วันจันทร์, กันยายน 01, 2568

หัวหน้า ‘เท้ง’ บอกกับ ‘สรยุทธ’ ว่าพรรคประชาชนอยู่เฉยๆ ไม่ได้จำเป็นต้อง “ผ่าทางตันของประเทศ” แม้นว่า ไม่ว่าเลือกทางไหน เป็นทางเลือกไม่ดีทั้งคู่

เสียงเชียร์ตรึม ให้พรรคส้มไม่เลือกใคร แต่หัวหน้า เท้ง บอกกับ สรยุทธว่าพรรคประชาชนอยู่เฉยๆ ไม่ได้จำเป็นต้อง “ผ่าทางตันของประเทศ” แม้จะต้องเจ็บตัวก็เพียงระยะสั้น ข้อสำคัญ “เราไม่ได้เลือกนายกฯ ที่ดีที่สุด” แต่ให้มาเดินหน้าเลือกตั้ง

เอาความเห็นของ Puangthong Pawakapan เป็นตัวตั้ง “แน่นอนว่าพรรค ปชน.คิดว่าตนกำลังแก้วิกฤติให้ประเทศ จึงต้องโหวตให้ แต่พวกเขานั่นแหละที่จะพาประเทศไปเจอวิกฤติอีกจนได้ ปล่อยให้พวกเขาดิ้นรน ทำดีลกันเอง

ถ้าเขาจะโหวตให้ประยุทธ์กลับมาอีก ก็เป็นเรื่องของเขา เพราะก็เคยร่วมหอลงโรงกันมาก่อนโดยไม่อายสักนิดมาแล้ว...ฉะนั้น หาก สส.พรรค ปชน.ถูกบังคับให้ต้องโหวตให้พรรคใดพรรคหนึ่งแน่ๆ ย่อมขัดกับสามัญสำนึกของตนอย่างยิ่ง”

แล้วเอาความเห็นของ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ มาเข้าสมการ เขาไปออกรายการของ สรยุทธ สุทัศนจินดา วันนี้ (๑ กันยา) บอกว่า “เราไม่ได้กำลังเลือกนายกฯ ที่ดีที่สุดสำหรับประชาชน แต่เราเลือกนายกฯ มาเพื่อเดินหน้าสู่การยุบสภา

ปลดล็อคให้มีการแก้รัฐธรรมนูญ และเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง เพื่อให้ประชาชนเลือกนายกฯ คนใหม่เข้ามาบริหารประเทศ...เราได้รับเลือกเข้ามาแล้ว เราต้องกล้าที่จะใช้อำนาจของเรา ถึงแม้บางอย่างอาจจะทำให้เราเจ็บตัว ในระยะอันสั้น

ที่ไม่ว่าเลือกทางไหน อาจมองว่าเป็นทางเลือกไม่ดีทั้งคู่ แต่จำเป็นต้องเลือกเพื่อผ่าทางตันของประเทศ” แล้วจะเลือกใครล่ะ ลองฟังเท้งต่ออีกนิด เขาเล่าบรรยากาศของการประชุมเปรียบเทียบระหว่างการพบกับเพื่อไทยและภูมิใจไทย

ฝั่งหนึ่ง บอก ที่ผ่านมาเขาต้องทำสิ่งที่จำเป็นต้องทำ และขอโทษ ปชน. อีกฝั่ง ไม่พูดอะไรเยอะ ไม่ค่อยรำมวย เอาไม่เอา เอาอย่างนี้ ตกลงกันแบบนี้” แถมด้วยข้อมูลที่ พริษฐ์ วัชรสินธุ บอกกับ สุทธิชัย หยุ่น “เพื่อไทยเริ่มจากการขอโทษก่อนเลย”

แล้วก็ยื่นข้อเสนอ ๔ อย่าง ก็คือ ข้อสอง จะทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยใช้ รธน.ฉบับ ๒๕๔๐ เป็นตัวตั้ง ไอติม ถามว่าหมายความอย่างไร (ขอรายละเอียด) ไม่มีใครตอบให้สักคน พอคุยกันเสร็จขอให้แกนนำ ปชน.ออกไปก่อน

เพื่อปรึกษาพรรคร่วมที่พาไปด้วย ซ้ำไม่มีแคนดิเดท ชัยเกษม นิติศิริ ไปประชุมด้วย น่าจะเพราะ ชัยเกษมเปิดเผยกับไทยรัฐว่า ตนยังไม่ได้รับการติดต่อทาบทามให้ไปเป็นแคนดิเดทนายกฯ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไปคุยกับพรรคประชาชนแล้ว

ชัยเกษมว่า “เขายังไม่เรียกใช้งาน” อ้าวอย่างนี้ไหง ทักษิณ ชินวัตร โทรไปหา ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ขอให้โหวตชัยเกษมเป็นนายกฯ งั้นทั้งหมดนี่เป็นเพียงการแถลงเพื่อประชาสัมพันธ์ แบบเอไอเท่านั้นหรือ ธนาธร จึงตอบ

“ถ้ารับเงื่อนไขได้ ก็ไปคุยหัวหัวหน้าพรรคประชาชนเลย ไม่ต้องมาคุยกับผม ส่วนเรื่องที่ว่า #เพื่อไทย จะส่ง สุริยะมาเจรจาเพราะนามสกุล (เดียวกัน) ธนาธรชี้ ญาติกับปัญหาประเทศคนละส่วน” นะ

(https://x.com/jin_somroutai/status/1962377690205606284 และ https://www.facebook.com/puangthong.r.pawakapan/posts/6Lgt9i7k59E) 

ณ วินาทีที่พรรคประชาชน “ยังไม่ตัดสินใจ” ดีลลุงตู่กลับมา กำลังถูกปั่นถึงความเป็นไปได้


Nithiwat Wannasiri
8 hours ago
·
ไอ้อานนท์ลูกบิดสามสี ปล่อยข่าวดีลลับไอ้ตู่กลับมาเป็นนายกพระราชทานจัดงานใหญ่

https://www.facebook.com/photo?fbid=24321309384194769&set=a.152292684856443
.....


สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว
Yesterday
·
‘วิโรจน์’ ดีดลูกคิด นาที ‘พรรค ปชน.’ ยังไม่เลือกใคร ระหว่าง ‘ภท.-พท.’ แนะทางออกที่ดีที่สุดคือ ‘ภูมิธรรม’ ยุบสภา แต่หากจับขั้วกันเองได้โดยไม่ต้องพึ่ง ‘พรรคส้ม’ ก็ทำไปก่อนได้เลย ลั่น การเมืองมันโหดร้าย เลือกทางไหนก็โดนด่า เตือนสติด้อม คิดไว้แล้ว ถูกหักหลังได้หมด บอก ลิ้นคนเราเวลาที่มันจะตระบัดสัตย์ มันก็พลิกลิ้นได้เสมอ มองเป็นไปได้ ‘เพื่อไทย’ เสนอชื่อ ‘ลุงตู่’ หวังเรียก ‘ก๊วน พปชร.’ กลับไป

วันที่ 30 ส.ค.68 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร รองหัวหน้าพรรคประชาชน โพสต์

[ ใครจะเป็นนายกฯ ต้องได้ 247 เสียง ตามมาตรา 159 วรรคสาม จะเลือกตาม TOR เมื่อบ้านเมืองถึงทางตันแล้วเท่านั้น ]
..............................
เสียง สส. ทั้งหมดที่มีอยู่ในสภาผู้แทนราษฎรในตอนนี้มีอยู่ 492 เสียง

พรรคร่วมรัฐบาล (รวม 11 พรรค, 253 เสียง)
พรรคเพื่อไทย: 140 คน
พรรครวมไทยสร้างชาติ: 36 คน
พรรคประชาธิปัตย์: 25 คน
พรรคกล้าธรรม: 25 คน
พรรคชาติไทยพัฒนา: 10 คน
พรรคประชาชาติ: 9 คน
พรรคชาติพัฒนา: 3 คน
พรรคไทรวมพลัง: 2 คน
พรรคเสรีรวมไทย: 1 คน
พรรคประชาธิปไตยใหม่: 1 คน
พรรคไทยก้าวหน้า: 1 คน

พรรคฝ่ายค้าน (รวม 5 พรรค, 239 เสียง)
พรรคประชาชน: 143 คน
พรรคภูมิใจไทย: 69 คน
พรรคพลังประชารัฐ: 20 คน
พรรคไทยสร้างไทย: 6 คน
พรรคเป็นธรรม: 1 คน

ในทางปฏิบัติ พรรคกล้าธรรมได้งูเห่ามาเพิ่ม 6 เสียง มาจากพรรคประชาชน 1 เสียง และพรรคไทยสร้างไทย 5 เสียง

ดังนั้น ฝ่ายรัฐบาลเดิมจึงมีเสียงอยู่ 259 เสียง และฝ่ายค้านเดิมมีเสียงอยู่ 233 เสียง

ตามมาตรา 159 วรรคสาม การเห็นชอบให้ใครได้เป็นนายกฯ จะต้องใช้เสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของที่มีอยู่ ไม่ใช่แค่เสียงข้างมาก ดังนั้น คนที่จะได้เป็นนายกฯ ต้องมีเสียงมากกว่า 246 เสียง หรือ 247 เสียงขึ้นไป

ถ้าคิดว่าพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ไม่มีทางที่จะกลับมาร่วมงานกันได้อีกแล้วในสภาชุดนี้ และเมื่อพรรคภูมิใจไทยสามารถดึงเอาเสียงจากพรรคกล้าธรรมพร้อมงูเห่าได้แล้ว 31 เสียง และกลุ่มคุณสุชาติอีก 18 เสียงมาร่วมด้วย เท่ากับว่าตอนนี้ทางฝั่งพรรคเพื่อไทยมีเสียงอยู่ = 259-31-18 = 210 เสียง ในขณะที่ฝั่งพรรคภูมิใจไทยมีเสียงอยู่ = 69+20+1+1+31+18 = 140 เสียง

ถ้าสถานการณ์เป็นเช่นนี้ และพรรคประชาชนตัดสินใจงดออกเสียง ไม่ขอร่วมตัดสินใจอะไรเลย ยังไงประเทศก็จะไม่มีทางได้นายกรัฐมนตรีได้ เพราะแม้ว่าฝั่งพรรคเพื่อไทยจะรวมเสียงได้มากกว่าฝั่งพรรคภูมิใจไทยก็ตาม แต่เสียงที่รวมได้ก็ยังไม่ถึง 247 เสียง ซึ่งเป็นเสียงที่เกินกึ่งหนึ่งของเสียงที่มีอยู่ในสภา

