วันจันทร์, ตุลาคม 31, 2559

รำลึก 10 ปี นวมทอง ไพรวัลย์ - 'อานนท์ นำภา' live





รำลึก 10 ปี นวมทอง ไพรวัลย์

https://www.facebook.com/100000942179021/videos/1251673508207376/




อานนท์ นำภา is live now.


เมื่อความจงรักภักดี... น้ันอยู่กับค่าคอมมิชชั่นเสียจนหมดใจ - 'รุ่งคุณ กิติยากร' โพสต์





การที่มีการเงินโอนเข้าบัญชีผู้มีอำนาจ 600 ล้านบาท จากบัญชีบนเกาะลึกลับเกี่ยวโยงกับเจ้าสัวอันดับหนึ่ง โดยมีการอ้างว่าซื้อที่ดิน ทั้งที่ราคาที่ดินไม่ได้มีมูลค่าใกล้เคียงจำนวนเงิน นั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

การที่ราคาข้าวจะตกตํ่าเป็นประวัติการ พร้อมมีนโยบายพยายามผลักให้ชาวนาทำเกษตรพันธะสัญญาข้าวโพดกับเจ้าสัวอันดับสองแทน ก็มิใช่เรื่องบังเอิญเช่นเดียวกัน

ทั้งหมดนั้นสอดคล้องเกี่ยวพันกับทั้งสองเจ้าสัว ทั้งอันดับหนึ่งและอันดับสอง ที่รอจะกินรวบผูกขาดปากท้องคนทั้งหมดในประเทศไทย

โดยกลุ่มบริษัทที่อ้าง คำว่า 'ประชา' และ คำว่า 'รัฐ' ของเจ้าสัวทั้งสอง ร่วมกับกลุ่มทุนผูกขาดอื่นๆ ได้รับการสนับสนุนของรัฐบาล มีอำนาจถึงขั้นร่วมเขียนนโยบายรัฐ เพื่อให้พวกตนเองรวบกินเบ็ดเสร็จประเทศไทย ในทางของตน

กดราคาสินค้าเกษตร เพื่อต้อนเกษตรกรเข้าเครือข่ายดังกล่าว

ออกนโยบายจ้างชาวนาให้เลิกปลูกข้าว ให้มาปลูกข้าวโพดให้ตัวเองแทน โดยใช้เงินหนึ่งหมื่นล้านจากภาษีประชาชนมาจ้าง ไม่ต้องลงทุนจ้างเอง

และออกนโยบายเงินกู้จากธนาคารรัฐ 8 พันล้านบาท สำหรับเกษตรกรที่ร่วมโครงการ โดยบังคับให้จำนวน 6 พันล้านบาทของส่วนนั้น อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่จะต้องซื้อเมล็ดพันธ์ุและปุ๋ยเคมี เข้ากระเป๋าพวกตนเอง

เมื่อเงินกู้นี้เข้ากระเป๋าตัวเองไปแล้ว ก็รอที่จะกว้านซื้อที่ดินของเกษตรกรที่ได้วางคำ้เงินกู้นั้น จากเกษตรกรที่จะไม่สามารถชำระหนี้สินนั้นได้

เช่นเดียวกับที่ชาวนาที่ถูกกดราคาข้าวเปลือก ทั้งที่ข้าวสารยังคงราคาเดิม จนต้องขายที่ดินตัวเองทิ้งมากมาย อย่างที่ปรากฎในปัจจุบัน

แม้วันนี้เขาจะบอกว่าจะซื้อข้าวโพดในราคาที่ดี ก็ไม่พ้นที่จะเป็นไปในทำนองเดียวกับพฤติกรรมของเขาในอดีต การจำนำข้าว ที่บอกจะรับซื้อเองหากขายไม่ได้

ด้วยนโยบายเหล่านี้ เจ้าสัวอันดับสอง สามารถขยายถิ่นฐานข้าวโพดในที่ราบ หลังที่ได้ทำลายภูเขาให้กลายเป็นเขาหัวโล้นไปแล้วนับล้านไร่ ส่วนเจ้าสัวอันดับหนึ่ง ก็รอที่จะเข้ายึดตลาดข้าว ตามแผนการต้อนเกษตกรเข้าเครือค่ายของเขาที่ได้วางไว้แล้ว

นอกจากการได้ต้อนเกษตรกรเข้าไปหลอกใช้ในเครือข่ายของพวกเขา เพื่อการผูกขาดปากท้องทั้งประเทศ ยังจะได้เพิ่มขยายการถือครองที่ดินของพวกตนเอง ที่มีกันในปริมาณมหาศาลอยู่แล้ว ส่วนเกษตกรตัวจริง ที่มีสัดส่วนเพียง 25% เท่านั้นที่มีที่ดินของตนเอง จะถือครองที่ดินในจำนวนที่น้อยยิ่งลงไปอีก

โดยจำนวนมาก จะต้องสูญเสีย ถูกยึดที่ดิน ต้องขายทิ้ง ล้มละลาย หลายคนฆ่าตัวตายตามกันไป

….................................

คำหนึ่งก็อ้าง 'เศรษฐกิจพอเพียง' สองคำก็อ้าง 'ศาสตร์พระราชา' แสแสร้งแสดงความจงรักภักดีสารพัด

แต่แม้จะอดใจรอให้พ้นสิบวันในการถวายอาลัย ก็ยังรอไม่ไหว เหล่าทหารเหล่านี้ก็ได้รีบสานต่อแผนการชั่วเพื่อนายทุนที่ตนรับใช้ เซ็นสัญญาข้อตกลงในการให้ชาวนาเลิกปลูกข้าวสองล้านไร่ไปปลูกข้าวโพดแทน ตั้งแต่ไม่กี่วันในระหว่างที่ทั้งประเทศกำลังอาลัยโศกเศร้า

พร้อมกันนั่นคือ การเข้าไปซื้อบริษัทถ่านหินที่อินโด และการดำเนินการเข้ายึดป่าชุมชนต่างๆเพื่อประเคนให้นายทุนต่างชาติ

ในสิ่งที่ได้เห็นมาในช่วงไว้อาลัย ไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะเทียบได้กับการยํ่ายีเช่นนี้ แม้แต่การกระทำของกระเทยตนหนึ่งที่หลบอยู่ฝรั่งเศสยังจะไม่ได้เสี้ยวหนึ่งในสิบหกของบุคคลเหล่านี้ โดยสิ่งที่กระเทยตนนั้นได้กระทำ แม้จะตํ่าทรามเพียงใด ก็ไม่ได้ทำลายสิ่งที่ท่านสร้าง ไม่ได้ทำลายสิ่งที่ท่านทุมเทด้วยชีวิตจิตใจ ไม่ได้ทำลายชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเกษตรกรของท่าน ไม่ได้ทำให้เขาต้องตกเป็นทาสของนายทุน … ไม่ได้ทำลายยํ่ายีอย่างที่เหล่าทหารโสเภณีหน้าไหว้หลังหลอกเหล่านี้กระทำ

…................................

ในเรื่องของความจงรักภักดี....ก็แค่บังเอิญว่า ความจงรักภักดีของพวกเขา มันอยู่กับค่าคอมมิชชั่นเสียจนหมดใจ

(ขอบคุณ ภาพวาดในแบนเนอร์โดย Paweł Kuczyński)


รุ่งคุณ กิติยากร

(https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1784194591837849&set=a.1409401019317210.1073741839.100007419761220&type=3&theater)

ooo

อนาคตเบียร์ช้าง และซีพี หลังสิ้นรัชสมัยในหลวงรัชกาลที่ 9
https://web.facebook.com/roongunaml/posts/1784209388503036

เห็นคนแชร์ข้อเขียนของคุณรุ่งคุณ กิติยากร ที่เขียนถึงเจ้าสัวอันดับ1 และอันดับ 2 ผมเฉลยเลยว่าอันดับ (ตามความเข้าใจของคุณรุ่งคุณ)
อันดับ 1 คือเจริญ ศิริวัฒนภักดี เบียร์ช้าง
อันดับ 2 คือธนินทร์ เจียรวนนท์ เครือซีพี
แน่นอนว่าหลายเรื่องคือข้อเท็จจริง หลายเรื่องคือการตีความ

แต่ที่น่าสนใจคือนี่อาจจะเป็นครั้งแรก ๆ ที่มีการพูดถึง 2 เจ้าสัวในการสร้างภาพใกล้ชิดเพื่อหาประโยชน์ใส่ตน

พร้อม ๆ กับที่รุ่งคุณการวิจารณ์นโยบายของรัฐบาลคณะรัฐประหารด้วยว่า เอื้อต่อกลุ่มทุน 2 กลุ่มนี้จนเกินงาม

(เอาเข้าจริงไม่เพียงแต่นโยบายเกษตรเท่านั้นนโยบายอื่นเช่นโทรคมนาคม เครือซีพีก็เอาเปรียบคนอื่นจนน่าเกลียด)

ทั้งหมดนี่เป็นแค่หนังตัวอย่างเท่านั้น ว่ากลุ่มทุนที่อาศัยบารมีฯ นั้นจะอยู่อย่างไร



Thanapol Eawsakul

ooo






อีกเหตุผลที่นายทุนไทย ที่ไร้ความสามารถในการแข่งขันชอบระบอบรัฐประหาร

นายทุนไทยความสามารถในการแข่งขันต่ำ

การวิ่งเข้าหาอำนาจรัฐในสภาวะที่ไม่ปกติ จึงเป็นการลงทุนที่ง่ายดี

เพราะถือเป็นการกีดกันคู่แข่งไปในตัว แม้จะจ่ายเศษเงินบ้างเล็กน้อยก็ตาม

กรณีซีพี ที่มี พล.องเปรม ประธานองคมนตรีเป็นที่ปรึกษากิติมศักดิ์ มี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา มท. 1 รัฐบาลชุดปัจจุบัน เป็นที่ปรึกษา
นอกจากธุรกิจใหม่ที่ได้รับอานิสงส์จากรัฐประหาร คือ

รถไฟฟ้าความเร็วสูง
ดู
"บิ๊กตู่"คอนเฟิร์ม! ดึง"ซี.พี.-ไทยเบฟ-BTS" ลงทุนไฮสปีด "พัทยา-หัวหิน"
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1425898836

และเรื่องหวย
ดู
เล็งขายหวย 80 บาทร้านสะดวกซื้อล็อตแรก มิ.ย.นี้
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1426302002

ธูรกิจที่ซีพีทำแล้วขาดทุนซ้ำซากคือมือถือ /โทรคมนาคม
ซีพียังได้รับผลประโยชน์จากการรัฐประหารอีกด้วย

ประมูล 4G ช้าใครเสียประโยชน์...
คนเสียประโยชน์เต็ม ๆ คือ true ของ ซีพี ที่มีเปรม ประธานองคนมนตรี เป็นที่ปรึกษากิติมศักดิ์ มีอนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นที่ปรึกษา ครับ

ดูเพิ่มเติมใน คิดยกกำลังสอง กับทีดีอาร์ไอ ตอน "ปริศนาอาถรรพ์ 4G" https://www.youtube.com/watch?v=WjciSUQjnuI


Thanapol Eawsakul added 2 new photos.
March 17, 2015


สำนักข่าวรอยเตอร์ส เสนอข่าว พระบรมฯเตรียมขึ้นครองราชย์ วันที่ 1 ธันวาคม - Exclusive: Thailand 'making preparations' for December 1 succession




Thailand's Crown Prince Maha Vajiralongkorn attends an event commemorating the death of King Chulalongkorn, known as King Rama V, as he joins people during the mourning of his father, the late King Bhumibol Adulyadej, at the Royal Plaza in Bangkok, Thailand, October 23,...REUTERS/Athit Perawongmetha


Exclusive: Thailand 'making preparations' for December 1 succession


Mon Oct 31, 2016
Reuters

Thailand is making preparations for Crown Prince Maha Vajiralongkorn to ascend the throne on Dec. 1, two senior military sources with knowledge of the matter said.

The death of King Bhumibol Adulyadej on Oct. 13 at the age of 88 has plunged the Southeast Asian nation of 67 million people into a year of mourning.

News of the December timeframe follows the prince's departure for Germany at the weekend where he had personal business to attend to, one senior military source told Reuters, adding that the prince would return in November.

"We are making preparations. Everything is being prepared for Dec. 1," said another senior military source who declined to be identified. "But this timeframe also depends on His Royal Highness."

Prime Minister Prayuth Chan-ocha had said the prince's formal ascension could be within seven to 15 days of the king's death, or later.

Speaking on behalf of the prince hours after King Bhumibol's death, Prayuth said the prince wanted to grieve with the people and leave the formal succession until later, when parliament will invite him to ascend the throne.

His formal coronation, however, cannot take place until after the king's cremation in a year's time.

FACE OF ESTABLISHMENT

Prem Tinsulanonda, 96, who was head of the powerful Privy Council and is known as the face of Thailand's traditional establishment, is acting as regent until the new king is named.

