วันอังคาร, เมษายน 30, 2567

ผู้ว่าแบ๊งชาติยังคอแข็ง “แรงกดดันทางการเมือง จะไม่มีผลต่อการตัดสินใจ” ไม่ลดดอกเบี้ยนโยบาย ‘คุณไหม’ ช่วยอธิบาย

เอ้า เศรษฐา ไม่ควบคลังแล้วแบ๊งค์ชาติยังคอแข็งอยู่อีกหรือ เมื่อวาน (๒๙ เมษา) เศรษฐพุฒิ (สุทธิวาทนฤพุฒิ) ยืนกราน “แรงกดดันทางการเมือง จะไม่มีผลต่อการตัดสินใจ” นี่ขนาดอัดฉีดเพื่อไทยเข้าไปใน ธปท.ด้วยรัฐมนตรีตั้งสี่คนแล้วนะ

คุณไหม(อีกแล้ว) บอกว่ากระทรวงคลังมีแค่ ๘ กรม ใช้รัฐมนตรีสี่คน ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ สรยุทธ ย้อนว่า อ้ะ ก็เขาให้ความสำคัญมากไง “ใช่ค่ะ” ศิริกัญญา ตันสกุล บอกต้องรอดูว่าเขาจัดแบ่งงานกันอย่างไร และพิมพ์เขียวงานเป็นเช่นใดก่อน

ขณะผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยให้สัมภาษณ์โทรทัศน์นอก รายการ Street Signs Asia ของ CNBC ที่ ThaiPublica เอามาผายเรื่องอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง ก็จะยังจะตัดสินใจ “อย่างเป็นอิสระ” ต่อไป แม้จะมีเสียงเรียกร้องให้ปรับลด

“ผมคิดว่ากรอบธรรมาภิบาล (governance framework) นั้นค่อนข้างชัดเจนการตัดสินใจที่เกิดขึ้นบ่งชี้ว่าอยู่บนพื้นฐานของ (สิ่งที่เรา) รู้สึกว่าเหมาะสมที่สุดสำหรับเศรษฐกิจ” ฉะนี้แม้เดือนเมษายนนี้เอง แบ๊งค์ชาติก็ยังนิ่งไม่เต้นตามนายกฯ

ในรายการกรรมกรข่าว คุณไหมถูกถามว่ายังจะเห็นด้วยหรือกับจุดยืนของ ธปท. ศิริกัญญาอธิบายว่าการลดดอกเบี้ยนโยบายจะมีผลกระทบกว้าง ต้องดูส่วนอื่นๆ ให้ถ้วนทั่วด้วย ถ้าอ้างว่าต้องทำเพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ตอนนี้ก็เห็นว่าเริ่มทำ

ที่ไปคุยกับสมาคมธนาคารไทย แล้วเขาลดอัตราลง ๐.๒๕ ก็ได้แล้ว “โดยไม่ต้องไปลดดอกเบี้ยนโยบาย” เพราะถ้าธนาคารชาติจะลดอย่างที่ถูกกดดัน ก็ลดได้สลึงเดียวเช่นกัน จะไม่ช่วยอะไรเท่าไร แต่ผลกระทบรอบด้านน่าห่วงมากกว่า

“เห็นด้วยกับผู้ว่าฯ ตรงที่ว่าลดดอกเบี้ยนโยบายครั้งหนึ่งเนี่ย มันมี side effects (ผลกระทบ) เยอะ ให้มองด้วย ไหนจะเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ค่าเงินที่จะต้องเปลี่ยนแปลง...ซึ่งมันมีผลกระทบ อาจจะทำให้มีการกู้เพิ่มหนี้ครัวเรือนขึ้นมาอีก”

“ในความเป็นจริง (ที่ธนาคารลดได้เพราะ) ยังมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินไปในหลาย segments (ภาคส่วน) อยู่ แต่ไม่มีใครเข้าไปกำกับดูแล อันนี้ถ้าจะด่าแบ๊งค์ชาติต้องด่าเรื่องนี้” แต่รัฐบาลก็ไม่ได้คิดถึง “ถ้าจะบี้ (แบ๊งค์ชาติ) ก็ควรจะกำกับในเรื่องนี้”

(https://www.youtube.com/watch?v=mlRiHTehldg และ https://thaipublica.org/.../thai-central-bank-governor.../) 

ไอ้การที่เรา รัฐ รัฐบาล เรา-ผู้บริโภค พลเมืองทั้งหลาย ปล่อยให้บรรษัทขนาดยักษ์อย่างซีพีเป็นต้นเนี่ย ผูกขาดชีวิต อาหารการกิน จนเรารู้สึกสิ้นคิด สิ้นหนทางจะไปหาทางเลือกให้ตนเอง นี่มันเป็นความผิดปกติอย่างยิ่ง


Kingkorn Narintarakul
16h 
·
มีเหตุการณ์ให้นึกตั้งคำถามตัวเองทั้งในฐานะคนชอบกินดี อยากกินให้ได้ดี และในฐานะแคมเปนเน่อกินเปลี่ยนโลก ว่าไอ้การเลือกกินจากผู้ผลิตเกษตรกรรายย่อยที่ตั้งใจผลิตอาหารคุณภาพ ปลอดภัย เลือกสนับสนุนผู้ประกอบการที่ตั้งใจผลิตตั้งใจขายผลิตภัณฑ์รับผิดชอบคนซื้อคนกิน (นี่เขียนไปก็เห็นหน้าคนไม่น้อยนะ) เลือกกินจากการผลิตที่ไม่ใช้สารเคมี ไม่ทำร้ายทำลายสิ่งแวดล้อมและผู้คน
มันกลายเป็นพริวิลลิชไปยังไง แล้วมันพริวิลลิชจริงหรือเปล่า
ไอ้การที่เรา รัฐ รัฐบาล เรา ผู้บริโภค พลเมืองทั้งหลายอันประกอบเป็นสังคมไทย ปล่อยให้บรรษัทขนาดยักษ์อย่างซีพีเป็นต้นเนี่ย ผูกขาดชีวิต อาหารการกิน จนเรารู้สึกสิ้นคิด สิ้นหนทางจะไปหาทางเลือกให้ตนเอง นี่มันเป็นความผิดปกติอย่างยิ่ง เป็นสิ่งที่ต้องช่วยกันหาทางเปลี่ยนแปลงในทุกระดับทั้งปัจเจก ชุมชน โครงสร้างสังคม และรัฐ ไม่ใช่ไปกดให้คนจำนนกับการปิดล้อมของบรรษัท ที่ทำการผลิตแบบล้างผลาญทรัพยากร ผลักต้นทุนสังคม สิ่งแวดล้อม มาให้เราทุกคน เราจ่ายแพงไปแบบไม่ได้ตั้งตัวกันเท่าไร
เราได้เปลี่ยนแปลงระบบเกษตรและอาหารไปจนถึงจุดคนรายได้น้อย และคนทั่วไปจำนวนมากต้องพึ่งพาอาหารด้อยคุณภาพ ไม่ปลอดภัย ราคาถูก เฉพาะอย่างยิ่งในเมืองใหญ่ แต่เอาเข้าจริง ถ้าไปส่องตลาดสด รถเร่ ก็ยังมีข้าวของหลากหลายให้เลือกสรร ยิ่งถ้าไปเดินตลาดต่างจังหวัด หรือแม้กระทั่งชานเมืองกทม. เรายังพอหาผักหญ้าปลูกกินเก็บหาตามฤดูกาลมากินได้ คนที่ยังทำเกษตร ยังใช้ที่ดิน และแบ่งกำลังมาผลิตมาเก็บหาของกินเองก็ยังมีไก่ มีปลาธรรมชาติไว้กินเอง แบ่งญาติพี่น้อง หรือมาขายในตลาดใกล้บ้าน
นี่คือความปกติที่มันควรจะเป็น ควรรักษา ควรรื้อฟื้น
เราว่าที่เราเปลี่ยนไปอย่างสำคัญคือ คือ ความรู้ ความรู้เรื่องการเลือก การกิน การหากินตามฤดูกาล การกินหลากหลาย รู้ว่าอะไรกินได้ กินดี กินเมื่อไรนี่มันหายไปเกือบหมด
แต่ยังไม่สายเกินไปนะคับ เรายังรื้อฟื้นความรู้เหล่านี้กลับมาได้ ด้วยสำนึกที่ต้องไม่จำนน เชื่อว่ายังมีทางเลือก ทางออกจากวงล้อมของบรรษัทที่ทำลายทางเลือก ทำลายอาชีพคนเล็กคนน้อยไปทุกวัน แล้วยังมีน้ำหน้ามาบอกเราว่าเขาเป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่
กินเปลี่ยนโลก เชื่อในปฏิบัติการของคนเล็กคนน้อย เราเรียนรู้ เราเลือก เราร่วมกับเกษตรกรรายย่อย ผู้ผลิตผู้ประกอบการรายย่อย สร้างทางเลือกการกินที่ดีต่อคนปลูก คนขาย คนกิน ดีต่อสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ รักษาโลกให้ยังเป็นที่อยู่ของมนุษย์ได้
และเราก็คิดด้วยว่า เราต้องเปลี่ยนที่โครงสร้าง เปลี่ยนที่รัฐ ที่สังคมด้วย คนจำนวนมากจะต้องช่วยกันผลักกันดัน ให้รัฐส่งเสริมอะไรก็ตามที่มันเอื้อต่อการเปลี่ยนการผลิต อย่างมีคุณภาพของเกษตรกรรายย่อย สร้างระบบอาหารที่รวมถึงการผลิต การกระจาย การบริโภค ด้วยความรู้ เกิดความเป็นธรรมต่อทุกคน ทั้งนี้การเพิ่มสัดส่วนผู้ผลิตรายย่อย ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจถึงอาหารที่ดี นอกจากจะไม่ใช่เรื่องของผู้มีอันจะกินเท่านั้น แต่มันจะช่วยสร้างแรงทางสังคมให้การมีอยู่ของอาหารที่กินแล้วไม่ป่วยไวตายด่วนโลกละลายมีเพิ่มมากขึ้น เกิดประหยัดต่อขนาด และเข้าถึงโดยคนวงกว้างขึ้น เรื่องนี้คุยได้ยาวคับ ค่อยมาคุยกันต่อ
เราต้องเอาความปกติของการกินกลับคืนมาในที่สุดคับ
ปล.ภาพปลากอบเกี่ยวตรงที่เจ้าฮะอยากกินแกงเทโพปลาสลาดเค็มน้อย