ถ้าสถานการณ์เป็นเช่นนี้ และไม่มีทีท่าใดๆ ที่จะเปลี่ยนแปลง และทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ก็ต่างรับเงื่อนไขข้อเสนอของพรรคประชาชน คือ

1. เป็นนายกฯ เพื่อนำไปสู่การยุบสภา
2. ทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับด้วย ส.ส.ร. ที่มาจากการเลือกตั้ง
3. พรรคประชาชนไม่ขอร่วมรัฐบาล

พรรคประชาชนก็ต้องตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่ง มิฉะนั้น บ้านเมืองก็จะถึงทางตัน ติดหล่มรัฐธรรมนูญ 2560 ไปไหนไม่ได้เสียที

อีกทางหนึ่งที่เป็นทางออกก็คือ พรรคเพื่อไทยเสนอชื่อนายกฯ คนอื่นที่ไม่ใช่คุณชัยเกษม เพื่อดึงเอาเสียงที่ทางฝั่งพรรคภูมิใจไทยดึงไปได้แล้วกลับมา เพื่อให้มีเสียงรวมกันเกิน 246 เสียง ซึ่งชื่อที่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะดึงเสียงที่ออกไปแล้วให้กลับมาได้ แถมยังอาจจะสามารถดึงเอาเสียงจากพรรคพลังประชารัฐกลับไปได้ ก็น่าจะมีอยู่เพียงคนเดียวนั่นก็คือ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา”

ถ้าเป็นไปในทางนี้ ก็คงไม่จำเป็นต้องพึ่งเสียงจากพรรคประชาชนแล้ว

ทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือ คุณภูมิธรรม รักษาการนายกฯ ยุบสภา หรือถ้าพรรคการเมืองอื่นๆ ดึงกันไปดึงกันมา จนจัดตั้งรัฐบาลได้โดยไม่เอาพรรคประชาชนเข้าไปเกี่ยวข้อง ก็จะดีที่สุด เพราะไม่ว่าจะเลือกทางไหน ก็ไม่มีทางใดที่จะเป็นทางออกที่ดีของประเทศ พรรคประชาชนจึงน่าจะต้องตัดสินใจในกรณีที่บ้านเมืองถึงทางตันแล้วจริงๆ คือ ถ้าไม่เลือก บ้านเมืองก็ไปไม่ได้ ก็คงต้องพิจารณาว่าทางเลือกไหนก่อให้เกิดผลเสียน้อยที่สุด และคงต้องจำใจเลือกทางนั้น เราจึงต้องออก TOR มากำกับแนวทางในการเลือกของเรา เพราะเรายังคงเชื่อว่าทางออกที่ดีที่สุดสำหรับบ้านเมืองที่อยู่ในสภาวะโกลาหล ก็คือการยุบสภาคืนอำนาจให้กับประชาชน

ส่วนกรณีที่หลายท่านกรุณาเตือนว่า ต้องพิจารณาด้วยว่าทางไหนมีโอกาสที่จะถูกตระบัดสัตย์หักหลังได้มากกว่าด้วย ผมบอกตรงๆ ว่าผมเผื่อใจเอาไว้ล่วงหน้าเลยครับว่า “ทั้ง 2 ทางในที่สุดแล้ว ไม่ว่าทางไหนก็คงคิดหักหลังเราหมดแหละครับ” การเมืองมันโหดร้าย คนโดนมาก่อนจะไม่รู้จักจำเลยก็คงไม่ใช่ ดังนั้นอย่าไปคิดครับว่าคนนี้จะหักหลัง คนนั้นไม่หักหลัง ให้คิดว่าทั้ง 2 ทางหักหลังเราหมด แล้วมาคิดกันต่อว่าทางไหนที่เราจะพอมีกลไกในการผูกมัดบังคับไม่ให้เขาหักหลังเราง่ายๆ น่าจะดีกว่า

เอาเป็นว่า ยุบสภาน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด หรือถ้าแต่ละพรรคไปจับกันเองได้โดยไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกับพรรคประชาชน ก็เอาทางนั้นก่อนได้เลย เราคงจะเลือกแบบจำใจต้องเลือกเมื่อบ้านเมืองถึงคราวจำเป็นแล้วจริงๆ ครับ

ผมยอมรับตรงๆ เลยว่า ไม่ว่าเลือกทางไหนก็ไม่พ้นโดนด่า ดังนั้น การตัดสินใจจะต้องไม่คิดว่าทางไหนจะไม่ถูกด่า หรือทางไหนจะถูกด่าน้อยกว่า เรื่องพรรคถูกด่าผมว่าเรื่องเล็ก ไม่ควรเอามาคิดเลย เอาเป็นว่าถ้าไม่จำเป็นต้องเลือก ก็ขอไม่เลือกดีกว่าครับ แต่ถ้าจำเป็นต้องเลือกเพื่อให้บ้านเมืองไปต่อได้ ก็ต้องกล้าหาญที่จะเลือกทางที่บ้านเมืองเสียหายน้อยที่สุด มีกลไกที่รัดกุมที่พอจะบังคับให้คนที่เราเลือกรักษาสัญญาได้มากที่สุด แต่ก็คงต้องทำใจว่า ต่อให้มีกลไกมัดแน่นแค่ไหน ลิ้นคนเราเวลาที่มันจะตระบัดสัตย์ มันก็พลิกลิ้นได้เสมอ ก็คงต้องเผื่อใจเอาไว้ล่วงหน้า

ณ วินาทีนี้ ในขณะที่พรรคประชาชนตัดสินใจว่า “ยังไม่ตัดสินใจ” ก็วิเคราะห์ได้ประมาณนี้ครับผม

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1398996591587276&set=a.328293581990921



คุกมีไว้ขังคนจน: บทเรียน ความหวัง และการต่อสู้ของ “พรชัย” พร้อมฝากความยินดีถึงผู้ได้รับอิสรภาพ


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
14 hours ago
·
คุกมีไว้ขังคนจน: บทเรียน ความหวัง และการต่อสู้ของ “พรชัย” พร้อมฝากความยินดีถึงผู้ได้รับอิสรภาพ
.
.
เมื่อวันที่ 8 และ 22 ส.ค.2568 ทนายความเข้าเยี่ยมพรชัย วิมลศุภวงศ์ ผู้ต้องขังในคดี #มาตรา112 ที่เรือนจำกลางเชียงใหม่ เขาถูกจำคุกตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 ด้วยโทษรวม 12 ปี จากการถูกกล่าวหาว่าโพสต์เฟซบุ๊ก 4 ข้อความ และถูกคุมขังมาตั้งแต่วันที่ 4 เม.ย. 2567 ถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลา 1 ปี 4 เดือน เศษแล้ว
.
.
น้ำที่ไม่สะอาด และโรคที่ลุกลามในเรือนจำ
.
พรชัยเดินออกมาพร้อมหน้าตายิ้มแย้มเช่นเคย แต่ครั้งนี้เขาผมสั้นเหมือนเพิ่งตัดมาใหม่ เมื่อสอบถาม เขาแจ้งว่าได้เข้าร่วมอบรมระยะสั้นในเรือนจำ ทำให้จะต้องตัดผมให้เรียบร้อยก่อนเข้าอบรม
.
“เรื่องน้ำแย่เหมือนเดิม และผมก็คาดว่ามันคงแก้ไม่ได้แล้วมั้ง” พรชัยเอ่ยขึ้นทุกครั้งที่มีการเข้าเยี่ยม
.
ปัญหาน้ำในเรือนจำเป็นสิ่งที่เขามักตัดพ้ออยู่เสมอ น้ำไม่สะอาดและไม่เพียงพอต่อจำนวนผู้ต้องขัง จนแทบจะไม่พอสำหรับการอาบหรือชำระล้างร่างกาย ผลที่ตามมาคือปัญหาด้านสุขอนามัยที่ทำให้ผู้ต้องขังป่วยเป็นโรคต่าง ๆ
.
พรชัยเล่าถึงความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโรคในเรือนจำที่ทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะโรคผิวหนัง เนื่องจากสภาพความแออัดและอากาศชื้นในฤดูฝน เขาเองก็ยังมีอาการติดเชื้อจากผิวหนังบริเวณต้นขาลามมาถึงลำตัว เป็นผื่นแห้ง ลอก และหลุดร่อน เมื่อเข้าพบแพทย์ในเรือนจำ การรักษาที่ได้รับก็มีเพียงการฉีดยาพ่นที่แผล โดยไม่มียาทาหรือยารับประทานเพิ่มเติม
.
นอกจากนี้ เขายังเล่าว่าในห้องนอนเดียวกันมีผู้ต้องขังป่วยเป็นวัณโรคถึง 3–4 คน การแพร่ระบาดของโรคยังมีอยู่เป็นระยะ และทำให้พรชัยยิ่งวิตกกังวลว่า วันหนึ่งเขาอาจติดโรคด้วย
.
.
“คุกมีไว้ขังคนจน” บทเรียนที่พรชัยได้จากเรือนจำ
.
หากวันหนึ่งได้ก้าวออกจากเรือนจำ พรชัยบอกว่า สิ่งแรกที่เขาอยากทำคือผลักดันให้เกิดการแก้ไขปัญหาในกระบวนการยุติธรรมก่อนเป็นอันดับแรก เพราะตลอดเวลาที่ถูกจองจำ เขาสัมผัสได้ถึงความจริงของประโยคที่ว่า “คุกมีไว้ขังคนจน”
.
เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ผสมทั้งความตื่นเต้นและความเศร้า “ผมว่าที่บอกกันว่าเอาคนเข้าคุกเพื่อออกมาจะได้เป็นคนดี มันไม่จริงเลยสักนิด และไม่มีทางจริงเลย”
.
พรชัยเล่าว่า สภาพแวดล้อมภายในเรือนจำไม่ได้เกื้อหนุนให้คนเรียนรู้หรือปรับปรุงตัว แต่กลับเต็มไปด้วยความกดดัน ความเหลื่อมล้ำ ความอดอยาก และความสิ้นหวัง สิ่งเหล่านี้ผลักให้ผู้ต้องขังต้องแข็งกระด้างและชินชากับความทุกข์ เพื่อให้เอาชีวิตรอดไปได้แต่ละวัน
.
“มันกดดันให้เขาต้องเอาตัวรอดมากกว่าที่จะสำนึกหรือปรับปรุงตัว ออกไปจากที่นี่เขาก็จะยิ่งเคยชินกับการเอาตัวรอด ทำยังไงก็ได้ให้เขารอด”
.
สำหรับพรชัย เรือนจำจึงไม่ใช่สถานที่สร้างคนดี หากแต่เป็นเครื่องจักรที่ผลิตความสิ้นหวัง และยิ่งตอกย้ำความไม่เป็นธรรมของสังคม
.
.
เสียงชนเผ่าปกาเกอะญอในวันชนพื้นเมืองโลก
.
วันที่ 9 ส.ค. ที่ผ่านมา ยังเป็น “วันชนพื้นเมืองโลก” พรชัยในฐานะกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ ได้ถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตที่สะท้อนทั้งความภาคภูมิใจและความแปลกแยก เขาเล่าว่า คนชาติพันธุ์จำนวนไม่น้อยยังคงถูกมองว่าเป็น “ผู้อพยพ” ที่เข้ามาอาศัยในประเทศไทย ทั้งที่เกิดและเติบโตที่นี่
.
พรชัยเห็นว่า พี่น้องชาติพันธุ์เข้าไม่ถึงโอกาสทางการศึกษาที่เท่าเทียมเหมือนคนในเมือง ชีวิตจึงดำเนินไปตามวิถีวัฒนธรรมของตนเอง โดยปราศจากการสนับสนุนจากรัฐ
.
อย่างไรก็ตาม ภายในเรือนจำ พรชัยกลับไม่รู้สึกถึงการถูกกีดกันหรือรังเกียจ เขาเล่าว่าผู้ต้องขังจากหลากหลายวัฒนธรรมสามารถอยู่ร่วมกันได้ ส่วนหนึ่งเพราะจำนวนมากเป็นคนเหนือที่คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตร่วมกับกลุ่มชาติพันธุ์
.
เขาเล่าถึงจุดเริ่มต้นความสนใจทางการเมืองว่า เขาเติบโตมาจากบนดอยแม่ฮ่องสอน เมื่อเริ่มมีความใฝ่รู้ พ่อแม่ต้องดิ้นรนหาเงินส่งเสียให้เรียน เพราะพื้นที่ภูเขาแทบไม่มีการสนับสนุนด้านการศึกษาอย่างจริงจัง
.
“ผมอยากต่อสู้เพื่อพี่น้องบนเขา พี่น้องชาติพันธุ์ ทั้งเรื่องที่ดินทำกิน การเข้าถึงสิทธิพลเมือง และสิทธิขั้นพื้นฐานด้านการศึกษา”
.
เขายังกล่าวถึงร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ที่เพิ่งผ่านความเห็นชอบจากสภา แม้เขายังไม่มีโอกาสได้อ่าน แต่ก็เป็นความหวังที่อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนบนดอย
.
.
มุมมองต่อปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชาและบทบาทกองทัพ
.
เมื่อพูดคุยถึงสถานการณ์บ้านเมือง ปัญหาความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชายังอยู่ในความสนใจ พรชัยมองว่า แม้หลายคนจะเห็นว่าเป็นเพียง “ปัญหาชายแดน” หรือความขัดแย้งเฉพาะพื้นที่ แต่ผลกระทบย่อมตกสู่ประชาชนไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมืองที่ยิ่งขาดเสถียรภาพ ส่งผลต่อการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เขาย้ำว่าประเด็นแรงงานกัมพูชาที่ถูกกดดันจากทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาเอง สะท้อนผลกระทบที่รุนแรงต่อเศรษฐกิจและภาคแรงงานไทย

