วันเสาร์, เมษายน 30, 2565

ข่าว ‘กาโตะ’ เกือบจะจบแล้วเชียว เดชะกรรมเกิดมีคลิปตอนใหม่โผล่อีก คราวนี้เสียงยิ่งชัดกว่าเก่า

ว่าไปแล้วข่าว กาโตะนี่ประเภท ‘entertaining for those inquiring minds’ เหมือนในอเมริกา คนจำนวนหนึ่งตาโตหูผึ่งกับข่าวคดี ‘he said, she said’ ฟ้องร้องกันระหว่างแอมเบอร์ เฮิ้ร์ด กับ จอห์นนี่ เด็บบ์ แม้นว่าเนื้อหาและบริบทต่างกันมาก

กรณีแอมเบอร์ทำไปทำมาจากรูปการณ์แห่งคดี ทำให้เสียงวิจารณ์ไปทางเห็นใจคนที่ฟ้องเรียกค่าเสียหาย ๓๐ ล้านมากกว่าคนที่ฟ้องกลับเรียก ๑๐๐ ล้าน จากการขุดคุ้ยหลักฐานสู้กันพบว่า แอมเบอร์น่ะร้ายกว่าจอห์นนี่พอดูทีเดียว

เห็นมีใครคนหนึ่งในประชาคมทวิตภพไทย นำลงภาพจากร้านกาแฟสตาร์บั๊คในอเมริกาบางแห่ง แบ่งกล่องรับทิปเป็นสองกล่องคู่กัน เขียนชื่อบนกล่องหนึ่งว่าแอมเบอร์ เฮิ้ร์ด อีกกล่องว่าเป็นของจอห์นนี่ เด็บบ์ ปรากฏคนเทให้ทิปแก่กล่องจอห์นนี่

แต่เรื่องพระกาโตะของไทยไปไกลกว่าความชอบสอดรู้สอดเห็นของพวกติดข่าวในมุ้งดาราอเมริกัน เพราะมันมีดราม่าเรื่องศาสนาเข้ามาคลุก ต่างก็คิดว่าเรื่องอย่างนี้เสื่อมเสียต่อสถาบันศาสนา แต่แทนที่จะทำความจริงให้กระจ่าง ความถูกต้องให้ประจักษ์

กลับพยายามกวาดฝุ่นเข้าใต้พรม หรือเขี่ยขยะให้พ้นตัวกัน พระผู้ใหญ่ตำหนิพระผู้น้อยที่นำคลิปเสียงพูดฉันชู้สาว นัยว่าเป็นพระหนุ่มนักเทศน์ชื่อดังภาคใต้ กับสาวสีกานางหนึ่ง พระซึ่งรับคลิปมาปล่อยร้องห่มร้องไห้เมื่อถูกเจ้าอาวาสไล่ออกจากวัด

“ทำให้วัดเสื่อมเสีย...มาเจ้ากี้เจ้าการทำไม” พระที่ถูกไล่จากวัดโอดว่า “เป็นเจตนาดีเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา...เป็นการช่วยเหลือโยมผู้หญิงคนหนึ่ง” ลงท้ายเจ้าอาวาสยอมถอนคำสั่ง ยอมให้กลับไปอยู่วัดอย่างเดิม ข้อแม้ห้ามให้ข่าวอะไรอีก

แต่ว่าข่าวได้กระพือไปยิ่งกว่าไฟลามทุ่งแล้ว จนต้องมีคลิปจากปากคำของหญิงสาว มาให้พระซึ่งเป็นเป้าหมายเปิดให้นักข่าวรับทราบว่า ว่าหญิงคนนั้นสารภาพว่าบันทึกเทปด้วยจิตไม่ปกติ มุ่งหมายกลั่นแกล้งพระหนุ่มเมืองคอนเจ้ากรรม

เรื่องมันเกือบสงบด้วยดี เปิดทางเรื่องใหม่เข้าไปแทนบ้าง แต่เดชะกรรมเกิดมีคลิปตอนใหม่โผล่อีก ให้สื่อทีวีออนไลน์ยอดฮิตเอาออกไปเปิดแฉ เป็นการสนทนาตัดพ้อต่อว่ากันระหว่างหญิงและชาย ฝ่ายชายบอกว่าต่อนี้ไปต้องห่างๆ แล้วนะ จะได้ เซฟ

ฝ่ายหญิงย้อนแล้วตอนที่ทำไม่ได้คิดถึงบาปบุญคุณโทษละหรือ คำตอบก็คือ “พระยุ่งสีกาไม่ได้ติดคุกนะ” แล้วตอนนั้นกับตอนนี้ไม่เหมือนกัน แรกนั่นคิดว่าเรียนให้จบแล้วจะออกไปจากสถานะนี้ แต่ตอนนี้หลวงพ่อจะมอบให้รับไม้งาน สายป่า เป็นหัวเรือต่อไป

หญิงอ้อนว่างานยังไม่ได้เริ่ม ค่ารถค่าบ้านต้องจ่าย พระหนุ่มว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวจัดหาให้ แต่มากไม่ไหวนะ รับงานกิจสงฆ์ได้ครั้งละ ๒-๓ พัน กว่าจะเก็บได้เป็นแสนสองแสนตามต้องการ มันยากและเหนื่อยนะ

เรื่องนี้คงไม่เอวังง่ายๆ แต่จะไม่ยาวเหมือนซีรี่ส์ แตงโมน่าจะเพราะตัวละครน้อยกว่า และดูฝ่ายหญิงจะโอนอ่อนผ่อนผัน ไม่ร้ายอย่างแอมเบอร์ แต่กระนั้นตอนต่อไปคงจะยังระทึกไม่เบา

(https://www.facebook.com/MorningNewsTV3/videos/663224034739065/ และ https://www.facebook.com/watch?v=421735039777297)

ต้องตามจับโป๊ะ กกต.ให้มั่น ยักเงินไปใช้เลือกตั้งใหม่ ๙ ล้านกับเกือบ ๗ แสน คดียกคำร้อง กกต.แจกใบส้มสุรพล พรรคเพื่อไทย ใครจ่ายชดใช้

เรื่องที่ต้องตามจับโป๊ะ กกต.ให้มั่น เพราะมันออกลายให้เห็นแล้วว่านายบ่าวเหมือนกันหมด เรื่องใช้เงินใช้ทองของหลวงของรัฐเนี่ยชอบนัก “ขอบคุณ พูติกาล ศายษีมา ค้นมาให้ดู” ดัง Atukkit Sawangsuk อ้างถึง “ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง...

