วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 02, 2567

ควันหลงงานวันแรงงาน ทอ.ยกเลิกคอนเสิร์ทเพื่อชีวิต อ้างถูก ส.ส.ก้าวไกลร้องเรียนแทนชาวบ้าน เรื่องตลาดนัดเสียงดังถึงเที่ยงคืน

ควันหลงงานวันแรงงาน มันมีความไม่พอดีตรงนี้อยู่ เมื่อผู้จัดคอนเสิร์ทเพลงเพื่อชีวิตที่ตลาดนัดธูปะเตมีย์โพสต์ โอดครวญว่า “ถูกการเมืองลุกไล่” หลังจากทางตลาดนัดประกาศยกเลิก อ้างว่าถูกชาวบ้านร้องเรียนผ่านทางพรรคก้าวไกล

ความไม่พอดีอยู่ที่การร้องเรียนไม่ใช่จำเพาะต่องานวันเมย์เดย์ เพราะการประกาศยกเลิกกระทำในวันที่ ๓๐ เมษายน ก่อนวันงาน และการร้องเรียนว่าถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา หลายครั้ง ดังที่ เชตวัน เตือประโคน ส.ส.ก้าวไกลปทุมธานีชี้แจง

“สนามธูปะเตมีย์มีตลาดและคอนเสิร์ตต่างๆ” อยู่เนืองๆ “ที่ผ่านมา มีประชาชนร้องเรียน...มีคนทนไม่ไหว เพราะเสียงดังตอนเที่ยงคืน เอาลูกเข้านอนไม่ได้” เขาบอกว่า “จึงส่งคลิปมาเป็นหลักฐาน...ทั้งๆ ที่บ้านห่างไปราว ๒ โล”

ทั้งที่ “ติดกระจกแบบเก็บเสียง แต่เสียงก็ดังเข้ามาในบ้าน ลูกนอนไม่ได้ และที่สำคัญ คือเวลา เที่ยงคืนแล้ว มีประชาชนที่เดือดร้อน ไม่ใช่แค่ครอบครัวเดียวครับ แต่เยอะแยะมากมายในละแวกนี้ และไม่ใช่แค่ปีละครั้ง หรือ ๑๐ ปีครั้ง”

ตลาดนัดของกองทัพอากาศแห่งนี้มีคอนเสิร์ททุกๆ เดือน เมื่อก่อนชาวบ้านบ่นเองก็เป็นเสียงนกเสียงกา “การติดกระจกกันเสียง เป็นสิ่งยืนยันได้ว่าเขาสู้กับเรื่องนี้อยู่ เป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ที่ต้องดิ้นรนหากันเอง” ใช่สิ เพื่อแบกรับความสุขสนุกสนานของท่านอื่นๆ

“ผมหาเงินค่าเวที ค่าอาหารเครื่องดื่มเอาไว้ดูแลทุกๆ คนที่มาร่วมกัน โดยอาศัยขอจากผู้ใหญ่ใจดีหลายคน...เมื่อการเมืองมาลุกไล่ ผมก็จำใจกลืนน้ำตา” ด้วยความ “เห็นใจและสงสารเพื่อนพี่น้องศิลปินเพื่อชีวิตของเรา” ผู้จัดบ่นว่าปัจจุบันหาเวทีเล่นยากลำบาก

ส.ส.เชตวันบอก “แจ้งในฐานะ ผู้แทนประชาชนให้กองทัพไปตรวจสอบเรื่องเสียง” แต่ ทอ.ก็ใช้วิธีปิดงานเสียตั้งแต่วันแรงงานนี้เลยเป็นไง ออกจะเป็นวิธีแก้ปัญหาในลักษณะ ‘elegance’ เชิดหน้าชูคอไม่ต้องรอเจรจา ไปนิดไหมนี่

(https://www.facebook.com/ChetawanMFP/posts/DLTW5bqeLx) 

เหตุการณ์กากไฟไหม้ เพื่อไล่อธิบดีหรือเปล่า! น่าสงสัย!!


Sonthi Kotchawat
6 hours ago
·
โรงงานกากไฟไหม้ ไล่อธิบดีหรือเปล่า!
..ท่านอธิบดีกรมโรงงานเข้ารับตำแหน่งเมื่อปี2565จะเกษีณอายุเดือนกันยายน 2567ท่านเป็นคนเอาจริงเอาจังกับการทำ งานด้านสิ่งแวดล้อมของโรงงานมากโดยเฉพาะกระบวนการขนกากอุตสาหกรรมไปทิ้งในที่สาธารณะและซุกซ่อนไว้ซึ่งเป็นปัญหาที่เรื้อรังมานาน ได้ทำการจับกุมโรง งานที่ลักลอบขนกากอุตสาหกรรมทั้งนำมาเก็บและนำมาฝังไว้ในโกดังและพื้นที่ของโรงงานหลายแห่งโดยได้ทำการอายัดกากอุตสาหกรรมเหล่านี้ไว้เพื่อดำเนินคดีทั้งที่ จ.ราชบุรี จ.ชลบุรี จ. ระยอง จ.อยุธยา จ.นครราชสีมา จเพชรบูรณ์ เป็นต้น ได้สร้างความไม่พอใจแก่นายทุนอย่างมาก ช่วงนี้โกดังเก็บกากอุตสาหกรรมดังกล่าวเกิดไฟไหม้4ถึง5แห่งในเวลาใกล้เคียงกันทั้งที่อ.จอมบึง จ.ราชบุรี, อ.บ้านค่าย จ.ระ ยอง ,อ.อุทัย จ.อยุธยาและ อ.ภาชี จ.อยุธ ยา (2ครั้ง)
..เป็นเหตุการณ์กากไฟไหม้ เพื่อไล่อธิบดีหรือเปล่า!.น่าสงสัย
..วันนี้ท่านขอลาออกแล้ว น่าเสียดายคนดี..
.....


เตรียมเด้ง! อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เซ่นไฟไหม้ | ข่าวเที่ยงเนชั่น | NationTV22

NationSTORY

Apr 30, 2024

https://www.youtube.com/watch?v=-sl7Ky-eXK8


ภัย! ขยะพิษโรงงาน วัวหายรีบล้อมคอก


1 พ.ค. 2567
ไทยรัฐออนไลน์

ข้อเสนอแนะในการกำกับ ควบคุม ดูแลโรงงานจัดการ “กากของเสียอันตราย” ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน อาจารย์สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรม นักวิชาการสิ่งแวดล้อม มองว่า ต้องเริ่มจาก...ต้นตอปัญหา

นั่นก็คือ...โรงงานที่รับกำจัด คัดแยกและรีไซเคิลกากอุตสาหกรรม ในประเทศไทย (2,500 แห่ง) ส่วนใหญ่เป็นโรงงานที่มีเงินลงทุนน้อย ประสิทธิภาพต่ำ ระบบการบำบัดมลพิษไม่มีประสิทธิภาพ บางส่วนที่เก็บไว้ในโกดัง บางส่วนลักลอบฝังกากพิษไว้ในที่ดินของโรงงานเอง หรือ...นำไปฝังในบ่อดินชุมชนที่เช่าหรือซื้อมา

คำถามสำคัญมีว่า...นโยบายประเทศไทยควรทำอย่างไร?ในการจัดการให้ปัญหานี้ลดน้อยลง? อาจารย์สนธิ บอกว่า การอนุญาตตั้งโรงงานคัดแยกและรับรีไซเคิลกากอุตสาหกรรมที่อันตราย เช่น หลอม หล่อโลหะ สารเคมีอันตราย สารที่ติดไฟ สารก่อมะเร็ง ควรตั้งในนิคมอุตสาหกรรมหรือเขตประกอบการอุตสาหกรรม ไม่ควรมาตั้งในชุมชน รวมทั้งต้องให้จัดทำรายงานอีไอเอ เปิดรับฟังความเห็นประชาชนก่อน



ข้อสำคัญถัดมา...ควรยกเลิกประกาศคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 4/ 2559 ที่กำหนดให้สามารถตั้งโรงงานประเภทดังกล่าวได้ โดยยกเว้นกฎหมายผังเมืองเป็นเวลา 1 ปี หรือจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงสีของผังเมืองใหม่... ทำให้เกิดโรงงานเหล่านี้มาตั้งในชุมชนจำนวนมาก

ข้อที่สาม...สำหรับโรงงานที่ตั้งอยู่แล้วในชุมชนควรกระจายอำนาจให้ อปท.เป็นพนักงาน เจ้าหน้าที่ด้านกากอุตสาหกรรมของ พ.ร.บ.โรงงานสามารถไปตรวจสอบการเก็บ การจัดการกากในโรงงานในพื้นที่ของ อปท. รับผิดชอบได้ รวมทั้งควรตั้งเครือข่ายประชาชนคอยเฝ้าระวังการลักลอบการขนกากไปทิ้ง

ข้อที่สี่...เพื่อแก้ไขปัญหากำลังคนไม่เพียงพอ กรมโรงงานควรขึ้นทะเบียนผู้ตรวจสอบเอกชนให้ทำหน้าที่ตรวจสอบแทนในทุกครั้งที่มีการขนย้ายกากทั้งต้นทางและปลายทาง

รวมทั้งการจัดการกากในโรงงานให้ถูกต้องตามกฎหมาย...เหมือนในต่างประเทศ

ข้อที่ห้า...โรงงานดังกล่าวทุกแห่งควรกำหนดให้ต้องทำประกันภัยด้านสิ่งแวดล้อม ประกันภัยจะมาตรวจสอบโรงงานเป็นประจำ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนแทนหน่วยราชการ กรณีเกิดปัญหา...ประกันภัยต้องจ่ายชดเชยแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบทันที

ข้อที่หก...ตั้งกองทุนประกันความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม (Environ mental Garantee Fund) โดยให้โรงงานดังกล่าวจ่ายเงินเข้ากองทุนตามข้อกำหนด เมื่อเกิดอุบัติภัยหรือเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน รัฐจะได้นำเงินกองทุนเหล่านี้มาจัดการกับปัญหาและฟื้นฟูเยียวยาประชาชนก่อน

...แล้วจึงไปฟ้องศาลเรียกค่าเสียหายจาก “ผู้ก่อกำเนิด” มาชดใช้เข้ากองทุนทีหลัง



ข้อที่เจ็ด...ต้องปฏิรูปการอนุญาตตั้งโรงงานประเภทดังกล่าวให้เป็นโรงงานขนาดใหญ่ มีเงินลงทุนมาก มีประสิทธิภาพสูงในการบำบัดมลพิษ รวมทั้งปฏิรูประบบอนุญาต...การเคลื่อนย้ายกาก...การติดตามตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ...ลดปัญหาคอร์รัปชัน โปร่งใส ประชาชนตรวจสอบได้

โดยต้องเผยแพร่ข้อมูลการรายงานประจำทั้งการเก็บ การขนย้าย การจัดการกากของแต่ละโรงงานให้สาธารณชนทราบด้วย

ต่อเนื่องไปถึงกรณี...ไฟไหม้โรงงานที่เก็บสารเคมีวินโพรเสส ต.บางบุตร อ.บ้านค่าย จ.ระยอง เกิดผลกระทบระยะยาว ใครจะดูแล?ใครจะตรวจสอบ? และใครจะเป็นผู้จ่ายเงินฟื้นฟูและเยียวยา?