(https://www.facebook.com/photo/?fbid=10161761230529579&set=a.424017099578)


ทุกคนควรเข้าถึงอาหารดี และอาหารดีเข้าถึงได้ด้วยความรู้


Kaewta Tam In
Yesterday·

ทุกคนควรเข้าถึงอาหารดี และอาหารดีเข้าถึงได้ด้วยความรู้
….
การเข้าถึงอาหารที่ดีไม่จำเป็นต้องใช้เงินอย่างเดียว ใช้ความรู้ก็ได้ เราเองก็เป็นคนที่ไม่ได้ร่ำรวยจากการทำงานพัฒนาฯ แต่การทำงานเรื่องรณรงค์เรื่องอาหารการกินก็ทำให้เราเข้าใจว่าจะเลือกวัตถุดิบที่ดีได้ที่ไหน ปรุงดีๆ เพื่อจะได้กินอาหารที่ดีได้อย่างไร
ด้วยเหตุผลส่วนตัวเราเองไม่ได้สั่งหมูอินทรีย์ ไก่อินทรีย์ ผักอินทรีย์จากผู้ผลิตอินทรีย์มีการันตีมากักตุน แต่เราเลือกซื้อของพื้นบ้านจากตลาดสด ไก่บ้านจากแผงในตลาดที่รวบรวมไก่จากผู้เลี้ยงตามบ้านให้ไก่หากินเอง ร่วมกันการให้อาหารธัญพืช หรืออาจมีหัวอาหารร่วมในบางส่วน เราเลือกซื้อปลาแม่น้ำที่หลากหลายที่มีขายตลอดเพราะบ้านเราอยู่ใกล้แม่น้ำ ปลาเหล่านี้สดและราคาลดหลั่นตามแต่ความนิยมของชนิดปลา เรากินผักที่แปลกๆ อย่างผักอีซึก ผักอีหล่ำ ผักอีกไร ผักอีนูน ฯลฯ ที่มาตามฤดู นั่นทำให้เรากินหลากหลาย เราไม่ได้ไม่กินกะหล่ำปลี ผักกาดขาว ฯลฯ เรากินทุกอย่างที่อยากกิน บังเอิญว่าเราไม่ได้อยากกินของซ้ำๆ โดยเฉพาะของที่ผลิตแบบเชิงเดี่ยวซึ่งเสี่ยงต่อการตกค้างของสารเคมีเกษตรหลายจำพวก ผักหลายอย่างเราปลูกเอง เช่น ผักหอมต่างๆ สมุนไพรผักสวนครัว อย่างพริก ที่มีการใช้สารเคมีเยอะ แต่เราปลูกเองจนเหลือกิน และเราทำกับข้าวเองปรุงรสน้อย …
สำหรับการเลือกชีวิตที่มีเวลาเพื่อจัดการอาหาร เราไม่ได้รับเวลานี้เป็นพิเศษมาจากใคร เราจ่ายต้นทุนค่าเวลาของเราเองด้วยความสนใจเรื่องอาหารเพราะเห็นว่าเป็นปัจจัยสำคัญของชีวิต และแลกเวลาของเรากับรายได้ที่น้อยลงและไม่สม่ำเสมอ และที่เราอยู่ได้..เพราะจริงๆ แล้วอาหารที่ดีไม่ได้ราคาแพงเสมอไปหรือเข้าถึงด้วยเงินเพียงอย่างเดียว เราจึงไม่จำเป็นต้องขายวิญญาณเพื่อเอามาซื้อความพรีวิเลจทางอาหารใดๆ
รัฐไทยไม่ได้มีวิสัยทัศน์ด้านการส่งเสริมการบริโภคในแนวทางที่เราเชื่อ ประชาชนจึงเห็นว่าอาหารที่ผลิตแบบอุตสาหกรรม เชิงเดี่ยว เป็นของมีคุณภาพ แต่สิ่งของที่ผลิตจำนวนมาก เพื่อให้ได้ปริมาณมากและต้นทุนต่ำ ทำกำไรสูง ล้วนซ่อนต้นทุนที่มองไม่เห็นเอาไว้และโดยมากผู้บริโภคเป็นคนแบกรับต้นทุนนั้น ไม่ว่าจะทางตรงคือคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่สะท้อนออกมาทางสุขภาพ หรือทางอ้อมคือปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ทุกคนต้องดมฝุ่นเพื่อแลกกับไก่ราคาถูก ยังไม่นับรวมปัญหาต่างๆ อันเนื่องมาจากการผูกขาดตลาดอาหาร
ทุกวันนี้หันหน้าไปทางไหนก็ไม่พ้นผลิตภัณฑ์อาหารของผู้ประกอบการรายเดียว เราไม่ควรรู้สึกปกติ แม้ว่าเราเป็นคนหนึ่งที่เลือกซื้อในบางครั้ง แต่เราไม่จำเป็นต้องซาบซึ้งอะไรใดๆ และไม่รู้สึกจำนนว่าถ้าไม่มีเขาเราจะไม่มีอะไรกิน
แต่ในทางกลับกันสิทธิ์ในการวิพากษ์วิจารณ์ทุนและรัฐเพื่อปกป้องผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชนต่างหากจึงเป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องหัดคิด วิเคราะห์ แยกแยะ ให้เห็นแก่น
ถ้าจะแถว่าการมีความรู้ก็เป็นโอกาสที่เกินหน้าเกินตาคนจนๆ (คนจนไม่ใช่คนอื่นกูนี่แหละค่ะ) ควรโยนขี้นี้ให้กับรัฐและกระทรวงศึกษาที่ไม่เคยพัฒนาโอกาสและคุณภาพการศึกษาของคนไทยเลย หรือกลัวคนไทยจะฉลาดและรู้จักเลือกกินของดี แล้วจะมีคนเสียลูกค้า... แบบนี้ใครกันแน่ที่กดคนไทยไว้เพื่อหากินกับความโง่จนเจ็บ

(https://www.facebook.com/photo/?fbid=25700144109569904&set=a.7659758514035073)


บริษัทต่างๆ ทั่วโลกทดลองใช้มาตรการ “ทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์” พบว่า พนักงานมีความสุขมากขึ้น อัตราการลาออกลดลง และประสิทธิภาพในการทำงานก็เพิ่มสูงขึ้น


The Opener
3 days ago
·
ทำงาน ‘4 วันต่อสัปดาห์’ ดีต่อใจ พนักงานประสิทธิภาพดีขึ้น
:
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้คนเริ่มพูดถึงการทำงาน ‘4 วันต่อสัปดาห์’ ที่อาจจะส่งผลดีต่อคนทำงานมากกว่าการทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์ เพราะมองว่าแนวคิดนี้ อาจจะส่งผลดีต่อองค์กรมากกว่าผลเสีย หลายบริษัททั่วโลกจึงทดลองใช้มาตรการ ‘ทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์’ และสิ่งที่พบคือ พนักงานมีความสุขมากขึ้น อัตราการลาออกลดลง ขณะที่ประสิทธิภาพการทำงานก็เพิ่มสูงขึ้น
:
ข้อมูลล่าสุดจากการทดลองในสหราชอาณาจักร ชี้ว่าในปี 2022 มีบริษัททั้งหมด 61 แห่งที่เปลี่ยนเวลาการทำงาน โดยให้พนักงานทำงานสัปดาห์ละ 4 วัน โดยที่ไม่มีการปรับลดค่าจ้าง โดยเริ่มต้นทดลองเป็นเวลา 6 เดือน และเมื่อเวลาล่วงเลยมาจนถึงปัจจุบัน มีบริษัท 54 แห่งที่ยังคงนโยบายดังกล่าวไว้ โดยนักวิจัยจาก Think Tank Autonomy ชี้ว่า จากการทดลองที่ผ่านมา บริษัทมากกว่าครึ่งหนึ่งประกาศให้พนักงานทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์อย่างถาวร
:
จูเลียต ชอร์ นักสังคมวิทยา จากวิทยาลัยบอสตัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทีมวิจัย กล่าวว่า การปรับลดเวลาทำงานส่งผลต่อดีสุขภาพกายและสุขภาพจิตของพนักงาน เช่นเดียวกับความสมดุลในชีวิตและการทำงาน ความพึงพอใจในชีวิต รวมถึงลดความเหนื่อยหน่ายลง โดยความพึงพอใจในงานของพนักงานมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นจากตอนก่อนจะมีการปรับลดเวลาทำงาน
:
อ่านเนื้อหาทั้งหมด https://tinyurl.com/2946dyp2
...........................
#TheOpener #การทำงาน #วันทำงาน #พนักงาน #ธุรกิจ #บริษัท #สำนักงาน #วันหยุด #มนุษย์เงินเดือน #พนักงานออฟฟิศ #ค่าจ้าง #การจ้างงาน #นายจ้าง #ลูกจ้าง #สมดุลชีวิตและงาน #worklifebalance #ความสุข


กรุงเทพ มีอภิมหาเศรษฐี หมื่นล้าน มากที่สุดเป็นลำดับที่ 11 ในบรรดาเมืองใหญ่ของโลก


Visual Capitalist
April 26 ·

Charted: Which City Has the Most Billionaires in 2024?

Want more content like this with daily insights from the world’s top creators? ⁠See it first on Voronoi.

(https://posts.voronoiapp.com/.../Top-Billionaire-Cities...)


.....
Thanapat Gohankung
Bangkok has the richest king in the world, while had the highest level of income-based inequality in EAP, and it ranked as the 13th most unequal of the 63 countries.