แม่-หักจากเงินอุดหนุนพรรคการเมืองปี ๒๕๖๓ ของพรรคเพื่อไทยไว้ ๙,๖๘๓,๗๕๕.๑๒ บาท บอกว่าถ้ามีคำพิพากษาถึงที่สุดไม่ต้องรับผิด จะจ่ายคืน” ตอนนี้ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ยกคำร้องคดี กกต.แจกใบส้มสุรพล เกียรติไชยากร ไปแล้วเมื่อกันยา ๖๓

เงินที่ต้องจ่ายคืน ๙ ล้านกับอีกเกือบ ๗ แสน จะเอามาจากไหน บวกกับอีก ๗๐ ล้านที่สุรพลชนะในคดีแพ่ง เขาถามซ้ำ “งั้นใครรับผิดชอบความเสียหายค่าเลือกตั้งใหม่ จะไล่เบี้ย กกต.ให้รับผิดทางละเมิดได้ไหม” Saiseema Phutikarn อธิบายเพิ่ม

ว่า การจัดสรรเงินสนับสนุนพรรคการเมืองควรโปร่งใสมากกว่านี้ “มีการเปิดเผยตารางคำนวณว่าแต่ละพรรคทำไมได้เงินแต่ละปีเท่าไหร่ ไม่ใช่เหมือนปัจจุบันที่ในเว็บ กกต. ข้อมูลย้อนหลังยังไม่มีเลย” เขาเองต้องเสาะค้นเอาจากเว็บสื่อ

แล้วเจอความไม่ชอบมาพากล ที่ว่า “ทำไมพรรคภูมิใจไทยถึงได้มากกว่าพรรคเพื่อไทยเท่าตัว”ทั้งที่ “ปัจจัยที่จะทำให้ได้เงินจัดสรรสองพรรคนี้ไม่ต่างกันเท่าไหร่ แถมเพื่อไทยจะเหนือกว่าด้วยในเรื่องเงินบริจาคจากผู้เสียภาษี”

และที่ผ่านมาเพื่อไทยยังได้เงินสนับสนุนมากกว่าภูมิใจไทยทุกปี จู่ๆ เกิดเปลี่ยนแปลงไม่รู้อิโหน่อิเหน่ โดนจี้ขนาดนี้ ไฉน กกต.ยังเงียบกริบ เป็นทองไม่รู้ร้อนซะงั้น

(https://www.facebook.com/baitongpost/posts/5149101631838291)

หัวหน้ากลุ่ม ๑๖ ยัน ‘ไม่ไว้วางใจ’ ไอทู้บเหมือนกับฝ่ายค้าน “จะยกมือสวนแน่”


มันไปอีกคืบ ไม่ไว้วางใจ ไอทู้บ เมื่อหัวหน้ากลุ่ม ๑๖ ยัน “ถ้าฝ่ายค้านอภิปรายแล้วมีข้อมูลสอดคล้องตรงกัน แล้วรัฐบาลยังตะแบงไปเซ็นสัญญาก็ต้องแตกหักกัน” พิเชษฐ สถิลชวาล ประกาศ “ผมยอมให้ถูกขับออกจากพรรคพลังประชารัฐ

ต่อเนื่องมาจากข่าวเมื่อวานซืน “ไปกินข้าวกัน” กับเลขาธิการและรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ไม่อ้อมค้อมว่าได้ “คุยการเมือง” ไปสอบถามพรรคเพื่อไทยเรื่องข้อมูล กรณีบริษัทอีสท์วอเตอร์แพ้ประมูลบริษัทวงษ์สยามก่อสร้าง ซึ่งตนรับไม่ได้

อีสท์วอเตอร์นั้นเป็นบริษัทลูกของการประปานครหลวง “สร้างขึ้นมาเพื่อที่จะบริหารโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ดทั้งหมด” ทางเพื่อไทยบอกว่ามีข้อมูลแน่นพอและตรงกับที่ตนมี “เพราะตนเคยเป็นประธานคณะกรรมการอีสท์ วอเตอร์มาก่อน”

พิเชษฐชี้ตัวรัฐมนตรีซึ่งจะถูกอภิปรายเลยว่า สันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง “ที่รับผิดชอบกรมธนารักษ์...เป็นคนมาเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้” ดังนั้น “กลุ่ม ๑๖ ส.ส.ก็จะยกมือสวนแน่” และ “หากนายกฯไม่ทบทวนก็ต้องไม่ไว้วางใจนายกฯด้วย”

ส่วน ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคเศรษฐกิจไทยข้ามไปอีกช็อต พูดเรื่องนายกฯ สำรอง กรณีมีอันเป็นไป ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ไม่ครบเทอม ว่ายังไม่ได้กำหนดใครเลย ง่วนอยู่กับการเตรียมเลือกตั้ง กำลังทาบทามนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ กับนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล มาร่วม

แต่ ถ้า “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ต้องการเป็นนายกฯ เพื่อขัดตาทัพชั่วคราว ก็สามารถเป็นได้ตลอดเวลา” แล้วใครอย่าได้ไปถามเฮียป้อมเค้าล่ะ แกคงจะไม่กระอักกระอ่วนอะไรหรอก แค่กลับไปฟอร์มเดิม “ไม่รู้ ไม่รู้” เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เสี่ยแป้งเจ้ากี้เจ้าการเตรียมหนทางรองรับ อุบัติเหตุทางการเมืองเอาไว้เรียบร้อย อ้างว่าให้ใช้มาตรา ๒๗๒ วรรค ๒ ของรัฐธรรมนูญ เสนอนายกฯ นอกบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง ให้ ๒ ใน ๓ ของรัฐสภารับรอง

ซึ่งหมายถึง สว. ๒๕๐ คนยังเป็นปัจจัยสำคัญชี้ขาด เนื่องจากสภาชุดนี้เป็นพรรคเดียวกันทั้งสภา คือพรรคตู่ตั้ง ทำให้เลขาธิการ ครป. หรือคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย ออกมาค้านว่าแบบนั้นเอาเปรียบประชาชน

ในเมื่อแคนดิเดทนายกฯ ของพรรคการเมืองต่างๆ ยังมีอยู่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เอย นายชัยเกษม นิติสิริ เอย แล้วก็ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับนายอนุทิน ชาญวีรกุล อีกล่ะ ล้วนมีสิทธิมาก่อน

ข้อสำคัญ เมธา มาสขาว บอกว่า “ทั้งสี่ท่านมีความสามารถมากกว่า พล.อ.ประยุทธ์”

(https://www.matichonweekly.com/hot-news/article_548744v--Us, https://www.facebook.com/PPTVHD36/posts/7982570771760632 และ https://www.matichon.co.th/politics/news_3315851) 

วันศุกร์, เมษายน 29, 2565

เอ๊ะยังไง ๑๖ พรรคเล็กไปกินข้าวกับพวกเพื่อไทย หลังอดรดน้ำสงกรานต์ 'เฮียป้อม'

เอ๊ะยังไง ผอ.พรรค พปชร.คุยว่าสนิทพวกพรรคเล็ก “นัดเจอกันเป็นเรื่องปกติ...ทางนั้นโทรมาสอบถามว่าว่างหรือไม่ ก็ว่างพอดีจึงไปกินข้าวด้วยกัน ใช้เวลา ๒๐-๓๐ นาที ไม่ได้มีอะไร” แต่หลังจากกินข้าวเสร็จ อะไรมันมีน่ะ จะไปรดน้ำเฮียป้อม ไม่ว่าง

ก็เลย “ต่อมามีรายงานว่านายพิเชษฐ สถิรชวาล ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะหัวหน้ากลุ่ม ๑๖ ได้พบกับแกนนำพรรคเพื่อไทย อาทิ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย” กับรองหัวหน้า ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม

ชวนกันไปกินข้าวที่ร้าน เดอะ คอนเนอร์ ในนิฮอนมาชิ สุขุมวิท ๒๖ โดยมีหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ มนูญ สิวาภิรมย์รัตน์ กับรองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา ดล เหตระกูล ไปจอยน์ด้วย คุยไปคุยมา พิเชษฐถามถึง “ข้อมูลของพรรคฝ่ายค้าน ที่จะเตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลรอบใหม่”