“น้ำดับเพลิงที่ปนเปื้อนสารเคมีที่จะลงสู่ดินและแหล่งน้ำโดยรอบจะกระทบต่อการเพาะปลูกและที่ทำกินของเกษตรกรในระยะยาว...สารเคมีและไอโลหะหนักที่ลอยออกไปในอากาศจะตกลง...ปนเปื้อนสู่พื้นดินและแหล่งน้ำใกล้เคียง ปนเปื้อนในระบบห่วงโซ่อาหาร จนกลับมาเข้าสู่ร่างกายประชาชนต่อไป”

แน่นอนว่า...สุขภาพของประชาชนที่สูดหายใจเอา “สารเคมี” และ “สารพิษ” เข้าไปจะสะสมอยู่ในร่างกายจะเกิดผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว ควรได้รับการตรวจสุขภาพทุกคน

“โรงงานเก็บสะสมสารเคมีและกากอุตสาหกรรมมานานหลายปี ประชาชนร้องเรียนแต่หน่วยราชการจัดการไม่ได้ ได้แต่อายัดไว้เป็นของกลางและปล่อยทิ้งไว้เพื่อรอการขนออก เพื่อไปกำจัด...กระบวนการที่ล่าช้าจนเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพคือความไม่ยุติธรรมสำหรับชุมชน...” อาจารย์สนธิ ว่า

“ต่อไป...ความเชื่อมั่นต่อหน่วยงานที่รับผิดชอบจะลดน้อยลง ศรัทธาจะเสื่อม”

ตอกย้ำเพลิงไหม้โกดังเก็บกากของเสียอุตสาหกรรมในพื้นที่บริษัทวิน โพรเสส จำกัด ตำบลบ้านค่าย จังหวัดระยอง...ทั้งสารโซเวนท์ น้ำมันเครื่องไม่ใช้แล้ว สารเคมีกรดด่าง สารพิษ ที่เก็บไว้รอดำเนินคดีและขนย้ายไปกำจัด ฝุ่นควันกระจายไปทั่ว หมู่ 8 ต้องอพยพด่วน 5 กิโลเมตร...ใช้ผ้าชุบน้ำปิดปากปิดจมูกหนีด่วน

เล่าลือกันไปว่า...หน้าร้อนไฟไหม้เองหรือคนลักลอบเข้าไปขโมยหรือจงใจทำลายหลักฐาน...ก็คงต้องรอการพิสูจน์กันต่อไป แต่ที่แน่นอนคือประชาชนรับสารพิษ ใครจะรับผิดชอบ




นี่คือภาพสะท้อน...ความย่อหย่อนของการบังคับใช้กฎหมาย? ด้วยว่าโรงงานแห่งนี้เริ่มต้นขออนุญาตประกอบกิจการโรงงานลำดับที่ 105 หรือขอคัดแยกกากของเสียและฝังกลบกากของเสียที่ไม่อันตรายแต่ถูกคัดค้านจากประชาชนในพื้นที่ จึงไม่ได้รับใบอนุญาต ต่อมาปี 2557 ประชาชนร้องเรียนว่าโรงงานได้นำของเสียอุตสาหกรรมมาฝังกลบไว้ในบริเวณโรงงาน เพราะมีกลิ่นเหม็นฟุ้งกระจายออกไปในชุมชน

กระทั่งหน่วยงานภาครัฐมาตรวจสอบพบว่ามีการฝังกลบกากของเสียไว้ในโรงงานจำนวนมาก จึงได้มีการดำเนินคดี แต่ในปี 2560 บริษัทกลับได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน 2 ใบ คือ...

ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานลำดับที่ 40 (บดอัดกระดาษ) และลำดับที่ 60 (หล่อหลอมโลหะ) ทำให้มีสถานภาพกลายเป็นโรงงานตามกฎหมาย แต่กลับลักลอบเอา “ของเสียอุตสาหกรรม” จากที่ต่างๆมาเก็บไว้ในพื้นที่จำนวนมาก

จนกระทั่งในช่วงปี 2560-2563 พบว่า สวนยางพาราของประชาชนที่อยู่ติดโรงงานตายหมดยกแปลงถึง 30 ไร่...อีก 200 ไร่ ที่อยู่ใกล้เคียงกำลังจะแห้งตาย ซึ่งทั้งหมดเกิดจากการปล่อยน้ำเสียจากโรงงานลงสู่ลำคลองและแหล่งน้ำสาธารณะ ทำให้น้ำมีสีน้ำตาลมีฟองอากาศมีสารเคมีลอยอยู่ทั่วไป

สุดท้าย...ประชาชน 15 รายได้รวมตัวกันฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายซึ่งศาลจังหวัดระยองได้พิพากษาเมื่อ 15 ธันวาคม 2565 ให้บริษัทชดเชยเป็นเงิน 20.8 ล้าน แก่ผู้ร้อง 15 รายและต้องฟื้นฟูสภาพแวดล้อมทั้งน้ำ ดินและระบบนิเวศใหม่ทั้งหมด รวมทั้งต้องขนย้ายสารเคมีและกากอุตสาหกรรมออกไปกำจัดต่อไป

แต่...ถึงวันนี้ก็ยังไม่มีการจ่ายค่าชดเชยเยียวยาใดๆ ส่วนของกากอุตสาหกรรมและสารเคมีต่างๆก็ยังคงเก็บไว้ในอาคารของโรงงาน 5 แห่ง ถึงจะมีการขนออกไปบ้างก็ไม่มากนัก...ยังมีเหลืออยู่อีกไม่ใช่น้อยๆ

อาจารย์สนธิ คชวัฒน์ นักวิชาการสิ่งแวดล้อม ทิ้งท้ายว่า การขนย้ายกากอุตสาหกรรมที่ถูกอายัดไปกำจัดทำได้ค่อนข้างช้า แม้ภาครัฐจะใช้งบกลางและไปฟ้องร้องเรียกเก็บจากบริษัทต้นเหตุภายหลังก็ตาม

จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ถูกสันนิษฐานว่า...อาจถูกลอบวางเพลิงเพื่อทำลายหลักฐาน? แสดงว่า “ภาครัฐ” ไม่มีกรรมวิธีที่ดีพอในการคุ้มครอง “ของกลาง” ที่เป็นหลักฐานสำคัญ.

https://www.thairath.co.th/news/local/2782038

เพจ กองทัพภาคที่ 4 โพสต์ อาหารสุดพิเศษ -ปลาทอด -ผัดกระเพรา ไข่ดาว -ข้าวเหนียวถั่วดำ -น้ำอัดลม --- ล่าสุดลบไปแล้ว


แกไม่รอดแน่ v3
18h
·
ล่าสุดลบไปแล้ว…

(https://www.facebook.com/photo?fbid=122140583552188136&set=a.122104866176188136)
.....
(https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=122140738526188136&id=61555644098556&ref=embed_post)

พระราชาคนนี้ ทำไมถึง สั่งให้ต้องมีคน “จูบผ้าปูเตียง จูบปลอกหมอน ผ้าห่ม ทุกส่วนทุกซอกทุกมุมของเตียง" ของตัวเองทุกเช้า ! ถึงการมีคนชิมอาหารก่อนคิงกินทุกจาน



@ArielqueenMimie

พระราชาคนนี้สั่งให้ต้องมีคน “จูบผ้าปูเตียง” ของตัวเองทุกเช้า! เรากำลังพูดถึงคิงเฮนรีที่ 8 แห่งอังกฤษ หลายคนอาจเคยได้ยินว่าสมัยนั้นของอังกฤษมีธรรมเนียมแปลกๆเยอะ ทั้งการมีคนชิมอาหารก่อนคิงกินทุกจาน ทั้งตำแหน่งคนเช็ดก้นคิง (จริงๆนะ) เธรดนี้จะเริ่มด้วยเรื่องในห้องนอนค่ะ (ต่อในเธรด)
.
สมาชิกราชวงศ์ไม่ได้กังวลแค่ว่าตัวเองจะหยิบอะไรเข้าปาก แต่รวมไปถึงตัวเองจะสัมผัสอะไรบ้างด้วย กล่าวคือ ของบางอย่างที่ใกล้ตัวอาจมีพิษถ้าเอาไว้หรือเคลือบเอาไว้ หากสัมผัสเข้าไปอาจส่งผลร้ายแรง ด้วยเหตุนี้ สุภาพบุรุษผู้รับผิดชอบเตียงนอนของเฮนรีที่ 8 จึงต้องทำงานที่นอกเหนือจากการจัดเตียง (2)

.
นอกจากผ้าปูเตียงแล้ว ทุกเช้า เค้ามีหน้าที่ที่ต้องจูบปลอกหมอน ผ้าห่ม ทุกส่วนทุกซอกทุกมุมของเตียง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มียาพิษถูกทาเอาไว้ อีกทั้ง คิงเฮนรีที่ 8 ยังกลัวว่าศัตรูจะแอบเอายาพิษถ้าเอาไว้บนเสื้อผ้าของลูกชาย (เจ้าชายเอ็ดวาร์ด) สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ (3)

.
เสื้อผ้าเย็บใหม่ทุกตัวจะไม่ถูกใส่โดยเจ้าชายในทันที เสื้อผ้าเหล่านั้นต้องถูกทำความสะอาดและผิงไฟเพื่อกำจัดสารพิษ ไม่ใช่แค่นั้น ก่อนเจ้าชายจะแต่งตัวในทุกวัน คนรับใช้จะต้องทดลองก่อน อาจด้วยการจับและถูทั้งในและนอกเสื้อผ้า หรือที่จริงจังยิ่งกว่า- (4)

.
คือการใส่ชุดของเจ้าชายให้กับเด็กชายที่มีขนาดตัวเท่ากัน เพื่อดูว่าเด็กคนนั้นร้องไห้จากความเจ็บปวดหรือไม่ (หากบนเสื้อผ้ามีพิษมันคงทำปฏิกิริยากับผิวหนังทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อน) รวมถึงการทดสอบเบาะที่นั่งหม้อถ่ายของเจ้าชายอีกด้วย (แต่วิธีการนั้นเป็นความลับ) (5)


อ่านต่อที่ (https://twitter.com/ArielqueenMimie/status/1785725010021323245)


นักวิทยาศาสตร์ที่ค้นคว้าในเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติ บอกว่ายังไม่พบหลักฐานที่ชี้ชัดว่าผีมีจริง แต่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ที่อธิบายได้ถึงปรากฏการณ์สยองขวัญที่ทำให้คนคิดว่าเห็นผี- คนกลัวผีต้องอ่าน



เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ 5 ข้อ ที่ทำให้คนเห็นผี

31 ตุลาคม 2017
บีบีซีไทย

คนส่วนมากชอบฟังเรื่องผี และหลายคนก็บอกว่ามีประสบการณ์ได้เห็นภูตผีปีศาจในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งมาแล้ว แต่นักวิทยาศาสตร์ที่ค้นคว้าในเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติ กลับบอกว่ายังไม่พบหลักฐานที่ชี้ชัดว่าผีมีจริง แต่มีคำอธิบายสำหรับปรากฏการณ์สยองขวัญที่มีผู้พบเห็นกันมานักต่อนักว่า แท้ที่จริงอาจเกิดขึ้นเพราะสาเหตุทางวิทยาศาสตร์ดังต่อไปนี้