Thailand's strict lese-majeste laws have left little room for public discussion about the succession. The laws have also severely curbed public discussion about the prince, who does not enjoy the same level of public support as his father.

Thailand has weathered more than a decade of political upheaval that has pitted the royalist-military establishment against populist political forces.

The latest chapter was a May 2014 military coup which removed the government of prime minister Yingluck Shinawatra and which the military said it carried out to end Thailand's cycle of political instability.

Kan Yuenyong, executive director of the Siam Intelligence Unit think-tank, said he did not foresee any political violence over the next year but added that political divisions would resurface if the succession did not go smoothly.

"Political tensions might warm up again and struggles could follow," he said.

Thailand's baht has slid 0.9 percent throughout October amid concern the king's death may increase political uncertainties and hurt economic activity in the near term.


(Reporting by Amy Sawitta Lefevre; Editing by Bill Tarrant, Robert Birsel)


‘บิ๊กตู่’ถกแก้ข้าวราคาตกต่ำ ‘แฉ’ฝีมือนักการเมืองร่วมโรงสี ช่วยกันกดราคา (คลิป) - ประเทศนี้ไม่มีนักการเมือง(จากการเลือกตั้ง)มา2ปีแล้วนะครับ เห็นท่านโทษนักการเมือง โทษทักษิณ กลุ่มการเมืองเดิมอะไรของท่านมาตลอด-พลเมืองโต้กลับ



.....


‘บิ๊กตู่’ถกแก้ข้าวราคาตกต่ำ ‘แฉ’ฝีมือนักการเมืองร่วมโรงสี ช่วยกันกดราคา (คลิป)


บิ๊กตู่’ถกปัญหาข้าวตกต่ำ ‘แฉ’นักการเมืองอยู่เบื้องหลัง กำหนดราคาให้ชาวนาขัดแย้ง-ต่อต้านรัฐบาล ลั่นแม้รัฐขาดทุน ก็จะช่วยชาวนา




ที่มา มติชนออนไลน์
31 ต.ค. 59


เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 31 ตุลาคม ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวช่วงต้นของการประชุมว่า ขอขอบคุณข้าราชการทุกหน่วยงานที่ได้ร่วมทำงานอย่างต่อเนื่อง และในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาข้าวเปลือกตกต่ำ โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิมีปัญหา ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นมาจาก 2 ประเด็น คือ 1.การปรับโครงสร้างการเกษตรที่ยังไม่สามารถดำเนินการได้ครบวงจร ยังมีปัญหาอยู่ยังทำไม่ได้ 100% ก็จะทำให้เกิดปัญหาอย่างแน่นอน 2.การเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งมีการร่วมมือกันระหว่างนักการเมืองในพื้นที่ ร่วมกับโรงสีบางโรงสี ในการกำหนดราคาข้าวให้ต่ำลง โดยหวังให้เกิดประเด็นต่อประชาชนให้เกิดการต่อต้านหรือขัดแย้งกับรัฐบาล ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ต้องสร้างความเข้าใจทั้งระบบ โดยการประชุมในวันนี้จะมีการประชุมให้ได้ข้อยุติ

“การทำอะไรจะต้องมีก๊อก 2 ไว้อยู่เสมอ เพราะไม่มีปัญหาใดที่เป็นปัญหาที่ซับซ้อนยาวนานอย่างปัญหาในเรื่องของข้าวและการเกษตร น้ำ ที่จะสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยวิธีการเดียว ดังนั้นเราจำเป็นต้องหาวิธีการที่เหมาะสมตามห้วงเวลา พร้อมทั้งขอให้กำหนดมาตรการการช่วยเหลือ และการดูแลในข้อกฎหมายเพื่อทำให้เกิดความรัดกุม โดยต้องได้ข้อสรุปโดยเร็วที่สุด อย่าให้เกิดกรณีเหมือนที่ผ่านมา ทั้งนี้หน่วยงานของรัฐ ทั้งหน่วยราชการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและหน่วยงานด้านงบประมาณ ที่เป็นรัฐวิสาหกิจของรัฐบาล จำเป็นต้องหามาตรการช่วยเหลือที่อาจมีความแตกต่างจากการแก้ปัญหายามปกติ แม้รัฐบาลจะต้องขาดทุนหรือไม่ก็ตาม แต่ก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องดูแลอยู่แล้ว การประชุมวันนี้ขอให้ดำเนินการโดยใช้เวลาให้น้อยที่สุด มีข้อตกลงได้ในที่ประชุมและสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้ในวันพรุ่งนี้ทันที เพราะไม่เช่นนี้ก็จะถูกบิดเบือนไปเรื่อยๆจนกลายเป็นปัญหาทำให้การบริหารงานด้านอื่นๆ มีปัญหาตามมาด้วย” นายกรัฐมนตรีกล่าว


'สมคิด จาตุศรีพิทักษ์' บอกว่า ศักยภาพไทยเข้มแข็ง จะขยายได้ 3.5% และจะมีข่าวดีเรื่องการส่งออกและการลงทุนออกมาเรื่อยๆ ... ‘พิชัย’ ย้อน ‘สมคิด’ ให้ไปถามประชาชนส่วนใหญ่ว่าเศรษฐกิจดีจริงหรือไม่ และอยากให้ตอบ 6 คำถาม





‘พิชัย’ ย้อน ‘สมคิด’ ให้ไปถามประชาชนส่วนใหญ่ว่าเศรษฐกิจดีจริงหรือไม่ และอยากให้ตอบ 6 คำถาม


ที่มา มติชนออนไลน์
31 ต.ค. 59

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ตามที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ ออกมาบอกว่า ศักยภาพไทยเข้มแข็ง จะขยายได้ 3.5% และจะมีข่าวดีเรื่องการส่งออกและการลงทุนออกมาเรื่อยๆ ซึ่งหากถามประชาชนส่วนใหญ่จะเห็นตรงข้ามกับนายสมคิดอย่างแน่นอน โดยเฉพาะเกษตรกร เพราะไปที่ไหนประชาชนก็บ่นถึงความลำบากในภาวะเศรษฐกิจอย่างมาก จึงอยากให้นายสมคิดได้ลองเดินสำรวจความเป็นอยู่ของประชาชนทั่วไปบ้าง ดังนั้นจึงอยากขอให้นายสมคิดตอบข้อสงสัย 6 ข้อดังนี้

1.ที่บอกว่าศักยภาพไทยเข้มแข็ง แล้วปัจจุบันไทยขยายตัวได้เต็มศักยภาพหรือไม่? เหตุใดไอเอ็มเอฟและเวิลด์แบงก์ถึงบอกว่าไทยขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพมาก และแนวโน้มอนาคตจะเป็นอย่างไรถ้าการลงทุนและการส่งออกยังมีระดับต่ำมาก

2.เป็นที่ทราบดีว่าการที่บอกว่าไทยจะเติบโตได้ 3.5% นั้น ซึ่งจะเติบโตต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมด อยากให้นายสมคิดชี้แจงว่ารัฐบาลได้ใช้เงินอัดฉีดไปเป็นจำนวนกี่แสนล้านบาท และทำไมใช้เงินมหาศาลแต่ขยายตัวได้เพียงเท่านี้ แล้วอนาคตจะมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องได้อย่างไรจากภาวะปัจจุบัน อีกทั้งการขยายตัวดังกล่าวเงินไปกระจุกอยู่ที่ไหน ทำไมจึงไม่ถึงมือประชาชนส่วนใหญ่

3.การที่นายสมคิดดีใจว่าการส่งออกเป็นบวก 2 เดือนติดกัน หลังจากที่การส่งออกแท้จริงติดลบมาก่อนหน้านี้ 19 เดือน จึงอยากถามนายสมคิดว่าทราบไหมว่าการส่งออกในปีนี้ถึงปัจจุบันต่ำสุดในรอบ 6 ปี ถึงแม้ขยายตัวบ้างแต่โอกาสจะเป็นบวกยังมีน้อย และรับรองได้ว่าไม่มีทางขยายถึงปีละ 5% ตามที่นายสมคิดยืนยันไว้ตอนต้นปี

4.อยากให้นายสมคิดแถลงตัวเลขการลงทุนจากต่างประเทศที่ลงทุนจริงว่ามีปริมาณเท่าไหร่ หลังจากที่ครึ่งปีแรกเหลือแค่หมื่นกว่าล้านบาท หรือหายไปเกือบ 100% ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี และในครึ่งปีหลังการลงทุนได้ฟื้นขึ้นมาเท่าไหร่ คิดเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ของภาวะปกติที่มียอดการลงทุนปีละกว่าล้านล้านบาท และอยากให้ชี้แจงว่าผลกระทบจากการลงทุนลดลงมาก จะมีผลต่ออนาคตของประเทศอย่างไร และจะมีประโยชน์อะไรที่ความสะดวกในการทำธุรกิจของไทยเพิ่มขึ้นมาอยู่อันดับที่ 46 แต่ไม่มีใครมาลงทุนและทำธุรกิจด้วย

5 ความเดือดร้อนของชาวนาปัจจุบันจากราคาข้าวที่ตกต่ำมากสุด นายสมคิดจะช่วยเหลืออย่างไร โดยก่อนหน้านี่นายสมคิดเคยประกาศว่าจะไม่มีโครงการอุดหนุนสินค้าเกษตร

6.อยากให้นายสมคิดชี้แจงว่าเศรษฐกิจไทยในอนาคตจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องได้ด้วยเครื่องยนต์เศรษฐกิจใด เพราะเท่าที่เห็นทุกเครื่องยนต์ทำท่าจะดับหมดแล้ว และนายสมคิดได้แก้ไขเสาหลักเศรษฐกิจที่เสื่อมที่เคยวิจารณ์ไว้เองเหล่านี้อย่างไรบ้าง

ดังนั้น จึงอยากให้นายสมคิดได้รับรู้ความรู้สึกของประชาชนส่วนใหญ่ที่ลำบากกันอย่างมาก และอยากให้แก้ปัญหาให้ถูกทาง หากนายสมคิดยังเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจดีในขณะที่คนเกือบทั้งประเทศเห็นตรงข้าม นายสมคิดก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ ประชาชนก็จะยิ่งลำบากกันมากขึ้น และอยากให้กำลังใจให้แก้ปัญหาได้จริงๆ ไม่ใช่แค่พูด

.....



บางความตายถูกกลบฝังให้หลงลืม เราไม่ลืมนวมทอง





บางความตายถูกกลบฝังให้หลงลืม


Mon, 2016-10-31
ปณิธาน เมฆาวงษ์

ที่มา ประชาไท

ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน ตัวเลขการการอัตวินิบาตกรรมของคนไทยทั้งประเทศ ซึ่งรวบรวมเอาไว้โดยศูนย์ป้องกันการฆ่าตัวตายแห่งชาติ อยู่ที่ 3,612 คน และดูทิศทางที่จะมีอัตราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยตัวเลขล่าสุดของปี 2558 ระบุว่ามีคนไทยฆ่าตัวตายไปแล้วทั้งสิ้น 4,205 คน

ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าสังคมไทยให้คุณค่ากับการฆ่าตัวตายไว้ว่าอย่างไร ไม่รู้ว่าสังคมไทยยังมองเห็นการฆ่าตัวตายเป็นปัญหาของสังคมอยู่หรือไม่ เรายังมองเห็นว่าการฆ่าตัวตายคือการกระทำของคนขี้ขลาดเพื่อหนีปัญหาอยู่เปล่า แต่สำหรับผม ผมเลิกคิดว่าการฆ่าตัวตาย หรืออัตวินิบาตกรรมคือความขี้ขลาดไปตั้งนานแล้ว หลังจากที่เริ่มสนใจการเมือง และพบกับเรื่องของชายที่ชื่อ "นวมทอง ไพรวัลย์" เพราะเขาฆ่าตัวตายเพื่อลบคำสบประมาทของรองโฆษก คมช. พันเอก อัคร ทิพโรจน์ ที่บอกว่า

"ไม่มีใครมีอุดมการณ์มากขนาดยอมพลีชีพได้"

ในคืนวันที่ 31 ต.ค. 2549 บริเวณสะพานลอย ถนนวิภาวดี ด้านหน้าสำนักงานสำนักพิมพ์ไทยรัฐ ชายชราวัย 60 ปี ตัดสินแขวนคอตายบริเวณนั้น พร้อมใส่เสื้อยึดสีดำ ด้านหลังของเสื้อมีข้อความประโยคหนึ่งของ กุหลาบ สายประดิษฐ์ หรือศรีบูรพา หนึ่งในนักเขียนคนสำคัญของสังคมไทย ที่เขียนว่า

"อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านแรงมหาประชาชน"

ส่วนด้านหน้าเป็นบทกวีของ รวี โดมพระจันทร์ ที่ว่า
"ตื่นเถิดเสรีชน
อย่ายอมทนก้มหน้าฝืน
ดาบหอกกระบอกปืน
หรือทนคลื่นกระแสเรา
แผ่นดินมีหินชาติ
ที่ดาดาษความโฉดเขลา
ปลิ้นปล้อนตะลอนเอา
ประโยชน์เข้าเฉพาะตน"

เขาใส่เสื้อดำตัวนี้ในวันที่แขวนคอ พร้อมกับทิ้งจดหมายลาตายที่เขียนด้วยลายมือตัวเองไว้หนึ่งฉบับ

ประโยคแรกในจดหมายฉบับนั้นเขียนไว้ว่า

“สวัสดีครับท่านพี่น้องประชาชนที่เคารพ เหตุที่กระผมทำการพลีชีพเป็นครั้งที่ 2 โดยการทำลายตัวเองเพื่อมิให้เสียทรัพย์เหมือนครั้งแรกก็เพื่อลบคำสบประมาทของท่านรองโฆษก คปค. ที่ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์หลายฉบับว่า ไม่มีใครมีอุดมการณ์มากขนาดยอมพลีชีพได้"

นั่นคือคำพูดของชายชราที่ก่อนหน้านี้เขาตัดสินใจฆ่าตัวตายโดยการขับรถแท็กซี่ชนกับรถถัง แต่ถึงที่สุดการกระทำครั้งนั้นมอบผลลัพธ์ให้เขาได้เพียงแค่ บาดเจ็บสาหัส ซี่โครงหัก 5 ซี่ ตาซ้ายบวมช้ำคางทะลุถึงภายในช่องปาก เขาเคยบอกว่าหลังจากที่รักษาตัวเสร็จจะกลับมาทำมาหากินขับรถแท็กซี่อีกครั้ง และจะไม่ก่อวีรกรรมอีก แต่กลับพบคำให้สัมภาษณ์สื่อของรองโฆษก คปค. เสียก่อน...