เรื่องกลุ่ม ๑๖ “ขอเข้าพบ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เพื่ออวยพรเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ แต่เมื่อรอประมาณครึ่งชั่วโมง” ทางทีมงาน พล.อ.ประวิตร มาแจ้งว่า “ประวิตรติดอีกคณะหนึ่ง...ไม่สามารถลงมาพบได้”

แต่ สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ผอ.พปชร.ยังตีขลุม “ว่า พล.อ.ประวิตร ไม่ได้นัด แต่พอพรรคเล็กกินข้าวเสร็จก็อยากจะไปหา แต่จังหวะไม่ทันจึงทำให้มีปัญหา เพราะพล.อ.ประวิตร เองก็มีนัดหลายนัด” ปัญหาที่เอ่ยถึงนั่นหนักเบาแค่ไหน ไม่ช้าได้รู้กัน

(https://www.matichon.co.th/politics/news_3315246 และ https://www.facebook.com/Ch3ThailandNews/posts/5087874587915007) 

โหดสัส เอา #ป้าทุบรถ มาเจอ 'อัศวิน' อดีตผู้ว่าฯ เสียงอ่อย "ค่อยๆ แก้"

รายการ ๙ ปีตามหาผู้ว่าฯ เลือกตั้ง ของช่อง ๓ ผู้สมัครได้โชว์บุคคลิกและวิสัยทัศน์กันถ้วนหน้า เว้นแต่หมายเลข ๖ ซึ่งเพิ่งเป็นอดีตฯ หมาดๆ หลังคิดอยู่นานกว่าจะลงสมัครเพราะอยากสานต่อ ออกจะ ซวยหน่อย

เมื่อต้องเจอประเด็นคำถามต่อความล้มเหลวที่ผ่านมา ไม่เพียงคำถามยิงตรง จาก สรยุทธ์ สุทัศน์จินดา หนึ่งในสองผู้ดำเนินรายการ ที่ว่าถ้าชนะเลือกตั้งแล้วจะเดินต่อไปแบบเดิมละหรือ ในเมื่ออ้างว่าทำมา ๕ ปีดีแล้ว อ้อมแอ้มตอบว่าจะค่อยๆ แก้ไข ต้องใช้เวลา

ความซวยของอัศวิน ขวัญเมือง จึงอยู่ที่จะสานต่อผลงานซึ่งโดนด่าเละ แถม กรรชัย กำเนิดพลอย ไปขนเอาผู้ได้รับความเดือดร้อนจากความห่วยแตกของ กทม.มายันต่อสี่ผู้สมัคร เช่น แม่ค้าหาบเร่ รถเข็น ซึ่งถูกไล่ที่ทำกิน จากเจ็ดพันเหลือพันเจ็ด

ผู้สมัครอิสระที่เชื่อกันว่าจะเป็นกำลังให้แก่ ตู่อย่างเคยถ้าได้รับเลือก ต้องเผชิญหน้ากับ ป้าทุบรถ คู่กรณีของ กทม.จากเหตุการณ์เมื่อปี ๖๑ เอาขวานและเสียมฟันและทุบรถที่จอดขวางทางเข้าออกเป็นเวลานานจนเกิดโทสะ

เหตุเกิดเนื่องจากเทศบาลปล่อยให้มีการติดตลาดนัดในย่านอยู่อาศัย ซึ่งเป็นเขตบ้านเดี่ยวไม่ใช่แม้แต่เรือนแถว จึงมีรถจอดขวางทางเข้าออกชาวบ้านเป็นประจำนานนับสิบปี หลังเป็นคดียืดยาวในที่สุดศาลปกครองสั่งให้ยุติการติดตลาดนัด

อัศวินอ้างว่าตนเองเป็นคนสั่งให้ยุติตลาดนัดดังกล่าว แต่ ป้า รัตนฉัตร แสงหยกตระการ ยืนยันว่าจนป่านนี้ผ่านมาหลายปีก็ยังไม่มีการรื้อถอนตลาดออกไปตามศาลสั่ง ซ้ำร้ายมีการอนุญาตให้เปลี่ยนไปสร้างเป็นศูนย์การค้าได้

อดีตผู้ว่าฯ หน้าแตกตรงที่อ้างว่ายังไม่มีการรื้อถอนอาคารตลาดนัดเพราะคดีติดอยู่ในศาล ส่วนการอนุญาตสร้างศูนย์การค้า ตนไม่รู้เห็นด้วย อ้างอีกว่ามีหน่วยงานรัฐเกี่ยวพันเรื่องนี้หลายแห่ง เลยโดนป้าทุบรถสวนว่า ก็ลายเซ็นอนุมัติเป็นของผู้ว่าฯ (คนนี้) นี่

ส่วนผู้สมัครพรรคก้าวไกล โดนคำถามแทงเป้าเหมือนกัน ว่าตกลงการเข้าแข่งนี่มุ่งเปิดประเด็น จุดประกายไอเดียรื้อระบบอันหมักหมมของ กทม.เท่านั้นหรือ วิโรจน์ ลักขณาอดิสร ยังคงวิพากษ์ความห่วยแตกต่างๆ ใน กทม. ไม่หยุดยั้ง

เขาพูดถึงความลักลั่น เลือกปฏิบัติ และมั่วซั่วต่างๆ เช่น กล้องวงจรปิดใน กทม. “คือถ้ารวยขอดูได้ คนทั่วไปขอไม่ได้ หลายครั้งกล้องเสียถ้าคนผิดเป็น จนท.รัฐ กล้องมาจากภาษี ปชช. ต้องให้ความเป็นธรรมทุกคน ไม่ใช่เลือกปฏิบัติ”

เวลาถูกรถชน ต้องตอบคำถามตำรวจว่าทะเบียนรถคันนั้นเลขอะไร “มันใช่เหรอ กทม.ต้องมีกล้องคอยสอดส่อง” สิ “ผมเกือบตาย (ถูกรถเฉี่ยวบนทางม้าลาย) ยังต้องมีหน้าที่มาจำว่าทะเบียนรถที่เฉี่ยวเลขอะไร” อีกหรือ

นั่นละ กระสายบางส่วนของการเลือกตั้งผู้ว่า กทม.ในอีกสองสามอาทิตย์ข้างหน้า เสร็จแล้วดูเหมือน ‘essence’ หรือ เนื้อนาจะอยู่ที่ฐานเสียงของใครของมันระหว่างผู้สมัครตัวเด่นทั้งสี่คน เลยมีคนทำกร๊าฟฟิคแซะและขำขัน สำหรับผู้ที่ไม่ชอบใครเลยพิจารณา

(https://facebook.com/Ch3ThailandNews/videos/325040862898978/)

"ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว แค่ยกเลิก ๑๑๒ มันไม่พอ"

"ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว แค่ยกเลิก ๑๑๒ มันไม่พอ"

จดหมายเขียนโดย ใบปอ ทะลุวังถึงทุกคนที่คอยช่วยเหลือ และติดตามสถานการณ์การจับกุมวันนี้ (28 เม.ย. 2565)

ขอบคุณทุกคนที่มาและคอยช่วยเหลือ แชร์ข่าว และติดตามสถานการณ์ในวันนี้นะคะ

วันนี้เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก เมื่อวานก็เพิ่งไต่สวนถอนประกันเสร็จและรอฟังคำตัดสินอีกวันที่ 3 ว่าจะถอนประกันหรือไม่ วันนี้ก็มาบุกจับถึงหน้าห้องพักเลย