1. ความผิดปกติในการนอน

ประสบการณ์เผชิญหน้ากับวิญญาณที่บอกเล่ากันมาบ่อยครั้งก็คือการถูก "ผีอำ" มองเห็นร่างคนหรือถูกเงาดำกดทับจนขยับไม่ได้ รวมทั้งหูก็ได้ยินเสียงประหลาดต่าง ๆ นักวิทยาศาสตร์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า "ความฝันขณะตื่น" (Waking dream ) ซึ่งเป็นภาวะเคลิ้มที่สมองตื่นอยู่แต่ร่างกายยังหลับไม่ตอบสนอง มีความเกี่ยวข้องกับอาการตัวแข็งเป็นอัมพาตขณะหลับอีกด้วย

ดร.โจ นิกเคล นักวิจัยอาวุโสของ "คณะกรรมการซีเอสไอ" (Committee for Skeptical Inquiry - CSI ) ซึ่งเป็นหน่วยงานเอกชนที่ส่งเสริมการตรวจสอบปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ บอกว่าภาวะความฝันขณะตื่นทำให้คนมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกับความกลัวในจิตใจได้ ไม่ว่าจะเป็นคนที่ตายไปแล้วหรือมนุษย์ต่างดาว ส่วนมากจะเห็นว่ามีภูตผีมายืนข้างเตียง บ้างอาจรู้สึกว่าถูกกดทับหรือถูกบีบคอจนร้องไม่ออก

"นั่นคือการที่จิตใจเล่นกลกับตัวคุณเอง โดยทำให้เห็นภาพหลอนที่เหมือนจริง ในชีวิตการทำงาน 50 ปีของผม ไม่เคยพบหลักฐานแม้แต่ชิ้นเดียวที่ยืนยันว่าผีมีจริง แต่ตรงกันข้าม ผมกลับพบคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์สำหรับเรื่องผีมากมาย ทั้งสาเหตุที่มาจากการได้ยินเสียงในย่านคลื่นความถี่ต่ำ (อินฟราซาวด์) ความผิดปกติทางอารมณ์หรือสมอง รวมทั้งการอดนอนก็มีส่วนสร้างภาพหลอนได้อย่างมาก" ดร.นิกเคลกล่าว

"เวลาที่คุณอดนอนและเหนื่อยล้า ทั้งยังอยู่ในสถานที่ที่บรรยากาศวังเวงน่ากลัว นั่นคือสูตรสำเร็จของการเห็นผีส่วนใหญ่เท่าที่ผมได้เคยตรวจสอบมาเลยทีเดียว"


ความกลัวที่ฝังลึกในจิตใจและส่งผลให้เกิดปฏิกิริยารุนแรงทางกาย ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มองเห็นภูตผีได้

2. ภาวะกลัวผีและสิ่งลึกลับอย่างรุนแรง (Phasmophobia)

ความกลัวที่ฝังลึกในจิตใจและส่งผลให้เกิดปฏิกิริยารุนแรงทางกาย ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มองเห็นภูตผีได้ โดยนายแบรนดอน อัลวิส ผู้ก่อตั้งสมาคมวิจัยปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอเมริกัน (APRA) บอกว่าภาวะดังกล่าวสามารถทำให้เกิดอาการแพนิก (Panic Attack) หรือการตื่นตระหนกหวาดกลัวอย่างรุนแรงควบคุมไม่ได้ จนมองเห็นภาพหลอนขึ้นมา

"คนที่มีภาวะนี้จะมีอาการหายใจขัด หรือหายใจหอบถี่เร็ว จังหวะการเต้นของหัวใจไม่แน่นอน เหงื่อตก คลื่นไส้อาเจียน อันเนื่องมาจากความกลัวที่ฝังลึกในจิตใจ คนที่เชื่อเรื่องผีอยู่แล้ว เมื่อไปอยู่ในสถานที่หรือสถานการณ์ที่น่าหวาดกลัว ก็มักจะมองเห็นสิ่งเคลื่อนไหวแปลก ๆ แวบไปมาที่หางตาอยู่เสมอ" นายอัลวิสกล่าว

3. การขาดออกซิเจน

การขาดออกซิเจนในสมอง (Cerebral anoxia) สามารถทำให้ประสาทสัมผัสและการรับรู้บิดเบี้ยวผิดจากความเป็นจริงออกไปได้ รวมทั้งยังทำให้มองเห็นภาพหลอนได้ง่ายอีกด้วย โดยนายอัลวิสบอกว่าการขาดออกซิเจนในสมองทำให้ผู้ป่วยหนักรู้สึกถึงประสบการณ์แปลก ๆ ขณะใกล้ตาย และมีความรู้สึกว่าวิญญาณล่องลอยออกจากร่างในหลายกรณีด้วย

"คนที่เข้าไปในอาคารเก่า ๆ หรือสถานที่ถูกทิ้งร้าง ซึ่งมีเชื้อราและสารพิษอื่น ๆ อยู่มาก อาจเกิดการขาดออกซิเจนในสมองขึ้นชั่วขณะได้ แต่ละคนอาจมีอาการมากน้อยต่างกันไป แต่ก็สามารถทำให้คนเหล่านั้นเชื่อได้ว่าตนเองมองเห็นภูตผีปีศาจเข้าจริง ๆ"



4. ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์เป็นพิษ

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์มีความเกี่ยวข้องกับกรณีบ้านผีสิงหลายแห่งมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1920 แล้ว โดยมีหลักฐานการวิจัยที่ชี้ว่า เมื่อสมองได้รับก๊าซดังกล่าวเข้าไปมากจะทำให้ร่างกายเกิดอาการวิงเวียนคลื่นเหียน หายใจขัด รู้สึกเหนื่อยล้าสับสน รวมทั้งเห็นภาพหลอนหรือหูแว่วได้ยินเสียงหลอนประสาทได้

คาร์บอนมอนอกไซด์ไม่มีสีและกลิ่น ทำให้ยากที่จะตรวจพบได้ หากสูดดมในปริมาณมากอาจทำให้ถึงแก่ชีวิต โดยในแต่ละปีมีชาวอเมริกันกว่า 500 คนต้องเสียชีวิตด้วยเหตุนี้

ผู้ที่รอดชีวิตจากเหตุคาร์บอนมอนอกไซด์เป็นพิษ ยังอาจมีอาการป่วยต่อไปหลังจากนั้นนานหลายปีได้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมอง ทั้งด้านความจำ ความคิด และพฤติกรรม บ่อยครั้งที่มีรายงานว่าผู้ป่วยเห็นภาพหลอน ได้ยินเสียงแว่วต่าง ๆ ทั้งเสียงกระดิ่งและเสียงคนวิ่งไล่กัน รวมทั้งรู้สึกถึงสัมผัสประหลาดคล้ายผีมาแตะต้องตัวอีกด้วย

5. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

ผู้เชี่ยวชาญจากสมาคมวิจัยปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอเมริกัน (APRA) ยังบอกว่า การที่เกิดจุดอากาศเย็นผิดปกติ หรือมีผู้สัมผัสถึงพลังงานเคลื่อนไหวประหลาดในบางสถานที่นั้น ความรู้สึกดังกล่าวเกิดขึ้นได้จากการเกิดสนามแม่เหล็กไฟฟ้าชั่วคราว ซึ่งหลายครั้งก็เป็นผลมาจากฝีมือมนุษย์นั่นเอง

"ภาพหลอนหรือความรู้สึกประหลาดเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในอีกมิติหนึ่งหรืออีกยุคหนึ่ง เกิดขึ้นได้จากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าพลังสูง ที่อาจบังเอิญเกิดขึ้นตามธรรมชาติ หรือเกิดจากการทำงานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมองชั่วขณะ" นายอัลวิสกล่าว

https://www.bbc.com/thai/international-41819139

จดหมายอานนท์ นำภา ถึงลูก ในวันแรงงานสากล "ตระกูลทางพ่อเป็นผู้ใช้แรงงาน เป็นชาวนา พวกเธอจึงมีสายเลือดของคนที่ใช้แรงงานสร้างสรรค์โลกด้วย...หวังว่าพวกเธอจะซึมซับและมีภาพจำที่พ่อและแม่ยืนเคียงข้างพี่น้องผู้ใช้แรงงาน เมื่อเติบโตพวกเธอจะได้ยืนเคียงข้างบรรดาลุงป้าน้าอาเหล่านั้นตามวาระและโอกาสที่อำนวย ไม่โตไปเป็นผู้กดขี่เสียเอง"


อานนท์ นำภา
6 hours ago

1 พ.ค. 2567 วันกรรมกรสากล ถึงปราณและขาล ลูกรัก
.
ดอกคูณบานแล้วร่วงแต่ลมร้อนยังไม่จางหายไป อากาศแบบนี้น่าเป็นห่วงบรรดาคนที่ทำงานกลางแจ้ง พี่น้องกรรมกรแรงงานที่ใช้สองมือสร้างสรรค์สังคม สร้างปราสาทราชวัง คนลงแรงที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนามจะจารึก พอวันที่ 1 พฤษภาคมวนมาถึง ก็ทำให้คิดถึงพี่น้องผู้ใช้แรงงานและคิดถึงเมื่อครั้งฝึกเป็นทนายความใหม่ๆ ที่สำนักงานกฎหมายมีสิทธิ
.
“มีสิทธิ” เป็นชื่อสำนักงานกฎหมายที่รู้จักกันดีในสายแรงงาน การได้ฝึกทนายที่นั่นทำให้พ่อได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง ได้รู้จักนักต่อสู้ด้านสิทธิด้านสิทธิแรงงานหลายคน และได้ช่วยคดีพี่น้องผู้ใช้แรงงานเหล่านั้น นั่นคือเกียรติของทนายความที่พ่อคิดถึงก็ยิ้มได้และมีกำลังใจทุกครั้ง
.
ตระกูลทางพ่อเป็นผู้ใช้แรงงาน เป็นชาวนา พวกเธอจึงมีสายเลือดของคนที่ใช้แรงงานสร้างสรรค์โลกด้วย พ่อกับแม่ไปร่วมชุมนุม ซื้อน้ำ ซื้ออาหารไปสมทบการชุมนุมของพี่น้องแรงงานบ่อยครั้ง และในหลายๆครั้ง เจ้าปราณก็จะมีโอกาสตามไปด้วย เราพยามเลี้ยงลูกทั้งสองให้ติดดิน และมีสำนึกของความเป็นสามัญชน ไม่ใช่สำนึกของการเป็นเจ้าคนนายคน
.
หวังว่าพวกเธอจะซึมซับและมีภาพจำที่พ่อและแม่ยืนเคียงข้างพี่น้องผู้ใช้แรงงาน เมื่อเติบโตพวกเธอจะได้ยืนเคียงข้างบรรดาลุงป้าน้าอาเหล่านั้นตามวาระและโอกาสที่อำนวย ไม่โตไปเป็นผู้กดขี่เสียเอง
.
ฝากความระลึกถึงบรรดาลุงป้าน้าอาสายแรงงานทุกคนด้วย หวังว่าทุกคนคงสบายดี
.
อานนท์ นำภา
แดน 4