“ต่อให้คนไทยไม่มีจะกินยังไง ก็ไม่เลือกทำงานไร้ฝีมืออยู่ดี เราจำเป็นต้องพึ่งพาพี่น้องเพื่อนบ้าน”

นอกจากนี้ พรชัยเห็นว่าหน้าที่กองทัพในการปกป้องดินแดนและประชาชนก็ถือว่าถูกต้อง แต่สิ่งสำคัญคือขอบเขตของอำนาจ กองทัพไม่ควรก้าวล้ำไปสู่การใช้อำนาจบริหารประเทศ หรือเหนือรัฐบาล เพราะประสบการณ์ในอดีตพิสูจน์แล้วว่าผลลัพธ์เลวร้ายเพียงใด

“เราต้องจับตาดูว่า กองทัพจะเริ่มใช้อำนาจเกินขอบเขตหรือไม่ เช่น ออกกฎหมายเอง หรือเข้าไปบริหารแทนรัฐบาลพลเรือน เส้นแดงที่ห้ามข้ามเลยก็คือการรัฐประหาร เพราะการรัฐประหารคือการยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือน และนั่นหมายถึงการยึดอำนาจของผู้แทนประชาชน และของประชาชนเองในที่สุด”
.
.
ข้อความถึงเพื่อนผู้ต้องขังการเมืองที่ได้รับอิสรภาพ
.
สุดท้ายในโอกาสที่เพื่อนผู้ต้องขังบางส่วนได้รับการปล่อยตัว เนื่องจากเข้าเกณฑ์อภัยโทษที่ออกมา โดยในส่วนของเขายังไม่ได้รับประโยชน์ใด เนื่องจากยังถูกจองจำไม่ครบ 1 ใน 3 ของโทษ ตามที่ พ.ร.ฎ.อภัยโทษ กำหนด พรชัยฝากว่า เมื่อได้อิสรภาพแล้ว ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างเต็มที่และคุ้มค่า เพราะแม้เรือนจำจะพรากเสรีภาพ แต่ก็ทิ้งบทเรียนและประสบการณ์ที่ทำให้เข้มแข็งขึ้น
.
“ผมดีใจกับทุกคนที่กำลังจะได้ออกจากเรือนจำครั้งนี้ ผมเชื่อว่าผู้ที่ถูกจองจำเพราะการใช้สิทธิและเสรีภาพ ล้วนผ่านประสบการณ์ที่คล้ายกัน วันหนึ่งเมื่อเราได้เจอกันข้างนอก แค่สบตาก็คงจะรู้ใจกัน ว่าเราเคยผ่านอะไรมาบ้าง”
.
.
อ่านบนเว็บไซต์จากลิงก์
https://tlhr2014.com/archives/77917


ฮุนเซนไม่พอใจทักษิณด้วยเรื่องอะไร? บทความ Asia Sentinel โดย John Berthelsen


Somsak Jeamteerasakul 
15 hours ago
·
ฮุนเซนไม่พอใจทักษิณด้วยเรื่องอะไร?
บทความ Asia Sentinel โดย John Berthelsen เรื่อง "Thaksin Shinawatra’s Mystery Fixer Man South African’s links to both Thaksin and Cambodia’s Hun Sen" (ผู้จัดการลึกลับของทักษิณ ชิณวัตร: ชาวอัฟริกาใต้ผู้มีสัมพันธ์กับทั้งทักษิณกับฮุนเซนแห่งกัมพูชา)
บทความน่าสนใจมากๆ เปิดเผยเบื้องหลังของนาย John Berthelsen ซึ่งเป็นชาวอัฟริกาใต้ผู้ทำตัวลึกลับ แต่มีสายสัมพันธ์กับทั้งฮุนเซนและทักษิณ และพวกใต้ดินผิดกฎหมายทั้งหลาย
จุดที่น่าสนใจคือ บทความคาดการณ์สาเหตุที่ฮุนเซนไม่พอใจทักษิณจนทะเลาะกัน คือการพยายามของฮุนเซนในการซื้อหุ้นบางจาก (ซึ่งทักษิณถืออย่างลับๆ แต่ทักษิณไม่ยอม)
"รายงานของ Asia Sentinel พบว่า “ชาวแอฟริกาใต้” ผู้หนึ่งซึ่งหน้าที่เป็นนอมินี ได้ใช้ Chartered Group ซื้อหุ้นจำนวน 31.35 ล้านหุ้น คิดเป็น 24.96% ของหุ้นทั้งหมดของ Bangchak Corporation ในเดือนกันยายน 2567 เขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดรายเดียว มีรายงานว่าหุ้นดังกล่าวถือครองโดย “นักการเมืองผู้ทรงอิทธิพล” – ว่ากันว่าคือทักษิณ – ในการซื้อหุ้นที่ถูกยกเลิก ซึ่งแหล่งข่าวระบุว่าจะถูกโอนไปยังฮุน เซน ผู้นำกัมพูชาที่ “เกษียณอายุ”
Bangchak Corporation หรือเดิมชื่อ Bangchak Petroleum เป็นบริษัทพลังงานรายใหญ่ของไทยในอุตสาหกรรมการกลั่นน้ำมัน ค้าปลีก และพลังงานทดแทน ผ่านบริษัทลูกหลายแห่ง “ชาวแอฟริกาใต้” เชื่อว่าคือ Mauerberger อย่างไรก็ตาม การทำธุรกรรมหุ้นดังกล่าวต้องถูกยกเลิก ตามรายงานของสำนักข่าวไทยอิศราเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากกองทุนประกันสังคม ซึ่งถือหุ้นบางจากอยู่ 14% ปฏิเสธที่จะขายหุ้น แม้จะถูกกดดันจากรัฐบาลเพื่อไทย ซึ่งทักษิณควบคุมอยู่เบื้องหลัง เรื่องนี้ทำให้ฮุนเซนไม่พอใจ
มีรายงานว่าบางจากมีความน่าสนใจเพราะบริหารจัดการอย่างอิสระและมีศักยภาพที่จะเติบโตอย่างมาก นอกจากนี้ ด้วยงบประมาณการลงทุนประมาณ 1 แสนล้านบาท (3.09 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในอีกสี่ถึงห้าปีข้างหน้า คาดว่าบางจากจะกลายเป็นฐานการลงทุนเพิ่มเติมในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาทระหว่างไทยและกัมพูชาที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยก๊าซธรรมชาติและน้ำมันสำรอง"

https://www.facebook.com/somsakjeam/posts/24246091261684158
https://www.asiasentinel.com/p/thaksin-shinawatra-mystery-fixer-man-benjamin-mauerberger


ประท้วงอินโดนีเซียบานปลาย จากชนวนตำรวจชนไรเดอร์เสียชีวิต-ขึ้นเงินเดือน สส.-เรียกร้องขึ้นค่าแรง


What's behind widespread unrest in Indonesia? | Inside Story

Al Jazeera English

Aug 30, 2025 

Violence on the streets of Indonesia—after a motorcycle taxi driver is run over and killed by police. The president has apologised and appealed for calm, but protests continue. What's driving the anger—and how will the government respond?

Presenter: Adrian Finighan

Guests:
Abigail Limuria -- Co-founder of What Is Up Indonesia?, a digital media platform that unpacks Indonesian sociopolitics

Vedi Hadiz -- Professor of Asian Studies at the University of Melbourne
 
Wirya Adiwena -- Deputy Director of Amnesty International Indonesia

https://www.youtube.com/watch?v=Iq0Fng6CHHE
.....