อาทิตย์นี้เราโดน 112 และถูกบุกจับ 2 ครั้งแล้วภายในอาทิตย์เดียวด้วยซ้ำ เขาบอกว่ากลัวเราหนี เลยออกหมายจับ ทั้งที่เราก็ติดกำไล EM อยู่แล้ว

ครั้งที่แล้วก็ถูกบุกค้นห้องทั้งที่ไม่ได้อยู่ห้อง เหตุการณ์หลังจากนี้ก็ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น เขาจะบุกค้นห้องเราอีกไหม หมายจับจะมาเพิ่มอะไรอีก

น้องพลอยก็โดนหมาย 112 และอยู่คนเดียว เราอยากให้ทุกคนช่วยดูแลน้องพลอย และติดตามสถานการณ์ของทะลุวังอย่างใกล้ชิดด้วยนะคะ พวกเราทุกคนสู้และไม่ท้อ

วันนี้มีแต่ความโกรธ โกรธมาก ทุกอย่างมันไม่ยุติธรรม ทุกขั้นตอน ตั้งแต่นิติคอนโดพาตำรวจมาถึงหน้าห้อง จนตำรวจที่ตอนแรกนัดว่าจะไป สน.บางซื่อ ก็พยายามพาเราออกและไปสโมสรตำรวจ เพราะอ้างว่ามวลชนมา สน.เยอะ สอบสวนไม่ได้ ทุกอย่างมันทำเพราะนายมันสั่ง เราถามมันว่าจะไปไหน ก็โทรคุยกับนาย

ตำรวจขี้ข้าเผด็จการพวกเขาไม่ได้ดูแลประชาชน ตำรวจทำร้ายประชาชน

ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราอาจจะโดนฝากขัง และไม่ได้ประกัน ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะยังไง เราจะสู้ ใบปอจะไม่หยุดสู้ พวกมึงจับกูได้ แต่พวกมึงหยุดกูไม่ได้หรอก ต่อให้ไม่มีกู คนอื่นก็จะออกมาสู้กับมึงอยู่ดี

ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว แค่ยกเลิก 112 มันไม่พอสำหรับประเทศไทย ถึงเวลาที่ประชาชนจะต้องออกมาใช้อำนาจของเจ้าของประเทศที่แท้จริง

https://www.facebook.com/Prachatai/photos/a.376656526698/10158995853766699/

จดหมายเขียนถึงประชาชนโดย 'เมนู' และ 'บุ้ง' สองนักกิจกรรมจากกลุ่มทะลุวัง ซึ่งนักกิจกรรม ได้แก่ ใบปอ บุ้ง และเมนู สามนักกิจกรรมของกลุ่ม ต้องค้างคืนที่ สน.บางซื่อ 1 คืน และจะมีการรับทราบข้อกล่าวหาและสอบคำให้การในวันรุ่งขึ้น (29 เม.ย.) เวลา 9.00 น. และตำรวจจะพาตัวไปฝากขังต่อไปที่ศาลอาญา


ข้อความจากจดหมายของ
'เมนู' สุพิชฌาย์ มีดังนี้

ขอบคุณมวลชนทุกคนในวันนั้นมากๆ ค่ะ เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้เราตระหนักได้ว่าอาวุธเดียวที่ประชาชนอย่างเรามีคือเสียง เราตะโกน เราด่า เราตวาดเพราะนั่นคืออย่างเดียวที่เราทำได้เพื่อไม่ยอมจำนนต่อการกลั่นแกล้งของเผด็จการเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เราสามารถยืนหยัดต่อสู้ต่อไปได้

น้ำตาคือเครื่องหมายของความเข้มแข็ง เป็นเครื่องมือเยียวยาจิตใจให้กลับมาสู้ต่อเป็นสัญลักษณ์ของความเจ็บปวดตลอดการต่อสู่ และเป็นเครื่องหมายยืนยันว่ารัฐกลั่นแกล้งกดขี่ประชาชน

ดีใจจังเลยค่ะที่ทุกคนไม่ลืมกันและคอยช่วยเหลือในวันนี้ ขอบคุณมากๆ ค่ะ

จดหมายเขียนโดย 'บุ้ง' เนติพร

ขอบคุณทุกคนจริงๆ ที่อยู่เคียงข้าง บุ้ง ใบปอ เมนู มันสำคัญกับเรามากจริงๆ ค่ะ

ถ้าพรุ่งนี้เราไม่ได้ประกันตัว เราฝากทุกคนดูแลพลอยแทนเราด้วยนะคะ พลอยคือทุกอย่างของเรา เรารักน้องเหมือนลูกเราเลย

วันนี้ตำรวจทำกับเราเจ็บแวบมาก บุกจับ ใช้อำนาจรับใช้เผด็จการอย่างเชื่องๆ ยิ่งกว่าสัตว์นรก

พยายามจะค้นห้อง ค้นมือถือ ค้นทุกอย่าง ทั้งๆ ที่ไม่มีหมาย เราจะไม่ยอมทนกับความอยุติธรรมส้นตีนอะไรทั้งนั้น ฝากทุกคนติดตาม ทะลุวังด้วยนะคะ

https://www.facebook.com/Prachatai/posts/10158995922121699

ขอบคุณ ประชาไท Prachatai.com อ่านข่าวการจับกุมสมาชิกทะลุวัง 'เมนู-ใบปอ-บุ้ง' ที่นี่ https://prachatai.com/journal/2022/04/98360

วันพฤหัสบดี, เมษายน 28, 2565

‘Think Tank’ ของจีนเคลม ไทยอยู่ใต้อิทธิพลจีนเป็นอันดับ ๓ ของโลก

จริงไหม “ไทยอยู่อันดับ ๓ ของประเทศที่ได้รับอิทธิพลจาก จีนมากที่สุดในโลก” ตามที่ ‘Think Tank’ ของจีนเคลม

‘Doublethink Lab’ เผยแพร่เป็นครั้งแรก “การจัดอันดับ China Index ซึ่งประเมินอิทธิพลของรัฐบาลจีนที่มีต่อประเทศต่างๆ” ๓๖ แห่งทั่วโลก โดยแยกประเภทต่างๆ ๙ หัวข้อ เช่น เศรษฐกิจ สังคม การทหาร และการบังคับใช้กฎหมาย

ไทยเป็น ๑ ใน ๓ อันดับแรกที่อยู่ภายใต้อิทธิพลจีนมากกว่าใครๆ ในเรื่องการทหาร เนื่องจากการซื้ออาวุธจากจีนเป็นมูลค่ากว่า ๑ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นับแต่คณะตู่ทำการรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลเลือกตั้ง เมื่อปี ๕๗ เป็นต้นมา

อีกกรณี “นอกจากตำรวจไทยจะทำงานใกล้ชิดกับตำรวจจีนแล้ว รัฐบาลไทยยังทำตามคำสั่งจีน ในการห้ามไม่ให้ โจชัว หว่อง (Joshua Wong) นักเคลื่อนไหวชาวฮ่องกง เข้าประเทศเมื่อปี ๒๕๕๙” แล้วยัง “ส่งนักเคลื่อนไหวชาวไต้หวัน ๒๕ คนให้จีนดำเนินคดีอีกด้วย เมื่อปี ๒๕๖๐”