(https://www.worldbank.org/en/country/thailand/publication/bridging-the-gap-inequality-and-jobs-in-thailand)


ไมรู้ CP เค้ารู้สึกยังไง มี คำผกา ช่วย PR ให้



Atukkit Sawangsuk
11h ·

ตลกวงการสื่อ
เกี่ยวกับบรรษัทยักษ์ใหญ่
"ถ้าวันนี้ไม่มี แล้วฉันกินอะไร"
:
เขาเป็นบรรษัทที่มีทีมสื่อสารภาพลักษณ์องค์กรเข้มแข็งมาก
สื่อหลักสื่อรองล้วนเกรงใจ
ค่าโฆษณาไม่มาทางใดก็ทางหนึ่ง
ทันทีที่มีข่าวในทางเสียทางลบ แม้แต่นิดเดียว มาชี้แจงทำความเข้าใจ ถึงตัวทันที
:
อย่างไรก็ดี ในสื่อยุคออนไลน์ มีสิ่งที่เขาควบคุมไม่ได้
เช่นสื่อลงข่าว PR ให้
ได้รับรางวัลจริยธรรม ธรรมาภิบาล ระดับโลก สิบปีซ้อน
เรียกเสียงฮาครื้นเครง แชร์ไปล้อกันสนั่น คอมเมนท์แต่ละอัน ฯลฯ
:
ทีมสื่อสารภาพลักษณ์องค์กรโวยสื่อ
สื่อก็บอก อ้าว เราลงข่าว PR ให้คุณนะ
จะให้ลบโพสต์เหรอ จะให้ปิดคอมเมนท์หรือไง
(กลั้นหัวเราะกันแทบแย่)
.....


Thanapol Eawsakul
10h ·

วันนี้เป็นทีมอ่าน comment
ใครสนใจเข้าไปอ่านได้ครับ
https://www.facebook.com/share/p/ZRY3LCLTj1NH1RgW/?mibextid=oFDknk
.....
Pavin Chachavalpongpun
a day ago·

คนที่ตั้งคำถามว่า ในโลกทุนนิยมทุกวันนี้ หันไปทางไหนก็มีแต่ CP ถ้าไม่มี CP จะเอาอะไรแดก ดิชั้นคิดว่า คนที่ถามแบบนี้ ไม่แกล้งโง่ ก็โง่จริง ถามแบบนั้น คือจะให้คนไทยก้มหน้าถูกครอบงำโดยบริษัทขนาดใหญ่อย่างนั้นต่อไป แล้วเราจะมีรัฐบาลทำห่าอะไรไม่ทราบ การเมืองไม่ใช่เรื่องของการต่อรองที่เอาประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้งหรอ เอาดีๆ การที่รัฐบาลไม่ทำหน้าที่ปกป้องผู้บริโภค เราสามารถสรุปได้อย่างเดียว คือรัฐบาลชุดนี้ได้ประโยชน์จากการผูกขาดของ CP เช่นเดียวกัน ดังนั้น อย่ามาให้คนไทยเล่นบทเหยื่อค่ะ edok และเอาดีๆ คนเป็นสื่อต้องช่วยตรวจสอบเรื่องนี้ ไม่ใช่เสือกบอกให้ชาวบ้านต้องยอมต่อการผูกขาดนั้นๆ
.....


โพสต์น่าสนใจ “...ชวนเม้าท์ #เหตุผลปัญญาอ่อนที่สุด ที่เคยเทหรือลดคะแนนคนที่คุยด้วย” คุณเคยเจอแบบไหน😂 ? ("ถ้าวันนี้ไม่มี CP แล้วฉันกินอะไร" ไม่นับ)


ศาสดา ธนาบริรักษ์
April 27, 2020
·
อ่านโพสต์นึงในกลุ่มหาคู่ น่าสนใจมาก เจ้าของโพสต์เปิดประเด็นว่า
“...ชวนเม้าท์ #เหตุผลปัญญาอ่อนที่สุด
ที่เคยเทหรือลดคะแนนคนที่คุยด้วยอยู่ คือเรื่องอะไรคะ ?...”
แล้วเขาก็ยกตัวอย่างเคสเขาที่เดทกับผู้ชายที่ร้านชาเฉพาะทาง ถาทฝ่ายชายว่าชอบดื่มชาแบบไหน? โดยคาดหวังคำตอบ มัทฉะ, โฮจิฉะ, เซนฉะ, เก็นไมฉะ ฯลฯ หรืออะไรเทือกๆนั้น
แต่คำตอบที่ได้จากฝ่ายชายคือ “แบบเย็น”
แน่นอนทางเจ้าของโพสต์ก็บอกตั้งแต่ต้นว่านี่เป็นเหตุผลปัญญาอ่อนที่สุด แต่ก็มีผลให้หมดอารมณ์คุยกับอีกฝ่ายไปพอควร ผมนั่งอ่านคำตอบของคนอื่นๆ มีมาตอบกันเยอะมาก อ่านไปอ่านมา เออ เจออะไรขำๆดี เลยเอาบางส่วนมาแชร์
และนี่คือเหตุผลที่มาจากประสบการณ์จริง และมีผลให้คนๆหนึ่งตัดคะแนน หรือไม่ไปต่อกับอีกฝ่าย ได้แก่...
- เคี้ยวอาหารเสียงดัง, ซดน้ำซุปดัง
- ไม่กินผัก
- กินข้าวด้วยแล้วไม่อร่อย (อีกฝ่ายไม่ enjoy eating)
- คู่สนทนาโง่, ตอบอะไรแบบโง่ๆ
- เสร่อเรียก “ที่รัก” เร็วเกินไป (เพิ่งเดทกัน)
- อีกฝ่ายแสดงอาการโกรธเพราะไปแดกสุกี้กันแล้วไม่ได้สั่งลูกชิ้นให้ (WTF!!)
- เอาตะเกียบคีบเนื้อจากหม้อสุกี้เข้าปาก
- ทานข้าวกันแล้วอีกฝ่ายไม่แกะกุ้งให้ ซ้ำยังแกะกินเองรัวๆอย่างรวดเร็ว
- พิมพ์ภาษาไทยผิดบ่อย, พิมพ์ภาษาสก๊อย
- เล็บยาว, ดูดนิ้ว, แคะขี้มูก
- เจ้ากี้เจ้าการ เช็คตลอดว่าทำอะไร ให้รายงานตัว
- โดนชวนไปไหว้พระ 7 วัด
- ทักมาถามเช้าเที่ยงเย็นทุกว่า “ทานข้าวแล้วยัง?”
- แต่งตัวเห่ย
- พกตะเกียบส่วนตัวไปร้านอาหาร
- ห้ามไม่ให้กินเฟรนฟราย
- ทักว่าหน้าเราเหมือนแฟนเก่าเขา
- ทักเรื่องสรีระ รูปร่าง หน้าตา
- พูดเรื่องคบจริงจังและแต่งงานตั้งแต่เดทแรก
- ร้องเพลงให้ฟัง แต่เพลงโคตรไม่ถูกใจ
- ยกมือเบรกตอนจะแสดงความเห็น เพราะเขาอยากชิงพูดก่อน
- ขวานผ่าซาก พูดตรงเกินไปจนเสียบรรยากาศ
- อวดเก่ง ขี้โม้
- พูดว่า “หมาปอมน่าเกลียด” โดยไม่รู้ว่าเราเลี้ยงหมาปอม
- ชวนตื่นมาเล่มเกมทุกวัน ตอนตีห้า
- ไปเดทที่ร้านอาหารดัง แต่อีกฝ่ายสั่งไข่เจียวหมูสับ กับแกงจืด
- ไปเดทที่ร้านอาหารอิตตาเลี่ยน แต่อีกฝ่ายสั่งผัดไทย
- กินราเมงแล้วเห็นอีกฝ่ายคายเส้นลงในชาม
- นามสกุลไม่เพราะ
- เขาเป็นภูมิแพ้
- เขากลัวจิ้งจก
- ชื่อเล่นเขาไม่ถูกใจเรา
- ยังไม่ทันตอบไลน์ สามนาทีต่อมาพิมพ์มาว่า “เงียบ”
- กด like โพสต์ หรือ รูปที่ลงเองในเฟสบุ๊ค
- เห็นน้ำลายยืดตอนหัวเราะ
- ผู้ชายกลัวปลาหมึก
- อีกฝ่ายทำเป็นเหมือนรู้ทุกอย่างว่าเราคิดอะไรอยู่
- รีบเรียกพนักงานมาสั่งอาหารอย่างไว ทั้งที่เรายังดูเมนูไม่เสร็จ
- ขับรถช้า
- ใส่รองเท้าแตะมาเดท
- อีกฝ่ายพูดจาเหมือนระลึกชาติได้ตอนกำลังกินข้าว
- แคะฟัน แคะขี้ฟัน แล้วกินขี้ฟันที่แงะออกมาต่อหน้า
- แนะนำให้ไปซื้อสีทาบ้านที่อิเกีย
- เจอกันแล้วบอกว่าสัตว์เลี้ยงเราไม่น่ารัก
- ผู้ชายเอื้อมมาตักข้าวเปล่าในจานเราไปกิน
- ผู้ชายบอกว่าเรารถเราเก่านะ เธอขับมารับเราสิ
- ผู้ชายใส่รองเท้ารูปปลามาเดท
- ไปเดท อีกฝ่ายสั่งสปาเกตตี้แกงเขียวหวาน แล้วดันขอน้ำปลาพริกมาปรุงเพิ่ม
- อวยประยุทธ์
- เล็บดำ
- พูดมาก พูดฝ่ายเดียว เหมือนปาฐกถาอะไรสักอย่าง
- ขนจมูกโผล่ งอนดกออกมานอกรูจมูก
- อยากตักอาหารให้เรา แต่ช้อนเลอะ เลยอมช้อนจนเกลี้ยงเกลา แล้วตักอาหารมาให้เราทาน
- แย่งหนังไก่ในจานเราไปกิน ทั้งที่อุส่าเก็บไว้ทานตอนท้ายสุด
- ผู้ชายขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ด้วยคำพูดคำว่า “ไปเยี่ยวนะ”
- ผู้ชายปลอบให้กำลังใจด้วยคำว่า “อย่าคิดมากนะ เดี๋ยวเยี่ยวเหนียว”
- เสื้อเหม็นเปรี้ยว
- ปากมีกลิ่นถั่วตลอดเวลา
- ผู้ชายพยายามอ่อนหวานพูดคะขา แต่พิมพ์ “นะคะ” เป็น “นะค่ะ” และพิมพ์ “ใช่ค่ะ” เป็น “ใช่คะ” ใช้ภาษาไทยผิดทุกครั้งที่คุย
ฯลฯ
อิสัส แต่ละอย่าง อ่านไปลั่นไป บ้าบอคอแตก แต่ก็พอเข้าใจได้


