรัฐเพื่อนบ้านไม่เห็นด้วยก็ย่อมมีสิทธิประท้วงและประกาศเขตของตนเอง ซึ่งอาจจะทำให้เกิดเขตการอ้างสิทธิที่ทับซ้อนกัน ซึ่งในกรณีเช่นนี้กฎหมายทะเลก็ให้รัฐต้องเจรจาหาข้อยุติเป็นความตกลงที่มีผลเป็นธรรมระหว่างกัน

กัมพูชาดำเนินการประกาศก่อน ในสมัยรัฐบาลนายพล ลอน นอล ประกาศเขตไหล่ทวีปเมื่อปี 1972 แต่เส้นเหนือสุดของประกาศของกัมพูชาลากจากพรมแดนไทย-กัมพูชา หรือหลักเขตแดนที่ 73 ไปทางตะวันตกผ่านกลางเกาะกูดไปถึงกลางอ่าวไทย ซึ่งชายฝั่งไทย-กัมพูชาบริเวณนั้นเป็นชายฝั่งแบบตรงข้าม หักลงตะวันออกเฉียงใต้และลงใต้ต่อไป จนไปถึงบริเวณที่ประชิดกับเวียดนาม เส้นเหนือสุดของประกาศนี้เป็นเส้นที่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายทะเลอย่างแน่นอน เนื่องจากเกาะกูดเป็นเขตแดนอธิปไตยไทย และความเป็นเกาะย่อมต้องมีเขตทะเลอาณาเขตและไหล่ทวีปของตนเอง กัมพูชาจะกำหนดเขตไหล่ทวีปของตนเองโดยไม่คำนึงถึงเขตทะเลอาณาเขตและไหล่ทวีปที่พึงมีของเกาะกูด และยังลากเส้นผ่ากลางเช่นนี้ไม่ได้

ไทยจำเป็นต้องประท้วง และมีการประกาศเขตไหล่ทวีปของเรา โดยดำเนินการตามกระบวนการกฎหมายไทย คือออกเป็นพระบรมราชโองการในปี 1973 โดยทางเหนือสุดใช้พิกัดเริ่มต้นเดียวกันจากพรมแดนไทย-กัมพูชา แต่ลากเส้นลงมาทางตะวันตกเฉียงใต้ โดยคำนึงถึงเกาะกูดที่ต้องมีทะเลอาณาเขต และไหล่ทวีปบางส่วนของตนเอง เมื่อมาถึงกลางอ่าวไทยที่ชายฝั่งเป็นชายฝั่งตรงข้ามจึงหักลงทิศใต้ จึงทำให้เกิดเป็นเขตพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปที่ทับซ้อนกันระหว่างไทยและกัมพูชา โดยในกรณีเช่นนี้ UNCLOS 1982 บัญญัติให้รัฐคู่กรณีต้องเจรจาเพื่อบรรลุความตกลงที่เป็นธรรมโดยยึดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ

ท่านผู้ทรงคุณวุฒิกล่าวต่อไปว่า กรณีนี้ควรยึดถือหลักการเดิมที่ใช้เจรจาสำเร็จแล้วกับทุกประเทศ และระบุขั้นตอนไว้ ซึ่งกระผมไม่ขอก้าวล่วงประเด็นนี้ เพียงแต่อยากแสดงความเห็นว่า วิธีการและขั้นตอนการเจรจาไม่ได้มีระบุไว้ ณ ที่ใดตายตัวว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรก่อนหลัง ขึ้นอยู่กับบรรยากาศทางการเมืองและความตั้งใจทางการเมือง (Political Will) ของรัฐที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนสภาพแวดล้อมของการอ้างสิทธิอื่นๆ ประกอบกัน

ผู้ทรงคุณวุฒิท่านกล่าวว่า “การเจรจาทุกประเทศมีเป้าหมาย คือการกำหนดเส้นเขตแดนให้ถูกต้องเป็นอันดับแรก ไม่ใช่คิดเรื่องขุดปิโตรเลียมร่วมกับใคร เพราะทุกประเทศต้องการมีอำนาจอธิปไตยโดยสมบูรณ์เพราะบริหารจัดการง่ายกว่าและเป็นอิสระกว่า” ประเด็นนี้ขอตั้งข้อสังเกต ดังนี้

การเจรจาเขตแดนที่เป็นเขตอำนาจอธิปไตย กับการเจรจาเขตแดนที่ให้เพียงสิทธิอธิปไตยของรัฐในการสำรวจและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่นั้นๆย่อมมีเป้าหมายแตกต่างกัน ในเขต EEZ และไหล่ทวีป 200 ไมล์ทะเล รัฐประกาศเขตดังกล่าวด้วยเป้าประสงค์ของการมีสิทธิใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ มิใช่ประกาศเขตอำนาจอธิปไตย เป้าหมายคือมีพื้นที่ที่สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตให้ได้มากที่สุดเท่าที่กฎหมายและการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านจะเอื้อได้

UNCLOS 1982 ตระหนักดีว่า เขต EEZ และเขตไหล่ทวีป เป็นพื้นที่ที่รัฐชายฝั่งอยากใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ (ไม่ใช่เขตดินแดนอธิปไตย) และมีพื้นที่ที่กว้างใหญ่กว่าพื้นที่ 12 ไมล์ทะเลของทะเลอาณาเขต ฉะนั้นการเจรจาแบ่งปันพื้นที่ย่อมต้องยุ่งยาก จึงกำหนดเรื่อง Provisional Arrangements ทั้งในกรณีของ EEZ และไหล่ทวีป เพื่อให้รัฐชายฝั่งที่รักสันติในการอยู่ร่วมกันกับรัฐเพื่อนบ้าน ที่ต่างประสงค์จะใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นที่ที่ต่างอ้างสิทธิทับซ้อน สามารถร่วมมือกันได้โดยไม่มีผลกระทบต่อการอ้างพื้นที่ของแต่ละฝ่าย ในระหว่างที่ยังไม่อาจบรรลุความตกลงกันได้