สำหรับผมนี่คือสิ่งที่ยืนยันว่า การฆ่าตัวตายไม่ใช่เรื่องขี้ขลาด แต่มันคือความกล้าหาญเสียมากกว่า ไม่รู้ว่ามาจนถึงวันนี้ผ่านไปแล้ว 10 ปี ยังมีใครจดจำชายที่ชื่อ นวมทอง ได้อยู่ไหม เพราะในสังคมที่ปกครองโดยผู้นำเผด็จการ บางความตายมักถูกกลบฝังให้หลงลืม โดยเฉพาะกับความตายของสามัญชน

และช่วงสุดท้ายของจดหมายลาตายของนวมทอง เขาเขียนเอาไว้ว่า “สุดท้ายขอให้ลูกๆ และภรรยาจงภูมิใจในตัวพ่อ ไม่ต้องเสียใจ ชาติหน้าเกิดมาคงไม่พบเจอการปฏิวัติอีก” ผมรู้สึกแปลกๆ บอกไม่ถูกอยู่เหมือนกัน ที่ผ่านมาแล้ว 10 ปี เราติดอยู่กับปัญหาเดิมๆ โดยที่ไม่ก้าวหน้าไปไหนเลย ซ้ำหนักเรากำลังถอยหลังไปไกล ไกลเสียจนเราไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย หรือทั้งหมดนี้คือร่องรอยแห้งเหือดในหัวใจของผู้ปกครอง

ปณิธาน เมฆาวงษ์
หนึ่งในสมาชิกขบวนการประชาธิปไตยใหม่

31 ตุลาคม 2559


หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกที่เพจเฟซบุ๊ก ขบวนการประชาธิปไตยใหม่

ooo


กวีประชาไท: เราไม่ลืมนวมทอง

Mon, 2016-10-31 18:40
ประชาไท


พงศ์ นัทธี

สองห้าสี่เก้า (2549) ตุลาลัย
ประวัติศาสตร์ ประชาชน จารึกไว้ว่า
อัตวินิบาตกรรม นั้นนำพา
สูญชีวา คนกล้า ท้าเผด็จการ

นวมทอง ไพรวัลย์
สิบ (10) ปี ผ่านผัน ในวันวาน
ขับแท็กซี่ ชนรถถัง รัฐประหาร
เพื่อต่อต้าน ประชาธิปไตย ที่ปิดลง

สองห้าสี่เก้า เขาสิ้นใจ
สามสิบเอ็ด (31) ตุลาลัย ชีพปลิดปลง
แด่...นวมทอง ไพรวัลย์ มั่นยืนยง
ตัวตาย นามดำรง คงนิรันดร์^^


ooo



http://prachatai.org/journal/2016/10/68608?utm_source=dlvr.it&utm_medium=twitter



ใครสถาปนารัฐธรรมนูญ และส่งกลับผู้ลี้ภัยการเมือง อภิปรายผ่านเฟชบุ๊คไล้ว์จากฝรั่งเศส ของสามนักวิชาการ ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล คุณเออเจนี่ เมริโอ และ ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ตอนจบของครั้งที่สอง



อันนี้น่าสนใจ ประเด็นใครสถาปนารัฐธรรมนูญ และส่งกลับผู้ลี้ภัยการเมือง

อภิปรายผ่านเฟชบุ๊คไล้ว์จากฝรั่งเศส ของสามนักวิชาการ ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล คุณเออเจนี่ เมริโอ และ ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ตอนจบของครั้งที่สอง

https://www.facebook.com/somsakjeam/videos/vb.100001298657012/1125312077522070/?type=2&theater


อจ.ปิยบุตรพูดถึงการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีเปลี่ยนแปลงคำปรารภของร่าง รธน. ๒๕๕๙ ที่ผ่านประชามติ เนื่องจากพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลฯ สวรรคต ว่าให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญเป็นผู้แก้ไข ด้วยเหตุผลว่า

ร่าง รธน. นี้พระมหากษัตริย์ยังไม่ได้ลงพระปรมาภิไธย ฉะนั้นจึงเป็นแต่เพียง 'ร่างฯ' ไม่ใช่รัฐธรรมนูญสมบูรณ์

ซึ่ง อจ.ปิยบุตร ยกข้อคิดขึ้นมาว่า นี่เป็นการตอกย้ำแนวความคิดที่นักกฏหมายมหาชนของ คสช. อย่าง อจ.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ พยายามชี้นำว่า พระมหากษัตริย์เท่านั้นที่เป็นผู้สถาปนารัฐธรรมนูญสำหรับประเทศไทย (ไม่ใช่ประชาชน)

โดยคุณเออเจนี่เสริมว่า เหมือนกับในยุโรปศตวรรษที่ ๑๙

และคุณเออเจนี่ (aka Mrs Saengkanokkul) เป็นผู้อภิปรายอย่างเด็ดเดี่ยวในประเด็นที่มีข่าวว่ารัฐบาล คสช. ร้องขอต่อรัฐบาลต่างประเทศให้ส่งผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพสถาบันกษัตริย์กลับไปดำเนินคดีในประเทศไทย

คุณเออเจนี่ยืนยันเด็ดขาดว่าเป็นไปไม่ได้ ไม่มีหลักกฎหมายใดในประเทศที่มีผู้ลี้ภัย ๑๑๒ อาศัยอยู่เปิดช่องให้ทำได้

ในเมื่อบุคคลได้รับสถานะผู้ลี้ภัยแล้วจะจับตัวพวกเขาส่งกลับไปรับการลงโทษอีก

เช่นเดียวกับการร้องขอต่อ 'อินเตอร์โพล' ก็เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน เนื่องจากอินเตอร์โพลไม่ได้ดำเนินงานในคดีการเมืองอย่าง ม.๑๑๒ ของไทย ส่วนใหญ่จะทำเรื่องการลักลอบสินค้าต้องห้ามระหว่างประเทศ

อจ. ปิยบุตรเสริมว่า เว้นแต่ผู้หลบหนีจะยังไม่ได้สถานะผู้ลี้ภัย แล้วมีการตกลงระหว่างสองรัฐบาลเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งก็ยากเพราะไม่มีประเทศไหนมีกฎหมาย ๑๑๒ อย่างของไทย

คุณเออเจนี่สำทับว่า อย่าไปลี้ภัยอยู่ประเทศจีน บรูไน ซาอุดิอาราเบีย เหล่านี้เป็นต้นก็แล้วกัน

.....

ตอนแรก "วิกฤติทางรัฐธรรมนูญ" ในปัจจุบัน


https://www.facebook.com/somsakjeam/videos/1124687257584552/


ฆ่าข้าว-ฆ่าคน





ฆ่าข้าว-ฆ่าคน (จ. 31 ต.ค. 59)

ใครสั่งฆ่าชาวนาไทยในวันนี้?
ก็ "คนดี" นครินทร์แผ่นดินเหลือง
ตัดวงจรช่วยชาวนาฆ่ากลางเมือง
แล้วกุเรื่องฉาวโฉ่โม้บรรลัย

ฉันรักลูกชาวนาอย่างที่สุด
ฉันเลยจุดไฟลนให้หม่นไหม้
ยึดอำนาจมาตลอดถอดปลั๊กไฟ
ให้แน่ใจว่าชาวนาต้องหน้าดำ

ผู้ดีไทยเขาฉลาดพิฆาตฆ่า
ใช้มายาสกปรกให้ตกต่ำ
ทุนชาวนามาได้เหมาะเพราะจำนำ
จึงเร่งนำปืนผามาฆ่าทุน

มาบัดนี้บี้ราคาจนสาหัส
หันหารัฐรัฐก็ด่าว่าสถุล
ผิดไม่รับรับแต่ชอบรอขอบคุณ
ช่างสถุลในวันนี้ผู้ดีไทย

หากไม่มีเสรีในแผ่นดิน
เลือดชาวนาก็ยังรินไม่สิ้นสมัย
ล้างความจนกันไม่สิ้นแผ่นดินไทย
เพราะจิตใจคนนำมันดำทมิฬ

จงช่วยจำ "อาชญากรรมจำนำข้าว"
สร้างเรื่องราวเลวร้ายทำลายสิ้น
ให้ชนชั้นของผู้ดีเขามีกิน
ด้วยหมดสิ้นกำลังขวัญวันชาวนา

แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่มีจบ
ชมทุกฉากให้ครบในวันหน้า
ผ่านระยะโง่งมตรมอุรา
แล้วนคราคลื่นเหียนจะเปลี่ยนแปลง.

จักรภพ เพ็ญแข
วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2559
นอกราชอาณาจักรไทย



"ฟลุค เดอะสตาร์"สลดใจ คสช.ทำลายชีวิตชาวนา สร้างความสูญเสียมากกว่า"จำนำข้าว"




https://www.youtube.com/watch?v=gvSftWI_n-8

"ฟลุค เดอะสตาร์"สลดใจ คสช.ทำลายชีวิตชาวนา สร้างความสูญเสียมากกว่า"จำนำข้าว"

jom voice

Published on Oct 30, 2016

นายพชร ธรรมมล หรือ "ฟลุค เดอะสตาร์" นักร้องชื่อดังที่ประกาศจะระดมเงินช่วยเหลือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีกระทรวงการคลั่งมีคำสั่งทางปกครองให้ชดเชยค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวจำนวน 3.5 หมื่นล้านบาทว่า เพราะต้องการปกป้องนายกรัฐมนตรีที่ ประชาชนเลือกเข้ามาและพยายามช่วยเหลือชาวนา แต่กลับถูกกลั่นแกล้งและใช้อำนาจที่ไม่ชอบธรรม ขณะที่ รัฐบาล คสช.ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจเข้ามา สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้กับประเทศชาติมากกว่าโครงการจำนำข้าวหลายเท่าตัว แต่กลับได้รับการนิรโทษกรรม และเมื่อเข้ามาแล้วไม่ได้แก้ปัญหาให้กับประชาชนเลย ดีแต่โทษคนอื่น โยนความผิดให้กับคนอื่นตลอดเวลา และชีวิตชาวนายุคนี้น่าสลดใจที่สุด เพราะ รัฐบาล คสช.ทำลายจนยากที่จะยืนอยู่ได้ ต้องช่วยเหลือตัวเองทุกอย่างแม้แต่ ต้องขายข้าวกันเอง

"ต้องเรียกรัฐบาลชุดนี้ว่า 'รัฐบาลลักหลับ'





เก็บมาจากหน้าเฟชบุ๊คของ 'ขบวนการประชาธิปไตยใหม่ New Democracy Movement' ตั้งข้อสังเกตุไว้ชวนให้ต้องตามไปคุ้ยหา ขุดมาตีแผ่ แพร่หลายให้รู้กันถ้วนทั่ว

อาจารย์ Charnvit Kasetsiri เรียกว่า 'The Sound of Silence.' ขณะที่มิตรเพจรายหนึ่ง Sopit Jitsai บอก "ต้องเรียกรัฐบาลชุดนี้ว่า 'รัฐบาลลักหลับ' ชอบทำอะไร ๆ ตอนประชาชนหลับ (เผลอ)"