ค่าไฟไม่ลดสักที น้ำมันมีแต่ขึ้นราคา!!! ประเทศไทย... มีมือที่มองไม่เห็นเป็นคนกำหนดราคาหมด กลุ่มทุนพลังงานผูกขาด ทำร้ายคนไทยอย่าแรง!! - DB ซัวเถา EP.740

https://www.facebook.com/100090471065009/videos/984234829885383

ชมคลิปเต็มที่ 


DB ซัวเถา EP.740 - กลุ่มทุนพลังงานผูกขาด ทำร้ายคนไทยอย่าแรง!!

DBซัวเถา

Apr 15, 2024 

ค่าไฟไม่ลดสักที น้ำมันมีแต่ขึ้นราคา!!! ประเทศไทย... มีมือที่มองไม่เห็นเป็นคนกำหนดราคาหมด



คลินิกผู้สมัคร #สว67 ได้เวลาประชาชนแก้เกมเพื่อประชาธิปไตย เคลียร์ทุกคำถามข้อสงสัย แล้วลุยไปด้วยกัน! - คลิปไลฟ์สดๆ ร้อนๆ Daily Topics x iLaw


Daily Topics x iLaw: คลินิกผู้สมัคร #สว67 ถามมาตอบไปให้เคลียร์ ได้เวลาประชาชนแก้เกมเพื่อประชาธิปไตย

Daily Topics

Streamed live on Apr 28, 2024
สนับสนุน SpokeDark รายเดือนวันละ 5 บาท คลิก https://www.spokedark.tv/supporter/149/ 
สนับสนุนการผลิต Content ของ Daily Topics 
คลิก / dailytopicsth 
สำหรับการสนับสนุนผ่าน YouTube Membership ขอบพระคุณมากๆ ครับ
 
อ่านวิธีการสมัคร-วิธีการเลือก #สว67 ได้ที่ https://www.ilaw.or.th/articles/16805

Daily Topics และ iLaw เปิดคลินิกคุณสมบัติผู้สมัคร #สว67 คุยกันสดๆวันนี้กับเป๋า ถา ILaw เคลียร์ทุกคำถามข้อสงสัย แล้วลุยไปด้วยกัน!
 
สมัคร เพื่อ โหวต สว. 67 “แบ่งกลุ่มอาชีพ” – “เลือกกันเอง” https://www.ilaw.or.th/articles/16805

แผ่นพับ สมัคร เพื่อ โหวต สว. 2567 https://www.ilaw.or.th/articles/16805

คู่มือสมัคร สว. 2567 https://www.ilaw.or.th/articles/16805 สมัคร สว. 67 กลุ่มไหนดี? ชวนดูประกาศ กกต. ขยายความอาชีพ-อัตลักษณ์ https://www.ilaw.or.th/articles/30289

ก่อนท้องฟ้าจะสดใส : กกต. กำลังทำให้ #สว67 เลือกด้วยระบบปิด ประชาชนเข้าไม่ถึง และเอื้อผู้มีอิทธิพล https://www.ilaw.or.th/articles/30403

ข้าราชการลาออกชั่วคราวเพื่อลงสมัคร สว. 67 ได้ https://www.ilaw.or.th/articles/22161

เจาะลึกคุณสมบัติ สว. ใหม่! ใครสมัครได้บ้างครั้งนี้ https://www.ilaw.or.th/articles/6258 #สมัครสว #เลือกตั้งสว #สว67 #dailytopics

https://www.youtube.com/watch?v=73Fpr1hsqjs


VVV Group ของท่านอ้น ภาพอาจจะไม่เหมือนตามที่เคยประกาศไว้

https://www.facebook.com/QueenCherprangVI/videos/456044900224267

สมเด็จพระจักรพรรดินีศรีศศิเฌอปรางวัชรสุภางควดี
15h·

#วันนี้ซิสอ้นสร้างภาพอะไร
วงแตกแล้วจ้า ตอนแรกซิสอ้นเล่นใหญ่ ตั้ง VVV Group ขึ้นมา จะทำเป็น เครือข่าย corporate group เป็นนิติบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนอย่างยิ่งใหญ่ แต่ต่อมาลดความร่วมมือเหลือแค่ business consortium ตั้งเป้าหมายจะรับงานจบเป็นจ๊อบ ๆ ไป
และล่าสุดลดระดับความร่วมมืออีกเหลือแค่เป็นพันธมิตรแต่ในนาม แค่จะแนะนำลูกค้าให้กันและกันเฉย ๆ ไม่มีโปรเจคต์ร่วมกันแล้วนะค้าาา
จบเกมค่ะซิสอ้น แตกเร็วยิ่งกว่าที่นัดหมู่กับพวกหม่อมอีกค่ะ

เมื่อเชียงใหม่ กลายเป็นเมืองอันตราย ทำไมเชียงใหม่ถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?


Matichon Weekly - มติชนสุดสัปดาห์
11h ·

เชียงใหม่ ไม่เพียงเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับหนึ่งสำหรับคนไทย แต่ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญติดอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก นักท่องเที่ยวต่างชาติหลายต่อหลายคนติดใจ มาท่องเที่ยวแล้วอยากกลับมาซ้ำอีก
.
ครั้งหนึ่ง เมื่อไม่ช้าไม่นาน เชียงใหม่เคยถูกจัดให้เป็น great wellness centres ศูนย์การพักผ่อนทั้งร่างกายและจิตใจ ที่จัดอยู่ในระดับสุดยอดของโลก ควบคู่ไปกับบาหลี, กัว และฤๅษีเกศ (เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็น “ประตูสู่หิมาลัย” ทางตอนเหนือของอินเดีย)
.
แต่เมื่อ 24 เมษายนที่ผ่านมา ลี โคบาจ ผู้สื่อข่าวของ เดอะ เทเลกราฟ สื่อดังของอังกฤษ เพิ่งเผยแพร่บทความเตือนบรรดานักท่องเที่ยวทั้งหลายว่า เชียงใหม่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป

อ่านต่อที่


จดหมายอานนท์ถึงลูก 29 เม.ย. 67 มีบางคำถูกเซ็นเซอร์

https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=25373823905565666&id=100000942179021&ref=embed_post

อานนท์ นำภา
12h

“ตัวเราแม้จะต้องรับพระราชอาญาจนสิ้นชีวิต ปากเราแลใจเราตรงกัน อยู่อย่างนี้เสมอไม่หัวหวานก้นเปรี้ยว ต่อหน้ามะพลับลับหลังตะโก ทำหน้าไหว้หลังหลอกเหมือนใคร การสิ่งใดที่เราไม่เห็นด้วยจะให้เราสอพลอพลอยพยักพเยิดไปด้วยนั้น เราทำไม่ได้ มันไม่จริงใจเรา”
.
15 กุมภาพันธ์ ร.ศ.126 เทียนวรรณ, ศิริพจนภาค เล่ม 4 ตอน 4
.
อากาศร้อนโอบอ้าว เวลาราวสี่ทุ่มของคืนวันที่ 28 เม.ย. 2567 เสียงพัดลมตัวใหญ่ในห้องขังเลขที่ 17 ดังอื้ออึง เพื่อนหลายคนข่มตาหลับไปบ้างแล้ว บางคนคลายร้อนด้วยการอาบน้ำในบล็อก บางคนอ่านหนังสือ พ่อคิดถึงลูกทั้งสอง เจ้าปราณกับเจ้าขาล ป่านฉะนี้จะหลับแล้วกระมัง
.
ข้อความด้านบนเป็นของเทียนวรรณ ซึ่งเดิมพ่อคิดจะตั้งเป็นชื่อจริงของเจ้าขาล แต่แม่ของพวกเธอไม่เห็นพ้องด้วย ไม่ใช่เพราะกลัวบั้นปลายจะต้องตกระกำลำบากเหมือนเทียนวรรณ ต้องจำคุกหรือต้องราชอาญากว่าสิบกว่าปี แต่เป็นเพราะพอแม่ของพวกเธอนำชื่อ “เทียนวรรณ” ไปคำนวนเป็นตัวเลขรวมกับนามสกุลแล้วออกมาเป็นเลขไม่ค่อยดี เจ้าขาลจึงได้ชื่อ “อิสรานนท์” เหมือนเช่นทุกวันนี้
.
เหตุที่พ่อเคารพและชื่นชมเทียนวรรณ อาจเรียกว่าเป็นไอดอลก็ว่าได้ เป็นเพราะเทียนวรรณเป็นปัญญาชนในช่วงรัชสมัยของรัชกาลที่ 5-6 ได้เรียกร้องสิทธิให้ราษฎรหลายๆเรื่อง เช่น เรียกร้องให้เลิกทาส ให้ชายหญิงมีความเท่าเทียมกัน ฯลฯ จนบั้นปลายชีวิตต้องราชอาญา จำคุกอยู่สิบกว่าปี การพูดความจริง การเรียกร้องสิทธิให้ราษฎรของเทียนวรรณ เป็นแบบอย่างให้พ่อและเป็นความภาคภูมิใจที่การพูดความจริง การเรียกร้องสิทธิได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสังคม เรียกได้ว่า.... เกิดโดยแท้
.
หวังว่าลูกทั้งสองจะเข้าใจในสิ่งที่พ่อกำลังทำอยู่ตอนนี้
.
อานนท์ นำภา แดน 4 พิเศษกรุงเทพ
.....
Somsin Ruangsaengthongkul
ไม่เสียชาติเกิด




