วันพุธ, เมษายน 30, 2568

การเดินเครื่องของรัฐบาลแพทองธารเวลานี้ไม่เต็มร้อย เพราะความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล ถ้าหาจุดลงตัวไม่ได้ในความแตกร้าว ก็ต้องไปถึงความจำเป็น ‘ยุบสภาฯ’

เสียงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลแพทองธาร เห็นท่าจะไปไม่รอด หรือถ้าสามารถประคองไปได้ถึงปี ๗๐ ก็คงไปต่อได้ยาก เพราะนอกจากพรรคหลักของฝ่ายค้าน สะสมคะแนนแบบเก็บเบี้ยใส่ใต้ถุนร้าน มาได้เป็นกอบเป็นกำดีอยู่แล้ว 

พรรคคู่แข่งภายในรัฐบาลเอง ก็เดินการเมืองแยบยลเสียจน แทนที่จะถูกเขี่ยไปเป็นฝ่ายค้าน กลับจะเป็นตัวยงในการร่วมรัฐบาลใหม่ โดยไม่มีพรรคเพื่อไทยก็ได้ ดังคำวิจารณ์แบบทายทักของสื่อสายหลักรายหนึ่ง ถึง “ความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล

แม้หน้าฉากบุคคลสำคัญในรัฐบาลออกมาสร้างซีนสมานฉันท์ กลมเกลียว แต่หลังฉากยังมีความไม่ลงรอยให้เห็น” บทความ ประชาชาติ หักดิบว่าปัญหาพรรคร่วมแตกความสามัคคี ทำให้พรรคประชาชนเตรียมตัวเลือกตั้งใหม่กันแล้ว

“ซ้ำยังมีปัญหาภาวะเศรษฐกิจที่แก้ไม่ตก” เมื่อค่ำวานนี้เอง ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค ปชน.เอาข่วการจัด rating ของบรรษัทจัดอันดับเครดิตชื่อดังของโลก Moody’s ปรับแนวโน้มเรตติ้งไทยจาก Stable เป็น Negative ยังคงอันดับเรตติ้งที่ Baa1

คุณไหมชี้ว่า “การขึ้นภาษีของสหรัฐ ที่จะซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำอยู่แล้วให้แย่ลงอีก เนื่องจากไทยพึ่งพาตลาดสหรัฐค่อนข้างสูง และความเสี่ยงจะยิ่งทำให้ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจต่ำลง...คาดการณ์อยู่ที่ ๒ %

เธอว่านี่เป็น “wake up call” ที่รัฐบาลต้องจริงจังกับการรับมือสถานการณ์ “ตกต่ำจากสงครามการค้า ถ้าไม่อยากให้ฐานะทางการคลังแย่ลง อย่าเพิ่งแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต เก็บกระสุนไว้ยิงเมื่อยามจำเป็น ลดการกู้เงินได้ ลดหนี้สาธารณะได้อีกนะคะ”

และที่เป็นสัญญานว่าการเดินเครื่องของรัฐบาลเวลานี้ไม่เต็มร้อย ก็ ส.ส.เสื้อแดงในพรรคเพื่อไทยรายหนึ่ง ที่ไม่ใช่พวกหลับหูหลับตาแบก ชินวัตร สถานเดียว เริ่มพูดถึงสถานการณ์ทางการเมืองอย่างมีสติสัมปชัญญะ บ้างแล้ว

ก่อแก้ว พิกุลทอง ให้สัมภาษณ์ เนชั่นสุดสัปดาห์ตอนหนึ่งว่า “พรรคร่วมฯ ต้องสนับสนุน” นโยบายหลักของรัฐบาล “หรือพรรคเพื่อไทย” ถ้าไม่สนับสนุนก็เป็นความแตกร้าว ดังนั้น “สองพรรคหลักของรัฐบาล ต้องคุยกันให้รู้เรื่องทุกอย่าง”

เพื่อการขับเคลื่อนไปข้างหน้า “ถ้าสิ่งไหนไม่เห็นด้วย ก็ต้องทำความเข้าใจว่าจะปรับเปลี่ยนยังไง ให้มันหาจุดลงตัวได้ ไม่เช่นนั้นก็ต้องไปถึงความจำเป็น ยุบสภาฯ แม้นว่าตัดภูมิใจไทย ๗๑ เสียงออกไปเหลือ ๒๔๐ กว่าเสียง “ก็ไม่พอ”

และการจะเอาฝ่ายค้านบางส่วนมาเติม “ก็ยากอยู่” ดังนั้น ทางที่ดีถ้าการเลือกตั้งครั้งหน้า “พรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาชน ได้ผลการเลือกตั้ง ๒ พรรครวมกันแล้วเกินครึ่ง จัดตั้งรัฐบาลได้ เป็นซีกฝ่ายประชาธิปไตยเสรีนิยมด้วยกัน”

ก็คงจะยากอีกน่ะแหละ ถ้านายใหญ่ยังปล่อยให้พวก อีแบ๊ก ไอแบ๊ก ทำหน้าที่เป็นโฆษก พูดแทนรัฐบาลชินวัตรบนสื่อสังคมออนไลน์อย่าง ‘loose cannon’ ไม่มีหูรูดอยู่ต่อไป

(https://www.facebook.com/nationweekend/posts/9SVFiAu9FC, https://www.facebook.com/SirikanyaOfficial/posts/8giquyiVP6 และ https://www.facebook.com/PrachachatOnline/posts/myASgh7on7) 


อิ๊งค์ บอกพ่อสิ อิ๊งค์ ติงข่าวลือสหรัฐไม่เจรจาด้วย ขอคนไทยอย่ายิงกันเอง เชื่ออาเซียนรวมตัวกัน มีอำนาจต่อรอง


Matichon Online - มติชนออนไลน์ 12 hours ago

eosopdnSrt0m1al2hh566c3mhl4igtf9g6t14m0iha3gch3135t01h0fc0fc ·

อิ๊งค์ ติงข่าวลือสหรัฐไม่เจรจาด้วย ขอคนไทยอย่ายิงกันเอง เชื่ออาเซียนรวมตัวกัน มีอำนาจต่อรอง





https://x.com/loreneeliz/status/1917180385508855972


 

แห่แชร์สนั่นคลิป โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้แข็งกร้าวไม่ยอมถอยให้ใคร แต่กลับยอมรับ พระมหากษัตริย์ไทย ที่ทรงงานเพื่อมนุษยชาติ มีคนให้ความเห็นว่า "มันอยากเป็นแบบ ร9 แต่เกิดผิดที่😂😂"

https://www.facebook.com/reel/1298865357882923/?ref=embed_video
.....

ความเห็นในโพสต์
...
แต่ตอนนีมันบ้าอํานาจแล้ว ไอ้ทรัม
.
ทรัมมันตอแหลไปงั้นๆ
.
มันมีข้อดี​ มันก็ต้องมีข้อเสีย​ อันไหนมากกว่ากัน
.
มันอยากเป็นแบบ ร9 แต่เกิดผิดที่
.
แสดงว่า ร.๙ เหนือกว่า!!!!
.
ไอ้คนนี้แหละผู้ก่อการร้าย
.....



ประเทศไทยจะมีข่าวดีบ้างมั้ยเนี่ย มูดี้ส์ บริษัทจัดอันดับเครดิตเรตติ้ง ปรับแนวโน้มเรตติ้งไทยจาก "Stable" เป็น "Negative" ส่งสัญญาณว่าไทยมีความเสี่ยงที่อันดับความน่าเชื่อถือจะถูกปรับลดลง


Sirikanya Tansakun - ศิริกัญญา ตันสกุล
6 hours ago
·
มูดี้ส์ บริษัทจัดอันดับเครดิตเรตติ้ง ปรับแนวโน้มเรตติ้งไทยจาก "Stable" เป็น "Negative" ยังคงอันดับเรตติ้งที่ Baa1

เหตุผลสำคัญคือผลจากการขึ้นภาษีของสหรัฐ ที่จะซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำอยู่แล้วให้แย่ลงอีก เนื่องจากไทยพึ่งพาตลาดสหรัฐค่อนข้างสูง และความเสี่ยงจะยิ่งทำให้ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจต่ำลง ผลของการเติบโตที่ต่ำ (คาดการณ์ 2%) จะยิ่งทำให้ฐานะทางการคลังที่แย่อยู่แล้วให้แย่ลงไปอีก

ถือเป็น "wake up call" หรือนาฬิกาปลุกชั้นดีที่จะทำให้รัฐบาลหันมาจริงจังเสียทีกับการรับมือสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่จะตกต่ำจากสงครามการค้า

ถ้าไม่อยากให้ฐานะทางการคลังแย่ลง อย่าเพิ่งแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต เก็บกระสุนไว้ยิงเมื่อยามจำเป็น ลดการกู้เงินได้ ลดหนี้สาธารณะได้อีกนะคะ


https://www.facebook.com/photo?fbid=1246844550128272&set=a.495784201900981

อาจารย์สุรชาติเล่นใหญ่อีกแล้ว(นาทีที่ 37 เป็นต้นไป) ทั้งเรื่องพอล แชมเบอร์ส บอกว่า ไทยจะโดนหนัก อุ๊งอิ๊ง ในฐานะ ผอ.กอ.รมน. อ้วน ในฐานะรองนายกที่กำกับดูแล กอ.รมน.


LIVE เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand 29 เม.ย. 68

Streamed live 19 hours ago
LIVE เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand 29 เม.ย. 68

https://www.youtube.com/live/Ike8gdUErf8 
.....

Atukkit Sawangsuk
17 hours ago
·
อาจารย์สุรชาติเล่นใหญ่อีกแล้วครับ
ทั้งเรื่องพอล แชมเบอร์ส
บอกว่า ไทยจะโดนหนัก
อุ๊งอิ๊ง ในฐานะ ผอ.กอ.รมน.
พี่อ้วน ในฐานะรองนายกที่กำกับดูแล กอ.รมน.
เล่นเรื่องเพื่อนนายกฯ เหมือนเดิม แต่รอบนี้ให้ชื่อย่อมา “เลิกเอาคนชื่อ อ. กับ ก. มานั่งข้างๆ ถ่ายรูปได้แล้ว“
(รายการเมื่อวาน เจาะลึกทั่วไทยก็เอาภาพสองคนนั่งขนาบนายกฯ มาออกอากาศ)


ศิริกัญญา-วิโรจน์ รุมสับรัฐบาล หลังเห็นผลชัดเจน ฟ้อง ม.112 นักวิชาการอเมริกัน เป็นเหตุให้ไทยไม่สามารถเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ


The Momentum
15 hours ago
·
ศิริกัญญา-วิโรจน์ รุมสับรัฐบาล
หลังเห็นผลชัดเจน ฟ้อง ม.112 นักวิชาการอเมริกัน
เป็นเหตุให้ไทยไม่สามารถเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ
.
วันนี้ (29 เมษายน 2568) ศิริกัญญา ตันสกุล สส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวถึงกรณีที่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนในเรื่องความคืบหน้าการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐอเมริกาที่ยอมรับตอนหนึ่งว่า ทางสหรัฐฯ ได้ใช้ข้อมูลจากหลายหน่วยงานเข้ามาผสม ทั้งเรื่องของความมั่นคง ตลอดจนเรื่องที่หน่วยงานรัฐฟ้องร้องชาวอเมริกัน
.
ศิริกัญญากล่าวว่า แม้ว่าทักษิณจะไม่ได้พูดว่าประเด็นความมั่นคงนั้นเป็นเรื่องอะไร หรือการฟ้องร้องชาวอเมริกันท่านใด แต่พอจะเดาได้ว่าทางสหรัฐฯ ได้หยิบเรื่องการส่งตัวชาวอุยกูร์และการฟ้องร้อง พอล แชมเบอร์ส (Paul Chambers) นักวิชาการรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร มาเป็นส่วนหนึ่งของการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐฯ หรืออาจจะเป็นเงื่อนไขว่า ไทยจะได้เข้าเจรจาหรือไม่
.
รองหัวหน้าพรรคประชาชนกล่าวต่อไปว่า ในเรื่องนี้ต้องเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องออกมาตอบว่า ปัญหาแท้จริงที่ประเทศไทยยังไม่สามารถเข้าเจรจาได้เหมือนประเทศอื่นคืออะไร ตลอดจนแนวทางการแก้ไขปัญหาของทั้ง 2 เรื่อง
.
“นายกรัฐมนตรีต้องออกมาชี้แจงเรื่องนี้ให้กระจ่างกับสังคมด้วยตัวเอง ไม่ยืมปากคุณทักษิณที่ไม่ได้มีตำแหน่ง อำนาจหน้าที่ หรือความรับผิดชอบใดๆ ยืดอกรับผลการกระทำที่ส่งผลเสียหายมาถึงปากท้องของประชาชน หากเราตกขบวนการเจรจา และแถลงแนวทางแก้ไขที่จะทำให้การเจรจาสามารถเดินหน้าต่อได้ โดยยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ” ศิริกัญญากล่าว
.
ขณะที่ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการทหาร ระบุว่า จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงในชั้นกรรมาธิการเห็นว่า การแจ้งความพอลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นการกระทำที่อาจเข้าข่าย ‘การใช้อำนาจโดยไม่ชอบ’ ทั้งหลักฐานที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ที่เป็นเว็บไซต์สูจิบัตรแนะนำหัวข้อสัมมนาออนไลน์ที่พอลไม่ได้เป็นผู้เขียน และไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัค (ISEAS-Yusof Ishak Institute) ซึ่งเป็นผู้จัดสัมมนาแต่อย่างใด
.
วิโรจน์กล่าวต่อว่า ตนรู้สึกกังวลเป็นอย่างมากภายหลังพลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงต่อสื่อมวลชนว่า “การกระทำผิดตามมาตรา 112 นั้นเป็นอาญาแผ่นดิน ใครที่พบเห็นการกระทำสามารถแจ้งความได้” ตนมองว่า ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้คือ พลโท กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 ไปแจ้งความในนามของ กอ.รมน.ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐ ดังนั้นการดำเนินการต้องอยู่ภายใต้หลักการของกฎหมายมหาชน คือจะสามารถทำได้ก็ต่อเมื่อกฎหมายระบุให้ทำ
.
อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ทั้งผู้แทนจาก กอ.รมน.ภาคที่ 3 และโฆษกกองทัพบก ไม่สามารถตอบได้อย่างชัดเจนว่า อาศัยอำนาจจากมาตราใด
.
“สิ่งที่ กอ.รมน.กระทำ นอกจากจะเข้าข่ายการบ่อนทำลายหลักนิติรัฐแล้ว ยังส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งเกี่ยวพันกับประโยชน์ของประเทศอย่างใหญ่หลวง และที่น่ากังวลที่สุด ก็คือการกระทำในครั้งนี้ อาจเข้าข่ายการอ้างความจงรักภักดี ใช้ ม.112 เป็นเครื่องมือในการก่อข้อพิพาทระหว่างประเทศ โดยที่สถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องตกอยู่ท่ามกลางข้อพิพาทนั้น กระทบต่อพระเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์ในเวทีโลก” วิโรจน์ระบุ
.
นอกจากนั้นประธานคณะกรรมาธิการการทหารระบุว่า บิดาของนายกฯ ยังออกมายอมรับว่า เรื่องที่เกิดขึ้นอาจมีผลกระทบต่อการเจรจากับสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามจนถึงปัจจุบัน แพทองธารในฐานะผู้อํานวยการ กอ.รมน.ยังไม่แสดงความเห็นเรื่องนี้ว่า จะคลี่คลายสถานการณ์อย่างไร
.
“นี่เป็นอีกข้อพิสูจน์ว่า รัฐบาลเพื่อไทยไม่มีเจตจำนงในการทำให้รัฐบาลพลเรือนอยู่เหนือกองทัพเลย ปล่อยให้ฝ่ายความมั่นคงลุแก่อำนาจ ใช้ ม.112 ตามอำเภอใจ เหมือนบ้านเมืองไม่มีขื่อไม่มีแป โดยไม่สนใจเลยว่า ความเขลาและความคลั่งอำนาจของตน จะสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนแค่ไหน ถ้าบ้านเมืองของเรายังมีรัฐทหารที่อยู่เหนือกฎหมาย สามารถทำตามอำเภอใจตนเอง การปฏิรูปกองทัพจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย” วิโรจน์ทิ้งท้าย
.
ภาพ: The Momentum Team
.
#TheMomentum #StayCuriousBeOpen #ศิริกัญญา #วิโรจน์ #พรรคประชาชน #เจรจาการค้า #ม112 #ส่งตัวอุยกูร์ #พอลแชมเบอร์ส

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1118079980366051&set=a.654659416708112



ยกเลิก ม.112 ซิ เผื่อทรัมพ์จะคุยด้วย


เอกชัย หงส์กังวาน
17 hours ago
·
ยกเลิก ม.112 ซิ
เผื่อทรัมพ์จะคุยด้วย

https://www.facebook.com/photo?fbid=2556796814735104&set=a.610427702705368
.....



https://www.facebook.com/100024508433950/videos/666309886116391/


ศาลพิษณุโลกไม่อนุญาต ‘พอล แชมเบอร์ส’ ถอดกำไล EM ระบุไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข -- เปิดเหตุผลคำร้อง: ทำไม ดร.พอล จึงร้องขอปลด EM



ศาลพิษณุโลกไม่อนุญาต ‘พอล แชมเบอร์ส’ ถอดกำไล EM ระบุไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข – เตรียมอุทธรณ์คำสั่งต่อ

29/04/2568
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

วานนี้ (28 เม.ย. 2568) เวลา 15.40 น. ที่ศาลจังหวัดพิษณุโลก ดร.พอล เวสลีย์ แชมเบอร์ส (Dr.Paul Wesley Chambers) นักวิชาการชาวอเมริกัน ยื่นคำร้องต่อศาลขอถอดอุปกรณ์ติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (EM) ที่ติดข้อเท้ามาตั้งแต่ 10 เม.ย. 2568

หลังจากศาลใช้เวลาพิจารณาราว 1 ชั่วโมง ต่อมาเวลา 16.40 น. ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ถอดอุปกรณ์ติดตามตัว ระบุเหตุผล “กรณีไม่มีเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งอนุญาตของศาลอุทธรณ์ภาค 6 ให้ยกคำร้อง” ด้าน ดร.พอล เตรียมยื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิจารณาต่อไป

เหตุการณ์สืบเนื่องจากคดีที่ ดร.พอล ถูกแม่ทัพภาค 3 ในฐานะผอ.รมน. ภาค 3 มอบอำนาจให้นายทหารไปกล่าวหาว่าในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จากเหตุมีการเผยแพร่คำโปรยหรือข้อความแนะนำงานเสวนาวิชาการในเว็บไซต์ของสถาบัน ISEAS-Yusof Ishak ซึ่งเป็นสถาบันวิชาการของสิงคโปร์

ย้อนกลับไปเมื่อ 8 เม.ย. 2568 หลังจากเมื่อ ดร.พอล ทราบว่าถูกศาลออกหมายจับ ก็เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา แต่ได้ถูกพนักงานสอบสวนนำตัวไปฝากขังต่อศาล โดยศาลจังหวัดพิษณุโลกมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวทั้ง 2 ครั้ง ในวันเดียวกัน จึงได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว

ต่อมาวันที่ 9 เม.ย. 2568 ศาลอุทธรณ์ภาค 6 มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างสอบสวน โดยกำหนดเงื่อนไขให้วางหนังสือเดินทาง (Passport) ไว้ที่ศาลจังหวัดพิษณุโลก ห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักรเว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น แต่งตั้งผู้กำกับดูแลระหว่างปล่อยชั่วคราว และกำหนดให้ติดอุปกรณ์ติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (EM) โดยติดตั้งไว้ที่ข้อเท้าเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2568 ที่ผ่านมา
.
เปิดเหตุผลคำร้อง: ทำไม ดร.พอล จึงร้องขอปลด EM

1. ดร.พอลไม่ใช่ผู้เขียนและโพสต์ข้อความในเว็ป ISEAS โดยผู้กล่าวหานำมาจากเฟซบุ๊กบุคคลที่มีลักษณะโจมตีทางการเมือง

คดีนี้กองทัพภาค 3 เป็นผู้กล่าวหา ดร.พอล โดยนำเอกสารเพียง 1 แผ่น จากเว็บไซต์ของประเทศสิงคโปร์ สถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัค (ISEAS-Yusof Ishak Institute) เอกสารดังกล่าวมีลักษณะเป็นคำโปรยหรือคำเชิญชวนให้เข้าร่วมงานเสวนาออนไลน์ (Webinar) หัวข้อ Thai military and police reshuffles ที่เชิญ ดร.พอล มาเป็นวิทยากร มิใช่สรุปงานเสวนาที่ ดร.พอล พูดไปแล้ว

หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนจากเอกสารดังกล่าวจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ดร.พอล มิใช่ผู้เขียนและโพสต์ ซึ่งในชั้นสอบสวน ดร.พอล ก็ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่าไม่ใช่ผู้เขียนและไม่ใช่ผู้โพสต์ข้อความดังกล่าว และไม่ได้เป็นแอดมินหรือผู้ดูแลเว็ปไซต์ของสถาบันฯ ดังกล่าวแต่อย่างใด

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2568 ผู้อำนวยการกองการข่าว กอ.รมน. ภาค 3 ชี้แจงแทนกองทัพภาคที่ 3 ผู้กล่าวหาในคดีนี้ ให้ข้อเท็จจริงต่อกรรมาธิการทหารของสภาผู้แทนราษฎรว่า ตรวจพบข้อมูลจากเฟซบุ๊กของ “อัษฎางค์ ยมนาค” เรื่อง “มหาวิทยาลัยนเรศวรจ้าง ‘พอล แซมเบอร์ส’ มาบั่นทอนสถาบันพระมหากษัตริย์ หรืออย่างไร?” ที่มีการแปลข้อความคำโปรยดังกล่าวในเฟซบุ๊ก จึงได้แจ้งความดำเนินคดีต่อ ดร.พอล เป็นคดีนี้

เห็นได้ว่าการนำข้อความดังกล่าวมาจากเฟซบุ๊กบุคคลที่มีการโจมตีทางการเมือง ส่งผลให้มีการดำเนินคดีในข้อหาร้ายแรงโดยที่ ดร.พอล มิใช่ผู้กระทำความผิด การกล่าวหานี้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและการประกอบอาชีพของ ดร.พอล อย่างหนัก และไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้

.
2. ดร.พอล ยืนยันไม่ได้หลบหนี โดยเงื่อนไขอื่นของศาล-ตม. ก็เพียงพอต่อการติดตามตัวแล้ว

ดร.พอล ได้แสดงความบริสุทธิ์ใจและยืนยันเจตนาจะต่อสู้คดีภายในราชอาณาจักรไทยอย่างเปิดเผย โดยการวางหนังสือเดินทาง (Passport) ไว้ต่อศาลชั้นต้นแล้ว เพื่อแสดงให้ศาลเห็นว่าจะไม่หลบหนีหรือเดินทางออกนอกราชอาณาจักร จึงไม่มีเหตุจำเป็นในการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว รวมทั้งมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ติดตามตัวได้ไม่เป็นการยาก

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2568 สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองแจ้งคำสั่งเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร โดย ดร.พอล ได้รับการประกันตัวให้อยู่ในราชอาณาจักรชั่วคราวระหว่างต่อสู้คดี และอยู่ระหว่างอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว โดยวางหลักประกันที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดพิษณุโลกอีกจำนวน 300,000 บาท และจะต้องรายงานตัวต่อเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองอีกเดือนละ 1 ครั้งตลอดระยะเวลาที่อยู่ในราชอาณาจักร ภายใต้การควบคุมดูแลของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองอีกด้วย ซึ่งมีมาตรการควบคุมที่เข้มงวดและเพียงพอต่อการติดตามตัวอยู่แล้ว

ตลอดระยะเวลาที่ได้รับการปล่อยชั่วคราวระหว่างฝากขัง ดร.พอล ปฏิบัติตามคำสั่งศาลโดยรายงานตัวต่อศาลและต่อผู้กำกับดูแลทุกครั้ง ไม่เคยผิดเงื่อนไข

.
3. การติด EM ไม่ใช่แค่พันธนาการร่างกาย แต่ยังส่งผลกระทบต่อสิทธิขั้นพื้นฐาน สร้างความยากลำบากในการใช้ชีวิตประจำวัน

ดร.พอล เป็นนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการยอมรับในประเทศและระดับสากล ดำรงตำแหน่งอาจารย์มหาวิทยาลัยมาเป็นเวลายาวนาน และก่อนถูกดำเนินคดีนี้เป็นอาจารย์ผู้มีความเชี่ยวชาญพิเศษของคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร การที่มีอุปกรณ์ติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (EM) ติดไว้ที่ข้อเท้าย่อมส่งผลต่อภาพลักษณ์ ทำให้ขาดความน่าเชื่อถือหรือไว้วางใจต่อบรรดาบุคคลภายนอก และย่อมส่งผลต่อความมั่นใจในการพบปะกับบุคคลอื่น

การที่ผู้ต้องหาถูกสังคมพิจารณาว่าเป็นผู้กระทำความผิดเนื่องจากมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (EM) แม้จะยังไม่มีคำพิพากษาอันเป็นที่สุดว่าผู้ต้องหามีความผิด ย่อมส่งผลกระทบด้านจิตใจ สังคม และขัดต่อสิทธิที่จะได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ตามรัฐธรรมนูญด้วย

นอกจากนี้ ดร.พอล อายุ 58 ปี และมีรูปร่างใหญ่ ทำให้ยากต่อการก้มไปที่ข้อเท้าเพื่อดูแลรักษาเครื่องอุปกรณ์ติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (EM) ให้ทำงานอยู่ตลอดเวลา โดยในการชาร์ตแบตเตอรี่ทุก 4-5 ชั่วโมง การดูปริมาณแบตเตอรี่ รวมทั้งการดูแลความสะอาดบริเวณข้อเท้าเพื่อป้องกันความชื้นและการเป็นแผลจากการเสียดสี โดยไม่สามารถทำได้โดยตนเอง แต่ต้องมีบุคคลอื่นช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวันและบุคคลใกล้ชิด เนื่องจากจะต้องมีบุคคลอื่นอยู่ด้วยตลอดเวลาเพื่อดูแลเครื่องอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวด้วย