ความเคลื่อนไหวในความเงียบ: คสช. ทำอะไรในสองสัปดาห์ที่ผ่านมา

ในช่วงเวลาแห่งความโศกเศร้าของประชาชนตลอดกว่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เกิดการดำเนินการจากภาครัฐภายใต้อำนาจของ คสช. มากมายหลายประการ หลายอย่างเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน สมควรจะได้รับความสนใจจากสังคมเป็นอย่างยิ่ง

ทว่ากลับไม่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากสื่อไม่ได้มีการนำเสนอเท่าที่ควร และรัฐก็ไม่เปิดเผยเรื่องราวความเคลื่อนไหวให้ประชาชนได้รับทราบมากนัก

จึงเกิดเป็นคำถามขึ้นว่า คสช. กำลังอาศัยโอกาสในช่วงเวลานี้ดำเนินการต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงแรงเสียดทานจากผู้ที่ไม่เห็นด้วยซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในช่วงเวลาปรกติหรือไม่

13 - 18 ตุลาคม กวาดจับนักศึกษารามฯ แถมอ้างกฎอัยการศึก บังคับใช้ข้ามจังหวัด

ส่งตัว 5 คนถูกจับย่านรามฯ ลงปัตตานี หลังใช้กฎอัยการศึกควบคุมต่อ
http://www.prachatai.org/journal/2016/10/68419

ใช้กฎอัยการศึกคุมตัว 5 คนที่จับย่านรามฯ ต่ออีก หลังครบ7วัน-เอ็นจีโอซัดผิดหลักกฎหมาย
http://www.prachatai.org/journal/2016/10/68402

กวาดจับนักศึกษารามฯ กว่า 40 คนจาก 3 จังหวัดใต้ หลังมีข่าวจับตาระเบิด กทม. ปล่อยแล้วบางส่วน
http://www.prachatai.org/journal/2016/10/68339

19 ตุลาคม ขึ้นค่าแรงไม่เท่ากันทั่วประเทศ

มติการประกาศปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำประจำปี 2560 ของคณะกรรมการค่าจ้าง 4 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ไม่ปรับค่าจ้างเลย 8 จังหวัด กลุ่มที่ 2 ปรับขึ้น 5 บาท เป็น 305 บาทต่อวัน 49 จังหวัด กลุ่มที่ 3 ปรับขึ้น 8 บาท เป็น 308 บาทต่อวัน 13 จังหวัด กลุ่มที่ 4 ปรับขึ้น 10 บาท เป็น 310 บาท 7 จังหวัด
http://voicelabour.org/?p=25065
http://www.mol.go.th/content/54024/1476874923

21 ตุลาคม แนะเกษตรกรปลูกข้าวโพดให้มอนซานโต้ และซีพี แทนปลูกข้าว

กระทรวงเกษตรฯ ทำเอ็มโอยูกับซีพี เบทาโกร และสมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทย (ที่มีมอนซานโต้และซีพีเป็นแกนสำคัญ) ส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เพื่อทดแทนข้าวในพื้นที่หลายล้านไร่
https://www.facebook.com/biothai.net/photos/a.467826533255873.100128.183063271732202/1217092938329225/?type=3&theater
http://www.thaigov.go.th/…/2012-08-15-09…/item/108303-108303





24 ตุลาคม จัดทีมส่องโซเชียล สแกนโพสต์หมิ่น ตลอด 24 ชั่วโมง
ก.ดิจิทัลฯ เฝ้าระวังเว็บหมิ่นฯ 24 ชม. ขออย่าไลค์-แชร์-คอมเมนต์ตอบโต้โพสต์ที่สุ่มเสี่ยง
http://www.prachatai.org/journal/2016/10/68501

25 ตุลาคม ครม. เห็นชอบซื้อหุ้นถ่านหินอินโดฯ พร้อมลุยเปิดเหมือง 3 จังหวัดชายแดนใต้

ครม.เห็นชอบ กฟผ. ควักกระเป๋า 1.17 หมื่นล้าน ซื้อหุ้นกิจการถ่านหินยักษ์ใหญ่ในอินโดนีเซีย ขณะที่ กพร.ลุยเปิดเหมืองใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ กับ 4 อำเภอ จ.สงขลา
http://www.greennewstv.com/ครม-ไฟเขียวซื้อหุ้นถ่าน/

25 ตุลาคม ทหาร สั่งห้ามสื่อมวลชนตรวจสอบโกดังข้าวที่ชัยนาท ปมบรรจุข้าวผิดชนิด

อลหม่านประมูลข้าวรัฐ หลัง "ทหาร"อ้างผู้ใหญ่สั่งห้ามนักข่าวตรวจสอบคลังสุดใจ จ.ชัยนาท บรรจุข้าวผิดชนิด
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1477396479

พล.อ.ประวิตร บอก "ไม่รู้" กรณีทหารห้ามสื่อตรวจสอบโกดังข้าวที่ชัยนาท
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1477462673

25 ตุลาคม ครม.เห็นชอบเงินกู้หมู่บ้านละ 2.5 แสน จากเดิมเคยได้หมู่บ้านละล้าน

ตามแนวประชารัฐ ครม.ไฟเขียวทุ่มงบ 1.8 หมื่นล้านให้หมู่บ้านละ 2.5 แสน
http://www.prachatai.org/journal/2016/10/68525

25 ตุลาคม เร่งจัดการคดีหมิ่น หลังยอดสูงถึง 20 คดี ใน 2 สัปดาห์

ตร.เร่งจัดการคดีหมิ่นฯ หลัง 13 ต.ค. ยอดพุ่งถึง 20 คดี
http://www.prachatai.org/journal/2016/10/68532





26 ตุลาคม ติดเครื่องพร้อมเดินหน้าเขตเศรษฐกิจพิเศษ ท่ามกลางเสียงค้านของชุมชน

ชาวบ้านสุดงง จังหวัดเชียงรายฉวยสถานการณ์โศกเศร้าเดินหน้าเขตเศรษฐกิจพิเศษ หวั่นขยายความขัดแย้ง-ตั้งท่าเอาป่าชุมชนบ้านบุญเรืองอีก สภาลุ่มน้ำอิงทำหนังสือค้าน
http://transbordernews.in.th/home/?p=14918
http://www.greennewstv.com/เล่นทีเผลอ-รัฐลุยยึดป่า/

28 ตุลาคม ตัดไม้ขยายถนน: ตัดไม้สัก 500 ต้น ขยายทางหลวงหมายเลข 11

กรมทางหลวงตัดเหี้ยน “สักทองยักษ์” แหล่งไม้ทำชิงช้าหน้าวัดสุทัศน์ ประชาชนมองตาปริบๆ
http://www.matichon.co.th/news/337898




ฝากข้อคิดไว้สำหรับคนไทยทุกคน (เสื้อดำ + คลิปหมิ่น)



https://www.facebook.com/KALALAND321/videos/901076000023183/


ชาวนาเมืองช้างกราบพระแม่โพสพช่วย หลังขาดทุนหนัก ราคาข้าวเปลือกตกต่ำในรอบ 50 ปี




https://www.youtube.com/watch?v=S8qUty50Knk&feature=youtu.be

ชาวนาเมืองช้างกราบพระแม่โพสพช่วย หลังขาดทุนหนัก ราคาข้าวเปลือกตกต่ำในรอบ 50 ปี

SURINTV

Published on Oct 27, 2016

ooo

เพลงโลละ5 บาท.


https://www.facebook.com/pink.aggie.1/videos/1172322712827262/


เสื้อแดงลองของ !!! อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ ใส่เสื้อแดงแห่งานกฐิน เป็นเรื่องจนได้



https://www.facebook.com/100013563761397/videos/160809777714480/


อีกเวอร์ชั่นจาก youtube



https://www.youtube.com/watch?v=QGpNPp8v7ew


Wind of Change เมื่อ “บิ๊กตู่” นิ่ง “ป๋าเปรม” ก็นิ่ง เปิดแพ็กเกจผบ.ทบ.บิ๊กตู่” “บิ๊กแดง-3 ต.” รับเปลี่ยนผ่าน





Wind of Change เมื่อ “บิ๊กตู่” นิ่ง “ป๋าเปรม” ก็นิ่ง เปิดแพ็กเกจผบ.ทบ.บิ๊กตู่” “บิ๊กแดง-3 ต.” รับเปลี่ยนผ่าน


มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 28 ตุลาคม - 3 พฤศจิกายน 2559


สถานการณ์ในช่วงนี้ ดูนิ่งสงบ คงมีแต่กระแสข่าวลือเท่านั้นที่ถาโถมอย่างไม่หยุดหย่อน

ท่ามกลางความเงียบงันของบ้านสี่เสาเทเวศร์ หลังจากที่ ป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ กลายเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน

ที่อาจจะไม่ค่อยได้เห็น พล.อ.เปรม ออกงานต่างๆ หรือการพระราชพิธีเท่าใดนัก

แต่มี นายธานินทร์ กรัยวิเชียร องคมนตรี ผู้ปฏิบัติหน้าที่ประธานองคมนตรี ออกงานแทน และ บิ๊กแอ้ด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีลูกป๋า ที่เชื่อกันว่าเป็นคนเดินงานของสำนักองคมนตรี ตัวจริง

โดยมีรายงานว่า พล.อ.เปรม ประสงค์ที่จะไม่ลงนามในเรื่องใดๆ ที่สำคัญเลย เพราะต้องการรอพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ มาเป็นองค์ผู้ทรงลงพระปรมาภิไธยด้วยพระองค์เอง โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

เนื่องจาก บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ได้ออกมาชี้แจงใหม่อีกครั้งแล้วว่า รัฐบาลจะเสนอให้ สนช. ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 23 ในการทำตามขั้นตอนการสืบราชสันตติวงศ์ หลังจากที่การพระราชพิธีถวายพระราชกุศลพระบรมศพ 15 วัน ผ่านไปแล้วระยะหนึ่ง

ย่อมหมายถึงการที่ พล.อ.เปรม จะดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน แค่ระยะสั้นๆ หรือแค่ 50 วันเท่านั้น

นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่องคมนตรีไม่มีมติเลือกประธานองคมนตรีใหม่ แต่แค่ให้นายธานินทร์ องคมนตรีที่อาวุโสสูงสุดรองจาก พล.อ.เปรม ปฏิบัติหน้าที่ประธานองคมนตรีเท่านั้น เพื่อเปิดช่องให้ พล.อ.เปรม กลับมาเป็นประธานองคมนตรีอีกครั้งเมื่อพ้นหน้าที่ผู้สำเร็จราชการฯ

แม้ในทางปฏิบัติแล้ว ย่อมเป็นพระราชอัธยาศัยของพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ ในการเลือกองคมนตรีและประธานองคมนตรี ด้วยพระองค์เอง

เหล่านี้ จึงทำให้เกิดข่าวลือต่างๆ ตามมาอีกมากมาย…

จนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องออกมาเตือนสังคม ไม่ให้เชื่อข่าวลือ และเตือนทุกฝ่ายที่พยายามปล่อยข่าวในเรื่องที่เกี่ยวกับสถาบัน

“ขออย่าเอาสถาบันลงมาเล่น อย่าเอาสถาบันมาเกี่ยวข้องกับการเมือง เพราะความเป็นจริงแล้ว สถาบันไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมืองเลย” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พร้อมกันนั้น คนไทยทุกคนต้องช่วยกันปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่สอดคล้องกับการที่รัฐบาล คสช. ส่งหนังสือแจ้งทูตในหลายประเทศ ที่มีคนที่มีคดีมาตรา 112 หลบหนีอยู่ ให้ความร่วมมือในการควบคุมคนเหล่านี้ ไม่ให้เคลื่อนไหวที่ทำร้ายจิตใจคนไทย

ท่ามกลางการเสนอข่าวและบทความของสื่อต่างประเทศ ที่จับตามองในช่วงการเปลี่ยนผ่านของไทย ในเชิงลบและวิพากษ์วิจารณ์

โดยมี พล.อ.เปรม เป็นคนที่ถูกจับตามองมากที่สุด…

ทั้งนี้ คนใกล้ชิดยืนยันว่า ตั้งแต่เป็นผู้สำเร็จราชการฯ นั้น พล.อ.เปรม ก็พำนักอยู่ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ตามปกติ ไม่ได้หายไปไหน ไม่ได้ไปพักแรมในต่างจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นสงขลา หรือนครราชสีมา เช่นที่มีข่าวลือออกมา

ส่วนการที่ไม่ค่อยเห็นป๋าเปรม ในการพระราชพิธีนั้น เพราะ พล.อ.เปรม ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ไปงานกฐินพระราชทานในหลายวัดหลวง แต่ก็ไปรับเสด็จฯ ในพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมศพ เมื่อครั้งสัตตมวาร 7 วัน และปัณรสมวาร ตอนครบ 15 วันเลย