อ.สมศักดิ์ เจียม ขอพูดถึง อานนท์ นำภา และ บุคคลอื่นๆ ที่ติดคุกด้วยคดีการเมือง บ้าง (ประเทศนี้พูดเรื่องจริงไม่ได้)


Somsak Jeamteerasakul
13 hours ago
·
ผมอ่านข่าว อานนท์ นำภา หรือข่าวคนอื่นๆที่ติดคุกด้วยคดีการเมือง (112 เป็นหลัก) แล้วเศร้าใจและเจ็บใจ
พวกนายแบก-นางแบกที่อยู่นอกคุกก็สบายใจไม่ต้องคิดมาก
พวกนักการเมืองเกือบทั้งหมดขี้ขาดตาขาว
ป่านนี้ควรจะปล่อยได้แล้ว กม.นิรโทษกรรมก็มี
ถ่มน้ำลายให้กับพวกคุณทุกคน
.....
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
8 hours ago
·
รวมโทษจำคุกเกิน 10 ปีแล้ว ! ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาจำคุก 2 ปี 20 วัน คดี #ม112 “อานนท์ นำภา” ปราศรัยเรียกร้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ใน #ม็อบแฮรี่พอตเตอร์2
.
29 เม.ย. 2567 เวลา 09.00 น. ศาลอาญากรุงเทพใต้ นัดฟังคำพิพากษาคดีของ อานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชน และหนึ่งในแกนนำกลุ่มคณะราษฎร 2563 วัย 39 ปี หลังถูกฟ้องใน 4 ข้อกล่าวหา ได้แก่ หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ และ ใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุมาจากการปราศรัยถึงข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ในกิจกรรม ‘เสกคาถาผู้พิทักษ์ปกป้องประชาชน’ หรือ #ม็อบแฮร์รี่พอตเตอร์2 ที่ลานหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2564
.
ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดทุกข้อหาตามฟ้อง พิพากษาจำคุกรวม 3 ปี 1 เดือน ปรับ 150 บาท ก่อนลดเพราะให้การเป็นประโยชน์ เหลือจำคุก 2 ปี 20 วัน และปรับ 100 บาท
.
ข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ
ขณะเกิดเหตุมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ แต่จำเลยเชิญชวนผ่านโซเชียลมีเดียให้มาฟังการปราศรัย ซึ่งถือเป็นการนัดหมายชุมนุม ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่คนเริ่มต้นก็ตาม และการที่จำเลยปราศรัยบนรถกระบะเครื่องเสียง แปลว่าได้มีการเตรียมการมาไว้ล่วงหน้าแล้ว จำเลยเบิกความอีกว่าได้ปราศรัยจริง และเบิกความอีกว่าขณะนั้นมีการแพร่ระบาดโควิด-19 เข้าใจได้ว่าจำเลยมีความมุ่งหมายตั้งแต่ต้นที่จะจัดกิจกรรม จึงเห็นว่าจำเลยเป็นผู้จัดมิใช่ผู้เข้าร่วม และแม้จะเบิกความว่าตนสวมหน้ากากอนามัย และยืนห่างกับผู้อื่น แต่จำเลยก็ไม่สามารถควบคุมให้ผู้ชุมนุมยืนห่างกันได้
.
จากการนำสืบว่าการชุมนุมเป็นการใช้เสรีภาพตามกฎหมาย พื้นที่ชุมนุมเป็นที่เปิดโล่ง ไม่พบการแพร่ระบาดของโรค ซึ่งรัฐธรรมนูญตามมาตรา 44 ได้รับรองไว้ แต่เห็นว่าชุมนุมนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย
อีกทั้งหลังจากพนักงานควบคุมโรคได้แจ้งประกาศเตือนตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และให้ประชาชนยุติการชุมนุม แต่ผู้ชุมนุมไม่ยุติ อันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานควบคุมโรค ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ อีกทั้งจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดก็ไม่ได้จัดให้มีมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 การกระทำของจำเลยจึงเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
.
ข้อหาตาม พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ
ตามที่พยานโจทก์เบิกความว่าจำเลยได้ขึ้นปราศรัยบนรถกระบะโดยใช้เครื่องขยายเสียง โดยไม่ได้ขออนุญาตก่อน จึงฟังได้ว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง
.
ข้อหาตามมาตรา 112
ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 2 บัญญัติไว้ว่า ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมาตรา 6 บัญญัติไว้ว่า องค์พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ และในมาตรา 50 ก็ได้บัญญัติไว้ว่า บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นอกจากนี้ได้บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เกี่ยวกับความผิดเป็นพิเศษต่างจากคนทั่วไป
.
ประชาชนไทยมีหน้าที่รักษาไว้ซึ่งสถาบันกษัตริย์ การกล่าวจาบจ้วง ล่วงเกิน เสียดสี เป็นการหมิ่นประมาท ข้อความที่กล่าวจะทำให้เสื่อมเสียหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาความรู้สึกของประชาชนไทยร่วมด้วย
.
เห็นว่า จำเลยกล่าวใส่ความรัชกาลที่ 10 ว่านำของที่ประชาชนใช้ร่วมกันมาเป็นของตนเอง เป็นการหมิ่นประมาท แม้จำเลยจะเบิกความว่าเป็นการวิจารณ์ตรงไปตรงมา แต่ไม่อาจถ่ายทอดความเข้าใจของจำเลยซึ่งเป็นผู้กล่าวเท่านั้น เมื่อพิจารณาคำปราศรัยก็ไม่มีเหตุที่จะยกสถาบันกษัตริย์อันเป็นที่เคารพมาทำให้เสื่อมเสีย ทำให้คนเห็นว่ารัชกาลที่ 10 มีความโลภ ใส่ความให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ไม่สามารถหักล้างพยานพยานโจทก์ได้ และไม่มีเหตุยกเว้นความผิดในทำนองเดียวกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329 และ 330
.
สรุปแล้ว จำเลยมีความผิดตามข้อหามาตรา 112, พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มาตรา 9 และ 18, พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ มาตรา 34 และ 51 , พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียง มาตรา 4 วรรคหนึ่ง, มาตรา 9 วรรคหนึ่ง เป็นความผิดหลายกรรมให้ลงโทษทุกกรรม
.
ข้อหามาตรา 112 ให้ลงโทษจำคุก 3 ปี, ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งมีโทษที่หนักที่สุด คือจำคุก 1 เดือน ส่วนข้อหาตาม พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ ให้ปรับ 150 บาท
.
การนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อพิจารณา มีเหตุให้ลดโทษ 1 ใน 3 ทำให้ ข้อหามาตรา 112 คงจำคุก 2 ปี ส่วน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ คงจำคุก 20 วัน และ พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ คงปรับ 100 บาท
.
รวมโทษเป็นจำคุก 2 ปี 20 วัน และปรับ 100 บาท และให้นับโทษต่อจากสองคดีที่ศาลอาญาพิพากษาไปก่อนหน้า อีกทั้งให้ริบเครื่องปั่นไฟ ลำโพง เพาวเวอร์แอมป์ มิกเซอร์ เครื่องรับสัญญาณไมโครโฟน และไมโครโฟน ของกลางในคดีนี้
.
ผู้พิพากษาในคดีนี้ได้แก่ วีระ พรหมอยู่ และ ศุทธิ์สิริ พยัคฆโส
.
หลังจากศาลอ่านคำพิพากษาแล้วเสร็จ ศาลก็สรุปโทษในคดีนี้ให้อานนท์ฟังอย่างเข้าใจง่ายอีกรอบ หลังจากนั้นประชาชนที่อยู่ในห้องพิจารณาคดีก็เข้ามาให้กำลังใจอานนท์ และช่วยกันชำระค่าปรับโดยการนำเหรียญ 1 บาท 2 บาท และ 5 บาท รวมแล้วเป็นเงิน 100 บาท เพื่อให้ทนายความของอานนท์ไปจ่ายค่าปรับต่อศาล
.
ทั้งนี้ จากการชุมนุม #ม็อบแฮรี่พอตเตอร์2 นอกจากคดีนี้แล้ว ยังมีประชาชนที่ถูกดำเนินคดีจากเหตุการณ์ดังกล่าวอีก 26 คน ทั้งเป็นผู้ปราศรัย ผู้ร่วมชุมนุม ผู้นำรถเครื่องขยายเสียงเข้าร่วม ในข้อหาหลักฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพียงอย่างเดียว โดยคดียังอยู่ในชั้นอัยการ
.
ในส่วนของอานนท์ หลังจากที่วันนี้ศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำพิพากษาจำคุกอีก 2 ปี 20 วัน ทำให้ปัจจุบันอานนท์ถูกลงโทษจำคุกรวมทั้งสิ้น 10 ปี 20 วันแล้ว เมื่อรวมกับสองคดีในข้อหามาตรา 112 ที่ศาลอาญามีคำพิพากษาลงโทษจำคุกคดีละ 4 ปี ไปเมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2566 และ 17 ม.ค. 2567 ที่ผ่านมา
.
การฟังคำพิพากษาคดีมาตรา 112 ของอานนท์ในวันนี้ นับว่าเป็นคดีที่ 3 จากจำนวนทั้งหมด 14 คดี กล่าวคืออานนท์ยังมีคดีมาตรา 112 อีกถึง 11 คดี ซึ่งรวมถึงคดี #ม็อบแฮรี่พอตเตอร์1 ที่ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดี โดยมีนัดหมายสืบพยานที่ศาลอาญาในวันที่ 17 พ.ค. 2567 นี้
.
ปัจจุบันอานนท์ยังถูกคุมขังในเรือนจำระหว่างอุทธรณ์ตั้งแต่วันที่ 26 ก.ย. 2566 จนถึงวันนี้ (29 เม.ย. 2567) เป็นเวลากว่า 218 วัน หรือกว่า 7 เดือนแล้ว โดยไม่ได้รับสิทธิในการประกันตัว แม้ทนายความจะยื่นขอประกันตัวมาแล้ว 6 ครั้ง ซึ่งนับว่าเป็นการถูกคุมขังต่อเนื่องที่ยาวนานที่สุดเท่าที่อานนท์เคยถูกคุมขังมา
.
.
อ่านข่าวต่อบนเว็บไซต์: (https://tlhr2014.com/archives/66541)
.....