,,,,,
อานนท์ นำภา
18 hours ago
·
เขียนตอน 4 ทุ่มของคืนวันที่ 29 เม.ย. 2567 พ่อทนความร้อนไม่ไหวต้องลุกมาอาบน้ำในบล็อกของเรือนนอน โชคดีได้แป้งเย็นของน้าคนหนึ่งในห้องเดียวกัน ได้โรยตัวด้วยแป้งเย็นหลังอาบน้ำใหม่ สติปัญญาค่อยกลับมา เมื่อไหร่อากาศร้อนผ่าวแบบนี้จะหมดไป เฮ้อ…
.
ปราณและขาลลูกรัก วันนี้พ่อไปฟังคำพิพากษาคดีม.112 ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้โทษทัณฑ์จากการพูดความจริงมาอีก 2 ปี รวม 3 คดีตอนนี้ก็เกิน 10 ปีเป็นที่เรียบร้อย เหลือที่ยังไม่ได้ตัดสินอีก 10 กว่าคดี ไม่ว่าจะตัดสินอย่างไร โทษที่ออกมามันก็เป็นเพียงตัวเลขเท่านั้น การติดคุกของพ่อคือการรับโทษไม่ใช่การรับผิด การพูดความจริงเพื่อประโยชน์สาธารณะในประเทศประชาธิปไตยไม่มีทางเป็นความผิดไปได้
.
อย่างไรก็ตามในอีกมุมหนึ่งการที่พ่อยังอยู่ในคุกและจำนวนโทษที่ค่อยๆสูงขึ้นมันก็ช่วจสะท้อนถึงปัญหาของสังคมไทยเป็นอย่างดี ลูกทั้งสองไม่ต้องเป็นห่วง พ่อติดคุกด้วยความมุ่งหมายและจุดหมายที่ตั้งมั่น ความเข็มแข็งของจิตใจยังมีอยู่อย่างเหลือเชื่อ ยิ่งได้รับกำลังใจอันมากมายจากมิตรสหายและรับทราบว่าทุกคนกำลังต่อสู้ตามวิถีของตน ยิ่งทำให้ไฟการต่อสู้ในใจพ่อลุกโชน
.
ใกล้เปิดเทอมแล้ว ปีนี้เจ้าปราณก็จะได้ขึ้นป.3 ส่วนเจ้าขาลย่างเข้าขวบปีที่ 2 รออีกปีนิดๆก็จะได้เข้าอนุบาลแล้ว ความยากลำบากของแม่ของพวกเธอก็จะมากขึ้นไปด้วย ฝากพวกเธอทั้งสองคนให้กำลังใจแม่ด้วย ตอนที่แม่ขับรถไปส่ง ปราณต้องไม่ลืมรัดเข็มขัดนิรภัยและต้องให้น้องนั่งในคาร์ซีทเท่านั้น และห้ามเล่นกันรบกวนแม่เด็ดขาด
.
พ่อคงต้องนอนแล้ว เมื่อเช้าตื่นเช้ากว่าปกติ พรุ่งนี้คงต้องตื่นเช้าเพราะต้องถูกเบิกตัวไปทำหน้าที่ทนายความให้พี่คนหนึ่งที่โดนม.112 จากการร้องเพลงหน้าเรือนจำ หลับฝันดีทั้งสามคน
.
รักและคิดถึง
อานนท์ นำภา


ตามคาด “เด็กแม้ว” ที่สื่อผู้จัดการเคยเรียกไว้ เมื่อปี 2558 เข้าตามโผ ส่วนใครเล็งไว้แล้วไม่ได้ เสียใจด้วยนะ


สมชาย แซ่จิว
14h
·
ตามคาด
“เด็กแม้ว”
ที่สื่อผู้จัดการเคยเรียกไว้
เมื่อปี 2558
เข้าตามโผ
ส่วนใครเล็งไว้แล้วไม่ได้
เสียใจด้วยนะคะ สู้ต่อไป
.....



ในภาวะการเมืองแบบนี้ แม้คนไทยโกรธมากพอ แต่ ทำไมยังไม่พอ ?



“History has taught…it is not enough for people to be angry—the supreme task is to organize and unite people so that their anger becomes a transforming force.”

Rev. Dr. Martin Luther King, Jr., February 23, 1968
.....

Kasian Tejapira
11h·

คนไทยโกรธไม่พอ vs. ไม่พอถ้าแค่โกรธ
%%%%
หลายปีมานี้คนไทยมีความโกรธแค้นกราดเกรี้ยวต่อชนชั้นนำทางอำนาจเป็นพัก ๆ + ความรู้สึกแพร่หลายซึมลึกว่าตัวเองไร้อำนาจ
ทำอย่างไรจะจัดตั้งความโกรธทางการเมืองขึ้นมาให้แปรเป็นพลังต่อเนื่องไม่ขาดตอนอย่างยั่งยืนได้?


การเมืองเรื่องความหวังที่ก้าวไกลชิงไปจากเพื่อไทย


ประชาธิปไตยสองสี: ใบตองแห้ง EP.5 "อรรถจักร์"การเมืองเรื่องความหวังที่ก้าวไกลชิงไปจากเพื่อไทย

matichon tv

Premiered 6 hours ago 

ประชาธิปไตยสองสี: อธึกกิต แสวงสุข ใบตองแห้ง EP.5 สนทนา "อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์" อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ประเด็นว่าด้วยเรื่องความหวังที่ก้าวไกลชิงไปจากเพื่อไทย #matichontv #ประชาธิปไตยสองสี #ใบตองแห้ง

https://www.youtube.com/watch?v=1dLoTSHp0iA

'ยิ่งชีพ' iLaw เสียงสั่น ขอบคุณตัวแทนผู้สมัคร สว.2567 ที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า





 


(https://twitter.com/MatichonTV/status/1785642827667415141)

..... 
  Matichon TV @MatichonTV
·7h

'ยิ่งชีพ' iLaw เสียงสั่น ขอบคุณตัวแทนผู้สมัคร สว.2567 ที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า #MatichonTV #มติชน_สวชุดใหม่ThailandSelect #สว2567 #เลือกสว2567 #ยิ่งชีพ #iLaw

ชมผ่าน FB
https://www.facebook.com/watch/?v=362781989565463&t=0


ทิศทางแรงงานไทย ในวันเผชิญกับสังคมสูงวัย-ค่าครองชีพสูงขึ้น | สุนิสา ช่อแก้ว - รัฐบาลไทยต้องปรับตัวเรื่องแรงงานและเตรียมพร้อมคนให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงของการจ้างงานในอนาคต และอนาคตแรงงานไทยในวันนี้ค่าครองชีพกับค่าจ้างแรงงานที่สวนทางกัน


Direk Interview Ep.30 : ทิศทางแรงงานไทย ในวันเผชิญกับสังคมสูงวัย-ค่าครองชีพสูงขึ้น | สุนิสา ช่อแก้ว

Political Science TU

Apr 29, 2024

Direk Interview Ep.30 : ทิศทางแรงงานไทย ในวันเผชิญกับสังคมสูงวัย-ค่าครองชีพสูงขึ้น | สุนิสา ช่อแก้ว . ต้อนรับวันแรงงานกับบทสัมภาษณ์จาก รศ.ดร.สุนิสา ช่อแก้ว ถึงประเด็น "ทิศทางแรงงานไทย ในวันเผชิญกับสังคมสูงวัย-ค่าครองชีพสูงขึ้น" โดยอาจารย์จะกล่าวถึง การก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบของสังคมไทยที่ส่งผลให้การจ้างงานและรูปแบบการจ้างแรงงานของไทยเปลี่ยนไป การพัฒนาด้านเทคโนโลยีกับการปรับตัวของแรงงานไทย รัฐบาลไทยต้องปรับตัวเรื่องแรงงานและเตรียมพร้อมคนให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงของการจ้างงานในอนาคต และอนาคตแรงงานไทยในวันนี้ค่าครองชีพกับค่าจ้างแรงงานที่สวนทางกัน

https://www.youtube.com/watch?v=tADtKJy47m4


ขึ้นเดือนใหม่ “พฤษภาคม” แล้ว มีเพื่อนๆผู้ต้องขังตั้ง 6 คนที่เกิดเดือนนีั


อานนท์ นำภา
19 hours ago
·
ขึ้นเดือนใหม่ “พฤษภาคม” กันแล้ว
มีเพื่อนๆผู้ต้องขังตั้ง 6 คนที่เกิดเดือนนีั
ขออวยพรวันเกิดล่วงหน้า
และส่งความปรารถนาดีให้
.
แม็กกี้ ถูกขังมาแล้ว 192 วัน
บัสบาส ถูกขังมาแล้ว 105 วัน
สุวิทย์ ถูกขังมาแล้ว 374 วัน
ไพฑูรย์ ถูกขังมาแล้ว 231 วัน
เวหา ถูกขังมาแล้ว 350 วัน
ยุทธนา ถูกขังมาแล้วราว 9 ปี
.
ขอสงวนอายุให้ทุกคนก็แล้วกัน
เผื่อเขาไม่อยากบอกใคร แต่ทุกคนมี
ช่วงอายุระหว่าง 23-40 ปีเท่านั้นเอง
.
เราจะทำการซื้ออาหารพิเศษให้พวกเขา
ในช่วงวันเกิดของแต่ละคนต่อไป
.
ขอบคุณทุกๆคนที่ร่วมสนับสนุน
กองทุนอาหาร-ของใช้ให้เพื่อนๆในเรือนจำ


วันพุธ, พฤษภาคม 01, 2567

นายกฯ หวาน “คำพูดต้มยำ” อวยแรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดี วัน ‘เมย์เดย์’ แต่ “การกระทำน้ำล้างตีน”

เมย์เดย์วันแรงงานสากล นายกฯ เศรษฐา มีคำปลอบประโลมถึงผู้ใช้แรงงาน ว่า “ต้องมีเงินเดือนและค่าแรงขั้นต่ำที่เป็นธรรม เพียงพอที่จะดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี มีความปลอดภัยในการทำงาน เข้าถึงระบบสวัสดิการได้อย่างเหมาะสม และมีคุณภาพชีวิตที่ดีครับ”

แต่ไฉน มีคำตอบหนึ่งจากพลเมืองไซเบอร์ “คำพูดต้มยำ การกระทำน้ำล้างตีน” @weeeedpung ว่าอย่างนั้น เหตุหนึ่งคงอยู่ที่ เมื่อต้นมีนาคมที่ผ่านมา สภาผู้แทนฯ มีมติ ๒๕๒ ต่อ ๑๔๙ ตีตกร่าง พรบ.คุ้มครองแรงงาน ที่เสนอโดยพรรคก้าวไกล

เห็นชัดว่าพรรคเพื่อไทย พร้อมกับพรรคอื่นๆ ที่ร่วมรัฐบาล ทำให้เศรษฐาไม่ตรงปก เบื้องลึกแล้วยึดมั่นกับการ ตระบัดสัตย์ วันแรงงานจึงยังกลุ่มสมาพันธ์แรงงานต่างๆ ร่วมกันเดินขบวนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปยังหน้าทำเนียบรัฐบาล

ชูป้ายแสดงความไม่พอใจต่างๆ ที่ คุณภาพชีวิตไม่ได้ดีอย่างที่นายกฯ หยอดคำหวาน ไข่แพง น้ำมันแพง ก๊าซแพง ยาแพง คือข้อความบนป้ายที่ @ThaiPBS รายงาน ทว่าความใส่ใจของนายกฯ ผู้มีภูมิหลังเป็นนักอสังหาริมทรัพย์ ไปอยู่ที่เมกกาโปรเจ็ค