บีบีซีไทย - BBC Thai 
14 hours ago
·
ประท้วงอินโดนีเซียบานปลาย จากชนวนตำรวจชนไรเดอร์เสียชีวิต-ขึ้นเงินเดือน สส.-เรียกร้องขึ้นค่าแรง
.
มีรายงานผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 3 ราย และบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง จากเหตุประท้วงจุดไฟเผาอาคารสภาแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกของอินโดนีเซีย เมื่อวันเสาร์ (30 ส.ค.) ท่ามกลางการชุมนุมประท้วงในหลายเมืองซึ่งมีชนวนเหตุมาจากการเสียชีวิตของอัฟฟาน คูร์เนียวัน ไรเดอร์วัย 21 ปี ที่ถูกรถตำรวจชนในกรุงจาการ์ตา ระหว่างการเข้าสลายการชุมนุม
.
วานนี้ ผู้ประท้วงได้ก่อเหตุวางเพลิงที่อาคารรัฐสภาประจำภูมิภาคใน 3 จังหวัด คือ นูซาเต็งการาตะวันตก เมืองเปกาโลงัน ใน จ.ชวากลาง และเมืองจีเรบอน ใน จ.ชวาตะวันตก และมีรายงานผู้ประท้วงปล้นสะดมในอาคารรัฐสภาในเมืองจีเรบอน ขณะที่ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาเพื่อสลายการชุมนุม
.
ท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเครียด ฝูงชนยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีทั้งนักศึกษามหาวิทยาลัย และกลุ่มแรงงานและผู้ประท้วงบางรายสวมชุดสีเขียวอันเป็นเอกลักษณ์ของโกเจ็ก (Gojek) แอปพลิเคชันอเนกประสงค์ที่ให้บริการเรียกรถ ส่งอาหาร และส่งของ ในอินโดนีเซีย
.
แม้จะมีฝนตกหนัก แต่ผู้ประท้วงบางส่วนก็ขว้างปาระเบิดเพลิงและประทัดใส่บริเวณที่ทำการตำรวจ และสำนักข่าวของรัฐรายงานว่ารถยนต์หลายสิบคันถูกจุดไฟเผาเช่นกัน
.
สถานการณ์ครั้งนี้ถือเป็นการประท้วงครั้งใหญ่และรุนแรงที่สุดในสมัยการปกครองของประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต ซึ่งเข้ารับตำแหน่งไม่ถึงหนึ่งปี นายซูเบียนโตได้ออกแถลงการณ์คำขอโทษต่อครอบครัวของนายคูร์เนียวัน และเดินทางไปเยี่ยมครอบครัวของเขาเพื่อแสดงความเสียใจและเสนอความช่วยเหลือทางการเงินเมื่อช่วงค่ำวันศุกร์
.
การประท้วงซึ่งเกิดขึ้นตลอดสัปดาห์นี้มีชนวนเหตุจากหลายกรณี โดยหนึ่งในกรณีหลักคือการเพิ่มเงินช่วยเหลือรายเดือนให้กับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) อินโดนีเซีย อีกเดือนละ 50 ล้านรูเปียห์ (ประมาณ 100,000 บาท) ซึ่งสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำในกรุงจาการ์ตา เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซียถึงเกือบ 10 เท่า นอกจากนี้ผู้ประท้วงยังเรียกร้องให้มีการขึ้นค่าแรง ลดภาษี และมีมาตรการต่อต้านการทุจริตที่เข้มงวดมากขึ้น

https://www.youtube.com/watch?v=Iq0Fng6CHHE
https://www.facebook.com/BBCnewsThai/posts/1300925162067645



สำรวจคดี 3 พรรคการเมืองใหญ่ “ประชาชน-เพื่อไทย-ภูมิใจไทย” ที่ถูกมองว่าเป็น “ชนักติดหลัง” ส่งผลสมการทางการเมือง? ⁣



สำรวจคดี “ประชาชน-เพื่อไทย-ภูมิใจไทย” ส่งผลสมการทางการเมือง?

31 ส.ค. 2568
ไทยรัฐออนไลน์

หลัง นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ถูกศาลรัฐธรรมนูญฟันพ้นจากตำแหน่งกรณีคลิปเสียงสนทนาสมเด็จฮุนเซน ทำให้ ครม.หลุดทั้งคณะ ซึ่งพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทยต่างประกาศตั้งรัฐบาล โดยเร่งรวบรวมเสียงพรรคร่วม และยื่นข้อเสนอเพื่อชิงเสียงของพรรคประชาชน ที่มี สส.มากที่สุดในสภา มาร่วมโหวต

เมื่อไปดู 3 พรรคการเมืองที่เป็นตัวแปรสำคัญในการตั้งรัฐบาลครั้งนี้ คือ ประชาชน เพื่อไทย และภูมิใจไทย ทุกพรรคต่างมีคดีความและเรื่องที่ถูกร้องเรียนอยู่ในชั้นศาลและองค์กรอิสระ ซึ่งถูกมองว่าเป็น “ชนักติดหลัง” ที่อาจส่งผลต่อสมการทางการเมือง

พรรคประชาชน

มีคดีสำคัญคือ “คดี 44 สส.ก้าวไกล” ซึ่งสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2567 นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความอิสระ อดีตทนายความประจำพุทธะอิสระ ได้ยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบและเอาผิดว่าฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่ กรณีร่วมเข้าชื่อเสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา เพื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

ในจำนวน 44 สส. พบยังเป็น สส. พรรคประชาชนอยู่ 25 คน แบ่งเป็นบัญชีรายชื่อ 17 ราย และ สส.เขต 8 ราย โดยจำนวนมากเป็นแกนนำพรรคและ สส.ที่มีบทบาทสำคัญ เช่น นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ปัจจุบันเป็นหัวหน้าพรรค, น.ส. ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค, นายรังสิมันต์ โรม, นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร เป็นต้น

ทั้งนี้คาดว่า ป.ป.ช. ใช้เวลาไต่สวนไม่เกิน 2 ปี หรือขยายเป็นไม่เกิน 3 ปีได้ หาก ป.ป.ช.มีมติว่าฝ่าฝืน ก็จะส่งเรื่องต่อให้ศาลฎีกาวินิจฉัย หากศาลรับฟ้อง ทั้ง 44 สส.จะถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคำพิพากษา และหากคำพิพากษาว่าผิดจริยธรรม จะถูกเพิกถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้งตลอดชีวิต และอาจถูกตัดสิทธิเลือกตั้งไม่เกิน 10 ปีได้เช่นกัน

นอกจากนี้จะทำให้จำนวน สส.ของพรรคประชาชน จาก 143 คน เหลือเพียง 118 คน โดยในส่วนของ สส.บัญชีรายชื่อจะไม่มีการเลื่อนลำดับขึ้นมาใหม่ เพราะประชาชนเป็นพรรคใหม่ไม่มีผู้สมัคร สส.ในระบบบัญชีรายชื่อ และต้องมีการเลือกตั้งซ่อม 8 เขต

ความคืบหน้าล่าสุด 15 ส.ค. 2568 นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการ ป.ป.ช.เผยว่า ขั้นตอนแก้ข้อกล่าวหาดำเนินการครบถ้วนแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาคำแก้ข้อกล่าวหา และพิจารณาตามคำร้องขอของผู้ถูกร้อง ในกรณีที่อาจจะขอให้ไต่สวนเพิ่มเติม ส่วนที่มีจำนวนผู้ถูกร้องมาก จะส่งผลถึงกรอบเวลาการพิจารณาหรือไม่ นายสาโรจน์ระบุว่า เมื่อมีผู้ถูกกล่าวหาหลายราย มีรายละเอียดพยานหลักฐานมาก ก็อาจจะใช้เวลาในการสรุปสำนวนมากกว่า ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ
 


พรรคเพื่อไทย

มีคดี “ทักษิณครอบงำพรรค” ถูกยื่นตรวจสอบ ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 28 ห้ามมิให้พรรคการเมืองยินยอมหรือกระทำการใด อันทำให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกกระทำการอันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำกิจกรรมของพรรคการเมือง

วันที่ 31 ต.ค.67 นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยว่า ได้รับคำร้องให้ตรวจสอบนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีครอบงำพรรคเพื่อไทยหรือไม่ โดยมีคำร้องยื่นเข้ามา 4 คำร้อง และ กกต.รวมไว้เป็นสำนวนเดียวกัน และให้คณะกรรมการฯ รวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน สอบปากคำคนที่เกี่ยวข้อง และเสนอต่อเลขาธิการ กกต.

ซึ่งถ้าหากเลขาธิการ กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองเห็นเช่นนั้น ก็จะเสนอเรื่องให้ที่ประชุม กกต. พิจารณา ถ้ามีมติเห็นด้วยก็จะส่งเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญต่อไป แต่ถ้าเลขาธิการ กกต. เห็นว่าเรื่องนี้ไม่มีข้อเท็จจริงเพียงพอ เชื่อถือได้ว่าการกระทำนี้ไม่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายพรรคการเมือง ก็จะสั่งยุติเรื่อง

ขณะที่ นายวัส ติงสมิตร อดีตผู้พิพากษาอาวุโสศาลฎีกา โพสต์ถึงกรณีนี้เมื่อ 12 ก.ค.68 หาก กกต.ฟันว่านายทักษิณครอบงำพรรคจริง พรรคเพื่อไทยอาจถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคได้ เมื่อ กกต. ร้องขอ และทักษิณอาจมีความผิดอาญา มีโทษจำคุก ตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 1-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลต้องสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง

ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 14 ส.ค.2568 นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. เผยว่า ตอนนี้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงทำเสร็จสิ้นแล้ว อยู่ระหว่างการพิจารณาของ นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง

นายแสวงได้ยุติคำร้อง 3 เรื่องเนื่องจากไม่มีมูลมากเพียงพอ มี 8 เรื่องอยู่ในระหว่างการพิจารณา และ 4 เรื่องนั้นอยู่ในระหว่างการรวบรวมข้อเท็จจริง โดยเมื่อเร็วๆ นี้ก็มีการยื่นคำร้องมาอีก 1 เรื่อง ถ้าหากประเด็นเหมือนกันก็นำไปรวมสำนวนกันได้

ขณะเดียวกันยังมี "คดีชั้น 14" ที่ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาในวันที่ 9 ก.ย.68 นี้ แม้คดีนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทยโดยตรง แต่เป็นคดีของผู้มีบารมีในพรรคอย่างอดีตนายกฯ ทักษิณ ซึ่งหากถูกศาลตัดสินว่ามีความผิด คาดว่าจะกระทบแนวทางการดำเนินการในพรรคไม่น้อย
 


พรรคภูมิใจไทย

มีคดี “ฮั้วเลือก สว.” กรณีนี้ได้มีผู้ยื่นคำร้องที่เกี่ยวข้องกับปมฮั้วเลือก สว.กันตั้งแต่ช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ค. 2567 โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนด้วยกัน ส่วนแรกคือความผิดฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 ที่ทำให้การเลือก สว. ใน พ.ศ. 2567 ไม่สุจริตเที่ยงธรรม อยู่ในความรับผิดชอบของ กกต.

ทางคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ส่วนกลาง ชุดที่ 26 ซึ่งร่วมมือกันระหว่าง กกต.และ ดีเอสไอ ได้ร่วมกันทำงานตั้งแต่ปลายเดือน มี.ค.2568 ต่อมาวันที่ 17 ก.ค.2568 ได้สรุปผลสอบสวน ส่งเรื่องให้ กกต.พิจารณาดำเนินคดีผู้ถูกกล่าว 229 คน แบ่งเป็น สว.ที่ดำรงตำแหน่ง 138 คน และกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทยและเครือข่าย 91 คน เช่น นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค, นายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรค เป็นต้น โดยให้เลขาธิการ กกต.ทำความเห็น ส่งที่ประชุม กกต.มีมติ

ความคืบหน้าล่าสุด 15 ส.ค.2568 นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้รองเลขาฯ ฝ่ายสืบสวนดูแลและทำความเห็น โดยมีกรอบเวลา 30 วันแต่สามารถขยายได้เนื่องจากเอกสารมีจำนวนมาก จากนั้นจะเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการ กกต.ชุดใหญ่ต่อไป ซึ่งหากมีมติเห็นพ้อง ก็อาจนำไปสู่การร้องต่อ กกต.ให้เสนอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรค

ส่วนที่ 2 คือความผิดอาญา ฐานฟอกเงินและอั้งยี่อยู่ในความรับผิดชอบของดีเอสไอ ความคืบหน้าล่าสุดเมื่อวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา นายระวี อักษรศิริ เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ DSI เปิดเผยว่า ได้มีการสอบพยานมากกว่า 100 ปาก และจะมีการสอบเพิ่มอีกราว 1,200 ปาก โดยคาดว่าจะออกหมายจับผู้ต้องหาได้ใน 1-2 เดือนนี้



https://www.thairath.co.th/scoop/theissue/2879937



สิ่งที่ชี้ขาดสถานการณ์คือ “ดีล“ ไม่ใช่พรรคส้ม


Atukkit Sawangsuk 
15 hours ago
·
สิ่งที่ชี้ขาดสถานการณ์คือ “ดีล“ ไม่ใช่พรรคส้ม
ผู้ใกล้ชิดอำนาจ มีบทบาทสําคัญล้มเพื่อไทยสอยแพทองธาร
แสดงท่าทีชัดเจนหนุนภูมิใจไทย
พรรคร่วมรัฐบาลเห็นสัญญาณจึงแห่ไปหาอนุทิน
แต่ทักษิณยังหวังดิ้น หวังจะต่อดีลใหม่ ผ่านสายที่เชื่อมกับตัวเองตั้งแต่ลังกาวี
ระหว่างนี้ ก็เดินสองขา เจรจาพรรคส้มไปพลาง ถ่วงเวลาไม่ให้โหวตอนุทิน
ถ้าต่อดีลได้ ดึงพรรคร่วมกลับ ก็ไม่ต้องอาศัยพรรคส้ม ไม่ต้องให้คำมั่นยุบสภา
แต่ถ้าต่อดีลไม่ได้ กล้าไหม ที่จะเดินหน้าตั้งรัฐบาลเองโดยพึ่งโหวตพรรคส้ม

https://www.facebook.com/baitongpost/posts/24466452899676542


อ.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ เตือนพรรคประชาชน ต้องแน่วแน่ไม่หวั่นไหว ไม่ไหลไปกับคำลวงของเพื่อไทยซึ่งวันนี้เป็นศพเดินได้ รอแค่วันเผา


พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
15 hours ago
·
เล่ห์กลของเพื่อไทยวันนี้คือ สกัดอนุทินทุกทาง เตะถ่วงการเลือกนายกฯออกไปให้นานที่สุด ดึงดันตั้งนายก-รบ.พท. ลากไปให้ถึงปี 70
1. ขู่ยุบสภา แต่ความจริง พท.ไม่ยังไม่ยอมยุบสภา คนที่พร้อมเลือกตั้งทันทีวันนี้คือพรรคประชาชนและภูมิใจไทย ขืนยุบสภา พท.ตายเดี่ยว พรรคแตก งูเห่ายั้วเยี้ย เลือกกลับมาเป็นอันดับสาม
2. ถ่วงเวลาให้ทักษิณวิ่งเต้นทำ "ดีลใหม่" กับกลุ่มอำนาจ
3. "แจกกล้วยหวีใหญ่กว่าภจท." ดึงพวกกลับให้ได้เสียงเข้าใกล้ 250+
4. กดดันปชน.ให้ยอม "โหวตฟรีๆ" ให้ตัวเอง ปล่อยข่าวปชน.ขอตำแหน่งในรบ.ใหม่ พท.ติดต่อคุยแล้ว ดีเอนเอใกล้กัน ทักษิณดีลธนาธรได้แล้ว ให้สส.พูดดีแต่ปชต.ปลอมออกมาเตือนปชน. ไอโอพรรคและพวกแบกไปฟลัดหน้าเพจทุกที่ ท่องอยู่สองคำ "คดีเขากระโดง ฮั้วสว.ๆๆๆๆๆ"
5. ยื่นข้อเสนอโน่นนี่ เกทับเงื่อนไขของปชน. กวนน้ำให้ขุ่น ยื้อให้ปชน.สับสนลังเล ส่งบริวารตัวเล็กมาเจรจาถ่วงเวลา ให้เห็นว่า พท.ยอมแล้ว แต่ปชน.เป็นฝ่ายปฏิเสธเสียเอง
พรรคประชาชนต้องแน่วแน่ไม่หวั่นไหว ไม่ไหลไปกับคำลวงของเพื่อไทยซึ่งวันนี้เป็นศพเดินได้ รอแค่วันเผา

พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ 
7 hours ago
·
ที่ว่าเพื่อไทยเป็น "ศพเดินได้ รอวันเผา" เพราะพท.สูญเสียความชอบธรรมไปตั้งแต่ทรยศปชช.สิบล้านเสียงที่เชื่อ "เทคนิคการหาเสียง" ของพท. ลงคะแนนเสียงให้แล้วโดนตระบัดสัตย์ การบริหารที่ล้มเหลวตลอดสองปีและความผิดพลาดอย่างร้ายแรงในปัญหากัมพูชาและความสัมพันธ์กับกองทัพ ยิ่งทำให้เพื่อไทยไม่มีทุนการเมืองเหลืออยู่อีกแล้ว
ทุกวันนี้ ผู้คนธรรมดาที่ปกติไม่สนใจการเมือง ไม่ใช่ด้อมพรรคใด ต้องการผ่านพ้นรัฐบาลพท.นี้ไปเสียที ต้องการยุบสภาโดยเร็ว แต่พท.ก็ยังไม่ยอมยุบสภาเพราะรู้ว่าเลือกตั้งคืองานเผาศพตัวเอง ทางออกที่เหลือคือ ประยุทธ์ นายกฯคนนอก รัฐประหาร หรือสภาเลือกรัฐบาลใหม่ที่มีภารกิจยุบสภาโดยเร็ว
พรรคประชาชนต้องไม่ยื่นมือไปต่อชีวิตให้กับศพการเมืองนี้ ถ้าทำเช่นนั้น ก็เท่ากับเอาทุนการเมืองของตัวเองไปอุ้มศพที่เน่าเหม็น ถูกมองว่าไปยืดอายุรัฐบาลเพื่อไทยไปถึงปี 70 พรรคก็อย่าหวังที่จะได้ใจจากคนกลุ่มนี้ในการเลีอกตั้งครั้งหน้า
ปล. มีข่าวลือว่าจะยุบสภา? ถ้ายุบจริงก็ดี คอยดูละกัน จะได้คาดการณ์ผิดสักที ได้กลับไปเขียนหนังสือต่อ

https://www.facebook.com/pichitlk



การเมืองไทย ณ วันนี้ ไม่ใช่การเมืองแบบ 3 ก๊ก การเมืองไทย มันเป็นการเมืองแบบก๊กเดียว แล้วแบ่งบางอำนาจให้พวกที่เหลือข้างล่าง - คนตัดสินใจตัวจริง ตอนนี้เค้า "มีสติ และ ใจเย็น" หาจังหวะคุมสถานการณ์