“ป๋าเปรม ไม่ได้เครียดอะไรกับอนาคต” เสียงจากบ้านสี่เสาฯ

แต่กระนั้น ข่าวลือต่างๆ ก็ไม่หยุด ความหวาดหวั่นต่างๆ ของสังคมไทยในเวลานี้จึงนำไปสู่การจับตามองไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ และกองทัพ

แต่ด้วยเหตุที่เป็นนายกฯ ทหารเสือราชินี ซึ่งมีความจงรักภักดี และมีอำนาจสูงสุดในทางปกครอง ในเวลานี้ พล.อ.ประยุทธ์ เองก็ดูสงบ นิ่ง สุขุม เยือกเย็น แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ขณะที่กองทัพเอง แม้ บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ.คนใหม่ จะเป็นน้องรักรบพิเศษ ของ พล.อ.สุรยุทธ์ ลูกป๋า แต่ทว่า ก็อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ พล.อ.ประยุทธ์ แบบทหารอาชีพ

อีกทั้ง ผบ.หน่วยระดับคุมกำลังใน ทบ. นั้น ก็เป็นนายทหารที่เป็นคนของ พล.อ.ประยุทธ์ และ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม รวมทั้ง บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย หรือในนามของ 3 ป. ทั้งสิ้น

และด้วยความเป็นทหารอาชีพของ พล.อ.เฉลิมชัย ด้วยแล้ว ย่อมไม่มีการแตกแถวใดๆ

ด้วยเหตุนี้ ที่ทำให้ พล.อ.เฉลิมชัย ซึ่งรู้ดีว่า สถานการณ์ในเวลานี้ และข่าวลือต่างๆ รวมทั้งความหวาดหวั่นของประชาชน จากความไม่ชัดเจนนั้น เป็นสิ่งที่สะท้อนความหวาดกลัวต่อ “การเปลี่ยนแปลง” ที่กำลังจะเกิดขึ้น

“ผมรู้ว่าตอนนี้ทุกคน รวมทั้งผม กำลังเสียใจ และกลัวการเปลี่ยนแปลง” พล.อ.เฉลิมชัย ระบุ

“แต่เราต้องเอาพลังของการเปลี่ยนแปลงนั้นมาเป็นพลังในการทำงาน” ผบ.ทบ. ย้ำ

ปกติ พล.อ.เฉลิมชัย ก็เป็นนายทหารที่ใบหน้าดูเครียด และครุ่นคิดตลอดเวลาอยู่แล้ว ท่ามกลางสถานการณ์แบบนี้ จึงยิ่งถูกจับตามอง

“ไม่มีอะไร เมื่อเป็น ผบ.ทบ. ก็ทำงานเหมือนเดิม เพียงแต่บางอย่างเป็นเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ บางครั้งก็อาจจะคาดการณ์ยาก” บิ๊กเจี๊ยบ เปรย

แต่สิ่งที่ พล.อ.เฉลิมชัย เป็นห่วงนั้น น่าจะเป็นเรื่องการดูแลความสงบเรียบร้อยในภาพรวมมากกว่า ไหนจะความเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อการร้ายสากล ไหนจะกลุ่มก่อความไม่สงบในภาคใต้ ที่ออกมาก่อเหตุนอกพื้นที่ และมีการแจ้งเตือนว่า จะก่อวินาศกรรมในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งเหตุความรุนแรงในชายแดนภาคใต้

เขาจึงดึงเพื่อนรัก ตท.16 ที่เป็นนายทหารรบพิเศษ มาแท็กทีมการข่าว ทั้ง บิ๊กหน่อย พล.อ.ธนศักดิ์ เก่งถนอมม้า ที่ปรึกษาพิเศษ ทบ. และ บิ๊กจุ๋ม พล.อ.ราชรักษ์ เรียนพืชน์ ผอ.ททบ.5 จนถึงขั้นที่ชวนกันลงชายแดนใต้แล้วค้างคืนแบบเงียบๆ มาแล้ว

ในฐานะที่เป็นนายทหารรบพิเศษ ที่ทำงานการข่าว และปฏิบัติการลับมาตลอด จึงต้องเน้นเรื่องนี้อย่างมาก เพราะตอนนี้จะประมาทกลุ่มก่อความไม่สงบในชายแดนใต้ไม่ได้ เพราะอาจออกมาก่อเหตุนอกพื้นที่มากขึ้น

โดยเฉพาะในพื้นที่ชุมชนและคนหมู่มาก และประชาชนที่มาร่วมใจกันที่ท้องสนามหลวง และโดยรอบ เพื่อถวายความอาลัยแด่ “ในหลวง รัชกาลที่ 9”

เหตุผลที่ทำให้ พล.อ.เฉลิมชัย มอบหมายให้ บิ๊กแดง พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 และ ผบ.กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยของ คสช. กองทัพภาคที่ 1 ดูแลพื้นที่สนามหลวงและโดยรอบพระบรมมหาราชวัง

โดยมีการใช้กำลังทหารของกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) ขุมกำลังปฏิวัติสำคัญของกองทัพภาคที่ 1 ที่ส่วนใหญ่มีที่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพฯ ด้วยการใช้กำลังทหาร 50 กองร้อย ดูแล และเตรียมไว้อีก 150 กองร้อยที่หมุนเวียนมาเสริม

จนทำให้กองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยของ พล.1 รอ. ที่วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์นั้น เต็มไปด้วยทหาร จนบางครั้งก็ทำให้เกิดข่าวลือไปต่างๆ นานา

โดยมีรองแม่ทัพภาคที่ 1 ที่มีอยู่ทั้ง 3 คน แบ่งงานกันมาบัญชาการดูแลพื้นที่เองตลอด 24 ช.ม. ทั้ง บิ๊กโอ พล.ต.พงษ์สวัสดิ์ พรรณจิตต์ ที่มาดูแลในภาพรวม ส่วน บิ๊กหนุ่ย พล.ต.ธรรมนูญ วิถี ดูแลในเรื่องการรักษาความปลอดภัยและการจราจร และ บิ๊กติ่ง พล.ต.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ ดูแลเรื่องการช่วยเหลือ ดูแลอำนวยความสะดวกให้ประชาชน

เรียกได้ว่า งานนี้เป็นการวัดฝีมือในการทำงานของรองแม่ทัพภาคที่ 1 ทั้ง 3 คนไปในตัวเลยก็ได้ ประหนึ่งว่า ใครจะได้เข้าไลน์ ในการโยกย้ายใหญ่ครั้งหน้า

เพราะเชื่อกันว่า บิ๊กตู่ พล.ท.กู้เกียรติ ศรีนาคา แม่ทัพน้อยที่ 1 น้องรักสายบูรพาพยัคฆ์ ของบิ๊กป้อมและบิ๊กตู่ จะได้ขึ้นแม่ทัพภาคที่ 1 ต่อจาก พล.ท.อภิรัชต์ เพื่อนรัก ตท.20 แล้วให้ พล.ต.พงษ์สวัสดิ์ เพื่อนอีกคน ขึ้นมาเป็น พลโท แม่ทัพน้อยที่ 1

แต่ก็ต้องยอมรับว่า พล.ท.อภิรัชต์ ก้าวล้ำนำหน้าเพื่อน ตท.20 ไปแล้วหลายช่วงตัว เพราะถือว่าเข้าไลน์สู่ 5 เสือ ทบ. และชิงเก้าอี้ ผบ.ทบ. ต่อจากนี้ เพราะเขามีอายุราชการถึงกันยายน 2563 จนกลายเป็นความหวังของวงศ์เทวัญ และ “ราบ 11 คอนเน็กชั่น” เลยทีเดียว

นี่อาจมีส่วนที่ทำให้ พล.ท.อภิรัชต์ เมื่อขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ดูเงียบ นิ่ง สุขุม มากขึ้น และอาจจะไม่ค่อยพูดคุย ให้สัมภาษณ์สื่อ เท่าใดนัก

ขณะที่ พล.ต.ธรรมนูญ และ พล.ต.สันติพงศ์ เพื่อน ตท.22 ที่เป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 คู่กันนั้น ก็เป็นแคนเดิเดตที่จะขึ้นแม่ทัพภาคที่ 1 คนต่อไป ที่อาจจะสะเทือน พล.ต.พงษ์สวัสดิ์ ที่อาจต้องขยับไปเป็น พลโท ตำแหน่งอื่น เพื่อหลีกทางให้น้องๆ ขยับขึ้น ก็เป็นได้

แต่ก็ต้องยอมรับว่า ในสถานการณ์ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ลงมาจัดโผทหารครั้งที่แล้วเอง ในการเลือก ผบ.ทบ. และแม่ทัพภาคที่ 1 รวมทั้งอีกหลายตำแหน่ง ทำให้ พล.ต.สันติพงศ์ อาจมีความได้เปรียบ พล.ต.ธรรมนูญ

ด้วยเหตุที่ พล.ต.สันติพงศ์ เป็นอดีต ผบ.ร.21รอ. เป็นน้องรักของ พล.อ.ประยุทธ์ แถมมีอายุราชการถึงกันยายน 2565 เลยทีเดียว

เนื่องจากในสายทหารเสือราชินี เวลานี้มีการวางตัวนายทหารที่จ่อคิวขึ้นไลน์เส้นทางเหล็กกันไว้แล้ว เช่น บิ๊กต่อ พล.ต.เจริญชัย หินเธาว์ ผบ.พล.ร.2 รอ.คนใหม่ อดีต ผบ.ร.21 รอ. น้องรักนายกฯ ซึ่งเป็นเตรียมทหาร 23 ที่มีอายุราชการถึงปี 2567 เลยทีเดียว และมี เสธ.ตั้ม พ.อ.วรยุทธ แก้ววิบูลย์พันธุ์ แกนนำ ตท.24 ขยับจาก ผบ.ร.21 รอ. ขึ้นมาเป็น รอง ผบ.พล.ร.2 รอ. จ่อไว้แล้ว

เหล่านี้ ถูกมองว่าเป็นการมองการณ์ไกลของ พล.อ.ประยุทธ์ ในการเตรียมวางตัวนายทหารที่เหมาะสมเอาไว้รองรับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในอนาคต ช่วงการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง

ที่เชื่อกันว่า ไม่ว่าจะเลือกตั้งสูตรไหน จัดตั้งรัฐบาลแบบใด นายกรัฐมนตรีในอนาคตอันใกล้นี้ ก็จะยังชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ต่อไป ที่ก็ย่อมมีกองทัพ พร้อมที่จะสนับสนุนดูแล ปกป้อง ไม่ให้ใครเบื่อบิ๊กตู่ ง่ายๆ ในเวลานั้น หากต้องอยู่นาน

อีกทั้งสถานการณ์จากนี้ไป ก็เป็นจังหวะที่เอื้อให้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับฉันทานุมัติว่า เป็นนายกฯ ทหารที่เหมาะสมที่สุด ในการดูแลชาติบ้านเมือง เฉกเช่นเดียวกับในเวลานี้

ที่สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวที่มีมาตลอด ในการตั้งพรรคทหาร หรือพรรคนอมินีของทหาร ที่ก็ต้องมีข่าวพาดพิงโยงใยไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ และโดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตร เสมอๆ

ตั้งแต่ พรรคภูมิใจไทย หรือความเคลื่อนไหวของสาย “เนวิน ชิดชอบ” และ เจ้าสัวคิง เพาเวอร์ จนมาถึงพรรคอธิปไตยปวงชนชาวไทย ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ต้องออกมาปฏิเสธทุกครั้ง พร้อมยืนยันว่า ทั้งตนเองและ พล.อ.ประวิตร จะไม่ตั้งพรรคและไม่เล่นการเมือง

แต่งานนี้ก็ทำให้ บิ๊กแช พล.ท.วิชัย แชจอหอ แม่ทัพภาคที่ 2 ที่เป็นสายตรงของบิ๊กป้อม ก็ถูกจับตามอง เพราะมีการอ้างความเคลื่อนไหวของทหารในกองทัพภาคที่ 2 กับบิ๊กป้อม อยู่เนืองๆ แม้แต่ล่าสุด

อาจด้วยเพราะ พล.ท.วิชัย ถูกมองว่าเป็นแคนดิเดตชิงเก้าอี้ ผบ.ทบ. ในอนาคตได้อีกคนหนึ่ง เพราะมีอายุราชการถึงกันยายน 2562 เลยทีเดียว และเป็นนายทหารอีสาน ที่ทำหน้าที่ทหารเสือฯ ติดตามเสด็จฯ มายาวนาน จึงทำให้ถูกจับตามองในทุกย่างก้าว

เช่นเดียวกับความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ในยามนี้

ว่ากันว่า การเมืองไทยในเวลานี้ ยากแก่การคาดการณ์ และเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และอาจมีเรื่องคาดไม่ถึง เกิดขึ้นได้เสมอด้วย

The Darker Side of Thai Royalism : While most Thais mourn their late king with decorum, a sinister ultra-royalism rears its ugly head





The Darker Side of Thai Royalism


While most Thais mourn their late king with decorum, a sinister ultra-royalism rears its ugly head.