การติดอุปกรณ์ติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (EM) ยังส่งผลกระทบต่อการเดินทางในราชอาณาจักรเพื่อจัดการธุระส่วนตัว โดยเฉพาะการเดินทางโดยเครื่องบินโดยสารที่สามารถไปถึงจุดหมายได้รวดเร็วกว่า และประหยัดมากกว่า ส่งผลให้จำเป็นต้องเดินทางโดยรถยนต์เท่านั้น กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันและเสรีภาพในการเดินทางเป็นอย่างมาก

.
พันธนาการเครื่องติดตามตัว EM กับความรู้สึกที่มีคนจ้องมองตลอดเวลา

หนึ่งในหลักการสำคัญของกระบวนการยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 29 วรรคสอง และหลักสากลตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) มาตรา 14 คือ ผู้ต้องหาและจำเลยต้องได้รับการปฏิบัติในฐานะ “ผู้บริสุทธิ์” ตราบเท่าที่ยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าได้กระทำความผิด

การติดอุปกรณ์ EM ซึ่งเป็นการควบคุมจำกัดเสรีภาพ ทั้งในทางกายภาพและทางสังคม แม้จะมิใช่การคุมขัง แต่ก็เป็นการ “ตีตรา” ผู้ต้องหาในทางสังคมโดยนัย ทำให้เกิดภาวะเสื่อมเสียชื่อเสียง ความน่าเชื่อถือ และสร้างความเข้าใจผิดว่าบุคคลนั้นได้กระทำผิดแล้ว ซึ่งสวนทางกับหลักสันนิษฐานว่าบริสุทธิ์อย่างชัดเจน

การกำหนดมาตรการจำกัดสิทธิใด ๆ ของบุคคลต้องผ่านการทดสอบตามหลักความจำเป็น (Necessity) และ ความได้สัดส่วน (Proportionality) จากข้อเท็จจริงในคดี ดร.พอลได้วางหนังสือเดินทางไว้กับศาล มีที่อยู่แน่นอน อยู่ภายใต้การควบคุมของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พร้อมรายงานตัวประจำเดือน และไม่มีพฤติการณ์หลบหนีหรือผิดเงื่อนไขระหว่างปล่อยชั่วคราว การใช้ EM จึงอาจไม่สอดคล้องกับหลักการ “น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น” และ “ไม่เกินความจำเป็น” ในการจำกัดสิทธิของผู้ต้องหา

บทบาทของ EM ตามหลักการทางกฎหมายควรเป็นเพียง มาตรการประกันการดำเนินกระบวนการยุติธรรม เช่น ไม่หลบหนี, ไม่ยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ฯลฯ ไม่ใช่มาตรการลงโทษล่วงหน้า (Pre-trial Punishment) ก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุด แต่การนำอุปกรณ์ EM อาจถูกใช้เป็น “เครื่องมือตีตรา” หรือ “สร้างความอับอาย” แก่ผู้ต้องหาก่อนการพิพากษา จึงเสี่ยงต่อการผิดหลักการใช้มาตรการในชั้นสอบสวนและพิจารณาคดีที่ควรยึดถือความเคารพต่อสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

.
ย้อนอ่านรายงาน พันธนาการ EM ที่ข้อเท้า ‘พอล แชมเบอร์ส’ มีอิสระตามที่ได้ประกันตัว หรือเป็นโซ่ที่ล่ามไว้อีกครั้ง

https://tlhr2014.com/archives/75077


หลังลี้ภัย เป็นครั้งแรกที่ได้ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ : เมลิญณ์ สุพิชชา ผู้ลี้ภัยตื่นเต้นรอข่าวนิรโทษกรรม



หลังลี้ภัย เป็นครั้งแรกที่ได้ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ : เมลิญณ์ สุพิชชา

29/04/2025
iLaw

28 เมษายน 2568 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนจัดงานเสวนาหัวข้อ “ก้าวต่อไปของนิรโทษกรรม ก้าวต่อไปของผู้ถูกดำเนินคดีทางการเมือง” โดยมีเมลิญณ์ สุพิชชา หรือที่ในอดีตรู้จักกันในชื่อ “เมนู” นักกิจกรรมทางการเมืองที่เคลื่อนไหวตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย เรียกร้องให้ปฏิรูปการศึกษา และต่อมาถูกดำเนินคดีมาตรา 112 เธอเข้าร่วมการเสวนามาจากระบบออนไลน์ เพราะตอนนี้เธอเป็นผู้ลี้ภัยอยู่ที่ประเทศแคนาดา

เมลิญณ์เล่าถึงชีวิตของตัวเองเมื่อต้องเดินทางไปอยู่ประเทศใหม่ว่า ช่วงแรกๆ ที่ลี้ภัยออกมาไม่มีความคิดอยากกลับบ้านเลย รู้สึกดีใจและตื่นเต้นกับโลกใบใหม่ของตัวเอง แต่พอผ่านไปนานเข้าก็จะมีความรู้สึกคิดถึงบ้าน (Homesick)

ในเมืองแวนคูเวอร์ที่เมลิญณ์อยู่อาศัย มีคนไทยอยู่จำนวนไม่น้อยทั้งที่เป็นผู้ลี้ภัยและเป็นคนทั่วไป ซึ่งเมลิญณ์เล่าว่า สังคมที่เราอยู่ตอนนี้ มีอิสระเสรีภาพ มีสิทธิมนุษยชนอย่างที่ควรจะมี มีช่วงแรกเคยมีทหารไทยตามมาถึงที่นี่ เคยมีตัวแทนสถานทูตไทยตามไปถ่ายรูป แต่ก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้ การที่มีเสรีภาพทำให้ผู้คนมีความตื่นตัวทางการเมืองสูง ช่วงที่มีการเลือกตั้งทุกคนก็ติดตาม มีการจัดปาร์ตี้กันเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยน ผู้ลี้ภัยชาวไทยก็เข้าสังคมกับคนไทยที่อยู่กันในเมืองแวนคูเวอร์ มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนแบบไม่มีเพดาน ทำให้เห็นถึงปัญหามาตรา 112 ในประเทศไทยว่าเป็นสิ่งที่ผิด

“หลังจากที่ลี้ภัยออกมา เหมือนกับเป็นครั้งแรกที่เราได้ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป คนไทยจะติดภาพของ “เมนู สุพิชชา” เป็นเด็กมัดหางม้า ชูสามนิ้ว หันหลัง หรือภาพของเราที่ทำผมสีแดงไปทำโพลเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ คนจะติดภาพว่าเราเป็นผู้นำสูงมาก แต่ว่าพอได้ลี้ภัยมาก็ทำให้เราได้กลับไปเป็นคนปกติทั่วไปอีกครั้งหนึ่ง แล้วทำให้เรารู้สึกเศร้ามากๆว่า นี่คือสิ่งที่เราควรจะได้เป็นตั้งแต่แรก ไม่ควรมีเด็กคนไหนเลยที่จะต้องเสียสละชีวิตตัวเอง อนาคตของตัวเอง กับการถูกปิดปากและถูกคุกคามมากขนาดนี้” เมลิญณ์เล่า

ผู้ลี้ภัยตื่นเต้นรอข่าวนิรโทษกรรม

สำหรับความความเห็นของสถานการณ์ที่รัฐบาลปัจจุบันไม่ได้พยายามผลักดันร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมเพื่อยุติการดำเนินคดีทางการเมือง และอาจเป็นโอกาสทางกฎหมายอย่างเดียวที่จะทำให้เธอได้กลับบ้านนั้น เมลิญณ์กล่าวว่า วันที่มีการดึงเอาร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมเข้าไปในสภา เพื่อนๆ ตื่นเต้นกันมากโดยเฉพาะพลอย (เยาวชนผู้ลี้ภัยไปแคนาดาพร้อมกัน) มีคนอื่นด้วยที่ตั้งตารอคอยมากๆ แล้วก็คอยดูไลฟ์ นอนดึกเลย ผลที่เกิดขึ้นมาคนก็รู้สึกผิดหวัง แต่ก็ไม่ได้ตกใจอะไรขนาดนั้นเพราะเข้าใจว่าสภาพการเมืองไทยก็คงเป็นไปในทิศทางนี้อยู่แล้ว

“ผู้ลี้ภัยที่ออกนอกประเทศมาแล้ว รู้สึกว่ามีอิสรภาพ แล้วก็รู้สึกปลอดภัยมากขึ้น แวบแรกที่ได้ยินเรื่องร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ก็สองจิตสองใจว่าอาจจะไม่อยากกลับ แต่เมื่อมองเห็นคนที่ได้รับผลกระทบ ทั้งเพื่อนคนอื่นๆ ที่ยังอยู่ในประเทศ หรืออยู่ในคุกก็รู้สึกแย่จริงๆ” เมลิญณ์ เล่าความรู้สึก

เมลิญณ์ยังให้ข้อมูลเพิ่มด้วยว่า เมื่อปี 2567 มีผู้ลี้ภัยอยู่ที่แวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดาหกคน มาถึงปีนี้มีผู้ลี้ภัยมาเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตัว เป็น 12 คน ซึ่งแปลว่าความไว้วางใจของประชาชนที่อยู่ในประเทศนั้นน้อยมากๆ จนกระทั่งยอมเดินทางไปเสี่ยงชีวิตในประเทศที่สอง และไปตั้งหลักที่ประเทศใหม่ เวลานี้ก็ยังมีคนที่รออยู่ในประเทศที่สองรอการได้ไปประเทศที่ปลอดภัยอีก และยังมีคนต้องไปอยู่ในประเทศอื่นอีกมาก
 
112 ของประเทศไทยในสายตาชาวโลก

เมลิญณ์เล่าประสบการณ์ว่า สิ่งที่สัมผัสได้จากสถานการณ์โดยรวมของประเทศไทย คือ ต่างชาติให้ความสนใจมากจริงๆ โดยเฉพาะยูเอ็น และยูเอ็นเอชซีอาร์ (UNHCR) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้ลี้ภัยโดยตรง สังเกตได้ว่ากระบวนการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยทางการเมืองที่ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 นั้นกระบวนการเสร็จสิ้นเร็วมาก ทำให้เห็นได้ว่า ความรับรู้เกี่ยวกับปัญหาของมาตรา 112 เป็นเรื่องที่รับรู้กันว่า เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ควรเกิดขึ้น ขัดแย้งต่อหลักการเสรีภาพอย่างร้ายแรง

จากประสบการณ์ที่ได้พูดคุยกับเพื่อนต่างชาติ เมลิญณ์พบว่า ประเด็นผู้ลี้ภัยของไทยเป็นเรื่องที่มีความเฉพาะตัวมาก (Unique) เพราะผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่หนีจากภัยสงคราม หรือต้องลี้ภัยด้วยเหตุศาสนา หรือเรื่องเพศ มีไม่มากที่ลี้ภัยเพราะเป็นเรื่องการเมืองโดยตรง นอกจากนี้เธอยังได้คุยกับคนที่ลี้ภัยชาวไทยที่ต้องออกจากประเทศตั้งแต่ยุคก่อนๆ เมื่อมีการรัฐประหารเกิดขึ้น ทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่ากระบวนการตอนนี้ดีขึ้นมาก ไม่ยากลำบากเหมือนตอนที่พวกเขามาก่อนหน้านี้

“เวลาเราพูดว่า เราโดนหมายจับสองครั้ง โดนจับสองครั้งในหนึ่งอาทิตย์ โดนตำรวจลากตัวไปเลย โดนรถตำรวจขับตาม มันเป็นเรื่องปกติของคนที่ไทย คนแบบ อ๋อ แย่จังเลย แต่พอไปพูดในต่างประเทศมันเป็นเรื่องใหญ่มากๆ โดยเฉพาะกับอายุของเราที่ยังเป็นเยาวชนด้วย”

“คดีมาตรา 112 ของเรา เกิดจากการที่เราพูดถึง “ฟูฟู” มันเป็นอะไรที่โคตรไม่เป็นเหตุเป็นผลเลย (make sense) แล้วเราก็อายมากๆ ทุกครั้งที่เราต้องอธิบายกับต่างชาติ นักกิจกรรมต่างชาติ สถานทูต ให้ฟังว่าเราโดน 112 จับเข้าไปขังคุกใต้ดินของศาลจากการไปว่าหมา มันเป็นความอับอายมาก จึงยิ่งไม่เป็นเหตุเป็นผลอีกถ้าไม่เอาคดีมาตรา 112 ไปรวมในการนิรโทษกรรม แต่เราก็สัมผัสได้ถึงความกลัวของเขา ถ้าไม่มีกฎหมายนี้แล้ว” เมลิญณ์กล่าว