Pakinai Chomsinsubmun 
14 hours ago
·
เป้าหมายทั้ง พท และ ภจท ตอนนี้คือต้องการนายกของตัวเอง ผมว่าทุกคนรู้อยู่แล้ว
ความน่าสนใจคือตอนนี้มีไพ่ในมืออะไรกันบ้าง ?
1. ผมคิดว่าทิศทางการเมืองชั้นบน (ชนชั้นนำ) น่าจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ พูดได้ว่าเป็นช่วงฝุ่นตลบ ดูจากสายการเมืองที่พยายามวิ่งไปหาอนุทิน และกลุ่มที่รอดูความชัดเจนของข้างบน (จริงๆผมรอดูท่าทีของสมศักดิ์เทพฯแบบชัดๆนะ แกยังนิ่งๆอยู่ ดูยังแทงกั้ก ถ้าแกขยับยังไง ไม่ขยับยังไง แสดงว่าแกคงรู้ทางลมในทางลึกดีและน่าจะมองอนาคตออก)
2. ดูจากขั้วแป้ง ขั้วนี้แทงข้างอนุทินโช๊ะเลย เหมือนวัดใจลงพนัน ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้อยู่กับคุณทักษิณมาตั้งแต่ช่วงมีปัญหากับป้อมใน พปชร ในแวดวงการเมืองเองก็รู้ดีว่าพรรคแป้งเหมือนพรรคสำรองของเพื่อไทยเพราะความสนิทกับคุณทักษิณ
ดังนั้น การแสดงความชัดเจนประกาศย้ายขั้วโต้งๆแบบนี้ คงมั่นใจว่าการเมืองเปลี่ยนทิศ และคงมั่นใจคำพูดของอนุทินว่าได้รับไฟเขียวมาแล้ว ถึงกล้าย้ายขั้วแบบไม่เกรงใจสีแดง สะท้อนว่าสีน้ำเงินมีไพ่เรื่องไฟเขียวในมือ
3. ปฎิกิริยาของเพื่อไทยตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ เรื่องว่าจะเอายังไงกับพรรคส้ม ดูไม่เป็นกระบวนท่าเท่าไหร่ แต่มีความพยายาม "เล่นหลายช่อง" เผื่อทางหนีทีไล่ ไม่ตัดส้มออกแต่ก็ไม่ถึงกับเอาด้วย ตรงนี้น่าจะสะท้อนว่าหลังบ้านเองกำลังวิ่งต่อเจรจากับขั้วอำนาจข้างบนแบบเอาเป็นเอาตายอยู่ (หรือไม่ก็เล่นเกมฉากหน้าให้สังคมพอเห็นว่าทำตามกระบวนการรัฐสภาปกติ แสดงความเทพการเมือง แต่ของจริงวิ่งตีนขวิดหลังบ้าน ยังเอาไม่จบ)
การวิ่งต่อเจรจากับระดับบนยังไงก็ต้องคุยเรื่องสีส้ม ความชัดเจนจากข้างบนว่าตอนนี้จะเอายังไงกับส้มมันจะสะท้อนออกมาเองผ่านการเจรจาหน้าฉาก (หมายถึง ข้างบนประเมินส้มเอาไว้ยังไง แล้วคุณทักษิณไปคุยยังไงเอาไว้ เราจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อมีเนื้อหาเจรจาหน้าฉากให้เห็น คนทั่วไปไม่เห็นกระบวนการเจรจาหลังบ้านหรอก)
การแทงกั้กส้มไว้ก่อนย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการฟันธงโช๊ะๆ เพราะมีเนื้อหาการเจรจาหลังบ้านกำกับทั้งหมด เป็นธรรมชาติของการเมืองชนชั้นนำไทย จึงไม่แปลกว่าทำไมข้อเสนอในระยะ 2 วันที่ผ่านมาเปลี่ยนไปมา คนนั้นพูดที คนนี้พูดที
อย่าลืมว่าเป้าหมายของคุณทักษิณคือการคุมอำนาจในฐานะผู้นำรัฐบาล ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้คือ "วิธีการ" เพื่อไปสู่เป้าหมายนั้น เรื่องหักหลังส้ม-ไม่หักหลังส้ม หักหลัง ภจท-ไม่หักหลัง ภจท ถือเป็น "เรื่องรอง" สำหรับคุณทักษิณ เพราะแกทำได้ทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมือง จะเป็นมิตรหรือหักหลังใครย่อมทำได้หมด เพื่อเป้าหมายทางการเมือง เป็นธรรมชาติของแก
แกมั่นใจตัวเองว่ารอบนี้ยังคุมอำนาจได้เหมือนเดิม แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ แกไม่ได้คุมอะไรในมือได้หมดตั้งแต่ต้นแล้วหลังกลับมาไทย เพียงแต่ตอนนี้ลึกๆน่าจะเริ่มไม่มั่นใจอำนาจตัวเองเหมือนก่อนหน้านี้เท่าไหร่แล้วล่ะ เลยดิ้นรนทุกวิธีการ
อำนาจคุณทักษิณไม่ได้มีเต็มมือ ดูตรงไหนได้บ้าง ก็ลองดูที่ปัญหากับทหารในช่วงชายแดนกัมพูชา ปัญหาเรื่อง ก.ตร. ที่ไม่สามารถคุมตำรวจให้อยู่ในแถวของตัวเองได้ ปัญหาควบคุมภูมิใจไทยไม่ได้เรื่องมหาดไทย รวมถึงปัญหาเรื่องไม่สามารถดำเนินนโยบายใหญ่ๆได้จนไม่มีผลงานชิ้นโบว์แดงเป็นที่ประจักษ์
อีกอย่าง คะแนนนิยมเพื่อไทยอยู่ในเหว ความชอบธรรมเรื่องกัมพูชาติดลบ ไพ่ในมือจุดนี้ของคุณทักษิณย่อมหายไป ความชอบธรรมในการตั้งรัฐบาลย่อมน้อยลง เป็นแรงกดดันกลับเข้าไป
แกกำลังดิ้นรนสุดๆเพื่อรักษาอำนาจทางการเมืองของตัวเองเอาไว้ ยังเชื่อว่าทักษะเจรจาของแกสามารถรักษาอำนาจได้ เหมือนคนแก่ที่ยึดติดอำนาจคนหนึ่ง
4. อนุทินมีความมั่นใจตัวเองสูงมาก ว่าจะได้กินเกมนี้ ความมั่นใจสูงนี้น่าจะเกิดจากการพูดคุยกับข้างบนมาแล้วระดับหนึ่งว่าขอไฟเขียว ความเข้มข้นของความมั่นใจจากข้างบนเกิดขึ้นมาเยอะในตอนที่ซัดกับเพื่อไทยเรื่องมหาดไทย เรื่อง สว ลามมาเรื่องเขากระโดง จนอยู่ร่วมกันไม่ได้
แต่ถึงยังไง คนส่วนใหญ่มองแต่ตัวเลข สส แต่ตัวเลขในสภาของน้ำเงินมีแต้มต่อที่ สว. แทบจะครองสภาบนเอาไว้ในมือ มีผลต่อสภาล่างแน่นอน ถ้ากฎหมายไม่ผ่าน สว ทุกอย่างจะติดขัดช้าลงทั้งหมด
ที่สำคัญ อนุทินเป็นคนแรกที่ออกมาประกาศตู้มว่า "เอาด้วยกับข้อเสนอของส้ม" ถ้าเราเชื่อว่าอนุทินคุยกับข้างบนมาพอสมควรแล้ว เท่ากับว่าการยอมรับส้มรอบนี้น่าจะได้รับ "ไฟเขียว" มาเช่นกัน (แต่เราอย่าลืมว่าพรรคส้มมีแผลเรื่องกลุ่ม สส 112 ที่คาอยู่กลุ่มใหญ่ ไม่รู้จะโดนเอาออกจากสภาวันไหน ตรงนี้แหละน่าจะเป็นเนื้อหาพูดคุยของพวกเขาอยู่บ้างว่าส้มไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น สามารถจัดการได้ในภายหลังตั้งรัฐบาลแล้ว)
------
เท่าที่เห็นก็ประมาณนี้ครับ ผมไม่ได้ไปรู้ข้อมูลวงในอะไรหรอก แล้วไม่สนใจด้วย เพราะการตัดสินใจของผู้นำทางการเมืองแต่ละขั้วมันเปลี่ยนไปมาได้ตลอด แต่ละขั้วก็ฟาดฟันกัน บลัฟกันไปมาเพื่อหวังผลทางการเมือง เราไม่มีทางรู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้างในสภาวะแบบนี้

https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=10161399554846610&id=539526609


ข้อเสนอของพรรคเพื่อไทยที่จะให้นำรัฐธรรมนูญ 2540 กลับมาใช้ชั่วคราวแทน 2560 นั่น แน่นอนว่า เห็นด้วยในทางหลักการ แต่ในทางกฎหมายมันทำแบบนั้นไม่ได้


Yingcheep Atchanont 
11 hours ago
·
ข้อเสนอของพรรคเพื่อไทยที่จะให้นำรัฐธรรมนูญ 2540 กลับมาใช้ชั่วคราวแทน 2560 นั่น แน่นอนว่า เห็นด้วยในทางหลักการ แต่ในทางกฎหมายมันทำแบบนั้นไม่ได้
ระบบกฎหมายของเราไม่สามารถไปลงประชามติวันนี้ แล้วเขียนกว้างๆ แค่ว่า ใช้รัฐธรรมนูญ 2540 แทน พอประชาชนลงมติ YES แล้วตัวอักษรในรัฐธรรมนูญ 2540 มันมีผลบังคับใช้ได้เลย มันเป็นไปไม่ได้
การจะนำเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ 2540 กลับมาใช้นั้นต้องนำร่างที่มีเนื้อหาเหมือนรัฐธรรมนูญ 2540 บรรจุเข้าสู่วาระการพิจารณาของรัฐสภา และต้องให้สส. สว. ลงมติ ซึ่งต้องได้เสียงสว. อย่างน้อย 1 ใน 3 และต้องเอาเนื้อหามาดูรายละเอียดในวาระที่สอง เป็นงานยาก เพราะในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ 2540 เขียนเงื่อนเวลาไว้สำหรับวันที่บ้านเมืองไม่ได้เป็นแบบนี้ พอเวลาผ่านมาจะเอาทั้งหมดมาใช้ทันทีเลยไม่ได้ ไอ้การต่างๆ ที่เดินตามรัฐธรรมนูญ 2540 2550 2560 ไปหลายปีแล้วมันจะเป็นยังไงเป็นโมฆะหมดเลยไหม ก็ต้องมาออกแบบเงื่อนเวลาในการเปลี่ยนผ่านใหม่ทั้งหมด แต่ก็จะใช้ชั่วคราวนะ น่าจะไม่คุ้ม การออกแบบเงื่อนเวลาใหม่ต้องค่อยๆ คิดมันทีละเรื่อง และมันจะเป็นการแก้ไขหมวด 1-2 แก้ไขอำนาจศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ และคุณสมบัตินักการเมือง ต้องทำประชามติก่อน ถ้าเริ่มทันทีวันนี้ก็ไม่มีทางเสร็จใน 6 เดือน ถ้าไม่เสร็จก็ยุบสภาไม่ได้ เลือกตั้งไม่ได้เพราะไม่มีกติกาให้ใช้เลือก
หรือถ้าทนรอทำจนเสร็จแล้ว ไปเก็บรายละเอียดต่างๆ ของรัฐธรรมนูญ 2540 เสร็จแล้วให้มันใช้ได้ ก็ไม่เหลือแรงจูงใจมากนักสำหรับการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จากประชาชนให้เป็นจริง
โดยหลักการเหมือนจะดี แต่จะทำให้พรรคเพื่อไทยอยู่ยาว และเป็นเงื่อนไขที่เป็นจริงได้ยาก หรือจะไม่สำเร็จ พรรคเพื่อไทยเสนอเรื่องนี้ได้ เท่ห์แล้ว แต่ควรถอนเสีย ไม่งั้นการเจรจารับเงื่อนไขพรรคประชาชนให้โหวตนายกและยุบสภาจะเป็นไปไม่ได้ ด้วยมือของเพื่อไทยเอง กลายเป็นการบีบให้พรรคประชาชนต้องโหวตอนุทินด้วยติดเงื่อนไขนี้เอง

https://www.facebook.com/pow.ilaw/posts/24702837439320249


อ.ปิ่นแก้ว หลวงอร่ามศรี พูดถึง ปัญหาพื้นฐานของพวกที่อ้างตนว่าเป็น pragmatists สุดท้าย ก็ละทิ้งมโนธรรมสำนึก ทำลายขบวนการและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม จะโดนพรรคไหนบ้าง คิดกันเอาเอง