By James Buchanan
October 26, 2016
The Diplomat

Thailand is now shrouded in black as it mourns the death of King Bhumipol Adulyadej, who passed away on October 13, at the age of 88. His 70 years on the throne made him the world’s longest reigning monarch, as well as a figure who towered over all aspects of Thai life. He was considered by some in the country to be semi-divine.

Amidst a flurry of internet speculation, a palace document confirming his death was published online by local media. An official announcement on all television channels followed some time later, read by a news presenter sitting in front of a black studio backdrop, dressed in a black suit, shirt, and tie. He solemnly informed viewers that the king had “reached the heavens,” before introducing a broadcast by Prime Minister Prayut Chan-o-cha.

The prime minister — a retired general who seized power in a coup d’état in 2014 — lamented that the death of the monarch was a tragedy for the people of Thailand, adding that the king was “loved and adored by all.” He then announced that the government would observe one year of mourning and requested that Thais refrain from participating in any “joyful events” for a period of 30 days. Television channels, newspapers, and websites adopted a sorrowful monochrome appearance to pay their respects.Enjoying this article? Click here to subscribe for full access. Just $5 a month.

The following day, the late king made his final journey from Bangkok’s Siriraj Hospital — his home for much of his twilight — to the Grand Palace, where his body would be given traditional bathing rites. Large crowds of black-clad Thais lined the streets along the way, sitting for hours in the oppressive afternoon heat as they awaited his arrival. Some sobbed quietly, wiping tears from their faces. Others carried the late king’s portrait with them, clutching it preciously and holding it above their heads. When his motorcade drove slowly passed, a deathly silence fell on the crowd — collective grief and historical gravity combining to give the moment a somber but peaceful dignity.

But not all Thais have behaved with the same level of decorum since the announcement. While the majority mourn quietly and inwardly, others have turned grief into rage, lashing out at those they accuse of paying insufficient respect to the late monarch. Such incidents have been occurring on an almost daily basis, sullying the mourning period and revealing the darker side of royalism in Thailand.

Ultra-Royalist Mobs

On October 14, as night fell on the newly grieving country, a large, angry crowd gathered outside a small shophouse in Phuket. Dressed in black, they demanded the arrest of a young man inside, who they accused of disrespecting the royal family on social media. A thick line of police officers was needed to keep the outraged mob back from the shop. It took several hours to calm the throng, which eventually dispersed at around 3 am. The man at the center of the allegations was then charged with royal defamation, only to be released shortly afterwards due to lack of evidence. The organizers of the witch-hunt remained unsatisfied, vowing to pursue the matter further.

Thailand’s strict lèse-majesté law punishes offenses against the monarchy with up to 15 years in prison. Multiple cases can be brought against a defendant at the same time — in 2015, a man charged with six counts of defaming the institution faced being sentenced for 60 years. This was eventually reduced to 30 years after he pleaded guilty, as is customary in such cases. The much-criticized law is loosely defined and broadly interpreted. Trials are conducted behind closed doors.

The night after the incident in Phuket, the same occurred in Phang Nga province. An angry crowd of royalists dressed in black surrounded a roti shop, demanding an apology from the owner’s son, who was accused of disrespecting the late king. The young man had commented on social media that the outpouring of grief since the monarch passed away was excessive. He also queried if people had ever expressed as much love for their own father as they have done for the king, who is often described as the “father” of the nation. Again, a heavy police presence was needed to placate and disperse the mob.

A spate of similar incidents followed soon after. In Koh Samui, a 43-year-old woman accused of insulting the monarchy was forced by police to prostrate herself in front of the king’s portrait, while an angry, jeering crowd looked on. She, too, is likely to face lèse-majesté charges.

In Bangkok, an elderly woman was hounded off a public bus by other passengers, who accused her of disrespecting the monarchy. After she climbed down from the bus, a black-clad onlooker gave her a hard slap to the face and rebuked her. When police and military arrived on the scene, the assailant and bus passengers called for the elderly lady to be arrested. It was later disclosed that she suffers from mental illness.

And in Chonburi, a young man was hunted down by vigilante royalists after allegedly making an offensive remark about the monarchy on Facebook. He was snatched from his home by the mob, beaten, and forced to kowtow to a portrait of the late king — then kicked in the face as he did so.

Reactions to these events have been varied. For some Thais, they are indicative of the intense pressure to conform to prescribed notions of royal-nationalism. For others, the mobs are entirely justified and those who disrespect the monarchy must be severely punished. When clips, photos, and — in some cases — live feeds of the incidents were posted online, many of the comments were disturbing.

Thousands of social media users have incited the mobs to violence, encouraging them to attack the victims of the witch-hunts. Posts used the Thai pronoun “it” to refer to the perceived wrong-doers, which is not only considered rude in Thai language, but also has a dangerous, dehumanizing effect. Some comments told the mobs to vandalize and burn down the shophouses the victims were taking refuge in. Others suggested they be forced to leave the country and go live elsewhere.

Dark Histories

This toxic blend of ultra-royalist nationalism and lynch-mob mentality is not new in Thailand.

On October 6 this year, events were held to commemorate the 40th anniversary of the student massacre at Thammasat University. The atrocity — considered one of Thailand’s darkest moments — was sparked by rumors that protesting students had disrespected the monarchy. Heavily-armed state security forces and far-right paramilitary groups then attacked and besieged the campus in Bangkok’s historical quarter.

Officially, 46 students were killed in the attack, although the real figure could be more than 100. Some students were shot on campus; others escaped by jumping into the adjacent Chao Phraya river, only to be shot in the water by naval vessels. Others, still, were beaten to death by vigilantes as they tried to escape, their corpses brutalized and set on fire. The atrocity continued for hours, interrupted only when dark clouds unleashed a heavy rainstorm.

An iconic photograph from the massacre shows one student’s battered, lifeless body hanging from a tree, neck stretched, as a man prepares to strike its head with a folding chair. A crowd of young men and boys stand watching, some with broad smiles on their faces. To many Thais, the grotesque image has become a powerful symbol of the latent violence lurking just below the surface of their society.

This violence is particularly apt to erupt when people believe the official state ideology of Nation, Religion, and King is threatened. In 2006, a mentally ill man destroyed a revered Brahman statue in central Bangkok’s Erawan Shrine with a hammer. He was soon attacked by a mob of onlookers and beaten to death.

Both nationalism and royalism were exploited by the Yellow Shirt movement against Thaksin Shinawatra. The former prime minster came under criticism for “selling the nation” when he offloaded his family’s share of the telecommunications company Shin Corporation to the Singapore-based Temasek Holdings. He was also accused of being disrespectful to the king — an allegation that was eventually cited by the military as a justification for toppling him in 2006.

When the largely pro-Thaksin Red Shirt movement emerged some time afterwards, they, too, were criticized for harboring anti-monarchy sentiments. The claim — which was exaggerated but not completely without basis — was used to vilify the movement and fueled a vicious backlash against it.

In the normative Thai worldview, royalism and nationalism are so closely intertwined that anyone not enthusiastically royalist must also be “not Thai.” The Red Shirts were thus cast as “others” — external enemies to be crushed. Approximately 90 from the movement were killed during military operations to disperse their protest in 2010. Many of those succumbed to single sniper shots to the head — with little public outcry from Thais not aligned with the movement.

In 2014, royal-nationalist protesters mobilized against the elected government of Yingluck Shinawatra. The royalist yellow of previous movements was replaced by the nationalist tricolor of red, white and blue, which adorned shirts, flags, and protest paraphernalia. The movement made the same appeals to royal-nationalism as the Yellow Shirts and was supported by a similar section of society. In the discord which followed, tit-for-tat violence claimed around 28 lives on both sides of the political divide.

Deep Divisions

The passing of King Bhumipol has occurred after a decade of intense and unresolved political strife. The role of the monarchy and the nature of royalism in the country are important aspects of the conflict — a fact that is impossible to discuss openly, not only because of the lèse-majesté law, but also due to the emotionally-charged fervor of the ultra-royalists.

The ruling junta seems keen to keep a lid on the vigilantes, warning people not to take matters into their own hands but report crimes against the monarchy to the authorities. However, the signals have been mixed — the country’s justice minister appeared to give the mobs his blessing, stating that those who insult the monarchy should face “social sanctions.” He also recommended that Thais living abroad harass exiles considered to be anti-monarchists. Approval of such actions from someone in a position of authority or influence is extremely dangerous.

The rhetoric from some ultra-royalists is increasingly alarming. One man posted bullet-ridden photos online of a famous anti-monarchist dissident, Aum Neko, who has been living in exile in France. A long-standing royalist witch-hunt group, “Rubbish Collection Organization,” has led calls for Aum to be hunted down. The name of the group implies those who disrespect the monarchy are “rubbish” to be “disposed of” — Aum has now fled to an undisclosed third country for her safety.

A worrying video was also posted online, recorded by a man driving in his car, weeping about the loss of King Bhumipol and threatening to shoot people who disrespected the late monarch. He had two handguns sitting next to him and a framed portrait of King Bhumipol and Queen Sirikit in the back seat.

The color-coded political conflict of the past 10 years has torn communities, friendships, and even families apart. In apartment buildings and shophouse rows all over the country, Thais have raised eyebrows as they watched neighbors leaving their homes to attend protests, dressed either in red or in yellow. Friendships have soured and come to an end over political posts on Facebook. People generally know who in their community is “red” or “yellow” — and they know what this implies.

The long-running political turmoil has been highly-charged, caused massive disruption, brought down governments and taken lives. Old grudges are not quickly forgotten, particularly against those thought to harbor ill feeling towards the monarchy. With the country now draped in black and emotions running high, there is a danger Thailand may be about to revisit some of its darker moments.


James Buchanan is a Senior Research Associate and PhD candidate at the Department of Asian and International Studies, City University of Hong Kong.

สืบสานปณิธานประชาธิปไตย 'ลุงนวมทอง ไพรวัลย์' ชมรมผู้รักประชาธิปไตยแห่งรัฐอิลลินอยส์ทำบุญรำลึกถึง ลุงนวมทอง เนื่องในโอกาสการจากไป 10 ปี (31 ตุลาคม 2549)






ชมรมผู้รักประชาธิปไตยแห่งรัฐอิลลินอยส์ถ่ายรูปแสดงเจตนารมณ์วันงานปาฐกถา อ.ปวิน หัวข้อเรื่องไทยกับรัชกาลที่ 10: การเปลี่ยนแปลงของเครือข่ายอำนาจสถาบันกษัตริย์ และผลกระทบต่อประชาธิปไตย ณ นครชิคาโก สหรัฐอเมริกา 29 ตุลา 2559

.....


ทำบญ  'ลุงนวมทอง ไพรวัลย์'  ณ วัดลาวพุทธสามัคคี นครเอลจิน 30 ตุลา 2559







ooo

พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ อ่านจดหมายลุงนวมทอง

 

https://www.youtube.com/watch?v=BW106vS-7Uw

ooo

จดหมายลาตายของนวมทอง ไพรวัลย์ ลงวันที่ 29 ตุลาคม 2549





(เนื้อความในจดหมาย)

เทิดทูนชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รัฐทหาร และ รัฐตำรวจ (ต้องไม่มี)

สวัสดีครับท่านพี่น้องประชาชนที่เคารพ เหตุที่กระผมทำการพลีชีพเป็นครั้งที่ 2 โดยการทำลายตัวเองเพื่อมิให้เสียทรัพย์เหมือนครั้งแรกก็เพื่อลบคำสบประมาทของท่านรองโฆษก คปค.ที่สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์หลายฉบับว่า "ไม่มีใครมีอุดมการณ์มากขนาดยอมพลีชีพได้"

เหตุพลีชีพครั้งแรกของผมยอมรับว่าคำณวนความเร็วของรถแท็กซี่ผิดพลาด รถถังที่จอดลานพระบรมรูปทรงม้าติดด้านหัวถนราชดำเนินนอก เมื่อผมขับรถผ่านกองบัญชาการทัพบกพ้นหัวถนนและเกาะกลางถนนเพื่อพุ่งเข้าชนเพื่อหักเลี้ยวแบบตัว S ความเร็วจึงลดลงมากเพราะต้องการชนแบบประสานงา

ผมจึงแค่บาดเจ็บสาหัส ซี่โครงหัก 5 ซี่ ตาซ้ายบวมช้ำคางทะลุถึงภายในช่องปาก รักษาตัวโรงพยาบาลวชิรฯ มีคณะของคุณครูประทีป ฮาตะ และคณะอื่นๆ มาเยี่ยมหลายคณะและมีผู้สื่อข่าว นสพ. มาขอสัมภาษณ์ว่า ไม่พอใจหรือที่ปฏิรูปแล้วบ้านเมืองสงบสุข ไม่มีการนองเลือด ผมตอบไปว่าใครทำผิดกฎหมายและก่อความไม่สงบก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ที่ผ่านมามีเบื้องหลังเบื้องลึกมากมาย ตอนนี้ก็เปิดหน้ากากออกมาจนเกือบหมดแล้ว เป็นการตบหน้าประชาชนอย่างไม่อาย. แต่ไม่เห็นเป็นข่าวรวมทั้งข่าวของผมที่ชนรถถังเพื่อประท้วง คปค. ลงข่าว นสพ. วันเดียวเงียบหายไปเลย ผมรักษาตัวที่โรงพยาบาลวชิรฯ 13 วัน คุณหมออนุญาตให้กลับมาพักฟื้นที่บ้านและนำ นสพ. ที่เสนอข่าวชนรถถังประท้วงคปค. ของผม พบคำสัมภาษณ์ท่านรองโฆษก ใน นสพ. ตรงกันหลายฉบับด้วยถ้อยคำที่กล่าวมาข้างต้นและยังปรามาสว่าผมแก่แล้ว คงทำด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ก็มีเวลาเอาสีมาพ่นข้อความรอบตัวรถยังคิดว่าอารมณ์ชั่ววูบ ไม่น่าให้ทำงานและกินเงินเดือนที่ได้มาจากภาษีของประชาชนเลย.