แผนการณ์เปลี่ยนพื้นที่ท่าเรือคลองเตยเป็นสวนคอนกรีตขนาดยักษ์ มัลติคอมเพล็กซ์ตึกสูงระฟ้า ศูนย์กลางธุรกิจ การธนาคาร โรงแรม ๕ ดาว ห้างสรรพสินค้า คอนเสิร์ทฮอล สถานคาสิโน เทียบชั้นได้กับ (หรือแม้แต่ล้ำหน้า) มารีน่า เบย์ ของสิงคโปร์

ด้วยเป้าหมายดึงทุนต่างชาติมาลง ขณะนี้กำลังทบทวนหลักเกณฑ์การถือครองที่ดินสำหรับต่างชาติ จะขยายเวลาเช่าจากเดิม ๓๐ ปี เป็น ๙๐ ปี แถมด้วยการให้เช่าแบบถือเป็น ทรัพย์สิทธิ หรือ ‘Real Life’ นัยว่าได้คุยกับนักธุรกิจตะวันออกกลางและจีนบางคนไว้แล้ว

อย่างเช่น “EMAAR Group ผู้สร้างตึก Burj Khalifa เตรียมนำเทคโนโลยีสมัยใหม่สร้างตึกสูงที่สุดในโลกในไทย” โครงการนี้เกิดแน่ๆ เพราะนายกฯ เตรียมพื้นที่ไว้แล้ว ด้วยการ “ย้ายท่าเรือ (คลองเตย) ออกจากกรุงเทพฯ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว”

นั่นเป็นคำสั่งจากทำเนียบรัฐบาล ที่ นร ๐๕๐๕/ว(ล) ๗๔๒๑ เมื่อ ๔ เมษายน ๒๕๖๗

(https://www.bangkokbiznews.com/property/1123739=EOjfykOaIM0S5, https://twitter.com/KhaosodEnglish/status/1785527690315063483 และ https://twitter.com/ThaiPBS/status/1785510253712601214) 

ทัพอากาศวางก้าม ยอมคืนที่ดินติดรันเวย์ดอนเมืองให้การท่าอากาศยาน แต่เรียกค่าชดเชย ๓ พันล้าน

มาถึงยุคนี้ ใครต่อใครเป็นพ่อค้าอสังหาริมทรัพย์กันไปหมดแล้วหรือ กรณีการท่าอากาศยานขอรับคืนพื้นที่สนามกอล์ฟกองทัพอากาศ (สนามงู) ติดลานบินดอนเมือง เจ้ากรมสวัสดิการฯ บอกต้องจ่ายชดเชยให้ ทอ. ๓ พันล้านบาท

พล.อ.ต.ธนชัย อากาศวรรธนะ คิดเลขเก่ง “ประเมินว่ามีค่าใช้จ่ายประมาณ ๙๐ ถึง ๑๐๐ ล้านบาทต่อปี หากคำนวณอยู่ที่ ๓๐ ปี การท่าอากาศยานอาจต้องจ่ายชดเชยเป็นเงินประมาณ ๓,๐๐๐ ล้านบาท” ยังดีที่ไม่รวม ‘appreciation’ มูลค่าเพิ่มอีกสามเท่าตัว

นี่ถ้าอ้างว่าเป็นสนามกอล์ฟแปลกที่สุดในโลก ผู้เล่นได้ตีกอล์ฟขณะเครื่องบินขึ้นลง ทั่วโลกอยากมาลอง เป็นซอฟพาวเวอร์อย่างหนึ่งละก็ เป็นข่าวนิวยอร์คไทมส์แน่นอน แม้จะอ้างเรื่องผ่านการตรวจสอบมาโดยตลอดเรื่องความปลอดภัย

กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่การท่าฯ แย้งว่าถึงอย่างนั้น “พบว่ามีปัญหาเกิดขึ้น เช่น มีรถกอล์ฟฝ่าฝืนสัญญาณไฟ นักกอล์ฟไม่ระมัดระวังในการเดินตัดจุดผ่านของรันเวย์” และหอบังคับการบินมองไม่เห็นทางขับรถกอล์ฟเนื่องจากมีต้นไม้บดบัง

“หากรับคืนพื้นที่จากกองทัพอากาศ การท่าอากาศยานจะนำมาพัฒนาเป็นทางเชื่อมต่อของเครื่องบินเข้าสู่รันเวย์ที่ ๑ และรันเวย์ที่ ๒ ซึ่งจะทำให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น” นำไปสู่การพัฒนาเพิ่มศักยภาพการรองรับเครื่องบินมากขึ้น

คำตอบอย่างเห็นแก่ได้ของกองทัพอากาศ มีลักษณะของการวางก้าม คิดค่าใช้จ่ายชดเชย ไม่คิดบ้างว่าเอาที่ดินซึ่งควรเป็นส่วนหนึ่งของรันเวย์ไปใช้เป็นสนามกอล์ฟ ได้ผลประโยชน์แล้วยังก่อความเสี่ยง ซ้ำผลประโยชน์นั้นเป็นการเสริมสุขส่วนตัวอีกต่างหาก

(https://www.amarintv.com/news/detail/216328=IwZXMMnucZ3) 

เร่งขนย้ายกากแคดเมียมสไตล์รัฐไทย สุดท้ายโซ่หลุด!


.....
พรรคก้าวไกล - Move Forward Party
6h·

[ เร่งขนย้ายกากแคดเมียมสไตล์รัฐไทย: ก้าวไกลเตือนแล้วไม่ฟัง สุดท้ายโซ่ขาด! ]
.
การขนย้ายกากแคดเมียมจากจังหวัดสมุทรสาครและกรุงเทพฯ กลับมายังต้นทางที่จังหวัดตาก เริ่มต้นแล้วตั้งแต่เมื่อคืนวานนี้ (29 เม.ย.) ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงกระบวนการขนย้ายที่ไม่รัดกุม และโรงพักคอยกากแคดเมียมที่ยังไม่สมบูรณ์พร้อม
.
เช้านี้ รถบรรทุกกากแคดเมียมชุดแรกได้เดินทางมาถึงด้านหน้าโรงพักคอยแล้ว แต่ระหว่างการทดลองยกถุงบิ๊กแบ็กลงจากรถบรรทุกเพื่อลำเลียงต่อไปยังโรงพักคอย ปรากฏว่าโซ่ที่ยกถุงบิ๊กแบ็กกลับขาดสะบั้น 2 เส้น! ทำให้ถุงบิ๊กแบ๊กร่วงลงบนรถบรรทุก กากแคดเมียมบางส่วนฟุ้งกระจายลงด้านข้างรถ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมจึงสั่งยุติการดำเนินการทันที และสั่งให้วางแผนกระบวนการใหม่ให้รัดกุม
.
คริษฐ์ ปานเนียม-Karit pannaim สส.ตาก เขต 1 พรรคก้าวไกล ซึ่งสังเกตการณ์อยู่ด้านหน้าโรงพักคอย ได้อยู่ร่วมเป็นประจักษ์พยานในเหตุการณ์โซ่ขาดนี้ด้วย พร้อมกล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นน่ากังวล และสะท้อนว่าภาครัฐเร่งรีบขนย้ายกากแคดเมียมทั้งที่ไม่มีความพร้อมอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นโรงพักคอยที่ไม่ได้มาตรฐาน การลำเลียงที่ไม่ได้คิดมาอย่างรอบคอบ แทนที่จะทดลองลำเลียงด้วยวิธีอื่น กลับทดลองด้วยกากแคดเมียมจริง
.
“ก่อนหน้านี้รัฐรับปาก ยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่ามีการทดสอบมาอย่างดี แต่พอถึงคราวทำจริง กลับเห็นแต่ความหละหลวม รัฐมนตรีสั่งการรีบเร่ง คณะทำงานฯ ก็เออออ ปราศจากการบีบบังคับให้โรงงานเตรียมความพร้อมด้วยมาตรการสูงสุด นี่คือการสุกเอาเผากินบนความเดือดร้อนของประชาชนตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง”
.
พรรคก้าวไกลเคยเตือนแล้วให้ภาครัฐเข้มงวดกับกระบวนการขนย้ายกลับและปรับปรุงโรงพักคอยให้สมบูรณ์ก่อนดำเนินการขนย้าย แต่รัฐก็ไม่รับฟัง บอกเพียงว่าทุกขั้นตอน “ปลอดภัยแน่นอน” แล้วในที่สุดความผิดพลาดก็เกิดขึ้นจริงๆ สุดท้ายคนที่รับผลกระทบหนักที่สุดก็คือประชาชนที่อยู่ในพื้นที่
.
หลังจากนี้ พรรคก้าวไกลขอย้ำให้ภาครัฐเร่งทบทวนแผนการขนย้าย กวดขันเรื่องความปลอดภัย ปรับสภาพโรงพักคอยและบ่อฝังกลบให้ได้มาตรฐาน อย่าให้เรื่องเช่นนี้เกิดซ้ำ เพราะจะยิ่งทำให้ประชาชนหมดความไว้วางใจ หากเป็นเช่นนั้น การทำงานของภาครัฐที่ไม่ราบรื่นอยู่แล้ว จะยิ่งดำเนินการได้ยากกว่าเดิม
.
#ก้าวไกล #กากแคดเมียม



ชีวิตข้างกองพิษ ถ้าเป็นคุณ กลัวไหม “ความไม่ยุติธรรม” ของคนตาก จากเหมืองแม่ตาวถึงกากแคดเมียม "เราทนทุกข์มาตั้งนานแล้ว พอเราจะปลอดโปร่ง จะเอามาให้เราอีกแล้ว"

.....


การขนย้ายกากแคดเมียมชุดแรกจาก จ.สมุทรสาคร เมื่อวันที่ 29 เม.ย.2567



30 เมษายน 2024
บีบีซีไทย

กลางอากาศร้อนจัดปลายเดือน เม.ย. ที่ทะลุเกือบจะ 40 องศาเซลเซียส ตอง พรมทับ หญิงชราวัย 72 ชาว จ.ตาก ย้อนความหลัง เมื่อครั้งโรงถลุงแร่สังกะสีห่างออกไปไม่กี่ร้อยเมตรเดินเครื่องถลุงแร่ ที่ด้านในโรงงานที่เธอกำลังกล่าวถึง กำลังมีความเคลื่อนไหวเพื่อเตรียมรับกากตะกอนแร่แคดเมียมนับหมื่นตัน ที่กำลังถูกขนย้ายกลับมาฝังกลบ

ที่นี่คือ พื้นที่ ต.หนองบัวใต้ อ.เมือง จ.ตาก ห่างจากกรุงเทพมหานคร กว่า 400 กิโลเมตร ใกล้กันกับบ้านยายตอง คือ โรงถลุงแร่ของบริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ขนาดพื้นที่กว่า 2,500 ไร่ ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อมาเป็น บมจ. เบาด์ แอนด์ บียอนด์

“ผาแดง” ตามที่ชาวบ้าน จ.ตาก เรียก เปิดดำเนินการมาตั้งแต่ช่วงปี 2525 และเพิ่งหยุดกระบวนการถลุงสังกะสีไปเมื่อปี 2561 ที่ผ่านมา

เช้าตรู่วันที่ 30 เม.ย. นี้ คือช่วงเวลาที่กากแคดเมียมที่ถูกขุดออกไปราว 13,000 ตัน จะถูกขนย้ายกลับมาถึงยังโรงงานแห่งนี้เป็นชุดแรก