Pinkaew Laungaramsri 
11 hours ago
·
การหลอกตัวเอง และปัญหาพื้นฐานของพวกที่อ้างตนว่าเป็น pragmatists
1) ปัญหาการวัดผล: พวก pragmatists มักอ้างว่า พวกเขาสามารถคำนวณได้อย่างแม่นยำว่า อะไร “จะได้ผล” แม้ในความเป็นจริง การทำนายพลวัตทางสังคมและการเมืองที่ซับซ้อน ไม่ใช่สิ่งที่สามารถคำนวณได้อย่างแม่นยำ ดังที่กล่าวอ้าง สิ่งที่ดูว่า “เป็นไปได้” ในระยะสั้นอาจเป็นหายนะในระยะยาว และในทางกลับกัน
2) การพังทลายของหลักการ: วิธีคิดแบบเน้นการปฏิบัติเฉพาะหน้าแบบ pragmatism ถึงที่สุดแล้ว จะนำไปสู่การละทิ้งหลักการสำคัญอย่างค่อยเป็นค่อยไป การประนีประนอมแต่ละครั้งดูสมเหตุสมผลเมื่อพิจารณาแยกกัน แต่เมื่อรวมกันแล้ว นำไปสู่การทำลายหลักการที่เหล่า pragmatists ต้องการส่งเสริมตั้งแต่แรก คุณอาจชนะในเชิงยุทธวิธี แต่ยุทธวิธีนั้นๆ กลับไม่นำไปสู่ชัยชนะอะไรแม้แต่อย่างเดียว
3) กรงขังของ "สิ่งที่เป็นไปได้": พวก pragmatists มักสร้างกรงขังตัวเองเอาไว้ในสิ่งที่ดูเหมือนจะบรรลุได้ทันที แต่กรงประเภทนี้ เป็นกรงที่พวกเขากำหนดขึ้นเอง และเฝ้าบอกตัวเองว่าเป็น “สิ่งที่เป็นจริง” ในขณะที่พวก pragmatists ไล่ตามสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าเป็น "สิ่งที่เป็นจริง" เท่านั้น อยู่ภายในกรงขังแคบๆที่พวกเขาได้สร้างขึ้นไว้ขังตัวเอง พวกเขาได้ทำลายโอกาสในการขยายสิ่งที่ถือว่าเป็นไปได้ผ่านการตัดสินใจ และการกระทำที่กล้าหาญ
4) การละทิ้งมโนธรรมสำนึก: ในการเลือกกระทำการเฉพาะสิ่งที่ถูกคำนวณว่ามีโอกาสสำเร็จโดยทันทีเพียงอย่างเดียวพวก pragmatists พร้อมที่จะเอาหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ที่สำคัญอื่นๆ โยนทิ้งไปหมด ไม่ว่าจะเป็นการเป็นพยานต่อความอยุติธรรม การรักษาความซื่อสัตย์ หรือการปฏิเสธที่จะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับการกระทำผิด ลัทธิ pragmatism นี้ถึงที่สุดแล้ว จะทำลายมโนธรรมสำนึก อันเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ลง กลายเป็นกลจักรที่มุ่งแต่จะคิดคำนวณถึงผลสำเร็จเฉพาะหน้าเพียงอย่างเดียว
5) การทำลายขบวนการและการเปลี่ยนแปลงสังคม: มนุษย์ประเภท pragmatists ใช้ชีวิตเพียงเพื่อผลลัพธ์ระยะสั้น เข้าร่วมเฉพาะเมื่อชัยชนะดูแน่นอน และทิ้งเรือทันทีที่เห็นสัญญาณแรกของความยากลำบาก คนเหล่านี้ไม่เพียงเป็นพวกนักฉวยโอกาสที่ไว้ใจไม่ได้ แต่ยังอันตรายต่อการสร้างขบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
6) ความตาบอดทางประวัติศาสตร์: สิ่งที่เราถือว่า "ถูกต้องอย่างชัดเจน" ในปัจจุบัน หลายเรื่อง ในอดีตนั้น เป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิบัติได้ หรือเป็นไปไม่ได้มาก่อน ตัวอย่างกฎหมายที่ก้าวหน้า และที่ “เป็นไปไม่ได้” มากมายในไทย เป็นบทพิสูจน์ความตาบอดทางประวัติศาสตร์ของพวก pragmatists เป็นอย่างดี ผลงานของพวก pragmatist ในวันนี้ จะกลายเป็นตัวอย่างของความขลาดเขลา คิดสั้น และปราศจาก accountability ที่จะถูกจดจารไว้ในหน้าประวัติศาสตร์
ลัทธิ pragmatism เมื่อผลักให้ถึงที่สุดของตรรกะ มันจะกลายเป็นรูปแบบหนึ่งของลัทธิสัมพัทธ์นิยมทางศีลธรรมที่ปลอมตัวภายใต้หน้ากากของการคิดเชิงกลยุทธ์ หน้ากากประเภทนี้ ทำให้พวกนัก pragmatists ลอยตัวเหนือความรับผิดใดๆ ไม่ว่าจะต่อสังคม ต่อชีวิตและเสรีภาพของผู้คน หรือแม้แต่ต่อมโนธรรมสำนึกของตนเอง

https://www.facebook.com/arunothai.ruangrong/posts/24480079071612490

Atukkit Sawangsuk

ในที่สุดก็ละทิ้งมโนธรรมสำนึก ทำลายขบวนการและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม



ข้อเสนอของ iLaw ถึง 3 พรรคการเมือง - ปชน. พท. ภท. - ในสถานการณ์ที่ยังไม่มีพรรคไหน รวมเสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้


iLaw
10 hours ago
·
คำชี้แจงและข้อเสนอต่อสถานการณ์จัดตั้งรัฐบาลใหม่

จากสถานการณ์ที่สภาผู้แทนราษฎรจะต้องเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และต้องจัดตั้งรัฐบาลขึ้นใหม่ ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีใครรวมเสียงข้างมากได้ชัดเจน และพรรคประชาชนกำลังเสนอที่จะลงคะแนนให้กับนายกรัฐมนตรีที่จะยุบสภาภายใน 4 เดือน เดินหน้าสู่รัฐธรรมนูญใหม่โดยการทำประชามติไม่ช้ากว่าการเลือกตั้ง และจะไม่ร่วมรัฐบาล

ไอลอว์ในฐานะที่ติดตามและร่วมผลักดันกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยประชาชนมาตลอด ขอชี้แจงต่อเงื่อนไขในการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ มีข้อเสนอถึงพรรคการเมืองต่างๆ ที่กำลังเป็นผู้เล่นสำคัญ ดังนี้

---------------------------
ข้อเสนอถึงพรรคประชาชน

ขอชื่นชมพรรคประชาชนกับข้อเสนอ “ผ่าทางตัน” เนื่องจากในสถานการณ์ที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยควบคุมเสียงสส. ส่วนใหญ่ไม่ได้แล้ว จึงไม่สามารถเสนอชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายกรัฐมนตรีได้ และอนุทิน ชาญวีรกูล ก็เสนอตัวแข่ง แต่ทั้งสองฝ่ายไม่มีเสียงสส. สนับสนุนเกินครึ่งหนึ่งของสภา ทำให้ไม่สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ทั้งคู่ หากพรรคประชาชนไม่ลงมติเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งจะเกิดทางตันที่หานายกรัฐมนตรีคนใหม่ และตั้งรัฐบาลใหม่ไม่ได้ พรรคประชาชนจึงจำเป็นต้องเลือกลงมติให้ใครคนใดคนหนึ่งที่เคยเป็นคู่ตรงข้ามทางการเมืองกันมาก่อน

การเสนอที่จะออกเสียงเลือกนายกรัฐมนตรี โดยไม่ร่วมรัฐบาลและไม่รับตำแหน่งรัฐมนตรี เป็นข้อเสนอใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน และแสดงให้เห็นว่าพรรคประชาชนมีความตั้งใจที่จะลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีเพื่อหาทางออกโดยไม่แสวงหาอำนาจหรือผลประโยชน์ใด โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือการเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทุกพรรคการเมืองและประชาชนในระยะยาวมากกว่าคำถามที่ว่า ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้
.
.
อย่างไรก็ดี ข้อเสนอของพรรคประชาชนเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ยังขาดรายละเอียดที่ชัดเจน และยังมีข้อบกพร่อง เนื่องจากกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในวันนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่า จะต้องทำประชามติกี่ครั้ง และจะต้องเดินไปภายใต้เงื่อนไขใดบ้าง ซึ่งการวินิจฉัยอยู่ในมือของศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีนัดหมายลงมติเรื่องนี้ในวันที่ 10 กันยายน 2568 หากศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทำประชามติสองครั้งก็เพียงพอ รัฐสภาในวันนี้ก็สามารถพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 สองฉบับที่ค้างอยู่ได้เลย ซึ่งเป็นกระบวนการที่ชี้ชัดได้ว่า พรรคการเมืองใดพร้อมจะเดินหน้าสู่รัฐธรรมนูญใหม่จริงหรือไม่ และควรใช้กระบวนการนี้ชี้วัดว่า ควรเลือกใครเป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนการทำประชามติครั้งแรกพร้อมกับการเลือกตั้งทั่วไปก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป

ดังนั้น พรรคประชาชนไม่ควรรีบลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ควรรอให้มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 10 กันยายน 2568 ก่อนว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะตีกรอบกำหนดเงื่อนไขในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่อย่างไร หากจำเป็นต้องทำประชามติ “ก่อน” กระบวนการอื่น พรรคประชาชนก็ต้องทำความตกลงกับพรรคการเมืองอื่นถึงกระบวนการจัดทำประชามติ วางกรอบเวลาให้ชัดเจน โดยตกลงให้ชัดเจนว่า การทำประชามติต้องไม่สร้างคำถามที่ซับซ้อนไปด้วยเงื่อนไขที่จะทำให้การออกเสียงไม่สะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชน และผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งหมด รายละเอียดเหล่านี้ต้องปรากฏต่อสาธารณะจนเป็นที่ยอมรับและไว้วางใจได้ก่อนที่จะลงมติเพื่อเลือกบุคคลใดเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป

---------------------------
ข้อเสนอถึงพรรคเพื่อไทย

พรรคเพื่อไทยไม่ควรมีท่าทีลังเลใดๆ ต่อข้อเสนอ “ผ่าทางตัน” ของพรรคประชาชน พรรคเพื่อไทยควรแสดงความจริงจังและจริงใจว่า พร้อมยอมรับข้อเสนอทันที เนื่องจากการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้เป็นประชาธิปไตยนั้นเป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทยมาตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง 2566 และเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทยมาตลอด แต่พรรคเพื่อไทยก็ล้มเหลวในการดำเนินการมาตลอด

ข้อเสนอเรื่องการนำรัฐธรรมนูญ 2540 กลับมาใช้เป็นการชั่วคราวนั้น โดยเนื้อหาแล้วเป็นเรื่องที่สมควรเห็นด้วย แต่ในทางปฏิบัติในทางกระบวนการแล้วเป็นไปแทบไม่ได้
.
.
เพราะไม่มีช่องทางตามกฎหมายที่จะนำรัฐธรรมนูญที่ถูกยกเลิกไปแล้วกลับมาใช้งานได้ทันที แต่ขั้นตอนตามกฎหมายก็คือ ต้องเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 “ทุกมาตรา” เพื่อให้มีเนื้อหาในแต่ละมาตราเช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญ 2540 และยังต้องแก้ไขรายละเอียดในบทเฉพาะกาล เรื่องเงื่อนเวลาต่างๆ ให้สอดคล้องกับปัจจุบัน ซึ่งกระบวนการนี้ต้องนำเสนอร่างต่อรัฐสภา ต้องได้รับความเห็นชอบจากสว. อย่างน้อย 1 ใน 3 และยังต้องผ่านการทำประชามติตามที่มาตรา 256 ( บังคับไว้ การนำรัฐธรรมนูญ 2540 กลับมาใช้เป็นการชั่วคราว จึงเป็นข้อเสนอที่จะทำให้เสียเวลาไปอีกมาก

พรรคเพื่อไทยควรยกเลิกข้อเสนอเรื่องการเอารัฐธรรมนูญ 2540 กลับมาใช้ รับข้อเสนอของพรรคประชาชนทั้งหมดพร้อมแสดงความจริงใจและจริงจังว่าต้องการหาทางออกจากทางตัน ไม่ได้ต้องการแสวงอำนาจทางการเมืองอีกต่อไป พร้อมที่จะยุบสภาโดยเร็วที่สุดและไม่ต้องการอยู่ยาว
.
.
พรรคเพื่อไทยยังต้องยอมรับและขอโทษประชาชนต่อความล้มเหลวในนโยบายการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมา รัฐบาลรักษาการของพรรคเพื่อไทยควรประกาศว่า หากต้องมีการทำประชามติก็จะใช้คำถามการทำประชามติที่เปิดกว้าง ไม่ซ้อนสองคำถามในการทำประชามติครั้งเดียว หรือใช้คำถามที่ประชาชนเคยเข้าชื่อกว่า 211,905 เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีของเพื่อไทยในกิจกรรม #conforall เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงความจริงใจที่จะจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่โดยประชาชนให้สำเร็จ และเพื่อขึ้นเป็นรัฐบาลต่อในช่วงเวลาสั้นๆ เพื่อแก้ไขความผิดพลาดในกระบวนการประชาธิปไตยของตัวเองก่อนหน้านี้

หากพรรคเพื่อไทยไม่สามารถสร้างความชัดเจนได้เช่นนี้ หรือในระดับที่ใกล้เคียงกัน ก็ไม่อาจไว้วางใจได้ว่า การลงมติเลือกชัยเกษม นิติสิริ จากพรรคเพื่อไทยเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปจะสามารถเดินหน้าไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้จริง
---------------------------
ข้อเสนอถึงพรรคภูมิใจไทย

ขอชื่นชมแถลงการณ์ของพรรคภูมิใจไทย ฉบับลงวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ที่พร้อมยอมรับข้อเสนอ “ผ่าทางตัน” ของพรรคประชาชนทุกข้อ แต่อย่างไรก็ดีการที่พรรคภูมิใจไทยแถลงรับข้อเสนอเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้น ขัดต่อการกระทำของพรรคภูมิใจไทยที่ผ่านมาก่อนหน้านี้หลายครั้ง ตัวอย่างเช่น
.
.
๐ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2563 พรรคภูมิใจไทยลงมติ “ไม่รับ” ร่างข้อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่จะนำไปสู่การจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่เสนอโดยการเข้าชื่อของประชาชน 100,732 คน

๐ วันที่ 17 มีนาคม 2564 พรรคภูมิใจไทยลงมติ ไม่เห็นด้วยกับร่างข้อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่จะนำไปสู่การจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ฉบับที่ผ่านการพิจารณาในวาระสองของรัฐสภามาแล้ว

๐ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 สส. ของพรรคภูมิใจไทย “วอล์คเอ้าท์” ประกาศไม่ร่วมเป็นองค์ประชุม และไม่ขอมีส่วนร่วมในการอภิปรายข้อเสนอเพื่อการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งสองฉบับ

๐ วันที่ 17 มีนาคม 2568 สส. ของพรรคภูมิใจไทยก็ร่วมลงมติเพื่อส่งเรื่องไปถามศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับจำนวนครั้งของการทำประชามติ ซึ่งเป็นการส่งไปถามศาลรัฐธรรมนูญเป็นรอบที่สาม จึงเป็นเพียงการถ่วงเวลาให้การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงเสียที
.
.
นอกจากนี้พรรคภูมิใจไทยยังมีพฤติกรรมแสดงออกเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับสมาชิกวุฒิสภาชุดนี้ ตัวอย่างเช่น อนุทิน ชาญวีรกูล เคยโพสต์ภาพถ่ายร่วมเดินทางกับรองประธานวุฒิสภา ซึ่งเป็นอดีตที่ปรึกษาของอนุทินในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในภาพเป็นที่รองประธานสว. กำลังพายเรือให้อนุทินนั่ง และหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทยยังถูกตั้งข้อกล่าวหาว่า รวมกันโกงการเลือกสว. จนได้มาซึ่งสว. อย่างน้อย 138 คน ซึ่งสว. ที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาร่วมกันเหล่านี้เองประกาศในทางสาธารณะว่า ไม่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และไม่ต้องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

ดังนั้น พรรคภูมิใจไทยควรยอมรับและขอโทษต่อการลงมติที่ขัดขวางกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา เพื่อพิสูจน์ความจริงใจว่า ในวันนี้พร้อมยอมรับเงื่อนไขของพรรคประชาชนและจะเริ่มกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จริง พรรคภูมิใจไทยยังต้องประกาศยอมรับเงื่อนไขที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมในการตรวจสอบคดีการโกงเลือกสว. โดยประกาศว่า จะไม่แต่งตั้งคนที่เกี่ยวข้องไปเป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม และพร้อมใช้สิทธิของผู้ถูกกล่าวหาส่งหนังสือถึงคณะกรรมการการเลือกตั้งให้รีบสรุปสำนวนและมีคำวินิจฉัยโดยเร็ว
.
.
พรรคภูมิใจไทยควรจะประกาศชัดเจนต่อสาธารณะเรียกร้องให้สมาชิกวุฒิสภาไม่ใช้อำนาจพิเศษขัดขวางกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ให้ลงมติเห็นชอบในกระบวนการแก้ไขมาตรา 256 ตามร่างฉบับที่มีอยู่ และ เรียกร้องให้สมาชิกวุฒิสภาเลื่อนการลงมติเลือกกรรมการการเลือกตั้งชุดใหม่ไปก่อน จนกว่ากรรมการการเลือกตั้งชุดเดิมจะมีคำวินิจฉัยในคดีที่สมาชิกวุฒิสภากำลังถูกกล่าวหาเสร็จสิ้น

หากพรรคภูมิใจไทยไม่สามารถสร้างความชัดเจนได้เช่นนี้ หรือในระดับที่ใกล้เคียงกัน ก็ไม่อาจไว้วางใจได้ว่า การลงมติเลือกอนุทิน ชาญวีรกูลเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปจะสามารถเดินหน้าไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้จริง

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1188991379941146&set=a.625664036273886



ไทยรัฐเค้าว่า การชุมนุมล่าสุด วันนี้ (31 ส.ค.) ของ คณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย⁣ มีผู้ร่วมชุมนุมน้อยลง⁣


Thairath - ไทยรัฐออนไลน์
6 hours ago
·
คณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย⁣
อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ⁣

นัดหมายชุมนุมกันมา 3 ครั้ง เป้าหมายหลักคือ ขับไล่รัฐบาลของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ก่อตัวจากมวลชนหลายกลุ่ม นำโดย จตุพร, ทนายนกเขา, พิชิต ฯลฯ ⁣

เริ่มชุมนุมครั้งแรก ณ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ในวันที่ 28 มิ.ย. 2 สัปดาห์หลังจากเกิดกรณี #คลิปเสียง ระหว่าง น.ส.แพทองธาร กับ สมเด็จฮุน เซน ผู้นำกัมพูชา มีมวลชนมาร่วมชุมนุมอย่างคับคั่ง⁣

ต่อมา ในวันที่ 2 ส.ค. มีการรวมตัวกันอีกครั้ง หลังมีเหตุปะทะที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ระหว่างวันที่ 24-28 ก.ค. เป็นเหตุให้มีทหารไทยและประชาชนจำนวนไม่น้อยเสียชีวิต⁣

ล่าสุด วันนี้ (31 ส.ค.) แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยให้ น.ส.แพทองธาร พ้นจากตำแหน่งนายกฯ แต่ยังคงเดินหน้าขับไล่ #ระบอบชินวัตร เรียกร้องว่า ไม่เอาแคนดิเดตนายกฯ คนต่อไปที่มาจากพรรคเพื่อไทย โดยมีจำนวนผู้ร่วมชุมนุมที่เบาบางลงไป⁣
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1267534588746215&set=a.360119616154388
.....


Suwagee Klampaiboon
Yesterday
·
เคยมะคะ

เวลาที่เราใส่รองเท้าแล้วมีเม็ดทรายติดในรองเท้า ต่อให้มันจะเม็ดเล็ก และไม่มีผลกับกับการเดินและวิ่ง
แต่ผลกระทบของมันคือ "มันน่ารำคาญมากอ่ะ"


https://www.facebook.com/photo?fbid=10160964544946841&set=a.10152051646016841