ยังไม่หมด อีกเรื่องที่ทำให้คลังสมองจีนดูแคลนไทย ก็คือ “สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยก็มีการจัดอบรมให้กับสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย” ในการอบรมนี้มีประเด็นหนึ่งซึ่งยกตัวอย่างให้ วัวกลัว'

“หัวข้อว่า เคยมีนักข่าวไทยที่ถูกจีนห้ามเข้าประเทศหรือไม่ ก็พบว่ามีหนึ่งราย คือ สงวน คุ้มรุ่งโรจน์ นักข่าวอาวุโส ซึ่งเคยถูกจีนห้ามไม่ให้เข้าประเทศนานหลายปี”

ดูสามลำดับแรกประเทศที่หงอจีน กัมพูชา สิงคโปร์ และไทย ขณะที่ฟิลิปปินส์ มาเลเซียและไต้หวัน ตกไปอยู่ท้ายๆ เกือบสิบ (๖, ๘ และ ๙ ตามลำดับ) กลับทึ่ง ที่ไทยไปช่วงชิงอันดับต้นๆ การ ‘kowtow’ จีน มาจากประเทศเหล่านั้น

จะเป็นเพราะมีเจ้าไทยใกล้ชิดกับจีนหรือเปล่า ไม่น่าจะใช่ แม้นว่ากรมสมเด็จพระเทพฯ เสด็จจีนหลายครั้งก่อนเกิดรัฐประหาร แต่นั้นเป็นการผสานวัฒนธรรม หลังจากนั้นมีกลุ่มนายทหารไปเยือนจีนหลายครั้ง จนออกผลเป็น ดีลยุทโธปกรณ์หลายอย่าง

เรือดำน้ำ รถถัง รถไฟความเร็วสูง และข้อแม้ขอแลก หมูไปไก่มาซึ่งดูคล้าย สิทธิสภาพนอกอาณาเขตเสร็จแล้วรถไฟเร็วสูงลดเหลือปานกลาง และเงินค่าจ้างก่อสร้างให้กู้จากจีนเสียอีก เคราะห์ดี คสช.รับไม่ได้ การวางรางนำร่องแค่สีห้ากิโลยังไม่เสร็จ

แล้วอย่างนี้จะมาอ้างสุ่มสี่สุ่มห้า ว่าไทยเป็นลิ่วล้อจีนอันดับต้นๆ ได้หรือ ก็เนอะเหมือนเมื่อก่อนรู้กัน อะไร ‘Made in China’ ประเภทคุณภาพหดตามส่วนลด หรือ คิกแบ็คจึงเป็นมาตรฐานกลาง เหมือนอย่างเครื่องยนต์เรือดำน้ำหมดสิทธ์ได้ของเยอรมัน

(https://www.facebook.com/themomentumco/posts/2951005445191140 และ https://china-index.io/country/Thailand) 

อธิการบดีศิลปากรนี่เค้าเซี้ยวๆ นะ แต่ก็โดนด่าเพราะ “ชอบแชร์ความหื่น”


นี่สิถึงจะแสบ เมื่อ Pavin Chachavalpongpun แซะอธิการบดีศิลปากร ส่งรูปตัวเขาที่ว่าเมื่อตอนเป็นแอร์ ไปให้ชม เนื่องเพราะนายชัยชาญ ถาวรเวช ชอบถ่ายภาพพนักงานต้อนรับสาวๆ บนเครื่องบินเอาไปโพสต์

Silpakorn Insight ว่าถึงเรื่องนั้นว่า “งามหน้าไหม กับผู้หลักผู้ใหญ่ระดับอธิการบดีศิลปากร ทำแบบนี้ขณะไปราชการ ขนาดอดีตรัฐมนตรีทักแล้วก็ยังไหลต่อ แค่แอบถ่ายก็ละเมิดเค้าแล้วยังชอบแชร์ความหื่นให้คนในปกครองดูอีก”

ซ้ำนำลงโพสต์ของ สาระการบินน่ารู้ที่ว่าการแอบถ่ายภาพพนักงานสาวๆ บนเครื่องบินขณะปฏิบัติหน้าที่ “พร้อมเขียนคำบรรยายที่ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร” ผิดทั้งกฎหมายและจริยธรรม

หวังว่าการเสนอตั้งอธิการบดี ม.เชียงใหม่ คนที่ “ไม่ผ่านการหยั่งเสียงจากมหาชนชาว ม.ช. และไม่แสดงวิสัยทัศน์เหมือนท่านอื่นๆ” ดัง อจ. Somrit Luechai เม้นต์ไว้เมื่อเกิดเหตุอาทิตย์ที่แล้ว (๒๓ เมษา)

“ในฐานะศิษย์เก่าขอตั้งคำถามว่า ม.ช.เป็นสถาบันการศึกษาที่ใช้ภาษีจากประชาชน ม.ช.ไม่ใช่ของสภามหาวิทยาลัย และม.ช.ไม่ใช่ของคณะแพทยศาสตร์ แล้วเหตุใดจึงไม่ฟังเสียงจากประชาคม ม.ช.” ละก็

จะไม่เกิดเรื่องเซี้ยวๆ ที่วังท่าพระบ้าง โดยไม่จำเป็นต้องซี้ดซ้าดเหมือนกัน

ทำซ้ำถ้อยคำ “กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจนะ” ผิด ม.๑๑๒ เจอคุก ๖ ปี นี่คือการทำให้ในหลวง "เป็นประหนึ่ง ‘Specter’ หรืออสุรกาย ประเภทภูติผีปีศาจไปซะแล้ว"

ศาลอาญาพิพากษาคุก ๖ ปี สมบัติ ทองย้อย อดีตการ์ดเสื้อแดง มีความผิดตาม ป.อาญา ม.๑๑๒ จาก ๓ ข้อความที่เขาโพสต์ทางเฟชบุ๊คเมื่อปลายปี ๖๓ ทนายยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นอุทธรณ์ โดยวางหลักทรัพย์ ๓ แสนบาท

หากดูจากข้อความที่ถูกพิพากษาว่าเป็นการล้อเลียน ดูหมิ่นกษัตริย์แล้ว การตัดสินของศาลในคดีอย่างนี้ก็ยังคงพิลึกพิลั่นไม่คลาย

ข้อแรกเกี่ยวกับการนำข้อความ “กล้ามาก เก่งมาก ขอบใจนะ” ซึ่งกษัตริย์วชิราลงกรณ์ทรงแสดงความชมชอบต่อพสกนิกรที่เทิดทูนสถาบันฯ คนหนึ่ง มาทำซ้ำในเรื่องนักศึกษาไม่เข้ารับปริญญา “จึงถือเป็นการล้อเลียน”

นั้น ถ้าหากศาลคิดว่าการนำไปใช้กับการไม่เข้ารับปริญญาของนักศึกษาผิดกฎหมาย แล้วตัดสินว่าถ้อยความที่ทำซ้ำดังกล่าวขัดต่อมาตรา ๖ ของรัฐธรรมนูญ ละก็ ต้นแบบที่ผู้ต้องหาคัดลอกมาทำซ้ำ ย่อมเข้าข่ายไม่ดีไปด้วย ในเมื่อการโพสต์ของผู้ต้องหาต้องการแสดงความชื่นชมเหมือนกัน