ฉะนั้นในกรณีไทย-กัมพูชานี้ เราไม่ได้กำลังเจรจาเขตอำนาจอธิปไตย (ซึ่งในกรณีเช่นนั้นจะยอมมาร่วมมือกันแบบนี้ไม่ได้แน่นอน) แต่ตามหลักกฎหมาย กรณีนี้เป็นการเจรจากันเรื่องไหล่ทวีป และ EEZ และสิทธิประโยชน์จากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ มิใช่เรื่องของอำนาจอธิปไตย

ท่านผู้ทรงคุณวุฒิวิพากษ์ MOU 2544 ไว้หลายประการ กระผมไม่มีความประสงค์จะระบุว่า MOU ฉบับดังกล่าวดีหรือไม่อย่างไร แต่ขออธิบายประเด็นกฎหมายบางประการที่เกี่ยวข้อง

MOU 2544 มีสถานะเป็นความตกลงระหว่างประเทศ และอยู่ภายใต้หลักการของกฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่? ในกฎหมายภายในของไทย เรามักจะกล่าวว่าการลงนามในเอกสารที่เรียกว่า MOU ไม่ใช่นิติกรรมสัญญาตามหลักกฎหมายไทย จึงไม่มีผลผูกพันตามกฎหมาย แต่ในกฎหมายระหว่างประเทศมิใช่เป็นเช่นนั้น ข้อ 2 และหลักการจากบทบัญญัติอื่นๆ แห่งอนุสัญญาเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา 1969 กำหนดว่า สนธิสัญญา หมายถึงความตกลงระหว่างประเทศที่เป็นลายลักษณ์อักษร ที่รัฐภาคีประสงค์ให้อยู่ภายใต้หลักกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเรียกชื่อความตกลงนั้นว่าอะไรก็ตาม ฉะนั้นหากรัฐภาคีที่ลงนามใน MOU ต่างประสงค์ให้ MOU นั้นๆ อยู่ในบังคับของหลักกฎหมายระหว่างประเทศ MOU นั้นๆ ก็ต้องดำเนินการสอดคล้องกับหลักกฎหมายระหว่างประเทศ การยกเลิกจะกระทำได้ก็ด้วยความประสงค์ตรงกันของประเทศภาคี หรือตามที่ MOU นั้นๆ ได้ระบุไว้

แผนที่แนบท้าย MOU ฉบับนี้แตกต่างไปจากแผนที่การอ้างสิทธิครั้งแรกของกัมพูชา กล่าวคือ เส้นเหนือสุดของพื้นที่อ้างสิทธิของกัมพูชามีการเว้าลงมาใต้เกาะกูดแทนการขีดคร่อมเกาะ ซึ่งน่าจะอนุมานได้ว่ากัมพูชาทั้งยอมรับว่าเกาะกูดเป็นของไทย และเกาะกูดควรมีทะเลอาณาเขตของตนเอง ซึ่งก็ดีกว่าเดิมมาหน่อย แต่ยังไม่ยอมรับว่าเกาะกูดต้องมีไหล่ทวีปของตนเอง อย่างน้อยแผนที่นี้ก็ทำให้กัมพูชาไม่สามารถอ้างเป็นอื่นได้นอกจากรับว่าเกาะกูดเป็นของไทย

การใช้เส้นรุ้งที่ 11 องศาเหนือเป็นเส้นอ้างอิง น่าจะหมายความว่าพื้นที่เหนือเส้นรุ้งที่ 11 นี้ต้องมีการเจรจาปักปันเขตไหล่ทวีปให้สำเร็จ เพราะเป็นเขตไหล่ทวีปที่อ้างทับซ้อนกันจากการที่ไทย-กัมพูชามีชายฝั่งประชิดกัน และไทยมีเกาะกูดที่จะต้องมีทั้งทะเลอาณาเขต (ในเขตอำนาจอธิปไตยไทย) และไหล่ทวีป (เขตสิทธิอธิปไตย) ในสัดส่วนที่เหมาะสม ขณะเดียวกันชายฝั่งกัมพูชาอาจจะมีสภาพบางประการที่อาจนำมาใช้เป็นข้ออ้างพิเศษเพื่อเจรจาบรรลุการปักปันเขตไหล่ทวีปบริเวณนี้ ซึ่งไม่ควรเป็นเขตที่จะให้มีการทำมาตรการชั่วคราว (Provisional Arrangements) ในการแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติได้เด็ดขาด ส่วนเมื่อเขตอ้างสิทธิของสองฝ่ายหักลงทิศใต้ เนื่องจากสภาพชายฝั่งกลายเป็นชายฝั่งแบบตรงข้าม จะพิจารณาอย่างไรต่อไป กระผมไม่แสดงความเห็น แต่หากเป็นการเจรจาเพื่อให้มีการแสวงประโยชน์ร่วมกันในลักษณะ Provisional Arrangements ก็ต้องทำควบคู่กันไปกับการเจรจาปักปันพื้นที่เหนือเส้นรุ้งที่ 11 ไปพร้อมๆ กัน หรือให้การเจรจาด้านเหนือเส้นรุ้งที่ 11 มีความคืบหน้าจนเป็นที่พอใจก่อน ด้วยเหตุนี้ความหมายของ Indivisible Package จึงเป็นประโยชน์