“การตั้งคำถามกับกฎหมายเป็นสิ่งที่ควรทำจริงๆ เราควรสงสัยคนที่ไม่กล้าตั้งคำถามกับกฎหมายมากกว่าว่า ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ การที่เราสนใจและตระหนักรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมือง มันเป็นหนึ่งในสิทธิ ในหน้าที่พลเมืองโลกที่ทุกคนควรทำกัน” ผู้ลี้ภัยที่กำลังจะได้สัญชาติแคนาดา กล่าวฝากไว้

https://www.ilaw.or.th/articles/52335


ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) “กวาดล้างหมูเถื่อนกลางตลาดใหญ่ในปทุมธานี ยึดซากสุกรเน่า 5 ตัน ปูดต้นเหตุราคาหมูพุ่ง-เสี่ยงโรคระบาด


เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand
9 hours ago
·
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) “กวาดล้างหมูเถื่อนกลางตลาดใหญ่ในปทุมธานี ยึดซากสุกรเน่า 5 ตัน ปูดต้นเหตุราคาหมูพุ่ง-เสี่ยงโรคระบาด”
วันนี้ (วันที่ 29 เมษายน 2568) ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ร่วมกับชุดพญาไท กรมปศุสัตว์ ได้เปิดปฏิบัติการตรวจค้น 4 จุดสำคัญในย่านตลาด ค้าส่งใหญ่ ในจังหวัดปทุมธานี หลังได้รับรายงานว่ามีการลักลอบนำเข้าซากสุกรผิดกฎหมายเข้ามาจำหน่ายในประเทศ
สำหรับผลการตรวจค้นพบว่าหนึ่งในจุดดังกล่าว เป็นห้องเย็นที่มีความจุถึง 40 ตัน ใช้เก็บซากสุกรที่ลักลอบนำเข้ามาจากจังหวัดนครปฐมและสมุทรปราการ และกระจายส่งขายทั่วประเทศ โดยเจ้าหน้าที่พบซากสุกรจำนวนทั้งสิ้น 9,350 กิโลกรัม
จากการสอบถามเจ้าของสามารถแสดงเอกสารการเคลื่อนย้ายได้เพียง 4,000 กิโลกรัม และยังพบว่าซากสุกรจำนวนนี้มีกลิ่นเหม็นและเน่าเสีย อีกทั้งยังไม่สามารถชี้แจงแหล่งที่มาได้อย่างถูกต้อง ส่วนอีก 1,350 กิโลกรัมไม่มีเอกสารรับรองใด ๆ จึงเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 มาตรา 22 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ทั้งนี้ จังหวัดปทุมธานีเป็นพื้นที่เฝ้าระวังการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร ทำให้การควบคุมโรคและความปลอดภัยของผู้บริโภคมีความสำคัญสูงสุด เจ้าหน้าที่จึงได้อายัดซากสุกรจำนวน 5,350 กิโลกรัม มูลค่ารวมเกือบ 1 ล้านบาท ไว้เป็นเวลา 15 วัน เพื่อให้เจ้าของนำเอกสารมาแสดง หากไม่สามารถนำมาแสดงได้จะดำเนินคดีตามกฎหมายทันที
โดยเหตุการณ์นี้เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สะท้อนถึงความเสี่ยงของระบบการผลิตและการกระจายเนื้อหมูในประเทศ ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาหมูมีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงนี้ จากการควบคุมเข้มงวดของหน่วยงานรัฐ และการลดลงของแหล่งจำหน่ายหมูที่ไม่ปลอดภัย ทางบก.ปคบ.จึงขอให้ผู้บริโภคระมัดระวังในการเลือกซื้อเนื้อหมู เลือกแหล่งที่มีการรับรองคุณภาพก่อนการตัดสินใจซื้อทุกครั้ง

https://www.facebook.com/insidethailand/posts/1107595661404438



ทำความเข้าใจตลาดหมูไทย ตั้งแต่หน้าฟาร์มถึงหน้าเขียง เพราะ 'หมูแพง' ทำให้เกิดปรากฎการณ์ 'หมูเถื่อน' ลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศ ตั้งแต่จากอเมริกาใต้ จนถึงล่าสุดหมูจีนทะลัก และแรงกดดันที่จะต้องนำเข้า 'หมูทรัมป์'


เข้าใจปรากฎการณ์ 'หมูแพง-หมูเถื่อน-หมูทรัมป์' จับตา 'หมูนำเข้า' ทำลายตลาด | HEADLINE | TODAY

สำนักข่าวทูเดย์

Apr 29, 2025 

ทำความเข้าใจตลาดหมูไทย ตั้งแต่หน้าฟาร์มถึงหน้าเขียง ภายใต้ปรากฎการณ์ 'หมูแพง' จนทำให้ที่ผ่านมาเกิด 'หมูเถื่อน' ลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศ ตั้งแต่จากอเมริกาใต้ มาจนถึงล่าสุดพบหมูจีนทะลัก และแรงกดดันที่ไทยจะต้องนำเข้า 'หมูทรัมป์' ตามนโยบายกำแพงภาษีสหรัฐฯ หรือไม่ พูดคุยกับ ผศ.ดร. สุวรรณา สายรวมญาติ อาจารย์ประจำภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร คณะเศรษฐศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์

https://www.youtube.com/watch?v=c6VEfFV6Qu4



บทวิเคราะห์ที่สุดยอดมาก ! ทรรศนะนักวิชาการฮาร์วาร์ด : ย้อนรอยปัญหาการค้าไทย-สหรัฐฯ ก่อนทรัมป์สั่งเก็บภาษี 36%







ทรรศนะนักวิชาการฮาร์วาร์ด:ย้อนรอยปัญหาการค้าไทย-สหรัฐฯ ก่อนทรัมป์สั่งเก็บภาษี 36%

29 เมษายน 2568
สำนักข่าวอิศรา


อย่างไรก็ตาม อีกปัญหาสำคัญในไทยก็คือ นักลงทุนชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจากตะวันตกบางครั้งบ่นว่าการเปิดธุรกิจในจีนง่ายกว่าในประเทศไทยซึ่งเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ อีกทั้งการบังคับใช้ภาษีศุลกากรของไทยนั้นเป็นไปตามโดยอำเภอใจและมีการทุจริตเกิดขึ้น

ข่าวต่างประเทศที่มีผลกระทบกับไทย ณ เวลานี้ คงหนีไม่พ้นกรณีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาประกาศขึ้นภาษีตอบโต้กับประเทศที่เกินดุลการค้า ซึ่งสินค้านำเข้าจากประเทศไทยก็โดนเก็บภาษีไปทั้งสิ้น 36% และจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าตัวแทนจากไทยจะได้เจรจากับสหรัฐฯเมื่อใด

จากกรณีดังกล่าว ทางด้านของนายริชาร์ด ยาร์โรว์ นักวิชาการจาก วิทยาลัยฮาร์วาร์ด เคเนดี้ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ออกบทวิเคราะห์เกี่ยวกับปัญหาของมาตรการภาษีของนายทรัมป์และทางแก้ปัญหาของไทย

สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงได้นำเอาบทความดังกล่าวมานำเสนอมีรายละเอียดดังนี้

ข่าวร้ายเกี่ยวกับวงการการค้าของไทยเริ่มปรากฏให้เห็นตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค.เมื่อทำเนียบขาวใช้มาตรการภาษี 25 เปอร์เซ็นต์กับสินค้าประเภทอลูมิเนียม สงผลลามไปถึงภาคการผลิตของไทย ต่อมาวันที่ 31 มี.ค. สํานักงานการค้าสหรัฐฯ ได้เผยแพร่ภาพรวมเกี่ยวกับอุปสรรคทางการค้าของไทย โดยเน้นย้ำถึงปัญหาเกี่ยวกับการค้าทางการเกษตร การลงทุน และค่าธรรมเนียมศุลกากร ในที่สุด ในวันที่ 2 เม.ย. ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศมาตรการ 'ภาษีซึ่งกันและกัน' หรือภาษีตอบโต้ ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่า อัตราการคิดภาษีนั้นขึ้นอยู่กับดุลการค้าปี 2567 เท่านั้น

ภาษีตอบโต้สินค้านำเข้าจากไทยอยู่ที่อัตรา 36 เปอร์เซ็นต์ นั้นถือว่ามีอัตราสูงอย่างไม่คาดคิดและรุนแรง ซึ่งสูงกว่าประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อื่นๆ ในเอเชียยกเว้นเวียดนาม สำหรับไทยแล้ว สหรัฐอเมริกาถือเป็นจุดหมายปลายทางการส่งออกที่ใหญ่ที่สุด และแนวโน้มการส่งออกที่มุ่งเน้นสหรัฐฯ เป็นแรงผลักดันให้การลงทุนภาคอุตสาหกรรมของไทยพุ่งสูงขึ้น หากมีการบังคับใช้มากตรการภาษีเหล่านี้จริง จะบ่อนทำลายเศรษฐกิจส่วนใหญ่ของประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประเมินการเติบโตของ GDP ลดลงครึ่งจุด ซึ่งดูเหมือนจะมองโลกในแง่บวกมากเกินไปเมื่อพิจารณาจากผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อการลงทุนในอนาคต การซื้อของไทยจากสหรัฐฯ อาจได้รับผลกระทบหากเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจอื่นๆ ในเอเชียอ่อนแอลง

การประกาศมาตรการภาษีตอบโต้ในเดือน เม.ย. ไม่ใช่คําเตือนที่เกี่ยวข้องกับการค้าครั้งแรกของสหรัฐฯ ที่มีต่อไทย ย้อนไปปี 2560 นายแบรด เซ็ตเซอร์ นักเศรษฐศาสตร์ ได้ออกมากล่าวว่าว่าประเทศไทยเหมาะสมกับเกณฑ์การจัดการสกุลเงินของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ในปี 2563 รัฐบาลทรัมป์สมัยแรกขู่ว่าจะคว่ำบาตรไทยเนื่องจากมูลค่าเงินบาทที่ต่ำ และต่อมามูลค่าของเงินบาทก็ลดลงอีก จากค่าเฉลี่ย 31 บาท ต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2563 เป็นประมาณ 34 บาทภายในปี 2568 อย่างไรก็ตาม ในเดือน มิ.ย. 2567 คณะผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ได้ยกย่องประเทศไทยว่า 'มีความสําคัญต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ' ในรายงานต่อประธานาธิบดีโจ ไบเดน

ในช่วงการระบาดของโควิด-19 การส่งออกของไทยก็กลับมาเติบโต นับตั้งแต่ปี 2562 มูลค่าการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า โดยในปี 2567 ไทยมีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 1.7 แสนล้านบาท (5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ต่อเดือน ประเทศไทยได้รับประโยชน์จากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน และโรงงานแห่งใหม่ในประเทศไทยที่สนับสนุนผลิตภัณฑ์ของ Dell, HP, Google และ Apple ได้ช่วยให้บริษัทสหรัฐฯ 'ลดความเสี่ยง' ห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยี

อย่างไรก็ตาม การส่งออกที่เพิ่มขึ้นบางส่วนของไทยดูน่าสงสัยเช่นเดียวกับจำนวนการนําเข้าของประเทศไทย ระหว่างปี 2562 ถึง 2567 การส่งออกสินค้าประเภทชิ้นส่วนเกี่ยวข้องกับประมวลผลข้อมูลในคอมพิวเตอร์ ที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ในขณะที่การนําเข้าชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของไทย ซึ่งนำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นกว่า 180 เปอร์เซ็นต์ บ่งชี้ว่าการส่งออกที่พุ่งสูงขึ้นบางส่วนของประเทศไทยอาจเป็นสินค้าที่ผลิตในจีนเป็นส่วนใหญ่

สำหรับท่าทีของไทยเริ่มแรกเกี่ยวกับภัยคุกคามด้านภาษีตอบโต้นั้น ไทยเลือกที่จะใช้วิธีทางการทูต โดยในเดือน ก.พ.2568 ตัวแทนจากกระทรวงพาณิชย์ไทยได้ไปเยือนกรุงวอชิงตันเพื่อพบกับสมาชิกสภาคองเกรสและเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ เช่น การสวดมนต์เช้าแห่งชาติสหรัฐฯ หรือ National Prayer Breakfast ต่อมาในปลายเดือน มี.ค.รัฐบาลสหรัฐฯ ได้แนะนำให้ลดเกินดุลการค้าทวิภาคีของไทยลงครึ่งหนึ่งเป็น 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (7 แสนล้านบาท) นักการทูตไทยยังยื่นข้อเสนอให้เร่งการเจรจาการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป

อย่างไรก็ตามความพยายามของตัวแทนไทยนั้นดูจะขัดแย้งกันเองกับกลยุทธ์ของรัฐบาลไทยที่เรียกร้องให้จีนสนับสนุนทางเศรษฐกิจ ด้วยการขยายการค้า การลงทุน และการส่งเสริมการท่องเที่ยว จีนเป็นจุดหมายปลายทางการส่งออกที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศไทยและเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุด แม้ว่าความกระตือรือร้นเกี่ยวกับเศรษฐกิจของจีนจะลดลงในตะวันตก แต่เจ้าหน้าที่จากรัฐบาลไทยส่วนใหญ่ยังคงมั่นใจว่าจีนจะรักษาการเติบโตของ GDP ต่อปีไว้ที่ประมาณ 5% ทําให้พวกเขากระตือรือร้นที่จะมีส่วนร่วมกับรัฐบาลจีนมากขึ้น