ข้อสอง ในข้อความที่โพสต์อีกเรื่อง “เขาให้ลดงบประมาณที่เอาไปใช้จ่าย ไม่ใช่ลดตัวลงมาใกล้ชิดประชาชน เข้าใจอะไรผิดไหม” ศาลว่าการใช้คำ ลดตัวไม่ได้ตั้งใจใช้กับนายกรัฐมนตรีตามที่ผู้ต้องหาอ้าง ซ้ำเอาพจนานุกรมมาเป็นหลักฐาน

“ตามพจนานุกรม หมายถึงถ่อมตัว ไว้ตัว” หากผู้ต้องหาจะหมายถึงรัชกาลที่ ๑๐ ก็ไม่เห็นจะเป็นการหมิ่นประมาท ทำให้พระองค์เสียหายตรงไหน กลับเป็นข้อดีเสียอีกที่ยกย่องพระองค์ว่าทรง ถ่อมตน

สุดท้าย กรณีโพสต์ว่า มีแจกลายเซ็นต์ด้วย เซเลปชัด ๆจำเลยต่อสู้ว่า “ไม่ได้โพสต์ถึงใคร รวมถึงจำไม่ได้แล้วว่ากล่าวถึงใคร” ศาลบอกนั่น “ถือว่าเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ฟังไม่ขึ้น” แล้วจะเป็นการหมิ่นประมาทกษัตริย์ได้อย่างไร

ในเมื่อในความรู้สึกนึกคิดของประชากรไทยส่วนใหญ่หรือทั้งหมด การที่มีเซเล็บแจกลายเซ็นต์ ก็เป็นเรื่องน่าชื่นชมอีกน่ะแหละ ทั้งหมดนี่จึงเท่ากับศาลได้บอกว่า จะเอ่ยถึงหรืออ้างอิงอะไรกับกษัตริย์ขัด ม.๑๑๒ แม่งหมด แตะแต้มอะไรไม่ได้เลย

นี่ศาลได้ทำให้พระเจ้าอยู่หัว เป็นประหนึ่ง ‘Specter’ หรืออสุรกาย ประเภทภูติผีปีศาจไปซะแล้ว

(https://www.facebook.com/Noppakow.kong/posts/1285467455195014) 

วันพุธ, เมษายน 27, 2565

ทะลุวัง เดินหน้าท่าเดียวไม่ยั้ง ยื่นหนังสือ ๓ แห่ง "เรื่องการใช้อำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ผ่านระบบตุลาการ"

ติ่งไหนใครจะเถียงกันอย่างไร น้องๆ พวกนี้เดินหน้าท่าเดียวไม่ยั้ง วานนี้ 26 เมษายน พ.ศ.2565 ทะลุวัง - ThaluWang@ThaluWang_

ทะลุวังยื่นหนังสือ เรื่องการใช้อำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ผ่านระบบตุลาการ ในกรณีของนักเคลื่อนไหวทางการเมือง พร้อมรายชื่อผู้พิพากษาที่มีคำสั่งถอนประกันรวมถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนในกระบวนการยุติธรรม #ทะลุวัง #ThaluWang

ทะลุวังเข้าพบสถานทูตอเมริกา ในเวลา 10.30 น. และชวนเข้าร่วมสังเกตุการณ์นัดไต่สวนถอนประกันในวันถัดไป โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องจากสน.ลุมพินีจำนวนมากเข้ามาถ่ายรูปและถ่ายคลิปวีดิโอ

เวลา 12.00 น. ทะลุวังเข้าพบเจ้าหน้าที่จากสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชน (OHCHR) และเจ้าหน้าที่จากกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์การละเมิดสิทธิ มนุษยชนในกระบวนการยุติธรรมและการคุกคามเยาวชน 

ถัดมาในเวลา 15.00 น. ทะลุวังเข้าพบสถานทูตเยอรมันเพื่อยื่นหนังสือและเข้าร่วมพูดคุยกับทางสถานทูตเยอรมัน 

https://twitter.com/ThaluWang_/status/1518938749756796929 

Atukkit Sawangsuk สรุปให้ “คดีแตงโมนั้น...ยกฟ้องหมดละครับ อย่างมากก็ติดปลายนวมรอลงอาญา”


Atukkit Sawangsuk
สรุปให้ “คดีแตงโมนั้น ตำรวจใช้กลเม็ดทางกฎหมาย เอาตัวรอดคือตั้งข้อหาก๊วนสปีดโบ๊ทให้ครบทุกคน เพื่อสนองอารมณ์สังคมดราม่า

โดยสาระแห่งคดี ไม่เปลี่ยนเลยนะครับ เป็นคดีประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ไม่มีใครฆ่า ไม่มีใครผลัก นิติวิทยาศาสตร์ชี้แผลเกิดจากใบพัด ฯลฯ โดย ปอ เจ้าของเรือ กับ โรเบิร์ต คนขับเรือ ต้องข้อหาร่วมกัน (โรเบิร์ตขอขับทั้งที่ไม่ชำนาญแล้วปอให้ขับ จึงผิดด้วย แต่โทษอาจเบากว่า)

เมื่อสาระสำคัญคือขับเรือประมาททำให้แตงโมพลัดตก คนอื่นๆ อีก 4 คน ก็ไม่น่าจะมีความผิดอะไร

แต่เพราะสังคมดราม่าขัดหูไม่พอใจคำพูดคำให้สัมภาษณ์ ตำรวจก็เลยต้องตั้งข้อหาประหลาดๆ เช่น แซนประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย (มัวแต่เล่นมือถือไม่ดูเพื่อน) ใครเป็นทนายให้แซนก็หัวเราะก๊าก

กระติก ข้อหาทำลายพยานหลักฐาน = ลบรูปในมือถือตัวเอง อันนี้ทนายกระติกหัวร่อกลิ้งเหมือนกัน มือถือของเขา ตำรวจไม่ได้ยึดอายัดเป็นหลักฐาน ลบของส่วนตัว ผิดได้ไง แล้วเป็นรูปหลักฐานสำคัญอะไร รูปฆ่ารูปผลักเหรอ ก็บอกอยู่ว่าขับเรือประมาท มันเป็นภาพที่จะไปเปลี่ยนสาระสำคัญของคดีไหม

คดีหลักคือขับเรือประมาททำให้แตงโมตกน้ำ ซึ่งปอกับโรเบิร์ตรับสารภาพอยู่แล้ว คนอื่นจะไปช่วยปกปิดทำลายพยานหลักฐานแจ้งความเท็จเพื่อ? ไม่ได้มีเหตุผลเลย

ยกฟ้องหมดละครับ อย่างมากก็ติดปลายนวมรอลงอาญา ยกเว้นปอกับโรเบิร์ต แต่ตามมาตรฐาน ยี่ต๊อก อย่างสูงก็โดนเหมือนตำรวจขับรถชนหมอตาย ทนายแค่พยายามยื้อเวลา ขอเลื่อนนัด ให้กระแสสังคมมันซาๆ เพราะถ้าพิพากษาเร็ว กระแสก็จะตามไปกดดันอีก”

https://www.facebook.com/baitongpost/posts/5140901409324980 

ต่อกรณีที่ อานนท์ นำภา 'ฟิวส์ขาด' เรื่องสองพรรค "ฝั่งอะไรสักอย่าง" ไม่ค่อยแยแสปัญหา ๑๑๒