ความคิดผม เมื่อหายป่วยดีก็จะทำมาหากินขับรถ TAXI ไม่ก่อวีรกรรมอีกต่อไป แต่พบข้อความการให้สัมภาษณ์ นสพ. ของท่านรองโฆษก คปค. ในเชิงปรามาสดังกล่าวก็เลยต้องสนองตอบกันหน่อย เพราะนิสัยคนไทยฆ่าได้แต่หยามไม่ได้ และเหตุผลที่ผมเลือกวันสุดท้ายของเดือนตุลาคมเป็นวันพลีชีพเพราะเดือนนี้เป็นเดือนที่วิญญาณของวีรชนที่สถิตอยู่ที่อนุสรณ์สถานฯ ที่ผมทำการพลีชีพนี้ได้เรียกร้องกระทั่งได้มาซึ่งประชาธิปไตย และวิญญาณของผมก็จะสถิตอยู่กับเหล่าวีรชนแห่งนี้ตลอดไป และขอยืนยันว่าปฏิบัติการทั้งสองครั้งทำด้วยใจ ไม่มีใครจ้าง

สุดท้ายขอให้ลูกๆ และภรรยาจงภูมิใจในตัวพ่อ ไม่ต้องเสียใจ ชาติหน้าเกิดมาคงไม่พบเจอการปฏิวัติอีก

ลาก่อน พบกันชาติหน้า

ปล. ขอแก้ข่าว ขวดยาที่พบในรถภายหลังเกิดเหตุคืออาหารเสริมแคปซูลใบแปะก๊วยไม่ใช่ยาแก้เครียดตามที่ลงข่าว นสพ. ผมไม่เครียดแต่ประท้วงจอมเผด็จการ

สวัสดีครับ

29 ตุลาคม 2549
(นายนวมทอง ไพรวัลย์)

วันอาทิตย์, ตุลาคม 30, 2559

เปลี่ยนน้ำตา"ชาวนา"เป็นพลัง พ้นโซ่ตรวนรัฐและการเมือง สู่ความมั่นคงที่แท้




https://www.youtube.com/watch?v=YQSjuKZp8Cc

เปลี่ยนน้ำตา"ชาวนา"เป็นพลัง พ้นโซ่ตรวนรัฐและการเมือง สู่ความมั่นคงที่แท้

jom voice

Published on Oct 29, 2016

น.ส.คนึงนุช กุลวงศ์ ลูกชาวนา อำเภอตาลสุม จังหวัดอุบลราชธานี ให้สัมภาษณ์ Thaivoicemedia (ตอนจบ)เกี่ยวกับการแก้ปัญหาชีวิตชาวนาอย่างยั่งยืนว่า ชาวนาและลูกหลานชาวนาต้องรวมตัวกันสร้างความเข้มแข็ง ดึงตัวเองออกจากวิกฤติ ต้องรู้เท่าทันรัฐและฝ่ายการเมือง เพราะทุกรัฐบาลแก้ปัญหาชาวนาที่ปลายเหตุ ไม่ตรงจุด ชาวนาแต่ละพื้นที่ แต่ละจังหวัดมีปัญหาและความต้องการไม่เหมือนกัน รัฐบาลไม่เคยฟังเสียงชาวนา ไม่เคยส่งเสริมให้อาชีพชาวนามีคุณค่า จะให้ชาวนาไปทำอาชีพอื่น หรือปลูกพืชอื่นก็ทำได้ แต่คุณค่าของชาวนาอยู่ที่การทำนา ดังนั้นถ้ารัฐบาลต้องการจะแก้ปัญหาให้กับชาวนาอย่างยั่งยืนจริง ๆ ต้องรู้ปัญหาและความต้องการของชาวนาแต่ละพื้นที่ อย่าปล่อยให้ชาวนาดิ้นจนตายเอง และชาวนาเองก็ต้องเรียนรู้พร้อมที่จะปรับตัว เพราะสุดท้ายแล้วอาชีพชาวนาไม่ใช่ทำเพื่อเงิน แต่ทำนาเพื่อมีข้าวกินและมีคุณภาพชีวิตที่ดี นี่คือการสร้างความยั่งยืนให้กับชาวนาไทย

ooo

"ลูกชาวนา"ดันแบบ สร้างกลยุทธ์ขายข้าว"ซับน้ำตาพ่อแม่"ได้จริง



https://www.youtube.com/watch?v=VIdXLvCBq6A&spfreload=5

"ลูกชาวนา"ตันแบบ สร้างกลยุทธ์ขายข้าว"ซับน้ำตาพ่อแม่"ได้จริง

jom voice

Published on Oct 29, 2016

น.ส.คนึงนุช สกุลวงศ์ ลูกชาวนาอำเภอตาลสุม จังหวัดอุบลราชธานี ให้สัมภาษณ์ Thaivoicemedia (ตอนที่ 1 ) เกี่ยวกับการช่วยขายข้าวให้กับพ่อแม่ซึ่งเป็นชาวนาให้ได้ราคาที่เป็นธรรมว่า ช่วยพ่อแม้ขายข้าวมา 3 ปีแล้ว โดยรวมตัวกันกับเพื่อนซึ่งเป็นลูกชาวนาและชาวนาในอำเภอเดียวกัน ขายข้าวอินทรีย์ ครอบครัวตนปลูกข้าว 9 สายพันธุ์ จำนวน 30 ไร่ ขายข้าวได้กำไรมาโดยตลอด แม้จะไม่มากนัก อันดับแรกสุดจะต้องกล้าที่จะลุกขึ้นมาทำเอง อย่ารอความหวังจากรัฐบาล รวมกลุ่มกันให้ได้ก่อน จะได้รู้ว่ามีข้าวพันธุ์อะไรบ้าง จากนั้นหาลูกค้า ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือ หน่วยงาน องค์กร โรงพยาบาล โรงเรียน บริษัท กลุ่มองค์กร ต่าง ๆ ในชุมชน ก่อนที่จะไปสู่การสี บรรจุถุงและนำส่ง ในทุกขั้นตอนที่ทำถ้าเจอปัญหาก็มาสุมหัวกันแก้ปัญหา สุดท้ายก็สามารถหาทางออกได้เสมอ และเมื่อได้ลูกค้าประจำแล้ว สุดท้ายก็ขายข้าวในราคาที่ดีและเป็นธรรมกับชาวนาได้ตลอดฤดูกาล


ถึงตอนนี้ใครๆ ก็จะร่วมทุกข์ชาวนา คนล่าสุดไม่ใช่ใครที่ไหน ‘ลุงตูบ’ นายกฯ คนเดิม (แต่...ขั้นตอนเยอะหน่อย)





ถึงตอนนี้ใครๆ ก็จะร่วมทุกข์ชาวนา คนล่าสุดไม่ใช่ใครที่ไหน ‘ลุงตูบ’ นายกฯ คนเดิม

“กำลังกำหนดมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวนา ให้บรรเทาความเดือดร้อนให้ได้โดยเร็วที่สุด คาดว่าไม่เกินสัปดาห์หน้า จะเร่งให้มีการประชุมให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว เพื่อนำเสนอ ครม. รับทราบ เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติได้ในทันที”

ขั้นตอนเยอะหน่อย ไม่เป็นไร เห็นว่าวันจันทร์จะประชุม ครม. แล้วก็ได้เรื่อง “แนวทางแก้ปัญหาเบื้องต้น คาดจะมีการพิจารณาโครงการสินเชื่อเพื่อชะลอการขายข้าวเปลือกหอมมะลิ และข้าวเหนียว ปี ๒๕๕๙/๖๐

หรือการจำนำยุ้งฉางในราคา ๑๑,๐๐๐ บาทต่อตันข้าวเปลือก ซึ่งเป็นราคาเดียวกับที่สมาคมชาวนาเสนอ ต่อที่ประชุมร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา”

(http://news.voicetv.co.th/thailand/426774.html)

อ้อ นอกนั้นยังมีมธุรสวาจามาป้อนชาวนาด้วย “ขอขอบคุณเกษตรกรชาวนาที่ได้ต่อสู้ชีวิต ด้วยความอดทน เสียสละ รัฐบาลและประชาชนรับรู้ ความทุกข์ของท่านเสมอ เราจะร่วมทุกข์ไปกับท่าน”

แต่อีกทาง ทั่นนายกฯ สั่งโฆษก ‘ห่านอู’ แถลงเบื้องต้น ‘จวก’ สื่อกับนักการเมือง ไว้ก่อน

“เห็นนักการเมือง รวมทั้งสื่อมวลชนบางกลุ่ม พยายามใช้ความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนมาสร้างกระแสความเข้าใจผิด สร้างข้อมูลเท็จโดยไม่มีการตรวจสอบ ถือเป็นการทำร้ายซ้ำเติมสังคมในช่วงเวลาที่ทุกคนที่มีความทุกข์ใจอยู่แล้ว”

(http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx…)

ไม่เท่านั้น พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด พูดถึงเทร็นด์ใหม่ที่พวกลูกชาวนาคิดวิธีแก้จนด้วยการตัดพ่อค้าคนกลาง เอาอย่าง บก.ลายจุดโมเดล ‘สีเอง-ขายเอง’ ว่า

“การที่ชาวนาจะสีข้าวแล้วนำออกมาขายตามข้างถนนถุงละสิบบาทยี่สิบบาทนั้น สามารถทำได้ครับ แต่จะเป็นการทำให้เศรษฐกิจไม่สมดุลกัน และเงินที่จะเข้าคลังก็ไม่มี...

ตอนนี้ได้มีการประชุมกัน และในที่ประชุมมีความเห็นว่า ควรจะเก็บภาษีคนที่นำข้าวออกมาขายตามข้างทาง”

ทั่นโฆษกห่านอูหัวหมอ (วรงค์) ไอเดียปิ๊งว่าภาษีควรเท่ากับการขายข้าวส่งออก “ถ้าไม่ทำแบบนี้รัฐบาลก็ไม่มีเงินเข้าคลัง”

ตานี้เลยมี ‘ทนายคู่ใจ’ เอาไอเดียห่านอูไปขยายผล “เขียนข้อกฎหมายให้ความรู้เกี่ยวกับการขายของบนเฟซบุ๊กหรือโลกออนไลน์ ว่า ขายข้าวสารผ่านเฟซบุ๊คระวังโดนจับนะ...