ความหลังที่หญิงสูงวัยรายนี้กล่าวถึง คือ กลิ่นที่เธอก็ไม่รู้ว่า มีสารอะไรอยู่ในนั้นบ้าง เธอบอกเพียงว่า มันเป็นกลิ่นคล้ายกับกำมะถัน ในบางวันรุนแรงจนต้องใช้ผ้าปิดจมูก บางวันก็มีฝุ่นควัน


ป้ายบริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ริมถนนสายเอเชีย อ.เมือง จ.ตาก

ภาพในทรงจำของยายตอง ยังมี "ขี้เกลือ" ที่ปกคลุมผืนนาอีกฝั่งของถนน ซึ่งห่างจากแม่น้ำปิงที่ไหลผ่ากลางเมืองตาก ไม่ถึง 1 กิโลเมตร

"เราก็สู้ชีวิตกับผาแดงมาตั้งกี่สิบปีแล้ว จะกลับมาให้สู้อย่างนี้อีก จะรู้หรือ ว่าสารมันจะฟุ้งยิ่งกว่าที่ตั้งอยู่หรือเปล่า" ยายตอง กล่าวกับบีบีซีไทย

นี่คือ ความรู้สึกของคนเมืองตาก ที่อยู่ใกล้กับต้นทางกากแคดเมียมจำนวนนับหมื่นตัน ซึ่งถูกเจ้าของบริษัทขุดขึ้นมาขายให้กับบริษัทหลอมโลหะแห่งหนึ่งใน จ.สมุทรสาคร ก่อนพบว่ามีการกองเก็บกากแคดเมียมไว้ในโรงงานและโกดัง รวมทั้งหมด 6 จุด ใน จ.สมุทรสาคร จ.ชลบุรี และเขตบางซื่อ กรุงเทพฯ เมื่อช่วงต้นเดือน เม.ย.

ควบคู่ไปกับการดำเนินคดี และการสอบข้อเท็จจริงข้าราชการที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการให้อนุญาตขนย้าย คณะทำงานรวม 6 กระทรวง ที่คณะรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แต่งตั้ง ได้เร่งให้มีการขนย้ายกากแคดเมียมอันตรายนับหมื่นตันกลับไปยังต้นทาง ท่ามกลางความกังวลของชาวบ้าน ถึงมาตรฐานความปลอดภัย



แผนการขนย้าย

กระทรวงอุตสาหกรรมเปิดเผยเมื่อวันที่ 26 เม.ย. ว่าจะเริ่มทำการขนย้ายในวันที่ 29 เม.ย. ซึ่งเร็วกว่ากำหนดเดิม 1 สัปดาห์ โดยกากแคดเมียมที่ หน่วยงานรัฐร่วมกับตำรวจตรวจสอบติดตามพบล่าสุด อยู่ที่ 12,948 ตัน

ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จะเริ่มขนย้ายในวันที่ 29 เม.ย. และคาดว่า การขนย้ายจะเสร็จสิ้นภายในวันที่ 17 มิ.ย. หรือเป็นเวลาเกือบ 2 เดือน โดยการขนย้ายจะทำได้เฉลี่ยวันละ 450 ตัน ด้วย รถบรรทุก 2 ประเภท คือ รถพ่วงคอก และ รถเทรลเลอร์-ท้ายเรียบ ที่ได้รับอนุญาตขนส่งวัตถุอันตราย ผ่านเส้นทางถนนสายเอเชียที่ขึ้นสู่ภาคเหนือ

มาตรการการขนย้ายจะมีการซ้อนถุงบิ๊กแบ็กและมัดปากถุง 2 ชั้น โดยมีการชั่งน้ำหนักพร้อมทดลองบันทึกระบบติดตาม ด้วยการเขียนน้ำหนัก และหมายเลขถุง การเก็บตัวอย่างกากตะกอนตรวจสอบ และดูดฝุ่นใส่ถุงเก็บการขนย้าย

การขนย้ายที่เริ่มในวันที่ 29 เม.ย. จะเริ่มจากโรงงานล้อโลหะไทย เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร และอีก 3 จุด ใน จ.สมุทรสาคร ส่วน จ.ชลบุรี ยังต้องรอกระบวนการทางกฎหมายในการขอยึดอายัดของกลาง


เจ้าหน้าที่ตรวจสอบปริมาณสารแคดเมียมบริเวณพื้นผิวรถบรรทุกก่อนเคลื่อนย้ายออกจากโรงงาน ที่บริษัท ล้อโลหะไทย เขตบางซื่อ กทม. บ่ายวันที่ 29 เม.ย.2567

โรงถลุงสังกะสี ผาแดงอินดัสทรี จ.ตาก ต้นทางกากแคดเมียม

โรงถลุงแร่สังกะสี บริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ที่ตั้งของบ่อฝังกลบต้นทางของกากแคดเมียม ตั้งอยู่บนถนนสายเอเชียหรือทางหลวงหมายเลข 1 พหลโยธิน ห่างจากกรุงเทพมหานครกว่า 400 กิโลเมตร

ที่ตั้งของโรงถลุงที่ปิดตัวไปเมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว อยู่บนเนินเขาที่มีลักษณะเป็นหลังเต่า ด้านขวาคือหมู่บ้านคลองห้วยทราย ต.หนองบัวใต้ บ้านเกิดของ ศุภโรฒ พรมทับ อดีตพนักงานในโรงถลุงแห่งนี้

ศุภโรฒบอกกับบีบีซีไทยว่า แม้โรงถลุงตั้งอยู่ข้างหมู่บ้านมาหลายสิบปี แต่ชาวบ้านหลายคนเพิ่งมารู้ถึงพิษภัยของแคดเมียมว่าร้ายแรงเพียงใด จากข่าวสารที่รายงานในสื่อทุกแขนงเมื่อแคดเมียมไปโผล่อยู่ใน 3 จังหวัดภาคกลาง

"จากที่ไม่รู้ว่าแคดเมียม คืออะไร อันตรายยังไง ก็ได้รับรู้ ณ ตอนนี้ ทุกคนเริ่มแสวงหาว่า ข่าวมันเป็นยังไง มันอันตรายยัยไง ทำไมถึงไปดังที่สมุทรสาคร" ศุภโรฒ กล่าวกับบีบีซีไทย เมื่อวันที่ 24 เม.ย. ก่อนที่ทางการจะขนย้ายกากแคดเมียมกลับมาฝังในอีกไม่ถึง 1 สัปดาห์


บ่อฝังกลบกากตะกอนแร่ ที่ถูกขุดออกไปจากโรงถลุงสังกะสี บมจ.ผาแดงอินดัสทรี หรือชื่อในปัจจุบัน "เบาด์ แอนด์ บียอนด์"

สิ่งที่ชาวบ้านทำได้ หลังจากรู้ข่าว คือ การยื่นหนังสือคัดค้านการขนย้ายแคดเมียมกลับมาฝังกลบที่เดิมต่อหน่วยงานอุตสาหกรรมจังหวัด

โรงถลุงแร่สังกะสีของ บมจ.ผาแดง ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อมาเป็น บมจ. เบาด์ แอนด์ บียอนด์ และมีกระทรวงการคลังเป็น 1 ใน 2 ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เปิดทำการในช่วงตั้งแต่ปี 2525-2564 โดยรับแร่ที่ถูกระเบิดจากเหมืองผาแดงหรือที่เรียกว่าเหมืองแม่ตาว ในเขต ต.พระธาตุผาแดง อ.แม่สอด จ.ตาก ที่อยู่ห่างออกไปราว 80 กม. มาถลุงสกัดแร่สังกะสี

หลังดำเนินการมา 34 ปี เหมืองแร่ได้ปิดตัวลงในปี 2559 โดยบริษัทอ้างว่า ปริมาณแร่สำรองในพื้นที่หมดลง และกากตะกอนแร่จำนวนนับแสนตันได้ถูกฝังกลบไว้ในโรงถลุงดังกล่าว

กากแคดเมียมที่พบว่าถูกขายมายังบริษัทในสมุทรสาคร เป็นของเสียอันตรายจากการทำเหมือง ซึ่งมีการฝังกลบแบบปลอดภัยไปแล้วในบ่อ 7 แห่ง และปิดบ่อไปเรียบร้อยแล้วเมื่อปี 2561 ตามข้อกำหนดมาตรการผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA) ที่ทางบริษัทแจ้งต่อหน่วยงานอุตสาหกรรมเอาไว้

หมู่บ้านข้างกองพิษ

จากการลงพื้นที่ตรวจสอบของกระทรวงอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ส่วนจังหวัด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.ตาก และชาวบ้านในพื้นที่ พบว่า กากแคดเมียมที่ถูกขุดขึ้นไปจำนวนนับหมื่นตันมาจาก 1 ใน 7 บ่อ และยังพบว่า มีการเปิดวัสดุและทยอยขุดเพิ่มเติมในบ่อใกล้เคียงอีก 1 จุด

ผลการตรวจมาตรฐานของบ่อฝังกลับเมื่อวันที่ 18 เม.ย. ได้สร้างความกังวลให้กับชาวบ้านใกล้เคียง เนื่องจากพบว่า บ่อกลบมีรอยแตกร้าวเป็นระยะ ทำให้คนในชุมชนรอบข้างไม่มั่นใจว่า บ่อฝังกลบจะมีความปลอดภัยและไม่รั่วไหลลงสู่ธรรมชาติ ทั้งดิน น้ำ ที่อาจปนเปื้อนมาสู่ชุมชน

"ถ้าบอกว่ายังใช้บ่อเดิม เราไม่เห็นด้วยเด็ดขาด" ศุภโรฒ กล่าว

พื้นที่ ม.3 และ ม.6 ของ ต.หนองบัวใต้ มีชาวบ้านอาศัยอยู่กว่า 460 หลังคาเรือน ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกร พื้นที่บางส่วนยังคงใช้น้ำประปาจากบ่อบาดาล ศุภโรฒ ซึ่งเคยเป็นอดีตพนักงาน แสดงความกังวลว่า หากจัดการบ่อกากพิษไม่ดี อาจก่อให้เกิดการปนเปื้อนสู่ทางน้ำที่เชื่อมต่อออกสู่ทางน้ำสาธารณะ รวมทั้งกิจกรรมการขุดปรับพื้นที่ ขนย้ายกากแคดเมียม ในพื้นที่โรงงาน ซึ่งปากบ่อฝังกลบสูงกว่าพื้นที่ชุมชน หมู่บ้านประมาณ 10-15 เมตร อาจมีความเสี่ยงต่อการฟุ้งกระจายเข้าสู่ชุมชนด้วยหรือไม่

"พอหน้าฝนน้ำหลาก เราก็ไม่รู้ว่าจะชะล้างตามขอบบ่อของคุณที่มีการปนเปื้อน แล้วจะลงไหลสู่แหล่งน้ำตามธรรมชาติหรือเปล่า อันนี้แค่วิตกกังวล เพราะว่าผมไม่เชื่อ 100% หรอกว่า ที่คุณขุดแล้ว ขอบบ่อจะไม่มีการปนเปื้อนเลย" ศุภโรฒ กล่าว



กรมควบคุมมลพิษ ได้เปิดเผยผลการตรวจสิ่งแวดล้อมโดยรอบโรงถลุงผาแดง ทั้งดินนอกโรงงาน น้ำผิวดิน และสารอันตรายในบรรยากาศ ไม่พบว่ามีการปนเปื้อนของสารแคดเมียม แต่คนพื้นที่อย่างศุภโรฒ ไม่ได้วางใจ