ต่อกรณีที่ อานนท์ นำภา (ฉายา) ทนาย ม.๑๑๒ “ฟิวส์ขาดเมื่อคืน ออกมาแสดงความไม่มั่นใจทั้งสองพรรคเรื่องปฎิรูปสถาบันฯ ทำนองอกหัก” จากคำของ Pravit Rojanaphruk ที่ว่า “เถียงกันดุเดือดใหญ่โต”

อานนท์เพิ่มเติมบนสเตตัสด้วยว่า “เผื่อจะความจำสั้น แลนด์สไลด์ จะเกิดขึ้นได้ก็เหมือนตอนที่คนรุ่นใหม่เสนอยกเลิก 112 แล้วพรรคเพื่อไทยประกาศขานรับนั้นแหละ

ที่เขียนมาหลายสเตตัส คืออยากจะบอกว่า อย่าไปคิดว่าคนรุ่นใหม่จะเป็นของตายของพรรคไหน ถ้าพรรคเพื่อไทยเอาด้วยกับการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ เขาก็พร้อมจะเลือก ส่วนพรรคจะพอใจที่จะฟังแต่พวกกองเชียร์แบบหลับหูหลับตาเชียร์อย่างเดียวอันนั้นก็สุดแล้วแต่

ตอนนั้นผมอยู่ในคุกได้ข่าวว่าเพื่อไทยขานรับข้อเสนอยกเลิก 112 ผมยังขนลุกเลย”

อย่างไรก็ดีถ้อยแถลงของ ชัยเกษม นิติสิริ ประธานยุทธศาสตร์ขณะนั้น (๓๑ ตุลา ๖๔) กลายเป็นอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วก็หายไปกับสายลม

ด้าน อุเชนทร์ เชียงเสน มีความเห็นเรื่องนี้ว่า “เอาเจ้าจริง คนเชียร์เพื่อไทยเขาไม่ได้คาดหวังพรรคเรื่องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์อยู่แล้ว ดังนั้นใครวิจารณ์เรื่องนี้ เขาก็ย่อมดีเฟนด์ได้ว่า ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

อย่าว่าแต่เรื่องนี้เลยครับ เรื่องปฏิรูปกองทัพ ที่ดูพื้นฐาน ชัดเจน ไม่ได้ เสี่ยง อะไรนั้น ยังไม่มั่นใจว่าจะคาดหวังหรือผลักดันให้เป็นนโยบายเพื่อไทยได้หรือไม่

หลังจากได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง 54 ซึ่งเลือดและน้ำตาเสื้อแดงยังไม่แห้งเลย ก็ไม่มีใครหรือพรรคการเมืองไหนจริงจังหรือทำอะไรกองทัพ ทั้งในแง่ตัวบุคคลและตัวสถาบัน ซึ่งทำให้แผลงฤทธิ์อีกครั้งในอีก 3 ปีต่อมา”

ประวิตรเองก็บอกว่า “ถ้าเพื่อไทยอยากชูธงปฎิรูปสถาบันฯ เขาคงทำไปนานแล้ว ช่วงยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ ก็ไม่ได้ทำ ปฎิรูปทหารก็ไม่ได้ทำ หรือทำไม่ได้ จนเกิดรัฐประหาร

ส่วนการพยายามแก้มาตรา 112 ที่นำโดยหลายคนรวมทั้ง อ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ก็ถูกรัฐสภาตอนนั้นปฎิเสธ ตอนนี้แกก็ไปอยู่ฝั่งส้ม

ผมคิดว่าเพื่อไทยเขาคำณวนแล้วว่าสู้ไปกราบไปก่อนดีกว่า ฐานเสียงเพื่อไทยอีกเยอะไม่ได้สนเรื่อง 112 หรือปฎิรูปสถาบันฯ แต่เลือกเพื่อไทยเพราะนโยบายปากท้อง แบรนด์ทักษิณ...

ส่วนพรรคส้มนั้น ไม่รู้จะถูกยุบก่อนได้เป็นรัฐบาลหรือไม่ แม้ สส.บางคนอย่างโรมจะชัดเจนน่าชื่นชม แต่ก็มีรูปสมาชิกสำคัญๆ ก็ประกอบพิธีกรรมอวยเจ้าเป็นระยะๆ แถมบางคนสงสัยหัวหน้าพรรคก้าวไกลจุดยืนเรื่องเจ้าเป็นอย่างไรเมื่อ 10-15 ปีก่อน”

ถึงอย่างนั้นข้อที่อุเชนทร์เปรยไว้ก่อนหน้านี้ ก็สะดุดตา น่าสนใจ เขาว่า “กองเชียร์เพือไทยมั่นใจกันมากว่าจะแลนด์สไลด์...ได้ 200 นี่ก็ถือว่าสุดยอดมากแล้ว...ส่วนก้าวไกลนี่ ด้วยระบบการคิดที่นั่งที่เปลี่ยนไป ได้ 50 ก็เก่งมากละ”

แต่ “ถ้าเพื่อไทย 200 ก้าวไกล 50 ก็เพียงพอจะจัดตั้งรัฐบาลได้ละ...นี่ไม่ใช่อยากให้ก้าวไกล พ่วงเป็นรัฐบาลกับเพื่อไทยนะ...เห็นว่าที่ผ่านมาเขาแสดงเสมือนเป็นมิตร เป็นฝั่งอะไรสักอย่างด้วยกัน”

แต่ของแต่ จะเป็นไปได้แค่ไหน ถ้าพี่ใหญ่ยะโส

(https://www.facebook.com/c.cheangsan/posts/3140411549534933, https://www.facebook.com/pravit.rojanaphruk.5/posts/3345024845725343 และ https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=7364220113619321&id=100000942179021) 

ไล้ฟ์แล้ว สศจ.ตอบปวิน “เบื่อเต็มที...ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง เรียกว่าเซ็ง...เลิกเสียที”

เรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่ก็เป็นเรื่อง สศจ. หรือ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการประวัติศาสตร์ซึ่งลี้ภัยอยู่ในฝรั่งเศส ออกเฟชบุ๊คไล้ฟ์ สั้นๆ กรณีที่ ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ยืนกรานว่าข้อเขียนระยะหลังๆ ของเขา (น่าจะ) ไม่ได้เขียนเอง

“เบื่อเต็มที เรื่องมันไปไกลเสียจนคนเขาเชื่อกัน รับว่าคนที่เคยเป็นสโตร๊กเวลาจะพูดจามันช้า แต่ในแง่ของการคิดมันยังเหมือนเดิมทุกอย่าง เรียกว่าเซ็ง ขอให้ดูที่ข้อเขียน ขออย่าทำเรื่องไม่เป็นเรื่องให้เป็นเรื่อง ที่ว่าตายแล้ว ลูกน้องเขียนอะไรงี้ มันแย่ เลิกเสียที”

https://www.facebook.com/somsakjeam/videos/694947821838745

นั่นเป็นสรุปจากการพูดเพียง “ขอแค่นี้” ของเขา ส่วนต้นสายปลายเหตุ ดูจากโพสต์ก่อนหน้าของ นักวิชาการมหาวิทยาลัยเกียวโต สถานะผู้ลี้ภัย คดี ม.๑๑๒ เหมือนกัน Pavin Chachavalpongpun เขียนไว้ว่า

ทฤษฎีสมคบคิดห่าอะไรมิทราบ ดิชั้นแค่ตั้งคำถามว่า สิ่งที่ สศจ. เขียนหรือ express ทุกวันนี้ มันต่างไปจาก สศจ. เมื่อวันก่อนมาก