ยกตัวอย่างความพยายามของไทยที่ต้องการจะได้รับการสนับสนุนจากจีน เช่นกรณี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทยได้ไปเยือนจีนในเดือน พ.ย.2567 ได้ไปพบประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนในเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา และให้คำสัญญาว่าจะเร่งการก่อสร้างทางรถไฟซึ่งจะดำเนินการโดยประเทศจีนเพื่อเชื่อมโยงลาวและภูมิภาคยูนนาน

ไม่กี่สัปดาห์หลังการเยือนจีนช่วงต้นปี รัฐบาลไทยได้เนรเทศกลุ่มชาวอุยกูร์ 40 คนกลับไปยังซินเจียง ซึ่งการกระทำนี้ส่งผลทำให้สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกาประณามการเนรเทศ โดยนายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศมองว่าเรื่องนี้เป็นเหมือนการดูถูกเขา เพราะเขาได้รับปากกับสภาคองเกรสว่าจะปกป้องชาวอุยกูร์ที่ถูกคุมขังในกรุงเทพฯ

ส่วนรัฐสภายุโรปได้ลงมติประณามการเนรเทศของไทยและเพิ่มข้อเรียกร้องให้ไทยเปลี่ยนแปลงกฎหมายพระบรมเดชานุภาพก่อนที่จะยกระดับการค้า

ประเทศไทยยังเผชิญกับปัญหาทางการค้าอื่น ๆ อีก อาทิ รัฐบาลในสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยเสนอเงินอุดหนุนให้กับบริษัทจีนเข้ามาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ด้วยความคาดหวังว่าบริษัทจีนจะแบ่งปันทรัพย์สินทางปัญญาและช่วยส่งเสริมบทบาทของไทยในการผลิตรถยนต์ในเอเชียอีกครั้ง เนื่องจากผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทยส่วนใหญ่พึ่งพาการจัดตั้งโรงงานของญี่ปุ่นและเกาหลีสําหรับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซิน ส่งผลทำให้ไทยปรับตัวเข้าสู่การรถยนต์ไฟฟ้าได้ไม่ดีนัก

ทว่าประเทศไทยได้รับผลประโยชน์ด้านทรัพย์สินทางปัญญาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ของไทยจำนวนมากตกอยู่ในความเสี่ยง เนื่องจากการขาดดุลการค้าของไทยกับจีนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ธุรกิจไทยหลายแห่งจึงเรียกร้องให้มีการคุ้มครองภัยจากสินค้าจีน ขณะที่สงครามการค้าใกล้เข้ามา ไทยก็ประสบปัญหากับคู่ค้ารายใหญ่ทั้งหมด เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และจีน

ประเทศไทยอาจหวังที่จะปกป้องภาคส่วนการผลิตไทยด้วยค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง โดยค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงนำมาซึ่งความสะดวกเพียงชั่วคราวในภาคเศรษฐกิจดั้งเดิมของไทย เช่น การท่องเที่ยว การผลิตที่ใช้ทักษะต่ำ และภาคการเกษตร ซึ่งภาคส่วนที่ว่ามานี้ต้องอาศัยเงินอุดหนุนจากผู้บริโภค นักลงทุน ขณะที่ภาคส่วนเศรษฐกิจที่มีมูลค่าสูงกว่าตอนนี้เผชิญกับภาวะสมองไหล

ปัจจุบันประเทศไทยกําลังพยายามเจรจาเพื่อลดภาษีโดยสัญญาว่าจะนําเข้าสินค้าของสหรัฐฯ เช่น ข้าวโพดมากขึ้น เจ้าหน้าที่ไทยได้เน้นย้ำถึงการลงทุนของไทยในสหรัฐฯ แต่สิ่งนี้แทบจะไม่ส่งผลต่อภาษีศุลกากรตามดุลทวิภาคี

เป้าหมายการค้าของวอชิงตันซึ่งมีต่อไทยตอนนี้ยังไม่ชัดเจน ซึ่งเป้าหมายนี้อาจสอดคล้องกับความต้องการด้านการพัฒนาบางอย่างของไทยก็เป็นได้

วอชิงตันเรียกร้อง 'ความเป็นธรรม' สําหรับธุรกิจในสหรัฐฯ ในขณะที่ประเทศไทยต้องการให้มีการฝึกอบรบแรงงานที่ดีขึ้น มีการลงทุนที่มีคุณภาพสูงขึ้นและการแข่งขันทางธุรกิจที่มากขึ้น สิ่งเหล่านี้อาจมาพร้อมกับข้อจํากัดที่ผ่อนคลายสําหรับบุคคล บริษัท และผลิตภัณฑ์ต่างชาติในบางราย

อย่างไรก็ตาม อีกปัญหาสำคัญในไทยก็คือ นักลงทุนชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจากตะวันตกบางครั้งบ่นว่าการเปิดธุรกิจในจีนง่ายกว่าในประเทศไทยซึ่งเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ อีกทั้งการบังคับใช้ภาษีศุลกากรของไทยนั้นเป็นไปตามโดยอำเภอใจและมีการทุจริตเกิดขึ้น

การนําเข้าอาหารจากต่างแดนของสหรัฐฯ อาจสามารถช่วยแก้ไขผลผลิตที่ต่ำ ปัญหาด้านแรงงาน และการปฏิบัติต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเลวร้ายในภาคการเกษตรของไทย (ปัญหาการถางที่ดินในภาคการเกษตรของไทยทำให้ในต่างจังหวัด คุณภาพอากาศบางครั้งแย่กว่าที่กรุงปักกิ่ง) ก็เป็นได้

สิ่งที่นายทรัมป์ต้องการสำหรับการค้าก็คือความมี 'สมดุล' แม้ว่าคำว่าการดำเนินการอย่างเข้มงวดในด้านการค้าทวิภาคี คำนี้จะดูไม่สอดคล้องกับความจริงและดูไม่พึงปรารถนา แต่ถ้าหากไทยมีการเจรจาจนสามารถทำให้คนไทยได้ประโยชน์จากค่าแรงสูงขึ้น พัฒนาบริการสังคม เพิ่มการแข็งค่าสกุลเงิน และเพิ่มทุนการศึกษาของการศึกษาในต่างแดน ถ้าทำได้ทั้งหมดที่ว่ามานี้ก็จะช่วยลดการเกินดุลการค้าของไทยลงได้

เรียบเรียงจาก: https://eastasiaforum.org/2025/04/26/us-trade-threats-leave-thailand-in-a-bind/

https://www.isranews.org/article/isranews-scoop/137593-isranews-TTTRPTRUMP.html


‘สิงคโปร์’ กำลังเปลี่ยนไป ไม่นานมานี้ รัฐบาลสิงคโปร์เริ่มขยับเก็บภาษีจากคนรวยมากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในประเทศ ด้วยเหตุนี้ คนรวยระส่ำคิดย้ายประเทศ ?



นโยบายเก็บ ‘ภาษีคนรวย’ ในสิงคโปร์กำลังได้ผล? คนรวยระส่ำคิดย้ายประเทศ

29 เม.ย. 2568
Ayosiri
Workpoint Today

หนึ่งในประเทศที่เหล่ามหาเศรษฐีนิยมย้ายไปใช้ชีวิตมากที่สุดคือ ‘สิงคโปร์’ เพราะมีนโยบายภาษีที่เอื้อต่อการสะสมความมั่งคั่ง ทำให้สิงคโปร์กลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของเศรษฐีทั่วโลก แต่ไม่นานมานี้ รัฐบาลสิงคโปร์เริ่มขยับเก็บภาษีจากคนรวยมากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในประเทศ ส่งผลให้เศรษฐีบางกลุ่มเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังแบกรับภาระมากเกินไป

พูดง่ายๆ ว่า รายได้จากภาษีของพวกเขาถูกนำไปช่วยเหลือคนในประเทศมากกว่าที่รัฐบาลให้การสนับสนุนพวกเขาเอง

[ เศรษฐีจับตานโยบายใหม่รัฐบาลสิงคโปร์ อาจเก็บภาษีสูงเกินไป ]

ช่วงนี้เหล่าเศรษฐีกำลังจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะสิงคโปร์กำลังจะมีการเลือกตั้งครั้งใหญ่ในไม่กี่วันนี้ ซึ่งรัฐบาลต้องพยายามรักษาความน่าสนใจในฐานะศูนย์กลางความมั่งคั่งระดับโลก ขณะเดียวกันก็ต้องตอบสนองเสียงเรียกร้องในประเทศที่ต้องการลดช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน หนึ่งในมาตรการสำคัญคือการปรับขึ้นภาษีสำหรับคนมั่งคั่ง

ความกังวลในหมู่เศรษฐีเริ่มปรากฏชัด บางคนเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ เช่น ย้ายไปตั้งถิ่นฐานที่ดูไบหรืออาบูดาบี ขณะเดียวกันประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียและอินโดนีเซียก็เร่งโปรโมทนโยบายดึงดูดเศรษฐี ด้วยการส่งเสริมการตั้งกองทุนครอบครัว หรือที่เรียกกันว่า “Family Office”

สำหรับมาตรการภาษีใหม่ที่คนรวยต้องเจออัตราภาษีเงินได้สูงสุดขยับเป็น 24% ขึ้นภาษีอสังหาริมทรัพย์หรู และรถยนต์หรู เพิ่มอัตราอากรแสตมป์ (stamp duty) สำหรับชาวต่างชาติที่ซื้ออสังหาฯ เป็น 60% จากข้อมูลของ Henley & Partners ที่ผ่านมามีมหาเศรษฐีทั่วโลกย้ายเข้ามาอยู่ในสิงคโปร์ กว่า 3,500 คน มี family office ก่อตั้งอยู่มากกว่า 2,000 แห่ง

กระทั่งช่วงปลายปี 2023 ‘ลอว์เรนซ์ หว่อง’ นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ กล่าวกับนักลงทุนว่า

“หากคุณอยากมาตั้งรกรากที่นี่ ต้องเคารพกฎกติกาและวัฒนธรรมของเรา หากคิดว่าทำไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร คุณสามารถนำเงินของคุณไปที่อื่นได้” คำพูดนี้คือการส่งสัญญาณชัดว่าถ้า จะย้ายมาสิงคโปร์ก็ต้องรับนโยบายภาษีให้ได้

ขณะที่ปัจจุบันเสียงสะท้อนจากมหาเศรษฐีในประเทศบางกลุ่มเริ่มรู้สึกว่าถูกเหมารวมกับนักลงทุนต่างชาติ โดยพวกเขามองว่าตัวเองมีส่วนช่วยเหลือสังคมสิงคโปร์มากกว่ากลุ่มนักลงทุนต่างชาติ

มีรายงานข่าวออกมาว่า สมาชิกในแวดวงครอบครัวมหาเศรษฐีหลายราย เล่าว่า พวกเขากำลังพิจารณาทางเลือกใหม่ เช่น ย้ายไปอยู่ดูไบหรืออาบูดาบี หากถูกเก็บภาษีมากเกินไป และบางคนก็กำลังพยายามพูดคุยกับคนใกล้ชิดรัฐบาลเพื่อหาความชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางบริหารมหาเศรษฐีของสิงคโปร์

แม้ว่าตอนนี้ยังไม่มีการย้ายฐานการเงินครั้งใหญ่ แต่ผู้จัดการกองทุนครอบครัว (family office) หลายรายยอมรับว่าลูกค้ารู้สึกไม่พอใจที่ภาษีถูกปรับเพิ่มขึ้น

[ เพิ่มภาษี = ลดความเหลื่อมล้ำในประเทศได้ดี ]

แต่ก็ต้องยอมรับว่านโยบายเพิ่มภาษีของสิงคโปร์จะได้ผลจริงๆ เพราะรัฐบาลยืนยันว่า ระบบภาษีที่ “ก้าวหน้า” ของประเทศ ช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้เป็นรูปธรรม ทั้งการเก็บภาษีอสังหาริมทรัพย์หรู การควบคุมราคาบ้านใหม่ให้อยู่ในระดับที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ รวมถึงการแจกคูปองและเงินช่วยเหลือให้ครอบครัวรายได้กลางถึงต่ำ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากค่าครองชีพที่พุ่งสูง

แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องยอมรับว่าความเหลื่อมล้ำในเรื่อง “ทรัพย์สิน” ยังคงขยายกว้าง โดยข้อมูลจากธนาคาร UBS ชี้ว่า ในช่วง 15 ปี (จนถึงปี 2023) 
  • ทรัพย์สินเฉลี่ยของชาวสิงคโปร์เพิ่มขึ้นถึง 116%
  • ขณะที่ทรัพย์สินกึ่งกลาง (median) กลับลดลง 2%
แปลว่า คนรวย รวยขึ้นมาก แต่คนทั่วไปไม่ได้มั่งคั่งขึ้นตามกันเท่าไร