"หน่วยงานสิ่งแวดล้อม เขามาตรวจ แต่ไม่ได้ตรวจช่วงที่มีกิจกรรม (การขุด)"

ด้าน บุญธรรม ไพสน ผู้ใหญ่บ้าน ม.3 ต.หนองบัวใต้ ซึ่งตั้งอยู่ติดกับโรงถลุงกล่าวกับบีบีซีไทยว่า การขนย้ายกากแคดเมียมกลับมา ต้องให้ตัวแทนชาวบ้านเข้าไปร่วมตรวจสอบกระบวนการจัดการภายในพื้นที่ฝังกลับ

"ถ้ามันเป็นไปได้ ถ้าเขาเอาไปแล้ว ไปบริหารอย่างถูกต้อง อยากจะให้เขาเอาไป แต่มันเป็นไปไม่ได้ ก็ต้องกลับมาต้นตอ แต่ขอให้บริการจัดการทำถูกต้อง บ่อที่มันมีรอยแตกรอยร้าว ก็ต้องทำการซ่อมให้อย่างดี ถึงจะคลายความกังวลได้" ผู้ใหญ่บ้านหญิง กล่าว

"มันเป็นสารก่อมะเร็ง ชาวบ้านก็เพิ่งมารู้ตอนนี้เอง จากเมื่อก่อนไม่รู้เขาก็ไม่มีวิตกอะไร แล้วก็อยู่คู่กันมา"


ท่อน้ำใต้ถนนสายเอเชีย ลำรางสาธารณะที่ใกล้กับบ่อพักน้ำของโรงถลุงแร่

อย่างไรก็ตาม ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้แถลงการเตรียมการพื้นที่บ่อฝังกลบล่าสุดเมื่อวันที่ 28 เม.ย. ว่า จะใช้วิธีการเทคอนกรีตบ่อใหม่ทั้งหมด ซึ่งจะใช้เวลาไม่เกิน 2 เดือน ตามข้อกังวลของชุมชนรอบโรงถลุง โดยการขนย้ายกลับไปจะดำเนินการจัดเก็บในโรงเก็บแร่ ที่มีการปูวัสดุดินเหนียวเทียมก่อน เพื่อรอการปรับปรุงบ่อฝังกลบ


ผืนนาฝั่งตรงข้ามกับโรงถลุงแร่ผาแดง บริเวณนี้อยู่ติดกับแม่น้ำปิง ซึ่งไหลกลางเมืองตาก

ขุดและอนุญาตได้อย่างไร ใครควรรับผิดชอบ คำถามถึงเจ้าหน้าที่รัฐและเอกชน

บมจ. เบาด์ แอนด์ บียอนด์ ผู้ประกอบกิจการโรงถลุงแร่ ขุดกากตะกอนแคดเมียมไปขายได้อย่างไร ทั้งที่มีการฝังกลบไปแล้วตามมาตรการรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ของโครงการ คือ หนึ่งในประเด็นสืบสวนหลักของกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.)

การแถลงของ บก.ปทส. ชี้ว่า การขุดและขนย้ายโดยขายให้กับบริษัท เจ แอนด์ บี เมททอล จำกัด ใน จ.สมุทรสาคร มีสัญญาการซื้อขาย ซึ่งไม่ถือว่าเป็นสัญญาการส่งกำจัดกากของเสียอันตราย จึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.โรงงาน ในหลายกรณี และแม้ว่าบริษัทแห่งนี้จะมีใบอนุญาตหลอมแคดเมียม แต่จากการเข้าตรวจสอบ กลับไม่พบว่ามีเครื่องจักรที่สามารถกำจัดกากแคดเมียมได้

ในปี 2566 บมจ.เบาด์ แอนด์ บียอนด์ ได้ขออนุญาตขุดและเคลื่อนย้ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งได้รับการอนุญาตจากอุตสาหกรรม จ.ตาก ตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2566-2567 แต่การให้อนุญาตจากเจ้าหน้าที่ในพื้นที่กำลังถูกสอบสวนจากตำรวจและกระทรวงอุตสาหกรรม

"มันไม่ควรจะอนุญาตเลยด้วยซ้ำ มันต้องถูกฝังกลบตลอดไป" คริษฐ์ ปานเนียม สส.ก้าวไกล จ.ตาก กล่าวกับบีบีซีไทย "มันเป็นไปไม่ได้ที่ (อุตสาหกรรม จ.ตาก) จะไม่รู้ว่า แหล่งแร่ตรงนี้เป็นแร่อันตราย แล้วคุณอนุญาตได้อย่างไร"


รอยแตกร้าวบริเวณบ่อฝังปลับกากตะกอนแร่

จนถึงวันที่ 29 เม.ย. ตำรวจ บก.ปทส.ยังอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม ในการแจ้งความเอาผิดกับ บมจ.เบาด์ แอนด์ บียอนด์ ต้นทางผู้ขุดกากแคดเมียม หลังจากแจ้งข้อหาดำเนินคดีกับปลายทางที่พบการเก็บกากแดคเมียมในพื้นที่ 3 จังหวัด ทำให้ชาวบ้าน ต.หนองบัวใต้ เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่เร่งรัดไปร้องทุกข์กล่าวโทษกับเอกชนโดยเร็ว

"มีการดำเนินคดีกับทุกรายทุกจุดอย่างแน่นอน" สมชัย เอมบำรุง ผอ.กองกฎหมาย กระทรวงอุตสาหกรรม ตอบคำถามต่อบีบีซีไทยระหว่างการแถลงข่าว

เขาอธิบายว่า กลุ่มผู้กระทำผิด 3 กลุ่ม ได้แก่ โรงงานต้นทาง โรงงานที่รับกากแร่ และโรงงานที่รับกากแร่อีกทอดหนึ่ง ทั้ง 3 กลุ่มมีความผิดตาม พ.ร.บ.โรงงาน และ พ.ร.บ.วัตถุอันตราย แตกต่างกัน เพราะบางรายเป็นโรงงาน และบางรายไม่ได้เป็นโรงงาน แต่เป็นโกดัง


ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม

ผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมชี้แจงด้วยว่า การดำเนินคดีกับบริษัทต้นทางผู้ขุดและขนย้ายแร่ต้องใช้เวลาดำเนินการอย่างรอบคอบ เพราะเป็นส่วนที่ควบคุมทิศทางของคดีทั้งหมด โดยคาดว่าจะร้องทุกข์กล่าวโทษได้ในสัปดาห์หน้า

ด้าน ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ระบุว่า กระทรวงได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบหลายชุดตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการ และมีการตรวจสอบจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) อีกทางหนึ่ง

"(คณะกรรมการ) ทุกชุดตั้งใจเอาความโปร่งใสเป็นหลัก เอาเรื่องจริงขึ้นมาพูด ไม่มีมวยล้มต้มคนดู" ดร.ณัฐพลกล่าว

ปี 2566 บมจ. เบาด์ แอนด์ บียอนด์ ขออนุญาตขนย้ายกากตะกอนแร่ที่ฝังกลบอยู่ในพื้นที่ของโรงถลุง หลังจากฝังกลบไปแล้วเมื่อปี 2561 มีคำถามว่า เหตุใดทุนใหญ่รายนี้จึงขุดกากเหล่านี้ขึ้นมาอีกครั้ง

เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผอ.มูลนิธิบูรณะนิเวศ องค์กรพัฒนาเอกชนซึ่งติดตามเฝ้าระวังปัญหาสิ่งแวดล้อมจากอุตสาหกรรม กล่าวกับบีบีซีไทยว่า หลุมฝังกลบกากของ บมจ.เบาด์ แอนด์ บียอนด์ หรือ ผาแดงอินดัสทรีในชื่อเดิม เป็นหลุมฝังกลบชนิดที่มีความมั่นคงถาวรป้องกันการรั่วซึมของสารพิษที่ลงสู่ใต้ดิน หรือแหล่งน้ำใต้ดิน (secured landfill)

เมื่อกิจการเหมืองสังกะสีจบลงก็ดำเนินการฝังกลบกากตะกอนแร่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากการทำเหมืองสังกะสี ตามมาตรการกำจัดของกากของเสียอุตสาหกรรมตามรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) และมีการปิดหลุมหลุมสุดท้ายไปเมื่อปี 2560 เศษ ๆ โดยได้รับการตรวจสอบจาก กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) เรียบร้อยแล้ว

แต่การขุดขึ้นมาใหม่นั้น เพ็ญโฉมวิเคราะห์ว่า น่าจะเป็นเหตุผลในการนำที่ดินไปพัฒนาพื้นที่ในเชิงธุรกิจ ในขณะเดียวกัน กากอันตรายโดยเฉพาะแคดเมียมก็เป็นกากของเสียที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เพราะเมื่อสกัดแล้วจะมีราคาที่ตันละกว่า 1 แสนบาท จึงน่าจะเป็นเหตุผลที่เอกชนขุดขึ้นมาใหม่

เพ็ญโฉม อธิบายว่า เมื่อเป็นกากของเสียอันตราย การขุดขึ้นมาต้องมีการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมอีกครั้งหนึ่ง การขุดกากตะกอนแร่ขึ้นมา ตามที่ขออนุญาตการขุดและขนย้ายในปี 2566 จึงเป็นการกระทำผิดตามมาตรการอีไอเอ


กระทรวงอุตสาหกรรม ระบุว่า จากการตรวจองค์ประกอบกากตะกอนแร่ พบว่ามีแคดเมียมอยู่ที่ 30-48% สังกะสี 19-35% และทองแดง 11-20%

"มาตรการอีไอเอ เป็นการฝังกลบที่เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการจัดการกากอุตสาหกรรม จากเหมืองแร่สังกะสี คุณต้องปล่อยมันนอนนิ่งอยู่อย่างนั้น เพราะมันคือขั้นสุดท้ายแล้วตามที่อีไอเอระบุไว้ การที่ขุดขึ้นมาเป็นการทำผิดกฎหมายขั้นที่หนึ่งแล้ว" ผอ.มูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าว พร้อมกับบอกว่า เอกชนรายนี้ มีความผิดฐานบกพร่องในการประเมินศักยภาพของบริษัทปลายทางที่จะรับกากอันตรายไปบำบัดและกำจัดด้วย

ส่วนบริษัท เจ แอนด์ บี เมททอล จำกัด ปลายทางที่รับซื้อกากแคดเมียมจาก จ.สมุทรสาคร แม้ได้ขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน ลำดับที่ 60 โรงงานหล่อหลอมแคดเมียม เมื่อเดือน เม.ย.2566 แต่ด้วยศักยภาพของบริษัท เจ แอนด์ บี ทั้งพื้นที่จัดเก็บ และเตาหลอม ที่มีอยู่ไม่สามารถรับการหลอมและการบดแคดเมียมได้ อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการขายต่อให้กับโรงงานที่มีเจ้าของเป็นชาวจีนที่ ต.คลองกิ่ว อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี หรืออาจเป็นการรับซื้อมาเพื่อต้องการขายต่อตั้งแต่ต้น