ความต่างมี 2 เรื่อง คือเรื่องสไตล์การเขียนและเรื่องความเข้มข้นของการวิเคราะห์ อันที่บอกว่าสไตล์มันต่างไปก็คือ สศจ. แบบใหม่มันจิกกัดเกินความเป็น สศจ. เหมือนมีร่างทรงกะเทย เผลอๆ ตัดชื่อออกคนอาจจะคิดว่าเป็นกระทู้ของดิชั้นก็ว่าได้

แล้วหลังๆ สศจ.จะไปคอมเม้นท์ตามที่ต่างๆ ไม่ได้ไปโต้ตอบแบบที่เคยโต้ตอบ คือเอาหลักวิชาการโต้ตอบ แต่ตามไปจิกกัดสิ่งที่ตัวเองเห็นและไม่พอใจ ในเรื่องของความเข้มข้นของการวิเคราะห์ กรณีรัสเซีย-ยูเครนชี้ให้เห็นว่าบ้งแค่ไหน

ทั้งหมดทั้งมวล ในฐานะคนที่ตาม สศจ. มานาน และได้พบส่วนตัวในหลายโอกาส บอกเลยว่าดิชั้นเคลือบแคลงใจมากว่าทำไม สศจ. ถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ มันผิดหรอที่คิดว่าคนที่เขียนอยู่ไม่ใช่ สศจ.

พวกอ้างว่าเพราะ สศจ. ป่วย บลา บลา บลา ค่ะ พ่อดิชั้นเป็น stroke นานถึง 10 ปี ก่อนจะเสียชีวิต แรกๆ ป่วยและพอจะ recover ในช่วง recover เท่าที่จำได้ มันไม่ได้ทำให้บุคลิกเดิมเค้าเปลี่ยนมากเท่าไหร่ ยกเว้นช่วงที่ป่วยมากขึ้น อันนั้นไม่ต้องถามว่าสามารถทำกิจกรรมอะไรได้ไหม คิดว่าถ้าสมัยนั้นมีโซเชี่ยลมีเดีย ป่วยแบบนั้นคงเล่น FB ไม่ได้แน่ๆ

ส่วนเรื่องของ สศจ. นั้น คำถามคือ ป่วยมาหลายปี แต่ทำไมเพิ่งมามีพฤติกรรมแปลกๆ ในช่วงนี้เท่านั้น

เรื่องที่บอกว่า ถ้าไม่ชอบสิ่งที่เขียนก็ให้โต้ตอบแบบมีเหตุผล ดีกว่าไปบอกว่ามีใครเขียนแทนให้ โถ ไม่ได้ตามสิ่งที่ดิชั้นเข้าไปโต้ตอบเรื่องยูเครนหรอคะ โต้ตอบกี่ครั้ง คำตอบที่ได้มาคือบ้งทุกครั้ง จนไม่แน่ใจว่า นี่คือ สศจ. จริงหรือไม่ แล้วพวกที่บอกว่าดิชั้นมีหลักฐานไหมว่านี่คือ สศจ. ตัวปลอม ขอถามกลับว่า แล้วพวกมึงมีหลักฐานไหมว่านี่คือ สศจ.ตัวจริง

ขอจบตรงนี้ด้วยการพูดว่า ความศรัทธาที่ดิชั้นมีให้ สศจ. ยังอยู่นะคะ เพราะไม่อยากให้มันสูญหายไป สศจ. มีคุณูปการต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยมาก และหนังสือรัชกาลที่ 8 ของดิชั้นก็ได้ สศจ. ช่วยกรองให้ แต่มันผิดหรอคะที่จะสงสัยในความเปลี่ยนแปลงของ สศจ. หรือว่าอีพวกลิ่วล้อกำลังทำให้ สศจ. inviolable เหมือนเจ้า ที่พอตั้งข้อสงสัยแล้วต้องแว้งกัด และ write off ว่าเป็นทฤษฎีสมคบคิดเท่านั้น อี kwai

https://www.facebook.com/pavinchachavalpongpun/posts/4555455034556224 

วันอังคาร, เมษายน 26, 2565

ตู่ ไปจ้อที่หาดใหญ่ ปนเป เปรอะเลอะ มิน่า “ยาย ป้า อาอี๊ แห่ไปต้อนรับกันตรึม”

ใครเพิ่งดูวิดีโอสารคดีของ อัลจาซีรา สัมภาษณ์ ปวีณ นายตำรวจลี้ภัย จบแล้วลองตามไปดู ปายู้ด บ้างมั้ย วานนี้ไปหาดใหญ่ เดินตลาดกิมหยง โหย ยาย ป้า อาอี๊ แห่ไปต้อนรับกันตรึม น่าจะเพราะเค้าชอบวิธีการพูดแบบบ๊องๆ ของลุงตูบ

“เด็กรุ่นใหม่เขาจะคิดไปอีกแบบ คิดแบบคอมพิวเตอร์ คิดเร็ว ปั๊บๆ ออกละ แล้วมันทำไม่ได้หรอก” Off Chainon บันทึก “มันต้องทำให้ได้ดิ มันต้องเอาทั้งของเก่าของใหม่มาผสมผสานกัน...ครอบครัวสำคัญที่สุด พ่อ แม่ ปู่ย่า ตายาย...

เลี้ยงมาแทบตาย แล้วมาทิ้งเราเนี่ย ได้ไหม” นี่ไงทำให้อาอี๊อาซ้อชอบ “คนต่างประเทศอีกหน่อยมันจะมาอยู่ประเทศไทยหมดนั่นแหละ มันอยากอยู่ประเทศไทย” ตู่ว่าเพราะมีพหุวัฒนธรรม ความเป็นอัตลักษณ์ เฮ้ เมียเป็นครูแท้ๆ ไม่สอน

เอา พหุ มาเข้ากับ อัตตะได้ที่ไหน คนละขั้ว ยังไม่พอ “อาหารก็อร่อย คนก็ใจดี ใช่ไหม อากาศก็สบายๆ” บ้านคุณใน รอ.สิ ที่อื่นร้อนตายห่ “ลองไปอยู่ต่างประเทศสิ ตายไหมตอนนี้” โน กำลังใบไม้ผลิ ถึงไม่เคยอยู่ก็สบาย สบาย

เรื่องภาษี “กี่เท่าของเราล่ะ” ค่าเงินสูงกว่าเท่าไรก็เท่านั้นละ “เปิดแอร์” ไม่ค่อยต้องเปิด “ฮี้ทเตอร์” เปิดปีละสามเดือนอย่างเก่ง ค่าแก๊ส ค่าไฟเพิ่มหน่อย จิ๊บจ้อย แต่แผ่นดินผืนนี้ไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์อย่างว่าหลอกนะตูบ ถ้านับวันชาวบ้านหมดโอกาสเป็นเจ้าของ


ไหนจะ
ทรัพย์สินฯครอบครอง เจ้าสัว จับจอง ชาวไร่ชาวนาต้องเช่าทำกิน หากเกิดที่นี่แล้วไปตายที่ไม่ร้อน ก็คงจะดีนะ มิน่า เห็นคนไปตอบเพจ ๕-๖ หน้า ไม่เห็นเขียนอะไร ได้แต่พิมพ์ตัว ต่อหางการเต็มพรืด

(https://www.facebook.com/100044215610307/posts/611624830321365/)