Atukkit Sawangsuk
13h
·
112 ยิ่งจริงยิ่งผิด เจตนาสุจริตก็ไม่รอด
:
ตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ คดีก้าวไกลล้มล้างการปกครองฯ
คำวินิจฉัยส่วนตน อุดม รัฐอมฤต (อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์สมชาย)
ถ้าก้าวไกลแก้ 112 สำเร็จ
"อาจเรียกได้ว่าเป็นการเปิดพื้นที่สาธารณะให้แก่การแสดงความคิดเห็นไปในทางต่างๆ โดยเฉพาะอาจมีการวิพากษ์วิจารณ์ให้เกิดความเสื่อมเสียแก่สถาบันพระมหากษัตริย์ได้อย่างเปิดกว้าง ทำให้อาจมีผู้แสดงออกซึ่งการกระทำและความคิดเห็นในหลายลักษณะ ทั้งในฝ่ายของผู้มีความปรารถนาดีและเคารพเทิดทูนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งกระทำการในเชิงสร้างสรรค์เพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่อย่างเหมาะสมในแนวทางต่างๆ ไปจนถึงผู้ที่มีความคิดเห็นแตกต่างไปในทางตรงกันข้าม ซึ่งมุ่งหวังให้มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในสถานการณ์ของบ้านเมืองที่เปิดพื้นที่ให้กับการแสดงออกซึ่งความหลากหลายของการกระทำและทัศนคติต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เช่นนี้ ย่อมก่อให้เกิดผลกระทบต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยเฉพาะในสังคมที่การสื่อสารระหว่างบุคคลในโลกออนไลน์ไม่อาจถูกกำกับดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพ การแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ในสื่อมวลชนต่างๆ ย่อมยากที่จะทำให้เกิดความชัดเจนในประเด็นข้อเท็จจริงต่างๆ..........."
:
ง่ายๆ คือเขามองว่า แม้แต่ผู้ปรารถนาดี เคารพเทิดทูน กระทำการสร้างสรรค์
ก็ปล่อยให้มีเสรีภาพไม่ได้ เพราะฝ่ายตรงข้ามจะอ้างเสรีภาพเหมือนกัน
เพราะสังคมไทยยังโง่อยู่ จะทำให้ระบอบอ่อนแอและเสื่อมลง
:
ดังนั้น ต่อให้เป็นไชยันต์ ไชยพร วิจารณ์ด้วยความปรารถนาดี อยากให้ดำรงอยู่อย่างเหมาะสม ฯลฯ ก็ผิดครับ
.....


Pipob Udomittipong
15 hours ago
·
หลังก้มหน้าก้มตาอ่านคำพิพากษาอยู่ราวครึ่งชม. ผพษ.ที่สวมแว่นก็เงยหน้าขึ้นมา ยิ้มให้กับจำเลย อธิบายอีกรอบหนึ่งว่า “คดี 112 ศาลลงสามปี ลดให้หนึ่งในสามนะ พรก.ฉุกเฉิน ศาลลงหนึ่งเดือน ส่วนการใช้เครื่องเสียง ศาลปรับ 100 บาท” หลังจากนั้นก็เกิดความโกลาหลขึ้นมาในห้องพิจารณา
มีคนนำถุงพลาสติก เรี่ยไรเงินเพื่อจ่ายค่าปรับให้ #อานนท์นำภา บางคนถามว่าเป็นแบงก์ได้มั้ย คนนำกิจกรรมบอกขอเป็น “เศษเงิน” ค่ะ ระหว่างที่พี่ป้าน้าอาที่ป่านนี้คงกลายเป็นญาติร่วมสายเลือดของอานนท์ไปแล้ว กุลีกุจอหยิบเงินใส่ถุง จนถุงแตก เศษเหรียญกระจายกับพื้น
ผมสังเกตว่า ศาลก็นั่งมองเฉย ๆ ไม่ได้ว่าอะไร มีแต่รอยยิ้มเล็ก ๆ เหมือนตอนที่ท่านนำสืบพยาน หลังจากนั้นญาติพี่น้อง มวลชนก็เข้ามาห้อมล้อม สวมกอด บางคนเอาแบงก์ยัดใส่มืออานนท์ ก่อนที่เขาถูกนำตัวออกจากห้อง เดินลับไปจากคลองจักษุของพวกเรา เป็นคดี #หมิ่นประมาทกษัตริย์ คดีที่ 3 ของอานนท์ที่ศาลตัดสิน สิริรวมโทษตอนนี้ก็ 10 ปีแล้ว
ศาลระบุในคำตัดสินด้วยว่า “คดี 112 มันไม่มีข้อยกเว้นความผิดเหมือนในมาตรา 329 + 330 นะ” นี่เป็นประเด็นสำคัญ ในขณะที่ปท.ที่ยังมีกษัตริย์ในยุโรป หรือที่อื่นทั่วโลก ปรับให้กระบวนการพิจารณาคดีหมิ่นเจ้า ลงมาเท่าเทียมกับสามัญชน หรืออย่างน้อยเท่ากับเจ้าพนักงานของรัฐ
แต่ในบ้านเรา “All animals are equal, but some animals are more equal than others.“ ยังกับรัชสมัยของท่านจอร์จ ออร์แวล
ในปท.ที่ยิ่งจริงยิ่งหมิ่น ในปท.ที่ยิ่งจริงยิ่งผิด สถาบันต้องเป็นที่ “เคารพสักการะ” at all costs เราจะสอนกม.ไปทำไม เราจะสอนหลักปรัชญาไปทำไม เราจะไปแคร์อะไรกับแนวนิติศาสตร์ หรือ Jurisprudence เพราะคนที่มีหน้าที่บังคับใช้กม. ไม่ต้องการและไม่สนใจ “ความจริง”


วันจันทร์, เมษายน 29, 2567

ปรับ ครม.ครั้งแรกของ ‘เศรษฐา’ มีแรงพยศกระด้างกระเดื่อง ‘ปานปรีย์’ โกรธจัด หักกันสุกๆ ดิบๆ

แต่แล้วการปรับ ครม.ครั้งแรกของรัฐบาลเศรษฐา ก็ไม่ได้เรียบร้อยอย่างที่เหล่านายและนังแบกพยายามอวดให้เห็น ถ้าใช้คำของ Atukkit Sawangsuk ก็ว่า “มีแรงพยศกระด้างกระเดื่อง มากที่สุดเท่าที่เคยมี ตั้งแต่ไทยรักไทย”

เขาบอก ไหนจะ สุทินเหนียวไม่ยอมไป เสื้อแดงต้าน ณัฐพล (เอก) ไม่ให้มา 'ชลน่าน' น้อยอกน้อยใจ ลำเลิก ยอมโดนเหยียบอยู่หลัดๆ ไม่กี่เดือน แล้วมานี่ ปานปรีย์ โกรธจัด หักกันสุกๆ ดิบๆ ต่อจากประกาศราชกิจจาฯ นั่นเลย

ท่ามกลางเสียงโห่ร้องเชิดรัฐมนตรีใหม่ ๓ คน มี พิชัย ชุณหวชิร ที่มานั่งคลัง แถม เผ่าภูมิ โรจนสกุล ขึ้นมาช่วยคลัง และ จิราพร สินธุไพร หนึ่งในสาม ประจำ สำนักนายกฯ แม้จะมีเสียงอู้อี้จากพรรคประชาธิปัตย์ ไม่สบอารมณ์กับ พิชิต ชื่นบาน

แต่การประกาศลาออกเป็นลายลักษณ์อักษร เปิดผนึกผ่านสื่อ ของ ปานปรีย์ พหิทธานุกร เนื่องจากโกรธจัด ถูกถอดตำแหน่งรองนายกฯ เหลือแค่ รมว.ต่างประเทศ ด้วยถ้อยคำยืนยัน แน่นอน “เชื่อว่าไม่เกี่ยวกับ ผมไม่มีผลงาน”

แต่การจะต้องมีรองนายกฯ คนใหม่มาควบคุมอยู่เหนือ รมว.ต่างประเทศ ก็น่าจะทำให้หลานเขย น้าชาติชาติชาย ชุณหะวัณ ผู้ที่ตอนรับตำแหน่งควบรองฯ “ได้รับการยอมรับในกลุ่มยอดปิรามิดสูงมาก” ดัง หนุ่มเมืองจันท์ จำนรรจ์ไว้นั้น

“คงมีคำถามอยู่ในใจ เมื่อคนอื่นควบรองนายกฯ ได้ แล้วทำไมเขาจึงควบไม่ได้ คนอื่นเก่งกว่าเขาตรงไหน” ประมาณว่าความใกล้ชิด บ้านจันทร์ส่องหล้า มาแต่ไร ไม่มีคุณค่าแล้วหรือ ทำเอาเศรษฐาต้องออกมาขอโทษขอโพย (ผ่านกรุ๊ปไลน์)

ที่ทำให้เสียใจ ว่าคุยกันเมื่อวันศุกรแล้วไม่เห็นมีอะไร นายกฯ ตอบนักข่าวด้วยท่าซึมๆ หน้าซื่อๆ “จริงๆ แล้วผมอยากจะโฟกัสในสิ่งที่ เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกันมาด้วยเวลา ๗-๘ เดือนที่ผ่านมาดีกว่า” อย่างไรก็ดี มีคนที่จะมารับช่วงแทนไว้แล้ว