ท่านผู้ทรงคุณวุฒิกล่าวว่า “สุดท้ายกัมพูชายอมเจรจาเส้นเขตแดน 11 องศาเหนือบริเวณเกาะกูด (ทั้งที่กฎหมายทะเลเป็นของไทยอยู่แล้ว) และใต้เส้น 11 องศาเหนือก็ขุดปิโตรเลียมไปพร้อมกัน แบ่งเงินค่าภาคหลวงกันคนละครึ่ง หากทำเช่นนี้เมื่อใดกัมพูชาจะเอาหลักฐานการแบ่งค่าภาคหลวงนี้ขึ้นศาลโลก และแบ่งพื้นที่ทางทะเลใต้เส้น 11 องศาเหนือครึ่งหนึ่งในอนาคต เรียกว่าเสียทั้งปิโตรเลียมเสียทั้งดินแดนไปพร้อมกัน Indivisible Package เรียบร้อยโรงเรียนกัมพูชา” ข้อความนี้น่าจะไม่ถูกต้องทีเดียว เพราะ (ก) ผมเข้าใจว่า Indivisible Package แปลว่า การเจรจาเรื่องปักปันเขตแดนเหนือเส้นรุ้งที่ 11 องศาเหนือ กับการเจรจาว่าควรจะมีการแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติร่วมกันในพื้นที่ใต้เส้น 11 องศาต้องทำไปพร้อมๆ กัน จะเจรจาเรื่องหลังแยกจากการเจรจาเรื่องการปักปันเหนือเส้น 11 องศาไม่ได้ มิได้หมายความว่าระหว่างการเจรจาก็สามารถลงมือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติเลย ซึ่งไม่น่าจะมีทางเป็นไปได้ (ข) แม้ว่าในที่สุดจะอีกกี่ปีก็ตาม ตกลงกันได้ในการทำ Provisional Arrangements เพื่อแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติร่วมกันจะด้วยรูปแบบใดก็ตาม แบบจ่ายค่าภาคหลวงหรืออื่นใด และจากนั้นมีเหตุต้องนำคดีไปให้ศาลโลก ICJ พิจารณา กัมพูชาก็ไม่อาจนำเหตุอันเกิดจากการทำ Provisional Arrangement นี้ไปใช้อ้างในศาลได้ตามข้อ 83 วรรคสามแห่ง UNCLOS 1982

ผมขอสรุปสั้นๆ ว่า ไหล่ทวีปและเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (EEZ) มิใช่เขตดินแดนอำนาจอธิปไตยของรัฐ และบทบัญญัติในสองหมวดในเรื่องนี้ ใน UNCLOS 1982 หรือ บทบัญญัติในอนุสัญญาไหล่ทวีป 1958 ก็ระบุไว้ชัดเจนว่า รัฐชายฝั่งมีเพียงสิทธิอธิปไตยที่จะสำรวจและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต แม้แต่ห้วงน้ำในพื้นที่ที่อ้างสิทธิก็มิได้ตกเป็นของรัฐชายฝั่ง ฉะนั้นจึงไม่ได้เป็นประเด็นพิพาทในเรื่องอำนาจอธิปไตยและการสูญเสียเขตอำนาจอธิปไตย หรือดินแดนอธิปไตยของรัฐแต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องของการเจรจาให้รัฐชายฝั่งได้พื้นที่เพื่อได้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ดังกล่าวให้มากที่สุด และกฎหมายก็มิได้กำหนดให้เส้นมัธยะเป็นวิธีการปักปันแบ่งเขตไหล่ทวีปและ EEZ หรือถ้าจะสรุปง่ายๆ สั้นๆ คือเรื่องของไหล่ทวีปและเขต EEZ เป็นเรื่องของการที่รัฐชายฝั่งอยากใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติให้มากที่สุด ไม่ใช่เรื่องของการได้หรือสูญเสียอำนาจอธิปไตย

ด้วยความเคารพในท่านผู้ทรงคุณวุฒิดังกล่าว ที่ผมเองก็มิได้รู้จักท่านเป็นการส่วนตัว

ภาพ: Felix Santiago Allendes via ShutterStock

https://thestandard.co/law-of-the-sea-mou-44-explained/




ที่นี่คือพรมแดนของ 2 ประเทศ ที่มีความซับซ้อนที่สุดในโลก แต่ในขณะเดียวกัน ทำเงินมหาศาลเข้าประเทศทั้ง 2 จากเส้นแบ่ง

https://www.youtube.com/shorts/Qd-hZRCYlMY?feature=share


มองรอบด้าน "ยกเลิก-ไม่ยกเลิก" MOU 43-44 "ไทย-กัมพูชา"


มองรอบด้าน "ยกเลิก-ไม่ยกเลิก" MOU 43-44 "ไทย-กัมพูชา" | ตอบโจทย์ | 30 ก.ย. 68

Thai PBS

Streamed live 5 hours ago 

ร่วมสนทนาประเด็น 
• ความได้เปรียบและเสียเปรียบจาก MOU 43-44 ไทย-กัมพูชา แนวคิดทำประชามติถามประชาชนเรื่องยกเลิกหรือไม่ยกเลิก MOU และทางเลือกอื่นเพื่อนำไปสู่การบรรลุข้อตกลง 
ผู้ร่วมรายการ 
• นพดล ปัทมะ | อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ 
• ผศ.อัครพงษ์ ค่ำคูณ | อดีตคณบดีวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ ม.ธรรมศาสตร์

https://www.youtube.com/live/GLQkIYDm320




การจัดทำแผนที่ร่วมไทย–กัมพูชา: กรอบกำหนดโดย MOU 43 และ TOR 46 ว่าไงบ้าง


Bundit Sripa
21 hours ago
·
การจัดทำแผนที่ร่วมไทย–กัมพูชา: กรอบกำหนดโดย MOU 43 และ TOR 46

การสำรวจและปักปันเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาเป็นกระบวนการที่มีความละเอียดอ่อนและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการธำรงรักษาอธิปไตยและสิทธิประโยชน์ของทั้งสองประเทศ เอกสารกรอบที่เป็นหัวใจในการดำเนินงานคือ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและปักปันเขตแดนร่วม พ.ศ. 2543 (MOU 43) และ ข้อกำหนดในขอบเขตอำนาจหน้าที่ (Terms of Reference – TOR) พ.ศ. 2546 ซึ่งได้กำหนดแนวทาง วิธีการ และผลลัพธ์ที่ต้องจัดทำขึ้นอย่างชัดเจน

หนึ่งในข้อกำหนดสำคัญคือ การจัดทำ แผนที่และเอกสารประกอบ การปักปันเขตแดนในสามระดับมาตราส่วนที่แตกต่างกัน เพื่อใช้ประโยชน์ในแต่ละมิติ ได้แก่

1. แผนผังมาตราส่วน 1:500 – ใช้สำหรับกำหนดและยืนยันตำแหน่งหลักเขตแดนในเชิงปฏิบัติ แสดงรายละเอียดเฉพาะจุดว่าหลักเขตถูกปัก ณ พิกัดใด ซึ่งมีความสำคัญต่อการตรวจสอบภาคสนามและการอ้างอิงเชิงกฎหมาย

2. แผนที่สเกลใหญ่มาตราส่วน 1:25,000 – ใช้สำหรับแสดงรายละเอียดพื้นที่โดยรอบแนวเขตแดน ครอบคลุมลักษณะภูมิประเทศ เส้นทางน้ำ ถนน และสิ่งปลูกสร้างที่เกี่ยวข้องกับเส้นเขตแดน ทำให้สามารถเข้าใจบริบทพื้นที่ได้อย่างครบถ้วน

3. แผนที่สเกลเล็กมาตราส่วน 1:250,000 – ใช้สำหรับแสดงภาพรวมแนวเขตแดนทั้งหมดในระดับภูมิภาค เพื่อให้เห็นความต่อเนื่องของเส้นเขตแดนและการเชื่อมโยงกับพื้นที่โดยรอบ

การกำหนดให้ต้องจัดทำแผนที่ทั้งสามระดับมาตราส่วนดังกล่าว ไม่เพียงสะท้อนถึงมาตรฐานทางเทคนิคของงานปักปันเขตแดน หากยังทำหน้าที่เป็น หลักฐานเชิงประจักษ์ ที่สามารถนำไปใช้ได้ทั้งในเวทีทางการทูตและเวทีทางกฎหมายระหว่างประเทศ เมื่อรวมเข้ากับการรับรองเอกสารโดยประธานร่วมของคณะอนุกรรมาธิการเทคนิค จึงทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีน้ำหนักและความชอบธรรมในทางสากล

ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น การจัดทำแผนที่สามระดับมาตราส่วนตามกรอบ MOU 43 และ TOR 46 ยังถือเป็น การลบล้างความสำคัญของแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่ฝรั่งเศสจัดทำขึ้นฝ่ายเดียวในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 แผนที่ดังกล่าวแม้จะไม่เคยได้รับการรับรองร่วมอย่างเป็นทางการ แต่กลับถูกนำมาใช้อ้างอิงต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) และกลายเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารในปี พ.ศ. 2505 การที่ MOU 43 และ TOR 46 กำหนดมาตรการทางเทคนิคอย่างรัดกุมด้วยการใช้แผนที่มาตราส่วนที่เป็นมาตรฐานสากลและจัดทำโดยความร่วมมือของทั้งสองฝ่าย จึงเป็นการปิดช่องว่างทางประวัติศาสตร์และป้องกันไม่ให้เกิดข้อพิพาทลักษณะเดียวกันซ้ำอีกในอนาคต
 