ถึงอย่างนั้นก็มีสัญญาณบวกให้เห็นบ้าง เช่น รายได้เฉลี่ยของคนสิงคโปร์เพิ่มขึ้น และความเหลื่อมล้ำในแง่ “รายได้” (เฉพาะเงินเดือน) ก็อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบกว่า 20 ปี แต่ทว่าในชีวิตจริง คนสิงคโปร์จำนวนมากยังรู้สึกถึงแรงกดดันอยู่ดี เพราะเมื่อขับรถไปแถวย่าน Orchard ก็มีแต่รถสปอร์ตวิ่งเต็มไปหมด ยิ่งเห็นยิ่งรู้สึกว่าตัวเอง “ควรมีมากกว่านี้”

ด้าน ‘David Black’ ซีอีโอ Blackbox Research ให้ความเห็นเรื่องนี้ว่า “แม้คนสิงคโปร์วันนี้จะรวยกว่ารุ่นพ่อแม่ แต่ความคาดหวังก็สูงขึ้นมากเช่นกัน”

อย่างไรก็ตาม ค่าครองชีพในสิงคโปร์ก็ยังคงสูงลิ่ว แม้อัตราเงินเฟ้อจะลดลงจนอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี แต่สิงคโปร์ก็ยังติดอันดับเมืองที่ค่าครองชีพแพงที่สุดในโลกอยู่ดี เช่น รถ Toyota Corolla มีราคาทะลุ 200,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ ราคาบ้านเอกชนพุ่งขึ้นเกือบ 30% ภายในระยะเวลาแค่ 4 ปี และแฟลต HDB (ที่อยู่อาศัยการเคหะสิงคโปร์) บางแห่งก็ขายต่อได้ในราคากว่า 1 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (25 ล้านบาท)

ในแง่นโยบาย นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ‘ลอว์เรนซ์ หว่อง’ เลือกที่จะเลี่ยงขึ้นภาษีเพิ่มเติมในช่วงการบริหารประเทศช่วงต้นๆ ของตัวเอง แต่หันไปเน้นช่วยเหลือครัวเรือนรายได้กลางถึงต่ำแทน เช่น การแจกคูปองซูเปอร์มาร์เก็ต การคืนเงินค่าไฟ และการลดภาษีเงินได้สำหรับครอบครัวใหญ่ๆ เพื่อพยุงกำลังซื้อในช่วงค่าครองชีพสูง ขณะเดียวกันผู้นำประเทศก็พยายามสร้างภาพลักษณ์ติดดินให้คนสิงคโปร์เห็น

ทว่าการเปลี่ยนแนวคิดของคนในประเทศที่ยังยึดติดว่าความมั่งคั่งต้องมาพร้อมกับมาตรฐานความสำเร็จแบบ “5C” ที่ว่าต้องมี รถ คอนโด บัตรเครดิตวงเงินสูง สมาชิกคันทรีคลับ และเงินสด (Car, Condominium, Credit Card, Country Club, Cash) ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก

สรุปว่า วันนี้ ความเหลื่อมล้ำในสิงคโปร์ไม่ใช่แค่เรื่องของรายได้หรือทรัพย์สินอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของ “ความรู้สึกกลัวตกขบวน” (fear of missing out) มากกว่าความลำบากจริงๆ

ส่วนมหาเศรษฐีที่อยู่ในประเทศก็ยังอยู่ระหว่างการประเมินสถานการณ์ให้รอบคอบ เพราะตอนนี้ไม่ว่าจะประเทศไหนก็มีแต่ ‘วิกฤตเศรษฐี’ อยากจะย้ายออกจากประเทศกันเสียทั้งนั้น

ที่มา
https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-04-24/singapore-billionaires-unsettled-by-tax-rises-to-narrow-wealth-gap?srnd=homepage-asia&sref=LQZclhPm

https://workpointtoday.com/sin760595-2/



วันอังคาร, เมษายน 29, 2568

รัฐบาลชินวัตรเดินหน้าแจกเงินหมื่นเฟส ๓ ไม่แยแสศัตรูเก่าฟ้อง ปปช.ส่งศาล รธน.สั่งพ้นตำแหน่ง แม้ ปชน.ไม่เอาด้วย กลับโดนทักษิณหยามหมิ่น ‘สึ่งตึง’

รัฐบาลชินวัตรเดินหน้าแจกเงินหมื่นเฟส ๓ ซึ่งไม่แน่ว่าจะเป็น ดิจิทัลได้หรือยัง แต่ รมช.คลังก็ยืนยันว่าถึงอย่างไรแจกแน่ กลุ่มอายุ ๑๖-๒๐ ปี ๒.๗ ล้านคน ช่วงเดือนพฤษภา-มิถุนานี้เลย อาทิตย์หน้าจะเริ่มชงเข้า ครม.ไม่แยแสเสียงนกเสียงกา

ดังนั้นเมื่อถูกตั้งคำถามเรื่องกลุ่ม ชาญชัย อิสระฯ สมชาย แสวงฯ เจษฎ์ โทณะฯ และนิติธร ล้ำฯยื่นฟ้องต่อ ปปช.ไว้ในความผิด ม.๑๔๔ ของรัฐธรรมนูญ กรณีปรับลดงบชำระหนี้ธนาคารรัฐ ๕ แห่ง ๓.๕ หมื่นล้านบาท ไปไว้ที่ งบกลาง เพื่อใช้แจกเงินหมื่น

จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ตอบหน้าตายว่า “มั่นใจกระบวนการดึงงบฯ ๖๘ ถูกต้อง” นักข่าวยิงคำถามเดียวกันใส่ ภูมิธรรม เวชยชัย ว่าคนฟ้องเขาต้องการเอาผิด ให้ ปปช.ส่งถึงศาลรัฐธรรมนูญสั่งพ้นตำแหน่งกันทั้งยวง ตั้งแต่ ครม.ไปถึง ส.ส.-สว.ที่โหวตให้งบประมาณ ๖๘ ผ่าน

ทั่นรองฯ อ้วนบอก “ก็ให้ ปปช.เขาว่าไป” แคร์ซะที่ไหน ไม่ว่าฝ่ายคนฟ้องจะแจงยิบอย่างไร อ้างว่า “นี่ไม่ใช่เพียงตรวจสอบโครงการแจกเงิน แต่ให้เป็นบทพิสูจน์ว่าประเทศไทยยังมีหลักการ ในการปกป้องอนาคตทางเศรษฐกิจอยู่หรือไม่”

เขาอ้างรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๔๔ ว่า “ถูกวางขึ้นอย่างละเอียดรัดกุม เพื่อห้าม ส.ส., กมธ., หรือแม้แต่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี แก้ไข เปลี่ยนแปลงงบประมาณ โดยมิใช่ในทาง ลดหรือตัดทอน รายจ่ายที่เป็นหนี้” เงินกู้ ทั้งต้นและดอกเบี้ย

The Publisher สิ่งพิมพ์ออนไลน์ เขียนถึงเรื่องนี้ว่า ม.๑๔๔ “เขียนขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้รัฐบาลใดเอาเงินที่ต้องใช้หนี้ ไปแจกเพื่อหวังคะแนนเสียงระยะสั้น หากยอมให้ทำได้นอกจากทำลายวินัยการคลัง ยังเปิดช่องให้อนาคตไทยต้องกู้ซ้ำ หนี้พอก ดอกเบี้ยบาน”

ซ้ำย้ำด้วยว่า นี่ “ไม่ใช่เรื่องของนิติสงคราม แต่คือกรรมที่เกิดจากการเลือกใช้อำนาจผิดทางของตัวเอง...ไม่ใช่ไล่ล่า แต่ทำผิด คาตาก็ต้องชดใช้ เขาว่างบชำระหนี้ที่โยกไป ๓๕,๐๐๐ ล้านบาท เป็นจุดตายของทั้งรัฐบาลเศรษฐาและแพทองธาร

“ต้องพ้นตำแหน่ง” กันระนาว ส.ส. ๓๐๙ คน สว.๑๗๕ คน กรรมาธิการงบประมาณอีก ๗๒ คน ที่โหวตผ่านงบประมาณ ๒๕๖๘ วาระสองและสาม แต่เรื่องอย่างนี้ทักษิณยิ่งไม่ยี่หระกว่าใคร ไปหาเสียงเชียงใหม่ ไม่เอ่ยถึงสักคำ

กลับกระทบกระแทกแดกดันหัวหน้าพรรคประชาชนว่า จะเอาแต่เรื่อง ๑๑๒ ไม่มีเพื่อน จึงตั้งรัฐบาลไม่ได้ ซ้ำร้ายหยามหมิ่นหัวหน้าพรรคของเขาว่า สึ่งตึงเสียอีก น่าเห็นใจพวกพรรคประชาชนตรงที่ ทั้งๆ ไม่ยอมร่วมหอลงโรงกับพวกร้อง ปปช.

ก็ยังไม่พ้นโดน เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส “ข้องใจ” เสียอีกว่า ไปฮั้วกับพรรคเพื่อไทย

(https://www.thai-tai.tv/news/18358/, https://thepublisherth.com/16162-2/ และ https://www.facebook.com/ThePoliticsByMatichon/posts/1109407117894449/) 

คลิปจาก Bhutan Broadcasting Service การเยือนราช​อาณาจักร​ภูฏาน​ ของ ร.10 และราชินีสุทิดา ก่อนเดินทางกลับไทย


𝗧𝗵𝗲𝗶𝗿 𝗠𝗮𝗷𝗲𝘀𝘁𝗶𝗲𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗞𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗻𝗱 𝗤𝘂𝗲𝗲𝗻 𝗼𝗳 𝗧𝗵𝗮𝗶𝗹𝗮𝗻𝗱 𝗰𝗼𝗻𝗰𝗹𝘂𝗱𝗲𝗱 𝗮 𝗵𝗶𝘀𝘁𝗼𝗿𝗶𝗰 𝗳𝗼𝘂𝗿-𝗱𝗮𝘆 𝗦𝘁𝗮𝘁𝗲 𝗩𝗶𝘀𝗶𝘁 𝘁𝗼 𝗕𝗵𝘂𝘁𝗮𝗻.

Bhutan Broadcasting Service

Apr 28, 2025

𝗧𝗵𝗲𝗶𝗿 𝗠𝗮𝗷𝗲𝘀𝘁𝗶𝗲𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗞𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗻𝗱 𝗤𝘂𝗲𝗲𝗻 𝗼𝗳 𝗧𝗵𝗮𝗶𝗹𝗮𝗻𝗱 𝗰𝗼𝗻𝗰𝗹𝘂𝗱𝗲𝗱 𝗮 𝗵𝗶𝘀𝘁𝗼𝗿𝗶𝗰 𝗳𝗼𝘂𝗿-𝗱𝗮𝘆 𝗦𝘁𝗮𝘁𝗲 𝗩𝗶𝘀𝗶𝘁 𝘁𝗼 𝗕𝗵𝘂𝘁𝗮𝗻, 𝗮𝗻𝗱 𝗱𝗲𝗽𝗮𝗿𝘁𝗲𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗰𝗼𝘂𝗻𝘁𝗿𝘆 𝗮𝗯𝗼𝗮𝗿𝗱 𝗮 𝘀𝗽𝗲𝗰𝗶𝗮𝗹 𝗥𝗼𝘆𝗮𝗹 𝗧𝗵𝗮𝗶 𝗔𝗶𝗿 𝗙𝗼𝗿𝗰𝗲 𝗳𝗹𝗶𝗴𝗵𝘁 𝘁𝗼 𝗕𝗮𝗻𝗴𝗸𝗼𝗸 𝘁𝗵𝗶𝘀 𝗮𝗳𝘁𝗲𝗿𝗻𝗼𝗼𝗻. 𝗧𝗵𝗲 𝗥𝗼𝘆𝗮𝗹 𝗩𝗶𝘀𝗶𝘁, 𝘄𝗵𝗶𝗰𝗵 𝘄𝗮𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝘃𝗲𝗿𝘆 𝗳𝗶𝗿𝘀𝘁 𝗦𝘁𝗮𝘁𝗲 𝗩𝗶𝘀𝗶𝘁 𝗼𝗳 𝘁𝗵𝗲 𝗞𝗶𝗻𝗴 𝗼𝗳 𝗧𝗵𝗮𝗶𝗹𝗮𝗻𝗱, 𝗵𝗼𝗹𝗱𝘀 𝘀𝗽𝗲𝗰𝗶𝗮𝗹 𝘀𝗶𝗴𝗻𝗶𝗳𝗶𝗰𝗮𝗻𝗰𝗲 𝗳𝗼𝗿 𝗯𝗼𝘁𝗵 𝗞𝗶𝗻𝗴𝗱𝗼𝗺𝘀. 𝗧𝗵𝗲𝗶𝗿 𝗠𝗮𝗷𝗲𝘀𝘁𝗶𝗲𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗗𝗿𝘂𝗸 𝗚𝘆𝗮𝗹𝗽𝗼 𝗮𝗻𝗱 𝗚𝘆𝗮𝗹𝘁𝘀𝘂𝗲𝗻 𝘃𝗶𝘀𝗶𝘁𝗲𝗱 𝘁𝗵𝗲 𝗔𝗶𝗿𝗽𝗼𝗿𝘁 𝘁𝗼 𝗽𝗲𝗿𝘀𝗼𝗻𝗮𝗹𝗹𝘆 𝘀𝗲𝗲 𝗼𝗳𝗳 𝗧𝗵𝗲𝗶𝗿 𝗠𝗮𝗷𝗲𝘀𝘁𝗶𝗲𝘀 𝘁𝗵𝗲 𝗞𝗶𝗻𝗴 𝗮𝗻𝗱 𝗤𝘂𝗲𝗲𝗻 𝗼𝗳 𝗧𝗵𝗮𝗶𝗹𝗮𝗻𝗱.

https://www.youtube.com/watch?v=P7iznMECOn8
.....