เลยไปถึงกรณีหมอชลน่านด้วย นายกฯ บอกว่า เดี๋ยวจะไปคุยปลอบใจ ถึงจะสายไปหน่อยดีกว่าปล่อยไว้เป็นไฟลามทุ่ง ก็พอดี นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ ผู้ช่วย รมว.สาธารณสุข/แกนนำเสื้อแดงภาคอีสาน บ่นออกสื่อเหมือนกัน ว่า

จะปลดกัน “ท่านนายกฯ มาจากพรรคเพื่อไทย ก็น่าจะถามสมาชิกพรรคสักหน่อย” ถึงอย่างนั้น “การเปลี่ยนหมอชลน่านออก เป็นเรื่องไม่เหมาะสม”

(https://twitter.com/SleeplessBKK/status/1784766096211591677, https://workpointtoday.com/government-srettha/ และ https://www.facebook.com/boycitychanFC/posts/ENJUeVyaJSJNNJS) 

เชิญชวนร่วมฟังคำพิพากษา คดีม.112 คดีที่ 3 ของอานนท์ นำภา จากการปราศรัยในม็อบครบรอบ 1 ปี แฮรี่พอตเตอร์ หรือ ม็อบแฮรี่พอตเตอร์ 2 . 29 เม.ย. 2567 ศาลอาญากรุงเทพใต้ เวลา 9.00 ห้อง 703

Pipob Udomittipong
17 hours ago
·
เช้าวันจันทร์ 29 เม.ย. ศาลอาญากรุงเทพใต้ เวลา 9.00 ห้อง 703 คดีนี้ #อานนท์ ให้การต่อศาลชัดเจนว่า ตอนที่ถูก DRG ทาบทามให้ไปพูด เขาปฏิเสธไป 2-3 ครั้ง เหตุผลง่ายนิดเดียว เพราะเขาเพิ่งได้ประกันตัวออกมาไม่นาน ยังกับมาอยู่ร่วมกับครอบครัวเล็ก ๆ ของเขาได้ไม่นาน แต่แล้วลูกทุ่งคนยากก็แพ้ใจตัวเอง “ผมรู้ว่าถ้าผมไม่ไป ก็ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องนี้”
มาครับ มารับร่วมเป็นสักขีพยานคดีประวัติศาสตร์ครับ

อานนท์ นำภา
a day ago
·
ฝากแชร์+เชิญชวนร่วมฟังคำพิพากษา
คดีม.112 คดีที่ 3 ของอานนท์ นำภา
จากการปราศรัยในม็อบครบรอบ 1 ปี
แฮรี่พอตเตอร์ หรือ ม็อบแฮรี่พอตเตอร์ 2
.
29 เม.ย. 2567 ศาลอาญากรุงเทพใต้
เวลา 9.00 เป็นต้นไป ณ ห้อง 703
.
แล้วเจอกันจ้า (ใช้เวลาฟังไม่เกิน 1 ชั่วโมง)

.....

iLaw
19h·

พิพากษาทนายอานนท์คดีที่สาม เหตุปราศรัย #ม็อบแฮรีพอตเตอร์2
พรุ่งนี้ เวลา 9.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 703 ศาลอาญากรุงเทพใต้นัดอานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชนฟังคำพิพากษา คดีนี้สืบเนื่องจากการปราศรัยในการชุมนุม #ม็อบแฮรีพอตเตอร์2 เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2564 คดีนี้มีนพดล พรหมภาสิต เลขาธิการศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมายผู้ถูกล่วงละเมิดบนโลกออนไลน์ (ศชอ.) เป็นผู้กล่าวหา
ตามคำฟ้องอานนท์ปราศรัยมีเนื้อหาทำนองว่า การชุมนุมในระยะหนึ่งปีที่ผ่านมาผู้ชุมนุมถูกตอบโต้กลับอย่างรุนแรง ที่ผ่านมาขบวนการเคลื่อนไหวได้มีการสื่อสารถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ซึ่งข้อความดังกล่าวมีความหมายแสดงว่า พระองค์ทรงมีพฤติกรรมไม่ชอบในทางทรัพย์สิน หรือมุ่งแสวงหาประโยชน์ส่วนพระองค์เป็นสำคัญ กล่าวคือ พฤติการณ์การถ่ายโอนเอาทรัพย์สินของแผ่นดิน หรือทรัพย์สินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันไปเป็นของพระองค์แต่เพียงผู้เดียวในทํานองการยักยอกทรัพย์ซึ่งเป็นของหลวงของแผ่นดิน อันเป็นการเสื่อมเสียอย่างมากต่อพระเกียรติและภาพลักษณ์ของพระองค์
การกล่าวถึงการสนับสนุนวัคซีนป้องกันโควิด 19 ของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาและการที่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทสยามไบโอไซน์ ซึ่งข้อความดังกล่าวมีความหมายแสดงว่า รัชกาลที่สิบทรงมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับรัฐบาล หรือมุ่งใส่พระทัยในผลประโยชน์โดยมิชอบในทางทรัพย์สินส่วนพระองค์ ร่วมกันกับรัฐบาลในการบริหารราชการแผ่นดิน และการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อร้ายแรงภายในประเทศ โดยมิได้ใส่พระทัยในความเป็นอยู่ที่ยากลําบากหรือการเจ็บป่วยล้มตายของประชาชน แม้เป็นการกล่าวในลักษณะว่าร้ายโดยเจาะจงแก่นายกรัฐมนตรี แต่ด้วยการกล่าวถึงเหตุผลประกอบต่างๆ แล้ว การกล่าวถึงนายกรัฐมนตรีจึงเป็นเพียงลักษณะของการใช้สํานวนโวหารเพื่อให้บรรลุความประสงค์แท้จริงในการใส่ความพระมหากษัตริย์ของจําเลยเท่านั้น อันเป็นการเสื่อมเสียอย่างมากต่อพระเกียรติ และภาพลักษณ์ของพระองค์
คดีนี้ถือเป็นคดีที่สามจากทั้งหมด 14 คดีของอานนท์ที่ศาลมีคำพิพากษาแล้ว
อ่านทั้งหมด : https://www.ilaw.or.th/articles/27232


บันทึกเยี่ยมพรชัย คดี ม.112 ทบทวนชีวิต พยายามต่อสู้เต็มที่ แม้อาจต้องสูญเสียโอกาสหลายปีจากนี้ไป “ก่อนนอนผมขอพรทุกคืน ขอให้พระเจ้าให้อภัยผู้ที่แจ้งความผม... ขอให้อภัยทุกคนในกระบวนการยุติธรรม ผมไม่โกรธแค้น ผมอธิษฐานให้เขามีสุขภาพดีแข็งแรง อายุยืนยาวที่สุดที่เขาจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงตลอดช่วงเวลา”