https://www.facebook.com/photo?fbid=25344484905154837&set=a.336349079728432
...
13 hours ago
·
MOU 2543 (MOU 2000) หรือบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ไม่ใช่การกำหนดเขตแดน แต่เป็น MOU ที่สองฝ่ายตกลงกันเกี่ยวกับขั้นตอนการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน มีเครื่องมือสำคัญ คือ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Border Committee หรือ JBC) ซึ่งขับเคลื่อนการจัดทำหลักเขตแดนทางบกผ่านเอกสารสำคัญ 3 ฉบับ คือ อนุสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1904 สนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1907 และแผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างอินโดจีนกับสยาม ตามอนุสัญญา ฉบับปี ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญา ฉบับปี ค.ศ. 1907
หลังจากการลงนาม MOU 2543 ได้มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังคงมีประเด็นที่ท้าทายอยู่หลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีปัญหาการทับซ้อนทางเขตแดน เช่น พื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหาร ซึ่งกลายเป็นกรณีพิพาทที่นำไปสู่การฟ้องร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) และในบางพื้นที่การกำหนดแนวเขตแดนตามแผนที่ในอดีตอาจไม่สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศในปัจจุบัน จึงทำให้งานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในพื้นที่เป็นไปอย่างยากลำบากและใช้เวลานาน MOU 43
═══════ ข้อ 1 ═══════
จะร่วมกันดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างราชอาณาจักรกัมพูชากับราชอาณาจักรไทยให้เป็นไปตามเอกสารต่อไปนี้
(ก) อนุสัญญาระหว่างฝรั่งเศสกับสยามแก้ไขเพิ่มเติมข้อบทแห่งสนธิสัญญาฉบับลงวันที่ 3 ตุลาคม รัตนโกสินทรศก 112 (ปี ค.ศ. 1893) ว่าด้วยดินแดนกับข้อตกลงอื่น ๆ ฉบับลงนาม ณ กรุงปารีส เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทรศก 122 (ปี 1904)
(ข) สนธิสัญญาระหว่างประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสกับสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยามฉบับลงนาม ณ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 23 มีนาคม รัตนโกสินทรศก 125 (ปี ค.ศ. 1907) กับพิธีสารว่าด้วยการปักปันเขตแดนแนบท้ายสนธิสัญญาฉบับลงวันที่ 23 มีนาคม รัตนโกสินทรศก 125 (ปี ค.ศ. 1907) และ
(ค) แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างอินโดจีนกับสยามซึ่งจัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1907 กับเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้อนุสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1907 ระหว่างฝรั่งเศสกับสยาม
═══════ ข้อ 2 ═══════
1. ให้มีคณะกรรมาธิการจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมกัมพูชา-ไทย ซึ่งต่อไปในที่นี้จะเรียกว่า “คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม” ประกอบด้วยประธานร่วม 2 คนและกรรมาธิการอื่น ๆ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลของแต่ละฝ่าย ให้ที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชาผู้รับผิดชอบกิจการชายแดนแห่งราชอาณาจักรกัมพูชากับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยเป็นประธานร่วม รัฐบาลของประเทศทั้งสองจะแจ้งการแต่งตั้งดังกล่าวต่อกันภายในหนึ่งเดือนหลังจากบันทึกความเข้าใจฉบับนี้เริ่มใช้บังคับ
2. คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมจะประชุมกันปีละครั้งในประเทศกัมพูชาและประเทศไทยสลับกัน ในกรณีที่จำเป็น คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมอาจประชุมกันสมัยพิเศษเพื่อหารือเรื่องเร่งด่วนที่อยู่ในขอบข่ายอำนาจหน้าที่
═══════ ข้อ 3 ═══════
1. ให้มีคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วม ประกอบด้วยประธานร่วม 2 คนและอนุกรรมาธิการอื่น ๆ ซึ่งจะได้รับการแต่งตั้งจากประธานกรรมาธิการเขตแดนร่วมของแต่ละฝ่าย
2. ให้คณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วมมีอำนาจหน้าที่ต่อไปนี้
(ก) พิสูจน์ทราบตำแหน่งที่แน่ชัดของหลักเขตแดน 73 หลักซึ่งจัดทำขึ้นโดยคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างอินโดจีนกับสยามเมื่อปี ค.ศ. 1909 และ ค.ศ. 1919 และรายงานผลการพิสูจน์ทราบต่อคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมเพื่อพิจารณา
(ข) จัดทำแผนแม่บทและข้อกำหนดอำนาจหน้าที่ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วม
(ค) แต่งตั้งชุดสำรวจร่วมเพื่อปฏิบัติงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนตามที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม
(ง) เสนอรายงานหรือข้อเสนอแนะต่าง ๆ เกี่ยวกับงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนต่อคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม
(จ) จัดทำแผนที่แสดงเส้นเขตแดนทางบกที่ได้สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกแล้ว
(ฉ) แต่งตั้งผู้แทนผู้ได้รับมอบอำนาจ ในกรณีที่จำเป็น เพื่อควบคุมดูแลงานสนามแทนประธานอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วม และ
(ช) แต่งตั้งคณะทำงานทางเทคนิคใด ๆ เพื่อช่วยงานเฉพาะรายใด ๆ ที่อยู่ในขอบข่ายอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วม
3. ในการปฏิบัติงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในพื้นที่ใด ๆ ชุดสำรวจร่วมจะได้รับการยืนยันความปลอดภัยจากกับระเบิดเสียก่อน
═══════ ข้อ 4 ═══════
1. เพื่อความมุ่งประสงค์ของงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน ให้แบ่งแดนทางบกร่วมกันตลอดแนวออกเป็นหลายตอนตามที่คณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วมจะได้ตกลงกัน
2. เมื่อดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนแล้วเสร็จแต่ละตอน ให้ประธานกรรมาธิการเขตแดนร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ และแผนที่ที่จะแนบบันทึกความเข้าใจดังกล่าวซึ่งแสดงตอนที่ได้ดำเนินการแล้วเสร็จไว้
═══════ ข้อ 5 ═══════
เพื่ออำนวยความสะดวกให้การสำรวจตลอดแนวเขตแดนทางบกร่วมกันเป็นไปอย่างประสิทธิผล หน่วยงานของรัฐบาลกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานเหล่านั้นจะงดเว้นการดำเนินการใด ๆ ที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน เว้นแต่จะเป็นการดำเนินการของคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วมเพื่อประโยชน์ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน
═══════ ข้อ 6 ═══════
1. รัฐบาลแต่ละฝ่ายจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของฝ่ายตนในการปฏิบัติงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน
2. รัฐบาลทั้งสองจะรับผิดชอบค่าวัสดุสำหรับหลักเขตแดนหรือหมุดหมายพยานกับการจัดทำและผลิตแผนที่แสดงเส้นเขตแดนทางบกที่ได้สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกแล้วอย่างเท่าเทียมกัน
═══════ ข้อ 7 ═══════
1. รัฐบาลของประเทศทั้งสองจะเตรียมการที่จำเป็นเกี่ยวกับการเข้าเมือง การกักกันโรคติดต่อ และพิธีการศุลกากรเพื่ออำนวยความสะดวกแก่การปฏิบัติงานสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน
2. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุปกรณ์ วัสดุ และเสบียงในปริมาณที่สมควรและสำหรับชุดสำรวจร่วมใช้เฉพาะในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก แม้ว่าได้นำข้ามแดน จะไม่ถือเป็นการส่งออกจากประเทศหนึ่งหรือนำเข้าอีกประเทศหนึ่ง และจะไม่ต้องชำระอากรศุลกากรหรือภาษีอื่น ๆ เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกหรือนำเข้าซึ่งสินค้า
═══════ ข้อ 8 ═══════
ให้ระงับข้อพิพาทใด ๆ ที่เกิดจากการตีความหรือการบังคับใช้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้โดยสันติวิธีด้วยการปรึกษาหารือและการเจรจา
═══════ ข้อ 9 ═══════
บันทึกความเข้าใจฉบับนี้จะเริ่มใช้บังคับในวันลงนามบันทึกความเข้าใจโดยผู้แทนผู้ได้รับมอบอำนาจโดยถูกต้องของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย
เพื่อเป็นพยานแก่การนี้ ผู้ลงนามข้างท้ายนี้ซึ่งได้รับมอบอำนาจโดยถูกต้องเพื่อการนี้ จากรัฐบาลของแต่ละฝ่ายได้ลงนามบันทึกความเข้าใจนี้ไว้เป็นสำคัญ
ทำขึ้นเป็นคู่ฉบับ ณ กรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2543 เป็นภาษาเขมร ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ตัวบททุกฉบับใช้เป็นหลักฐานได้เท่าเทียมกัน ในกรณีที่มีการตีความแตกต่างกันระหว่างตัวบทใด ๆ ให้ใช้ตัวบทฉบับภาษาอังกฤษ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากระบวนการปักปันเขตแดนจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ MOU 2543 ยังคงเป็นกรอบความร่วมมือที่สำคัญและเป็นพื้นฐานในการเจรจาเรื่องเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา การดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ไม่เพียงแต่ช่วยแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเรื่องเขตแดน แต่ยังช่วยสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้านในระยะยาวอีกด้วย