"ไม่ว่ายังไงก็ตาม ถ้าคุณจะรับมา แล้วเห็นว่าคุณทำไม่ไหว ต้องการขายต่อ หรือต้องการขายต่อตั้งแต่ทำสัญญากับ เบาด์ แอนด์ บียอนด์แล้ว คุณทำผิดกฎหมายหมดเลย" เพ็ญโฉม กล่าว


เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ

ถ้ากระบวนการทางต้นทางผิดขั้นตอน แล้วทางภาครัฐ อนุมัติอนุญาต ให้ทำเช่นนี้ได้อย่างไร บีบีซีไทยถาม

"อันนี้เป็นคำถามว่า อุตสาหกรรม จ.ตาก ตัดสินใจด้วยเหตุผลอะไร มันเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของอุตสาหกรรม จ.ตาก หรือว่าการใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่มิชอบ" เพ็ญโฉม กล่าว

เธอบอกด้วยว่า อุตสาหกรรม จ.ตาก ควรตรวจสอบด้วยว่าโรงงานปลายทางมีมาตรฐานและศักยภาพในการรับมือกากปริมาณมากเท่านี้หรือไม่ เช่น มีเตาหลอมหรือไม่ มีพื้นที่ โรงบดย่อย หรือไม่ มาตรฐานการป้องกันสิ่งแวดล้อม มาตรการควบคุมมลพิษที่จะเกิดขึ้นกับการหลอม และความพร้อมของเทคโนโลยีเป็นอย่างไร

"ถ้าอุตสาหกรรม จ.ตาก อนุมัติเรื่องที่ใหญ่ขนาดนี้ โดยที่ไม่มีการตรวจสอบปลายทางว่ารับมือไหวหรือไม่ ถือเป็นความบกพร่องของอุตสาหกรรม จ.ตาก พูดง่าย ๆ เป็นการปฏิบัติหน้าโดยประมาท" ผอ.บูรณะนิเวศน์ กล่าว และบอกด้วยว่า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากระบบการขออนุญาตทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่ทำให้การตรวจสอบหละหลวม

"ระบบการขออนุมัติแบบนี้มันรวดเร็ว และง่ายมาก ซึ่งมันคือช่องโหว่ของกฎหมายในการกำกับดูแลเรื่องกาก (อันตราย) ด้วย"



นอกจากนี้ เมื่อดูโครงสร้างของผู้ถือหุ้นของ บมจ.เบาด์ แอนด์ บียอนด์ รายงาน ณ วันที่ 28 ธ.ค.2566 พบว่า กระทรวงการคลัง เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ลำดับที่ 2 มีสัดส่วนการถือหุ้นกว่า 10% รองจาก บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ที่ถือครองหุ้นอยู่ที่ 38.9%

ผอ.บูรณะนิเวศ แสดงความเห็นว่า กระทรวงการคลังต้องออกมารับผิดชอบด้วย ในฐานะที่เป็นผู้ถือหุ้นหลักของ บมจ. เบาด์ แอนด์ บียอนด์

"เรายังไม่เคยเห็นการแถลงความรับผิดชอบในฐานะกระทรวงการคลัง ตั้งแต่ยุคสมัย เศรษฐา เป็นนายกฯ และ รมว.คลัง น่าจะต้องกล่าวคำขอโทษสาธารณะ ในฐานะผู้ถือหุ้นหลักของ เบาด์ แอนด์ บียอนด์ ว่าจะรับผิดชอบในเรื่องนี้อย่างไร"

ก่อนหน้านี้นายเศรษฐา ซึ่งเคยดำรงตำแหน่ง รมว.คลัง ระบุ เมื่อวันที่ 8 เม.ย. ว่า กรณีการขนย้ายกากแคดเมียม พบว่ามีข้อบกพร่องในแต่ละขั้นตอน แต่ไม่ได้กล่าวถึงความรับผิดชอบของกระทรวงการคลังแต่อย่างใด

ความล้มเหลวในการกำจัดกากอันตรายอุตสาหกรรม

ผอ.มูลนิธิบูรณะนิเวศ ชี้ว่า เหตุการณ์ที่กากของเสียอุตสาหกรรมทะลักปนเปื้อนสู่ชุมชนในหลายพื้นที่ เช่น จ.พระนครศรีอยุธยา เพชรบูรณ์ หรือกรณีล่าสุดของ บริษัท วินโพสเสส จำกัด ที่บ้านหนองพะวา ต.บางบุตร อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ซึ่งชุมชนรอบโรงงานชนะคดีในการฟ้องร้องค่าเสียหายต่อโรงงานเมื่อปี 2565 และเพิ่งเกิดเหตุไฟไหม้โรงงานเก็บกากสารเคมี "เป็นตัวอย่างที่ชัดมาก ๆ ของความล้มเหลวของระบบการกำจัดกากอุตสาหกรรมของสารอันตราย" และยังมีอีกหลายพื้นที่ที่ยังไม่ถึงขั้นการฟ้องร้องเรียกความเสียหาย เช่น ใน จ.เพชรบุรี พระนครศรีอยุธยา และลพบุรี

เพ็ญโฉมกล่าวว่า รัฐบาลส่งเสริมการผลิตอุตสาหกรรมด้านต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดกากอุตสาหกรรมอันตราย ซึ่งการบำบัดกากเหล่านี้ ต้องหาบริษัทที่มีมาตรฐานในการกำจัด แต่ด้วยราคาการกำจัดที่ค่อนข้างแพง ตั้งแต่ตันละ 5,000-10,000 บาท กระบวนการเหล่านี้ทำให้อุตสาหกรรมมีกำไรลดลง เอกชนจึงต้องการลดต้นทุนด้วยการเลือกบริษัทกำจัดกากที่มีราคาไม่สูง

"หลายบริษัท รวมถึง เจ แอนด์ บี บริษัทเหล่านี้ เป็นบริษัทให้บริการรับกำจัดกากด้วยราคาที่ถูก มันคาดเดาได้เลยว่า เขาไม่ได้เอาไปกำจัดจริง เขาต้องเอาไปลักลอบในที่ใดที่หนึ่ง" เพ็ญโฉม กล่าว และบอกว่า กระบวนการในการกำกับดูแลของรัฐล้มเหลวทั้งหมดจากการทุจริตของข้าราชการ


ความเสียหายจากไฟไหม้ของบริษัท วินโพรเสส บริษัทกำจัดกากสารเคมี ที่ จ.ระยอง

“เป็นคุณ คุณจะไม่กลัวหรือ”

ห่างออกไป 80 กิโลเมตรจากโรงถลุงแร่ คือ ที่ตั้งของเหมืองที่ บมจ.ผาแดงอินดัสทรี ดำเนินกิจการขุดแร่เป็นระยะเวลากว่า 30 ปี ในบริเวณลุ่มน้ำห้วยแม่ตาว อ.แม่สอด จ.ตาก สถานที่ที่เมื่อ 20 ปีที่แล้ว พื้นที่ 3 ตำบล โดยรอบเหมือง ได้แก่ ต.แม่ตาว ต.แม่กุ และ ต.พระธาตุผาแดง ถูกตรวจพบว่ามีสารแคดเมียมในดินและพืชผลการเกษตร บริเวณห้วยแม่ตาว โดยการตรวจสอบของสถาบันการจัดการทรัพยากรน้ำนานาชาติ (International Water Management Institute : IWMI) ร่วมกับกรมวิชาการเกษตร ผลการศึกษาที่แจ้งต่อกระทรวงอุตสาหกรรมในปี 2546 พบว่า มีการปนเปื้อนสารพิษแคดเมียมในพืชผลการเกษตร โดยเฉพาะข้าว กระเทียมและถั่วเหลือง เกินกว่าค่ามาตรฐาน

ระหว่างปี 2546-2547 โรงพยาบาลแม่สอด ได้ตรวจร่างกายของชาวบ้าน พบว่ามีปริมาณของสารแคดเมียมในร่างกายในระดับสูงกว่าปกติเป็นจำนวนมากถึง 844 ราย

ญาณพัฒน์ ไพรมีทรัพย์ สมาชิกสภาเกษตรกร จ.ตาก เขต อ.แม่สอด กล่าวกับบีบีซีไทยว่า ในช่วง 3 ปีหลังจากการตรวจพบการปนเปื้อน รัฐได้มีมาตรการชดเชยการสั่งห้ามทำนา การซื้อข้าวออกจากยุ้งฉาง และการเกี่ยวข้าวไปทิ้ง โดยรัฐเลิกจ่ายชดเชยให้กับชาวบ้านในปี 2549 ทำให้ชาวบ้านกว่า 1,000 คน รวมตัวกันฟ้องต่อศาลปกครองพิษณุโลกในปีถัดมา

ศาลปกครองพิษณุโลก มีคำพิพากษาในปี 2556 ให้ชาวบ้าน 3 ตำบล ที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ ชนะคดี ที่ร่วมกันฟ้องร้องคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และอีกหลายหน่วยงาน โดยให้ออกกฎกระทรวง กำหนดให้ลุ่มน้ำแม่ตาว อ.แม่สอด เป็นเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม และในส่วนของคดีแพ่ง ศาลได้พิพากษาให้ บมจ.ผาแดงอินดัสทรี และ บริษัท ตากไมนิ่ง จำกัด ผู้ได้รับสัมปทานเหมืองอีกราย ชดใช้ค่าเสียหายให้กับชาวบ้านรายละตั้งแต่ 52,000-104,000 บาท

"ผลจากคำพิพากษาของศาลปกครอง บ่งชี้ชัดว่า ทั้งสองบริษัท เป็นผู้ทำให้เกิดการแพร่กระจายของสารแคดเมียม และในคำสั่งอีกศาลปกครองได้สั่งให้ประกาศพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมลุ่มน้ำแม่ตาว มาวันนี้เองประกาศมาปีกว่า แต่เรายังไม่เห็นแผนในการฟื้นฟู หรือแผนในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม" ญาณพัฒน์ กล่าว

"ไม่มีใครเอาแคดเมียมออกจากดิน ชาวบ้านก็ต้องทนอยู่กับสิ่งที่ตัวเองรู้และกังวล แล้วยังต้องส่งมอบมรดกที่ปนเปื้อนแคดเมียมให้กับลูกหลาน"



หลักฐานของความเสียหายจากสารพิษ คือ บัตรผู้ป่วยโครงการแคดเมียม ที่ชาวบ้านยังเก็บไว้ ตั้งแต่ปี 2547 คือการยืนยันว่าพวกเขามีสารแคดเมียมในร่างกายสูงกว่ามาตรฐาน ซึ่งสันนิษฐานว่าเข้าสู่ร่างกายจากการกินข้าวในผืนนาที่พวกเขาปลูก และดื่มน้ำในลำห้วยที่ถูกตรวจพบสารแคดเมียมที่ปนเปื้อนมาจากการทำเหมือง

ปี 2567 ที่ อ.เมือง จ.ตาก กากพิษอันตรายชนิดเดียวกันนี้ ถูกขุดและเปิดบ่อขึ้นมาอีกครั้ง

"ไม่ยุติธรรม เราทนทุกข์มาตั้งนานแล้ว พอเราจะปลอดโปร่ง จะเอามาให้เราอีกแล้ว" ตอง พรมทับ ชาวบ้านข้างโรงถลุงผาแดง ตัดพ้อ

"กลัวไหม กลัวสิ อย่างเป็นคุณ คุณจะไม่กลัวหรือ ถ้าอยู่ใกล้"

https://www.bbc.com/thai/articles/cd13k9n1wj4o