ภาพอนุทิน นาทีที่ 2.11




แชร์อีกภาพ รองนายกฯอนุทิน ทำหน้ารัฐมนตรีเกียรติยศ (ถือกระเป๋า) ติดตาม ร.10 และ ราชินีสุทิดา ขณะเยือนราช​อาณาจักร​ภูฏาน​


ภาพจาก Nithiwat Wannasiri
https://www.facebook.com/photo?fbid=9576232979128986&set=a.152292684856443


ข้างหลังภาพ ‘ภูฏาน’ ประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก แต่กวาดล้างชาติพันธุ์ ขังลืมนักโทษการเมือง


ข้างหลังภาพ ‘ภูฏาน’ ประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก แต่กวาดล้างชาติพันธุ์ ขังลืมนักโทษการเมือง

May 9, 2023
อัยย์ลดา แซ่โค้ว
The Momentum

‘ภูฏาน’ ดินแดนที่หลายคนมักขนานนามว่า ‘ประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก’ เมื่อสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก (Jigme Singye Wangchuck) พระราชบิดากษัตริย์องค์ปัจจุบัน จิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก (Jigme Khesar Namgyel Wangchuck) มีนโยบายสร้างความสุขให้กับคนในชาติ โดยใช้ค่า ‘GNH’ (Gross National Happiness) หรือดัชนีมวลรวมแห่งความสุข เป็นตัวชี้วัดด้านการพัฒนาประเทศ แทนการใช้ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจอย่าง ‘GDP’ (Gross Domestic Product) ซึ่งกลายเป็นเนื้อหาส่วนหนึ่งในรัฐธรรมนูญภูฏานนับตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา

แต่ใครจะรู้ว่า ข้างหลังภาพประเทศแห่งความสุขนี้ ยังมีเรื่องราวที่ถูกปิดกั้นจากโลกภายนอกหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองภายในและนักโทษทางการเมือง ในอดีต ดินแดนแห่งเทือกเขาหิมาลัยแห่งนี้เคยสร้างจำนวนผู้ลี้ภัยมากที่สุดในเอเชียใต้ในช่วงทศวรรษ 1990

ฮิวแมนไรต์วอตช์ (Human Rights Watch) เปิดเผยสถานการณ์น่าเป็นห่วงของภูฏาน หลังมีรายงานว่า นักโทษทางการเมืองอย่างน้อย 37 คน ถูกคุมขังในข้อหาก่ออาชญากรรมทางการเมืองต่อรัฐ อีกทั้งมีเรื่องราวการใช้ความรุนแรงกับเหล่านักโทษโหดร้ายเกินความเป็นมนุษย์

“การทรมานร่างกายนั้นไร้ความปรานีมาก เราจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกเหนือจากการปรากฏตัวต่อศาลตามคำเรียกร้อง และถ้อยแถลงของพวกเขา (กองกำลังความมั่นคง)” นักโทษการเมืองคนแรกอธิบาย

“พวกเขาจะทุบตีเรา เราจึงสารภาพ ทั้งที่มันไม่ใช่ความจริง” นักโทษการเมืองคนที่สองเผยความในใจ

ประวัติศาสตร์ที่ถูกลืม: การกวาดล้างชาติพันธุ์ (Ethnic Cleansing) และกระบวนการทำให้เป็น ‘ภูฏาน’ โดยชนชั้นนำและรัฐบาล

จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด สืบเนื่องจากปัญหาทางการเมืองตั้งแต่อดีต ที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ความเกลียดชังของชนชั้นนำประเทศและพลเมืองส่วนใหญ่ของภูฏานที่เรียกว่ากลุ่ม ‘งาล็อบ’ (Ngalop) ต่อชนพื้นเมืองเชื้อสายเนปาล หรือกลุ่ม ‘โลตชัมพา’ (Lhotsampa)

ทางการมองว่า โลตชัมพาเป็นภัยคุกคามของประเทศ กลืนกินเอกลักษณ์ ภาษาและวัฒนธรรมของชาติ โดยกล่าวหาว่า กลุ่มชาติพันธุ์นี้เป็นผู้มาใหม่ ไม่ใช่ชนพื้นเมืองดั้งเดิมในอดีต แต่ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ระบุว่า พวกเขาเป็นหนึ่งในชนพื้นเมืองของภูฏานนับตั้งแต่ทศวรรษ 1600 เมื่อกลุ่มชาติพันธุ์ ‘เนวาร์’ (Newar) แห่งเนปาล เดินทางมาสร้างสถูปในภูฏาน และตั้งรกรากในดินแดนตอนใต้ของประเทศ จนได้รับชื่อใหม่ว่า โลตชัมพา แปลว่ากลุ่มผู้คนจากทางใต้

รัฐบาลภายใต้ระบอบราชาธิปไตยจึงกวาดล้างกลุ่มชนพื้นเมืองนี้ โดยใช้กลยุทธ์ทางกฎหมายและการเมืองผสมผสานด้วยกระบวนการ ‘ทำให้เป็นภูฏาน’ (Bhutanization) นับตั้งแต่การออกกฎหมายสัญชาติพลเมือง กำหนดให้ผู้คนที่อาศัยในประเทศก่อนปี 1958 เท่านั้น จึงจะเป็นพลเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะชาวโลตชัมพาส่วนใหญ่ได้รับสัญชาติในปี 1958 ขึ้นไป

รวมถึงอดีตกษัตริย์จิกมีนำนโยบาย ‘หนึ่งประเทศ หนึ่งพลเมือง’ (One Nation, One People) เพื่อกีดกันชนพื้นเมืองไม่ให้ใช้ภาษาอื่น นอกจากภาษาภูฏานเป็นหลัก และห้ามพวกเขาสวมใส่ชุดประจำชาติของตนเอง เหล่านี้ทำให้กลุ่มโลตชัมพาไม่พอใจเป็นอย่างมาก

ชาวโลตชัมพากว่า 1 แสนคน เริ่มหนีออกจากประเทศในปี 1988 หลายคนอ้างว่ารัฐบาลภูฏานบังคับ หลังจากพวกเขาถูกตราหน้าว่า เป็นคนต่างด้าวผิดกฎหมาย ต้องเผชิญกับความรุนแรง และการเลือกปฏิบัติทางชาติพันธุ์จากกองกำลังทหาร

แต่สถานการณ์รุนแรงที่สุดในช่วงทศวรรษ 1990 คือการที่รัฐบาลพยายามปราบปรามกิจกรรมทางการเมือง เช่น การเรียกร้องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ซึ่งมีความหมายถึงการต่อต้านและทรยศต่อชาติ อีกทั้งเกิดการใช้ความรุนแรงต่อชาติพันธุ์ที่ไม่ใช่ภูฏานตามมายาคติ ผู้คนนับพันถูกจับกุม ทรมาน สังหาร หรือได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต

“รัฐบาลขับไล่ผู้คนเป็นจำนวนมาก พวกเขาเกือบทั้งหมดลงนามในแบบฟอร์มการย้ายถิ่นฐานโดยสมัครใจ ก่อนเดินทางออกจากประเทศ ทางการยังยึดเอกสารของประชาชนที่สามารถพิสูจน์สัญชาติภูฏานได้ เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่สามารถกลับมาได้อีกในอนาคต” รายงานบางส่วนจากกลยุทธ์กวาดล้างชาติพันธุ์ของรัฐบาลภูฏานในเวลาดังกล่าว


ผู้ลี้ภัยกับพาสปอร์ตภูฏาน (ที่มา: Wikimedia Commons/ Alemaugil)

นักโทษทางการเมืองในปัจจุบัน: มรดกจากความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ของรัฐบาลภูฏาน

แม้เรื่องราวดังกล่าวจะผ่านไปถึง 2 ทศวรรษ ผู้ลี้ภัยนับแสนรายได้รับการช่วยเหลือและตั้งรกรากในดินแดนต่างๆ สำเร็จ แต่ที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก คือกลุ่มผู้คนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ซึ่งฮิวแมนไรต์วอตช์เผยว่า ภูฏานมีนักโทษทางการเมืองถูกคุมขังยาวนาน โดยที่ไม่มีโอกาสรอการลงอาญาตั้งแต่ปี 1990

นักโทษทางการเมืองประกอบด้วยอดีตทหาร 8 นายของกองทัพภูฏานที่พูดภาษาเนปาลได้ พวกเขาถูกกล่าวหาว่า เข้าร่วมการประท้วงในคุกลับอันห่างไกลที่ใช้สำหรับขังอดีตข้าราชการในข้อหากบฏ รวมถึงกลุ่มชาวโลตชัมพาอีก 15 คน ถูกจองจำนับตั้งแต่ปี 2008 และ 2012 กลุ่มคนเหล่านี้เคยเป็นผู้ที่หนีออกจากภูฏานตั้งแต่วัยเด็กพร้อมครอบครัว แต่กลับมายังที่นี่ เพื่อรณรงค์ ‘สิทธิในการกลับประเทศ’ ที่เสนอโดยพรรคคอมมิวนิสต์ภูฏาน

พวกเขาถูกจับได้ไม่นานหลังจากมาถึงในข้อหากบฏ ซึ่งมีหลักฐานคือการพกพาอาวุธขนาดเล็กและเอกสารทางการเมือง อัยการให้เหตุผลว่า เพราะครอบครัวของพวกเขาหนีไปตั้งแต่ยังเป็นเด็ก นั่นหมายถึงการละทิ้งประเทศและเป็นศัตรูของภูฏานไปโดยปริยาย

นอกจากนั้น ยังมีนักโทษทางการเมือง 5 คนที่เรียกว่า ‘ซาร์ชอป’ (Sarchops) มีความหมายว่าชาวตะวันออก ได้แก่ ชาย 4 คน กับหญิง 1 คน ถูกคุมขังด้วยข้อหาเชื่อมโยงกับพรรคการเมืองต้องห้าม คือพรรคดรุกคองเกรสแห่งชาติ (Druk National Congress) เพราะเรียกร้องประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (Parliamentary System) และสิทธิมนุษยชนในช่วงปี 1990

“เขาถูกทรมานโดยกองทัพ (…) พวกเขา (นักโทษ) ถูกเฆี่ยนตีและเผา ตอนที่ฉันพบเขา เขาเศร้ามากนะ น้ำตาเต็มใบหน้าเขาไปหมดเลย” พี่สาวของนักโทษคนหนึ่งซึ่งถูกจับกุมในปี 2008 และถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตกล่าว

“คุณต้องอยู่กับเราต่อ ส่วนพวกเขา (ฮิวแมนไรต์วอตช์) จะกลับพรุ่งนี้ เพราะฉะนั้น คิดให้ดีก่อนจะพูดอะไร” นักโทษทางการเมืองนิรนามบอกเล่าเรื่องระหว่างเขากับผู้คุม หลังจากเขาคิดจะเล่าเรื่องราวอันโหดร้ายให้เจ้าหน้าที่ภายนอกฟัง

กระบวนการยุติธรรมของภูฏานมีข้อกังขาจากหน่วยงานพิทักษ์สิทธิมนุษยชนอย่างมาก ผู้ต้องหาไม่สามารถมีทนายแก้ต่างในการพิจารณาคดี และไม่มีโอกาสถูกปล่อยตัว แม้ว่าจะมีชีวิตก็ตาม ยกเว้นแต่จะได้รับการนิรโทษกรรม และนำการพิพากษาโทษมาพิจารณาใหม่

อีกทั้ง คนภายนอกยังไม่รู้เลยว่า นักโทษถูกห้ามไม่ให้ใช้โทรศัพท์เพื่อติดต่อ และไม่สามารถส่งจดหมายไปยังครอบครัวของพวกเขาในดินแดนใหม่ องค์กรสิทธิมนุษยชนชี้ว่า สิ่งนี้สร้างความสะเทือนใจให้กับตัวนักโทษและคนที่รักเป็นอย่างมาก

ฮิวแมนไรต์วอตช์ทิ้งท้ายว่า ภูฏานควรปล่อยตัวนักโทษการเมืองทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากพิจารณาถึง ‘หลักความเมตตา’ ตามศาสนาพุทธนิกายมหายาน ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติของภูฏาน รวมถึงกษัตริย์จิกมีองค์ปัจจุบันมีอำนาจพิเศษในการปล่อยตัวนักโทษเหล่านี้ ดังที่จิกมี พระราชบิดา เคยนิรโทษกรรมนักโทษทางการเมืองจำนวน 40 คนในปี 1999 นั่นเอง