https://www.facebook.com/bundit.sripa/posts/25347477261522268?ref=embed_post
.....

Atukkit Sawangsuk 
Yesterday
·
MOU 43 คือข้อตกลงว่าจะเจรจาปักหลักเขตตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ซึ่งยึดสันปันน้ำเป็นเส้นเขตแดน
โดยผูกมัดให้เจรจากัน2ฝ่ายเท่านั้น
ไม่เอา UN องค์กรระหว่างประเทศเข้ามาเป็นคนกลาง
:
ยกเลิก MOU 43 ไม่ใช่ยกเลิกสนธิสัญญา
แต่พวกคลั่งชาติคิดว่า ยกเลิก MOU 43
จะทำให้ไทยสามารถใช้กำลังทหารที่เหนือกว่า ความเป็นประเทศที่ใหญ่กว่า เขมรมันด้อยกว่า
เบ่งก้ามขีดเส้น “แผ่นดินกู” ตามใจชอบ
ตาเมือนธมก็ของกู ตาควายก็ของกู ภูมะเขือก็ของกู
:
MOU44 เป็นข้อตกลงเพื่อเจรจาเรื่องเส้นเขตแดนทางทะเล และเขตไหล่ทวีป ซึ่งเป็นคนละเส้นกัน
มีขึ้นเพื่อควบคุมการที่กัมพูชาขีดเส้นไหล่ทวีป มาคร่อมเกาะกูดตั้งแต่ 50 กว่าปีก่อน
เส้นเขตแดน ตามสนธิสัญญา ยืนยันเกาะกูดเป็นของไทย จะมีหรือไม่มี MOU เส้นเขตแดนก็อยู่ตามนั้น + 12 ไมล์ทะเลจากชายฝั่ง เป็นของไทย ใครล่วงล้ำยิงได้ทันที
แต่เส้นไหล่ทวีป ซึ่งขีดทับกัน คือการอ้างสิทธิในทรัพยากรก๊าซธรรมชาติใต้ทะเล (โดยข้างบนยังเป็นของไทย)
ซึ่งมีช่องตามกฎหมายให้กัมพูชาอ้างได้กว้าง แต่เข้ามาทำจริงไม่ได้ แค่ประกาศสิทธิขวางไม่ให้เกิดการสำรวจผลิต บริษัทข้ามชาติเข้ามาขุดก็อาจโดนฟ้อง
ยกเลิก MOU44 ปัญหานี้ก็ยังอยู่
ไม่ใช่จะอ้างว่ากองทัพเรือไทยใหญ่โตเหนือกว่า ยกเลิกข้อตกลงแล้วขีดเส้นของเราได้ตามอำเภอใจ
:
การจะทำประชามติคือการหาประชานิยมแบบงี่เง่า บนความคลั่งชาติไม่ลืมหูลืมตา




⭕จดหมายจาก “เก็ท” โสภณ: ผ่าน 2 ปี ในเรือนจำ ขอบคุณเหล่าผู้ร่วมทาง-ตั้งคำถามมาตรฐานความรักชาติของชนชั้นนำ


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
10 hours ago
·
จดหมายจาก “เก็ท” โสภณ: ผ่าน 2 ปี ในเรือนจำ ขอบคุณเหล่าผู้ร่วมทาง-ตั้งคำถามมาตรฐานความรักชาติของชนชั้นนำ