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
Yesterday
·
บ้นทึกเยี่ยมพรชัย คดี ม.112 ทบทวนชีวิต พยายามต่อสู้เต็มที่ แม้อาจต้องสูญเสียโอกาสหลายปีจากนี้ไป
.
.
วันที่ 26 เม.ย. 2567 ที่เรือนจำกลางเชียงใหม่ ทนายความเดินทางไปเยี่ยม พรชัย วิมลศุภวงศ์ ผู้ต้องขังในคดีตามมาตรา 112 จากกรณีกล่าวหาว่าโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก 4 ข้อความ เขาถูกคุมขังมาตั้งแต่วันที่ 4 เม.ย. 2567 หลังศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ลงโทษจำคุก 12 ปี และศาลฎีกาไม่อนุญาตให้ประกันตัวระหว่างฎีกา
.
พรชัยออกมาพบในชุดผู้ต้องขัง ในฝั่งตรงข้ามของกระจกกั้นแน่นหนา การพูดคุยดำเนินผ่านเครื่องโทรศัพท์
.
เขาเริ่มพูดถึงสภาพความเป็นอยู่ในเรือนจำว่า รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแกะดำ เนื่องจากนักโทษส่วนใหญ่ที่อยู่ในแดน 4 มากกว่า 80-90% เป็นผู้ต้องขังในคดียาเสพติด แต่ก็ยังให้เกียรติระหว่างกันอยู่ จึงไม่ได้มีปัญหาอะไรต่อกัน พรชัยจะพยายามปรับตัวให้ได้ และคิดว่าเจ้าหน้าที่ที่นี้ก็ค่อนข้างดี
.
โดยการเข้าเรือนจำกลางเชียงใหม่รอบนี้เป็นรอบที่ 3 สำหรับพรชัย หลังเคยถูกคุมขังในชั้นสอบสวนไป 44 วัน และมาถูกคุมขัง 6 วัน หลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ก็ให้ประกันตัวเขา เพราะเห็นว่าไม่มีพฤติการณ์หลบหนี แต่ในครั้งนี้ ศาลฎีกากลับเห็นว่า มีเหตุอันสมควรเชื่อได้ว่าจำเลยอาจจะหลบหนี และอาจเป็นครั้งที่ต้องถูกคุมขังเนิ่นนานกว่าครั้งก่อนหน้านี้
.
พรชัยได้พูดคุยปรึกษาถึงเรื่องคดีต่อไป โดยล่าสุดในคดีที่เขาถูกกล่าวหาตามมาตรา 112 อีกคดีหนึ่งที่ศาลจังหวัดยะลา ศาลได้มีหมายนัดไปฟังคำสั่งเรื่องการขออนุญาตฎีกาในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมแล้ว คดีนี้เขาถูกศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืนจำคุก 2 ปี แต่ได้รับการประกันตัวระหว่างฎีกา หากก็เป็นไปได้ว่าอาจจะไม่มีผู้พิพากษาที่รับรองให้ฎีกา ทำให้คดีนั้นอาจจะสิ้นสุดลงด้วย
.
เดิมนั้นพรชัยคิดว่าในคดีของเชียงใหม่ ก็น่าจะได้ประกันในแนวทางเดียวกันกับศาลจังหวัดยะลา แม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษายืน คดียังไม่ถึงที่สุด ให้โอกาสจำเลยต่อสู้ในศาลสุดท้าย แต่สุดท้ายกลับไม่ได้ประกันตัว
.
พรชัยเล่าว่าในช่วงหลังก่อนมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เขาได้ไปทำสวนดอกไม้ และผลไม้ ที่จังหวัดกาญจนบุรี ที่ผ่านมาชีวิตของเขาดำเนินมาด้วยความยากลำบาก ตั้งแต่เกิดบนดอย และเข้ามาดิ้นรนอยู่ในกรุงเทพฯ เหมือนคนจรจัด ถูกผู้คนดูถูกเหยียดหยาม เขาตั้งใจหาความรู้ และพยายามสร้างชีวิตจนพอไปได้
.
เขาเสียใจที่อาจจะต้องติดคุกหลายปีจากนี้ ไม่สามารถไปใช้ชีวิตส่วนที่เหลือได้ แต่เขาย้ำว่าไม่ได้เสียใจในครึ่งชีวิตที่ผ่านมา ที่เขาได้เข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องต่าง ๆ และช่วยเหลือประชาชน โดยเชื่อว่าเขาได้พยายามเต็มที่ที่จะเป็นตัวอย่างและแรงบันดาลใจหนึ่งให้แก่พี่น้องชาติพันธุ์
.
เขาเล่าย้อนไปว่ากลุ่มชาติพันธุ์ก็ต้องการจะมีพื้นที่ในสังคม แต่มีข้อจำกัดทางวัฒนธรรม การเข้าถึงทรัพยากร ความรู้ความสามารถ ทำให้ไม่กล้าแสดงออกในพื้นที่สาธารณะ และมักจะมองตนเองเป็นพลเมืองชั้นสอง แต่ทุกวันนี้คนหนุ่มสาวเริ่มมีความกระตือรือร้นมากขึ้น และมีหนทางใหม่ ๆ มากขึ้น
.
“ผมอายุ 40 ปีแล้ว อีกครึ่งชีวิตของผมที่ต้องเก็บเกี่ยว แต่ทุกอย่างหยุดชะงัก ทั้งทางเศรษฐกิจ ธุรกิจ”
.
พรชัยยังหวังว่าเขาได้รับปล่อยตัวออกไปโดยเร็ววัน เพราะการจองจำเขาไว้ รัฐก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เขาไม่ได้มีอิทธิพลจะไปทำลายประเทศไทยได้เลย แต่ถูกจองจำด้วยโทษความมั่นคง เป็นอาชญากรทางความคิด
.
“ก่อนนอนผมขอพรทุกคืน ขอให้พระเจ้าให้อภัยผู้ที่แจ้งความผม ทั้งที่เชียงใหม่และยะลา เพราะเขาทำไปโดยไม่รู้ ขอให้อภัยทุกคนในกระบวนการยุติธรรม ผมไม่โกรธแค้น ผมอธิษฐานให้เขามีสุขภาพดีแข็งแรง อายุยืนยาวที่สุดที่เขาจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงตลอดช่วงเวลา ผมให้อภัยครั้งยิ่งใหญ่” พรชัยสรุป
.
.
อ่านบนเว็บไซต์ https://tlhr2014.com/archives/66516
.
ย้อนอ่านเรื่องราวของพรชัย https://tlhr2014.com/archives/54204

https://www.facebook.com/photo/?fbid=843386120965193&set=a.656922399611567


เปิดบันทึกคดี ม.112 จากห้องพิจารณา #แฮรี่พอตเตอร์2 เมื่อ ‘อานนท์ นำภา’ ยืนยันว่าสิ่งที่ปราศรัยทั้งหมดเป็นความจริง


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
14h
·
เปิดบันทึกคดี ม.112 จากห้องพิจารณา #แฮรี่พอตเตอร์2 เมื่อ ‘อานนท์ นำภา’ ยืนยันว่าสิ่งที่ปราศรัยทั้งหมดเป็นความจริง
.
ในวันที่ 29 เม.ย. 2567 เวลา 09.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 703 ศาลอาญากรุงเทพใต้นัดฟังคำพิพากษาคดีของ อานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชน และหนึ่งในแกนนำกลุ่มคณะราษฎร 2563 วัย 39 ปี ในคดีที่ถูกฟ้องใน 4 ข้อกล่าวหา ได้แก่ #มาตรา112, ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ และ ใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ เหตุจากการปราศรัยถึงข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ในกิจกรรม ‘เสกคาถาผู้พิทักษ์ปกป้องประชาชน’ หรือ #ม็อบแฮร์รี่พอตเตอร์2 ที่ลานหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2564
.
ภาพรวมการสืบพยาน: จำเลยให้การปฏิเสธ ยืนยันสิ่งที่ปราศรัยทั้งหมดเป็นความจริง ไม่มีพยานโจทก์ปากใดยืนยันว่าได้ว่าเป็นข้อความเท็จ
ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 703 ของศาลอาญากรุงเทพใต้ได้นัดสืบพยานทั้งสิ้น 9 นัด โดยอัยการจะนำพยานโจทก์เข้าสืบทั้งหมด 13 ปาก ระหว่างวันที่ 17-20 ต.ค., 18, 25 ธ.ค. 2566 และ 29 ม.ค. 2567 แต่ในช่วงวันดังกล่าว แน่งน้อย อัศวกิตติกร ไม่เดินทางมาศาลตามนัด ทำให้ศาลสั่งตัดพยานออก จึงเหลือพยานโจทก์ที่มาเบิกความทั้งสิ้น 12 ปาก ได้แก่ ประชาชนและตำรวจผู้กล่าวหา,​ พนักงานตำรวจอีก 4 ปาก, เจ้าหน้าที่เทศกิจ 1 ปาก และพยานความเห็นตามมาตรา 112 อีก 5 ปาก
ส่วนทนายความนำพยานจำเลยเข้าสืบพยานทั้งหมด 5 ปาก ในระหว่างวันที่ 19 ก.พ. และ 4 มี.ค. 2567 ได้แก่ อานนท์ ผู้เป็นจำเลยในคดีนี้ และพยานความเห็นทางวิชาการอีก 4 ปาก คือ ธนาพล อิ๋วสกุล, พวงทอง ภวัครพันธุ์, สมชาย ปรีชาศิลปกุล และนายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ
ถึงแม้ว่าการสืบพยานตลอด 9 นัด อานนท์ผู้เป็นจำเลยในคดีนี้จะถูกคุมขังอยู่และเบิกตัวมาศาลเพื่อร่วมพิจารณาคดี ก็จะมีประชาชนมาร่วมฟังการพิจารณาคดี และให้กำลังใจเขาอย่างต่อเนื่อง โดยการถามค้านพยานโจทก์บางปากในคดีนี้ อย่างเช่น ณฐพร โตประยูร และ กันตเมธส์ จโนภาส อานนท์ได้เป็นผู้ถามค้านด้วยตนเอง
.
การนำสืบของโจทก์ พยายามกล่าวหาว่า
ในข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ คือ จำเลยโพสต์เชิญชวนไปชุมนุมบนเพจเฟซบุ๊กของตนเอง ซึ่งเป็นสาธารณะและคนทั่วไปเข้าถึงได้ อีกทั้งจำเลยก็ใช้เครื่องขยายเสียงขณะปราศรัย โดยไม่ได้ขออนุญาตชุมนุมและใช้เครื่องขยายเสียงก่อน
ในข้อหามาตรา 112 การปราศรัยของจำเลยเป็นการกล่าวหาและมุ่งโจมตีรัชกาลที่ 10 ทั้งในเรื่องว่าไม่ได้ทรงอยู่เหนือทางการเมือง มุ่งแสวงหาผลประโยชน์และมีพฤติกรรมไม่ชอบในทางทรัพย์สิน ทำให้พระองค์เสื่อมเสียพระเกียรติและภาพลักษณ์
.
ด้านจำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาและมีข้อต่อสู้ในคดีดังนี้
ในข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียงฯ มีข้อต่อสู้ว่า จำเลยเป็นเพียงผู้ปราศรัย ไม่ได้เป็นผู้จัดชุมนุม จึงไม่มีหน้าที่ในการขออนุญาตชุมนุม และขอใช้เครื่องขยายเสียง รวมถึงจัดเตรียมมาตรการป้องกันโควิด อีกทั้งขณะปราศรัยจำเลยก็ใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา และมีการเว้นระยะห่างกับผู้ชุมนุม ลานหน้าหอศิลป์เป็นพื้นที่โล่ง อากาศถ่ายเทสะดวก และไม่ปรากฏว่ามีระบาดของโรคจากการชุมนุม
ในข้อหามาตรา 112 มีข้อต่อสู้ว่า สิ่งที่จำเลยพูดทั้งหมดเป็นความจริง และไม่มีพยานโจทก์ปากใดยืนยันว่าได้ว่าเป็นข้อความเท็จ และในการสั่งฟ้องคดีก็ไม่ได้นำ พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฯ ปี 2560 และ 2561 มาพิจารณาประกอบ การพิจารณาความผิดตามมาตรา 112 ต้องคำนึงถึงมาตรา 6 และมาตรา 34 แห่งรัฐธรรมนูญที่บัญญัติเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนมาดูควบคู่กันไป มิอาจใช้หลักการตามมาตรา 6 มาทำลายหลักเสรีภาพ ซึ่งเป็นหลักคุณค่าของรัฐธรรมนูญเสมอกัน
.
ก่อนฟังคำพิพากษาในวันที่ 29 เม.ย. 2567 นี้ ชวนอ่านใจความสำคัญของคำเบิกความพยานโจทก์และพยานจำเลยที่มาให้การต่อศาลในคดีนี้
.
.
อ่านคำเบิกความทั้งหมดบนเว็บไซต์: https://tlhr2014.com/archives/66499