บ้านเราจะมีกฎหมายอยู่ฉบับหนึ่งเรียกว่า พ.ร.บ.ขายตรงและการตลาดแบบตรง ซึ่งมีสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นผู้มีอำนาจดำเนินคดี

การโพสต์ขายสินค้าออนไลน์นั้นต้องยื่นเรื่องขอจดทะเบียนต่อ สคบ.ก่อน มิเช่นนั้นจะมีความผิดตามกฎหมาย ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๑ แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ระวังเงินที่อุตส่าห์ขายข้าวได้ จะโดนเอามาจ่ายค่าปรับซะล่ะ”

เขาอ้างมาตรา ๒๐, ๒๗ และ ๔๗ ของ พรบ.ขายตรง เสริมว่าโทษปรับรวมถึง “ปรับอีกวันละไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืน” ด้วย

(http://www.dailynews.co.th/regional/533078)

เอาละสิ ลูกชาวนาเห็นท่าจะแย่ หากไม่ได้รองปลัดกระทรวงยุติธรรมออกมาช่วยปรามไว้ทันการ นายธวัชชัย ไทยเขียว ซึ่งควบตำแหน่งโฆษกกระทรวงด้วย เขียนเฟชบุ๊คชี้แจงวันนี้ (๓๐ ต.ค.) ว่า





“เกษตรกรสีข้าวและขายเองไม่ผิดพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. ๒๕๔๕”

ท่านรองฯ อ้างมาตรา ๓ ว่ามีคำนิยามต่างๆ เกี่ยวกับการขายตรง ที่ทำให้การจะขายข้าวบรรจุถุงพล้าสติกของลูกชาวนา ไม่เข้าข่ายต้องจดทะเบียนและเสียภาษี

“ขายตรง” เป็นการขายสินค้าให้แก่ผู้บริโภคโดยตรงถึงบ้าน ถึงที่ทำงาน ไม่ผ่านสถานที่ประกอบการหรือร้านค้า

“ตลาดแบบตรง” คือการทำตลาดด้วยการสื่อสารให้ผู้ต้องการซื้อสินค้าติดต่อกลับโดยตรง

“ผู้จำหน่ายอิสระ” เป็นผู้รับสินค้าไปจำหน่ายตรงต่อผู้บริโภค และ

“ตัวแทนขายตรง” คือบุคคลที่ได้รับมอบอำนาจจากผู้ประกอบธุรกิจขายตรงอีกต่อหนึ่ง เอาไปขายตรงกับผู้บริโภค

รวมความท่านรองปลัดฯ สรุปว่าเกษตรกรที่สีข้าวเองเอาไปจำหน่ายเองไม่เข้าข่ายผู้จำหน่ายอิสระตามนิยาม พรบ. และไม่ใช่ตัวแทนขายตรง

“นายธวัชชัยยังได้ระบุข้อความเพิ่มเติม ว่า #การเร่ขายข้าว___ไม่ใช่การขายตรง#ชาวนาขายข้าวทาง_FACEBOOK #ไม่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์

(http://www.matichon.co.th/news/340284)

อีกรายที่เห็นใจชาวนาขึ้นมาทันใด ทั้งที่เคยต่อต้านโครงการจำนำข้าวของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างเป็นตัวยง แม้กระทั่งเมื่อนายสมบัติ บุญงามอนงค์ ทำการบรรจุข้าวสารใส่ถุงพล้าสติกจำหน่ายตรงถึงผู้บริโภคเพื่อช่วยชาวนาอย่างได้ผล เป็นที่นิยมอยู่พักใหญ่

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ก็ต่อต้าน โจมตี และพยายามขัดขวางอย่างสุดลิ่ม

มาบัดนี้เปลี่ยนท่าทีมาโหนกระแสสงสารชาวนาบ้าง เสนอให้รัฐบาลจัดมาตรการเร่งด่วน “จ่ายเงินส่วนต่างช่วยชาวนา เพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่องเฉพาะหน้า ให้มีเงินใช้จ่าย"

(http://www.thairath.co.th/content/766921)

ก็เลยถูกอดีต ส.ส.พิษณุโลกอีกคนสะกิดให้ “รู้สึกสมเพชแกมเศร้าใจที่หมอวรงค์เรียกร้องให้รัฐบาลนี้หางบประมาณอุดหนุนชาวนา






ทั้งๆ ที่หมอวรงค์เป็นตัวการสำคัญคนหนึ่งที่ใช้ทุกวิธีการทำลายโครงการรับจำนำข้าว เพียงเพื่อประโยชน์ทางการเมืองเท่านั้น แม้จะหมิ่นเหม่ต่อการถูกกล่าวหาว่าเป็นลูกสมุนเผด็จการเพราะโต้แทนรัฐบาลทุกเม็ดก็ยอม”

นายนคร มาฉิม กล่าวอีกว่า “สุดท้ายรัฐบาลก็จำเป็นจะต้องอุดหนุนชาวนา อาจจะเรียกชื่อโครงการแตกต่างกันไปบ้างก็ไม่ว่ากัน

และสิ่งนี้จะได้เป็นข้อพิสูจน์ให้สาธารณชนและกระบวนการยุติธรรมเห็นว่า โครงการรับจำนำข้าว หรือโครงการอุดหนุนเกษตรกรรูปแบบต่างๆ จะคิดกำไร ขาดทุนไม่ได้”

(https://www.facebook.com/komkhaoTV24/photos/a.388426021304555.1073741828.388396157974208/719841641496323/?type=3&theater)

ย้อนไปที่มาตรการของรัฐบาล คสช. ที่ว่าจะรับจำนำยุ้งฉางตันละ ๑๑,๐๐๐ บาท ถ้าดูจากการดำเนินงานปัจจุบันในโครงการประมูลข้าวรัฐโดยผุ้ส่งออกข้าวแล้ว ก็น่าห่วงอย่างยิ่ง

เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเกิดอลหม่าน มีทหารไปห้ามนักข่าวเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในการตรวจสอบข้าวที่ประมูลแล้ว ในโกดังคลังสินค้าสุดใจ จ.ชัยนาท

(http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1477396479)







อันเนื่องมาจากผู้ประกอบการส่งออกข้าวที่ชนะประมูลข้าวขาว ๕ เปอร์เซ็นต์ จากโครงการรับจำนำข้าวปี ๒๕๕๖/๒๕๕๗ ปริมาณสองแสนกว่าตันในราคาตันละ ๑๐,๙๐๐ บาทต่อตัน พบว่าข้าวในคลังไม่ตรงกับชนิดที่ประมูล แต่เป็นข้าวในโครงการจำนำปี ๒๕๕๔/๕๕ ที่ราคาเพียงตันละ ๕-๖ พันบาทเท่านั้น

ครั้งนี้ก็เช่นกัน นายบรรจง ตั้งจิตรวัฒนกุล กรรมการผู้จัดการบริษัทร่วมเจริญพัฒนาการข้าว เปิดเผยภายหลังการเข้าร่วมการตรวจข้าวในโกดังว่า

“ภายหลังจากที่ตนเข้าไปตรวจสอบสภาพข้าวในคลังสินค้าสุดใจ จ.ชัยนาท โกดังที่ ๕ แล้วพบว่าข้าวมีสีเหลือง เสื่อมสภาพอย่างมาก ไม่สามารถรับประทานได้ และผิดประเภทจากที่ประมูลซื้อโดยสิ้นเชิง”

นี่หมายความอย่างไร ไหนคุยกันนักว่าสมัย คสช. โปร่งใส ไม่มีทุจริตไงล่ะ

สด... อาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม 2559, เช้ามืด 1:00 น. (เวลาประเทศไทย) ไทยกับรัชกาลที่ 10: การเปลี่ยนแปลงของเครือข่ายอำนาจสถาบันกษัตริย์ และผลกระทบต่อประชาธิปไตย (Thais and King Rama X: The changing of network monarchy and its effect on Thailand's democracy) วิทยากร: รศ.ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์




https://www.youtube.com/watch?v=ig8bHbibiIo

ร.10: การเปลี่ยนแปลงของเครือข่ายอำนาจกษัตริย์ และผลกระทบต่อประชาธิปไตย, ดร.ปวิน, 29 ต.ค. 2559

Voice of Thailand VOT

Scheduled for Oct 29, 2016

สด... อาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม 2559, เช้ามืด 1:00 น. (เวลาประเทศไทย)

ไทยกับรัชกาลที่ 10:
การเปลี่ยนแปลงของเครือข่ายอำนาจสถาบันกษัตริย์ และผลกระทบต่อประชาธิปไตย
(Thais and King Rama X: The changing of network monarchy and its effect on Thailand's democracy)

วิทยากร: รศ.ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์
29 ตุลาคม 2559, 12:30pm-4:00pm (เวลาชิคาโก)
Chicago, U.S.A.

สถานีเสียงประชาชนไทย, (Voice of Thailand, VOT)

วันเสาร์, ตุลาคม 29, 2559

ในหลวงกับประชาธิปไตย คอลัมน์ ใบตองแห้ง





ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองมา 84 ปี อยู่ในรัชสมัยในหลวง ร.9 ถึง 70 ปี พูดได้ว่า "ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" ในทางปฏิบัติมีพระมหากษัตริย์องค์เดียวเท่านั้นที่ครองราชย์มายาวนานในระบอบนี้ เพราะ ร.7 อยู่สั้นๆ 2 ปี ก็สละราชสมบัติ ร.8 ครองราชย์เมื่ออายุ 8 พรรษา ต้องมีผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน

แต่ถ้านับกันจริงๆ "ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" ที่แผ่พระบารมี ก็ต้องนับจาก 14 ตุลา 2516 เพราะก่อนหน้านั้นอยู่ในรัฐบาลทหาร หลังรัฐประหาร 2490 (ในหลวงเสด็จกลับมาทำพิธีราชาภิเษก 2493) คือยุคจอมพล ป. ที่ยังชูเชื่อผู้นำชาติพ้นภัย ยุคสฤษดิ์แม้เทิดทูนยกย่อง แต่ก็ปกครองด้วยประกาศคณะปฏิวัติ ซึ่งประกาศเองใช้เอง ไม่ต้องทูลเกล้าฯ เพื่อลงพระปรมาภิไธย (แบบ ม.44) "ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" จึงไม่ใช่เพียงแค่มีในหลวงแต่ต้องมีรัฐธรรมนูญและทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ นี่คือสิ่งที่เป็นมา 43 ปี และทำให้พระบารมีแผ่ไพศาล

ในขณะที่พวกคลั่งอุดมการณ์ราชาชาตินิยมปฏิเสธประชาธิปไตย จริงๆ แล้ว "ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" ต่างหากที่เสริมพระเกียรติ พระบารมี ทั้งเหตุการณ์ 14 ตุลา และพฤษภา 35 (ซึ่งโด่งดังไปทั่ว ทำให้ในหลวงได้รับการยกย่องจากชาวโลก) แต่ที่เกิดปัญหาเพราะพวกคลั่งนี่ละ ดันเรียกร้อง ม.7 นายกพระราชทานเมื่อปี 49 ไม่เข้าใจว่าพระบารมีต้องเป็นพระบรมราชวินิจฉัย ที่ใช้เมื่อบ้านเมืองวิกฤติ ถึงทางตัน กลไกทุกอย่างล่มสลาย ไม่ใช่คนแตกเป็น 2 ขั้วแล้วให้สถาบันตัดสิน

รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เลยกลัว ม.7 ซะจนเขียนอำนาจแก้วิกฤติใหม่ เป็น ม.5 ให้ประธานศาล รธน.เรียกประชุมประธานศาล อง์กรอิสระ + ฝ่ายการเมืองไม้ประดับ แล้วตัดสินวิกฤติแทน ม.7 (อันนี้ไม่ได้เขียนลงไปหรอกนะ แต่เหน็บไว้ให้คนอ่านคิด เวลาเกิดวิกฤติน่ะในหลวงท่านแก้ได้เพราะท่านมีบารมี ประชาชนเคารพนับถือ ไม่ได้อยู่ที่มาตราไหนหรอก แต่ถ้าพูดในทางรัฐธรรมนูญท่านก็ทรงเป็นประมุข คำถามคือพวกประธานศาลเป็นใคร ประชาชนต้องเคารพเชื่อฟังไหม)

สลิ่มคลั่งไม่เข้าใจว่า พระบารมีในหลวงแผ่ไพศาลมาในระบอบประชาธิปไตย ย้อนกลับไปด่าคณะราษฎร ทำนองว่ารักในหลวงต้องรักสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ทั้งที่จริง พวกนี้ต้องขอบคุณคณะราษฎร เพราะเปลี่ยนระบอบให้พระมหากษัตริย์ไม่ต้องใช้อำนาจตัดสินใจทางบริหาร ทางนิติบัญญัติ เพราะอำนาจมาคู่กับความรับผิด มาคู่กับการทำให้คนพอใจไม่พอใจ ทำให้คนได้ประโยชน์เสียประโยชน์ แบบ ร.7 เป็นหัวหน้ารัฐบาล ต้องขึ้นภาษี ต้องตัดงบ ต้องปลดข้าราชการ แต่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีรัฐบาลเป็นผู้ตัดสินใจ พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย แต่นายกฯ หรือรัฐมนตรี เป็นผู้รับผิดชอบผลที่จะเกิดคนพอใจไม่พอใจ พระมหากษัตริย์ไม่ใช่ผู้ตัดสินใจขึ้นภาษี หรือออกกฎหมายลงโทษคน หรือตัดสินประหารชีวิตคน หรือแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ (ซึ่งย่อมมีคนสมหวังผิดหวัง) แต่พระมหากษัตริย์มีอำนาจอภัยโทษ รับฎีการ้องเรียน ทรงงานการกุศล หรือพระราชกรณียกิจ จึงมีแต่ "พระคุณ"

นั่นละคือระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ยืนยาวมา 43 ปี


Atukkit Sawangsuk

ลิงค์บทความ
ในหลวงกับประชาธิปไตย : คอลัมน์ ใบตองแห้ง



ชาวนาฝากถามนายก "ท่านก็กินข้าวไหม"





::–>> ชาวนาฝากถามนายก "ท่านก็กินข้าวไหม" <<–::

ขอบคุณที่มา: @ซีโร่ ครับผม https://goo.gl/gkCto7
*************************
ขอบคุณคลิปแนะนำจาก–– @Restart Art



YouLike (คลิปเด็ด)