วันที่ 26 ก.ย. 2568 ทนายความเข้าเยี่ยม “เก็ท” โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง นักกิจกรรมกลุ่มโมกหลวงริมน้ำ วัย 26 ปี และผู้ต้องขังในคดีมาตรา 112 ที่ถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาเป็นเวลา 769 วัน หรือ 2 ปี กับ 1 เดือน 8 วันแล้ว
.
ในโอกาสครบ 2 ปีกว่า ๆ ที่อยู่ในเรือนจำ เก็ทเขียนจดหมาย 2 ฉบับส่งออกมาถึงคนข้างนอก ฉบับแรกเก็ทพูดถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การเรียนรู้คุณค่าของการใช้ชีวิตอย่างใจเย็น พูดคุยอภิปรายกัน และที่สำคัญคือการขอบคุณทุกคนที่อยู่เคียงข้างมาตลอด ทั้งครอบครัว คนรัก เพื่อนพ้อง ทีมทนาย และประชาชนที่จับมือเดินต่อสู้ไปด้วยกัน
.
ส่วนฉบับที่ 2 เก็ทพาย้อนกลับไปมองประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อความยุติธรรมของคนไทย ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงยุคปัจจุบัน ผ่านกรณีศึกษาของบุคคลต่าง ๆ ที่แสดงความห่วงใยต่อบ้านเมือง แต่กลับถูกลงโทษ ทำให้เขาตั้งคำถามว่า “เหตุใดชนชั้นนำถึงผูกขาดมาตรฐานความดี คุณธรรม มาตรฐานความรักชาติไว้ที่ตนผู้เดียว”
ในภาพรวมจดหมายทั้งสองฉบับ เก็ทสะท้อนถึงการยังคงยึดมั่นในหลักการและเหตุผล พร้อมทั้งเชื่อมโยงการต่อสู้ในปัจจุบันเข้ากับประวัติศาสตร์อันยาวนานของสังคมไทย เพื่อย้ำเตือนว่าการเรียกร้องความยุติธรรมและประชาธิปไตยนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นสำนึกที่มีมาแต่โบราณ
__________________________________________

จดหมายฉบับที่ 1
.
มีเรื่องราวมากมายที่ไม่เคยเล่าให้ฟัง และอยากเล่าให้ฟังเพราะอยู่ในนี้ผมได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ได้พบเสน่ห์ของการค่อย ๆ ใช้ชีวิตนั่งอย่างใจเย็นพูดคุยอภิปรายกัน ผมหวังว่าในอนาคตอันใกล้เราจะได้ใจเย็นและนั่งคุยกัน ผมว่าคนข้างนอกก็มีเรื่องราวมากมายจะเล่าให้ผมฟังนั่นแหละ วันนี้แม้สังคมไทยจะยังไม่เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ แต่ความตื่นรู้ก็แพร่กระจายกันมาก ทุกวันผู้คนพูดคุยกันด้วยเหตุผลมากกว่าการใช้ศรัทธาและความเชื่อ เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าผู้คนที่เริ่มนับหนึ่งต่อสู้กรุยทางมาให้คนรุ่นหลัง ในห้วงขณะที่การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยกำลังดำเนินไป ผมยังคงระลึกถึงบรรพชนที่สู้มาก่อนอยู่เสมอ
.
ในรอบสองปีนี้ที่ผมอยู่ในเรือนจำ ผมอยากจะเล่าสู่กันฟังถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้น นับวันผมยิ่งรู้สึกว่าตัวเองโชคดี โชคดีที่ในการต่อสู้และการใช้ชีวิตหลายอย่างมันเอื้ออำนวย ทั้งจังหวะเวลาและปัจจัยรอบข้าง จดหมายฉบับนี้จึงอยากเขียนมาขอบคุณ ขอบคุณมาก ๆ ขอบคุณทุกทุกคนที่อยู่เคียงข้างกันมา ขอบคุณผู้คนที่ต่อสู้กันมา ขอบคุณผู้คนที่ต่อสู้ก่อนหน้า แม้เผชิญต่ออุปสรรค ผมก็ยังมีคนรักคอยซัพพอร์ตคอยสนับสนุนคอยให้คำปรึกษา
.
ในด้านครอบครัวถ้าหากเกิดเหตุฉุกเฉินก็ต้องพึ่งแม่ แม่จะรีบมาหาทันที ถ้าต้องติดต่อเรื่องที่มีรายละเอียดก็ต้องพึ่งพ่อ ด้านคนรักและเพื่อนพ้องก็มีคนที่คอยฝากผีฝากไข้ไว้ได้เสมอ ด้านการต่อสู้คดีที่มีศูนย์ทนายฯ ซึ่งทีมทนายก็แอคทีฟมาก มีพี่ทนายบางคนถึงจะชอบเรียกตัวเองว่าทนายปลอม แต่จริง ๆ เป็นทนายสายวิ่งเลย วิ่งรถมาหาลูกความ
.
การต่อสู้เพื่อสังคมก็ต้องประกอบร่างรวมด้วยมวลชนจำนวนมาก ซึ่งผมก็รู้สึกโชคดีในจุดนี้อีก ที่มีเพื่อนพ้องและประชาชนจับมือเดินก้าวไปด้วยกัน หลายครั้งที่ไปศาลก็มีบ้างที่หน้าที่กันไม่ให้เราพบเจอพูดคุยกัน แต่ก็มีมิตรสหายลุงป้าน้าอา มาหากันเพียงเพื่อพบกันไม่กี่นาที เพื่อเติมเต็มกำลังใจให้กัน จดหมายที่คนข้างนอกส่งมาให้ แม้ส่งมาถึงผมยากเย็นเหลือเกิน แต่พอได้อ่านก็รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาทุกครั้ง ขอบคุณมาก ๆ เลยครับ
.
ในอีกด้านหนึ่งถึงผมจะรู้สึกโชคดี แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองยังดีไม่พอ ทุกวันนี้ก็ยังหมั่นศึกษาพัฒนาตัวเองอยู่เรื่อย ๆ เพื่อให้ได้ใช้ความสามารถไปเคลื่อนไหวต่อได้อย่างแหลมคม อยากย้ำกับเพื่อนเพื่อนว่าสิ่งที่เราต่อสู้กันมานั้น มันอยู่บนหลักการของเหตุผล ไม่มีความจำเป็นต้องกลัวอะไร ขอให้ยึดมั่นในอุดมการณ์และสิ่งที่เราสู้ร่วมกันมา ลุยต่อไปด้วยกันนะครับ
.
โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง
เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

—--------------------------------------

.
จดหมายฉบับที่ 2

“แม้เจตนาเดียวกัน แต่ถ้านายทำ นายจะเป็นคนดี เป็นชาวบ้านทำชาวบ้าน จะกลายเป็นพวกขบถ”
.
ความรักเพื่อนร่วมสังคม รักบ้านเกิด เกลียดการถูกเอารัดเอาเปรียบ ต้องการความยุติธรรม เป็นสำนึกที่มีในผู้คนมาแต่โบราณโดยไม่แบ่งชนชั้น วรรณะ เจ้านายก็มี สามัญชนก็มี โดยมีกรณีศึกษามาแต่อดีต
.
ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการปฏิรูปบ้านเมืองในหลายด้าน เจ้านายและข้าราชการกลุ่มนึงกราบบังคมทูล “ความเห็นการเปลี่ยนแปลงราชการแผ่นดิน รศ.103” ให้การปกครองแบบ constitution monarchy ซึ่งขณะที่กราบบังคมทูลก็ไม่ถูกลงโทษแต่อย่างใด
.
ผิดกับกรณี นายทิม สุขยางค์ ที่ถูกโบย 50 ที จำคุก 8 เดือน เหตุจากการเขียนนิราศหนองคาย ซึ่งนิราศดังกล่าวก็ถูกสั่งเผาและห้ามจำหน่ายปรากฏใน “ประกาศเรื่องอ้ายทิมเขียนนิราศ” ซึ่งเขียนโดยปลายพระหัตถ์ของรัชกาลที่ 5 เอง นิราศหนองคายเล่าถึงเรื่องการเดินทางไปปราบฮ้อว่า การที่เป็นทหารชั้นผู้น้อยนั้นเหนื่อยล้า อยากกลับบ้าน แต่เพราะเป็นผู้น้อยก็ต้องทำตามคำสั่งนาย ระหว่างทางก็อยากเห็นข้าราชการฉ้อราษฎร์บังหลวง บางคนไม่อยากไปรบก็จ้างคนไปรบแทน พอไปถึงที่หมาย นายสั่งให้ไปปราบฮ้อ ก็ไม่สามารถระบุได้ว่าฮ้อที่ไปปราบนั้นคือใคร
.
ในสมัยรัชกาลที่ 6 พระองค์ทรงนำแนวคิดค่านิยมมาจากตะวันตกเข้ามา ทหารจำนวนหนึ่งที่รักชาติไม่เห็นด้วยกับขนบที่ไร้อารยะอย่างการเฆี่ยนตี ประจาน รับไม่ได้กับพวกเจ้านายใช้อำนาจอย่างประมาณ เอาเปรียบชาวบ้าน นายทหารเหล่านั้นจึงรวมกันในนามของคณะ รศ.103 เพื่อเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองให้เป็นระบอบประชาธิปไตย แต่กลับถูกจำคุก คำพิพากษาศาลมีโทษจำคุก 20 ปี 20 คน และจำคุกหัวหน้าคณะ 3 คนตลอดชีวิต
.
ในสมัยรัชกาลที่ 6 เช่นกัน มหาอำมาตย์เอกพระยาสุริยานุวัฒน์ (เกิด บุนนาค) ได้เขียนตำราสรรพศาสตร์ ซึ่งเป็นตำราเศรษฐศาสตร์ขึ้น โดยหวังให้ประเทศชาติพัฒนาทางเศรษฐกิจ ผู้เขียนนำแนวคิดมาจากตะวันตกมานำเสนอและปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย แต่ในหลวงรัชกาลที่ 6 กลับทรงเขียนวิจารณ์ลงในวรสารสมุทรสาร ของราชนาวีสมาคม ใจความว่า พระองค์เกรงว่าสรรพศาสตร์ จะทำให้คนไทยแตกแยกแบ่งชนชั้น คนที่ตามมาคือ หนังสือสรรพศาสตร์ก็ถูกห้ามเผยแพร่
.
ต่อมาในรัชกาลที่ 7 รัฐบาลได้ออกกฏหมายห้ามสอนลัทธิเศรษฐกิจโดยถือเป็นความผิดอาญา อย่างไรก็ตามในหลวงรัชกาลที่ 9 คงมีพระราชดำริที่ต่างออกไป และนำเสนอแนวคิด “เศรษฐกิจพอเพียง” แปลกนักที่หากสำนึกที่ดีต่อบ้านเมืองนี้ ถูกแสดงออกมาผ่านผู้ครองอำนาจนำ
.
ทุกวันนี้ก็ยังมีความคล้ายคลึงกับอดีต ยังดีที่สิทธิเสรีภาพและสำนึกตื่นรู้ของผู้คนเกิดขึ้นมากขึ้น เหตุใดชนชั้นนำถึงผูกขาดมาตรฐานความดี คุณธรรม มาตรฐานความรักชาติไว้ที่ตนผู้เดียว?
.
โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง
เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

อ่านเนื้อหาบนเว็บไซต์https://tlhr2014.com/archives/78880


https://www.facebook.com/photo/?fbid=1206075641362904&set=a.656922399611567