อ้างอิง

https://blogs.adb.org/blog/your-questions-answered-what-bhutan-s-gross-national-happiness-index

https://thediplomat.com/2016/09/bhutans-dark-secret-the-lhotshampa-expulsion/

https://www.typeinvestigations.org/investigation/2009/04/19/nepalese-minority-poses-problem-bhutan/

https://www.hrw.org/news/2023/03/23/bhutans-long-serving-political-prisoners-should-be-released

Tags: จิกมี, การขังลืม, การเมืองภูฏาน, เนปาล, โลตชัมพา, การเมืองระหว่างประเทศ, สิทธิมนุษยชน, ภูฏาน, Human Rights Watch, Ethnic Cleansing, นักโทษทางการเมือง, การกวาดล้างชาติพันธุ์

https://themomentum.co/report-bhutan-regime-political-prisoners/
.....





https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid05dZ9RhnsUWPKwWffdFo3GMzk3B7AfHuBLas4mqPTY3dtafNTZZhBfmJRdj8q3jZRl&id=100004708576942
Eakapop Luara is with Gopal Poudyel Latte.
May 2, 2021
·
สองครอบครัวผู้ลี้ภัยมาเจอกันอีกครั้ง
ผู้ลี้ภัยไทย หนีลี้ภัยจากราชวงศ์จักรี(ผมและภรรยา)
ผู้ลี้ภัยชาวภูฏาน หนีลี้ภัยจากราชวงศ์วังชุก(ครอบครัวคุณโกปอล)
หลังจากที่ผมพาครอบครัวไปล่องเรือกลไฟเสร็จช่วงบ่าย ยังพอมีเวลาเหลือในช่วงค่ำ ก็แวะกันไปเยี่ยมเยียนเพื่อนเก่าที่ลี้ภัยมาในรุ่นเดียวกัน(ในช่วงปี2014) ตอนที่ผมมาNZในปีนั้น ครอบครัวของGopalก็ลงเครื่องมาพร้อมกันที่สนามบินAucklandที่เดียวกับผมและแฟนครับ
ครอบครัวของโกปอล ลี้ภัยหนีตายจากภูฏานเข้าไปสู่เนปาลเพื่อรอสถานะผู้ลี้ภัยในการไปประเทศที่สาม
ผมเองก็เช่นกันลี้ภัยหนีตายจากไทยเข้ากัมพูชาเพื่อรอไปประเทศที่สาม
ที่เราสองครอบครัวสนิทกันมากๆเพราะเราเจออะไรที่คล้ายๆกัน มาถึงค่ายผู้อพยพในวันและเวลาในปีเดียวกัน และพวกเราเริ่มตั้นต้นจากศูนย์สร้างเนื้อสร้างตัวกันใหม่ในNZไปพร้อมๆกัน แต่พอต่างคนต่างตั้งตัวกันได้มีบ้านมีรถมีงานการทำที่มั่นคง ส่วนมากก็จะไปอยู่ตามเมืองอื่นๆที่เราชอบ นานๆจะมาเจอกันสักครั้ง แต่ครั้งนี้เขามีสมาชิกใหม่เป็นลูกสาวพึ่งคลอด น่ารักเชียว
นี่ก็เป็นเรื่องราวที่ชีวิตของผู้ลี้ภัยจากทั่วทุกมุมโลกที่ได้มาเจอกันในประเทศใหม่ที่ให้เราได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ครอบครัวผมและครอบครัวของโกปอล ตั้งแต่ต้นทางที่โหดร้ายและปลายทางที่สวยงาม มีสิ่งที่พวกเรามีเหมือนกันก็คือ ลูกๆของพวกเราถือสัญชาติNZ100%(โดยกำเนิดเพราะเกิดที่นี่)และความสุขนี้จะอยู่จนวันที่พวกเราสิ้นลมในผืนดินของNZขอบคุณครับ
#ชีวิตผู้ลี้ภัย
#ชีวิตนอกร่มพระบารมี



ถ้าเห็นใครใส่นาฬิกาหรู อย่าคิดว่า เค้ายืมเพื่อนกันไปหมดสิครับ แฟนซื้อให้ก็มีเยอะนะ


.....

.....

วิวาทะ V2
12 hours ago
·
"ถือโอกาสโฆษณาเลยนะครับ ให้โรมเป็นพรีเซนเตอร์ไหม"
- มิตรฯ
https://www.facebook.com/share/r/181nqrr3ok/
...
Seiko Club by Seiko Thailand
Yesterday
·
อุ๊ย!..ผมเองครับน้องโก้ บุคคลในข่าว..ไม่กล้าไปโหน..แต่ขอแสดงตัวเพื่อไม่ให้สับสน ในนี้แทนนะครับ
Seiko Prospex 1968 Heritage Diver’s GMT นาฬิกาที่แสดงเวลาได้สองประเทศ มาพร้อมกลไกการทำงาน 6R54 สามารถสำรองพลังงานได้ยาวนานถึง 3 วันหรือ (72 ชม.) หน้าปัดและขอบตัวเรือนเซรามิก พร้อมประสิทธิภาพในการดำน้ำลึกได้ถึงระดับ 200 เมตร ภายใต้รหัส SPB383J สนนราคา 70,500 บาท พบเจอตัวจริงได้ที่เคาท์เตอร์ไซโกครับผม




ปัญหาโรงเหล็กจีนคุณภาพต่ำ ที่ถล่มตลาดเหล็กไทยผ่านมาตลอด 10 ปี จะทำให้วงการเหล็กไทย ล้าหลังจากนานาชาติไป 15 ปี ...เป็นอย่างต่ำ คนขายเหล็กก่อสร้าง จะมาเล่าให้ฟัง

ภาพจาก พันทิป

Anuchat Panomchokpisal
14 hours ago
·
ปัญหาโรงเหล็กจีนคุณภาพต่ำ ที่ถล่มตลาดเหล็กไทยผ่านมาตลอด 10 ปี
จะทำให้วงการเหล็กไทย ล้าหลังจากนานาชาติไป 15 ปี ...เป็นอย่างต่ำ
มาๆ กุจะเล่าให้ฟังคร่าวๆ
"มีเหล็กเส้น ข้ออ้อย ที่ผลิตด้วยเตาหลอม EF ไหมครับ ?"
เป็นสิ่งที่ลูกค้ากุถามกันแทบทุกวันเลยช่วงนี้
คำตอบคือ "ไม่มีครับ ...ยังไม่มีครับ ...พยายามเอามาขายให้ไวที่สุดอยู่เหมือนกันครับ"
เพราะก่อนหน้านี้ เหล็กเส้นข้ออ้อยส่วนใหญ่ ที่ใช้งานทั่วไปในไทย เป็นเหล็กเตาหลอม IF ทั้งนั้น
...ไม่มีร้านไหนเอาเหล็ก EF มาขายหร้อก เพราะใบมอก.แม่งก็เหมือนกัน คุณภาพก็ผ่าน แต่ EF ดันแพงกว่ามาก ให้ฟิลเหมือนของแบรนด์หรูขึ้นห้างแล้วอัพราคา
แต่ตอนนี้ทุกร้านเหล็กพยายามแย่งสั่งสต็อคแบบ EF กันหมด หลังจากข่าวตึกสตง. โรงเหล็ก SKY และการเปิดโปงขบวนการโรงเหล็กจีนถล่มไทย ที่สร้างความตื่นรู้เรื่องเหล็กให้กับผู้ใช้คนไทย หรือแม้แต่ตัวร้านเหล็กเอง อย่างกว้างขวาง
[** ง่ายๆ เตา IF คือ หลอมด้วยความร้อน(แบบดั่งเดิม) // เตา EF คือ หลอมด้วยไฟฟ้าเหนี่ยวนำ
- IF ทำลายสิ่งแวดล้อมกว่า ควบคุมคุณภาพเหล็กที่ผลิตมาได้น้อยกว่า ...แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเหล็กจะห่วย ถ้าสมอ.ตรวจดีๆก็ผ่าน มอก.ได้ (เพราะกฎหมายไทยยังไม่แยก มอก.เหล็กIF กับ มอก.เหล็กEF แต่ประเทศอื่นแยกมาตรฐานกันนานแล้ว)
- EF ดีกว่าในทุกทาง ควบคุมคุณภาพเหล็กได้สม่ำเสมอ ไม่สร้างมลพิษ แต่ต้นทุนแพงกว่า]
อ่าห้ะ ...
เตาหลอม IF คือสิ่งที่รัฐบาลจีน "แบน" จากประเทศตัวเองเมื่อปี 2560 แต่ประกาศล่วงหน้าหลายปีให้คนจีนเองเตรียมตัวก่อน
แต่โชคร้ายสำหรับเรา ..รัฐบาลไทยตอนนั้นที่เราทราบกันดีว่า บังเอิ๊ญบังเอิญ คือรัฐบาลทหารที่เข้ายึดอำนาจพอดี
ในขณะที่นานาประเทศพร้อมใจกันประกาศ "แบนเตาหลอม IF ไปพร้อมๆพี่จีน" หรือ "ออกกฎหมายห้ามตั้งโรงงานหลอมเหล็กใหม่ 5 ปี" เพื่อป้องกันไม่ให้เตาหลอม IF เก่าๆโทรมๆจากจีน ย้ายมาถล่มโรงเหล็กประเทศตัวเอง
ร้าบานทหารกลับไป "เชื้อเชิญ" ให้จีนเอาเตาหลอม มาตั้งโรงงานในไทย (อ้างอิงจากข่าววันก่อน ที่ทนายโรงงาน SKY บอกว่าตอนนั้นไทยเป็นฝ่ายออกตัวเชิญให้มาลงทุน)
ทำให้โรงเหล็กเตา IF จากจีนแห่ย้ายมาที่ไทยตั้งแต่ช่วง 2557-2559 จำนวนมาก
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ก็มีโรงหลอมเหล็กไทยแท้หลายโรง ที่แต่เดิมเป็นเตา IF ดำเนินธุรกิจมาครึ่งศตวรรษ
ดันเกิดอยากตามเทรนด์โลก ลงทุนหลายพันล้าน เปลี่ยนเตาหลอมเป็นแบบ EF
ผลคือ เจ๊ง !
จะเหลือเรอะ 55555555
ผลิตเหล็ก EF มาขาย ราคาแม่งก็สูง knowhowก็ยังไม่ค่อยมี ร้าบานก็ไม่ช่วยเหลือ ไม่แม้แต่จะปกป้องโรงเหล็กคนไทยเองจากเสือสิงกระทิงแรดแผ่นดินจีน
เอาจริงโรงเหล็กไทยแท้ที่เป็นเตา IF เองยังเจ๊งเลย เพราะโรงเหล็กจีนที่เข้ามามันถล่มราคาหนักมาก
ไม่นับรวมที่นำเข้าเป็นเหล็กรูปพรรณสำเร็จมาจากโรงงานที่จีน ก็ถมถุยให้เละไปอีก
แม่งบดขยี้ตลาดเหล็กไทยแบบยับเยิน ต้นน้ำ supply chain เสียหายหนักมาก
โรงที่เจ๊งไปแล้วก็คือจบไป โรงที่ยังเหลืออยู่ก็ไม่รู้มีกำลังผลิตมากแค่ไหน หรือจะกลายเป็นวงการผูกขาดแล้วเป็นปัญหาคาราคาซังในอนาคตอีก
แล้วตอนนี้เห็น รมว.อุตฯ คุณเอกนัฏ ออกมาบอกว่าจะสั่งแบนเตาหลอม IF ใน 1 เดือน
โอโห ..ในแง่นึงมันฟังดูดีครับ ยังไงเสียมันก็ต้องแบนแหละ เตา IF น่ะ
แต่สภาพตอนนี้ในวงการเหล็ก แม่งคือกลียุคขนาดย่อมๆเลย 55555555555
ประกาศกะทันหัน เล่นใช้ยาแรงฉีดคีโมเบอร์นี้
จะเอาเตาหลอม EF ไหนมาผลิต ???
ก็ในเมื่อโรงเหล็กที่มีเตาแม่งเจ๊งไปเกือบหมดแล้วไง แถมเสือกเจ๊งเพราะฝีมือพวกท่านนั่นล่ะครับ
แล้วต่อให้ผ่านพ้นช่วงวุ่นวายนี้ไป ปัญหาที่ยังคงหลอกหลอนวงการเหล็กไทยอยู่ก็คือ ความสามารถในการแข่งขันของโรงผลิตเหล็กไทย
เหล็กไทยเคยมีชื่อเสียง มีคุณภาพสูงมากนะครับ สูงกว่า JIS ของญี่ปุ่น สูงเท่าเทียมเกรดของเยอรมัน
แต่ตอนนี้เราเหลือความสามารถแค่ไหน ?? เรายังส่งออกเหล็กได้แค่ไหน ??
ภาพลักษณ์ในสายตานานาประเทศ เราจะเหลืออะไร ???
ในเมื่อเราเพิ่งมีความพยายามจะแบนเตาหลอม IF ทั้งๆที่ประเทศอื่นเขาแบนมาจะสิบปีแล้ว
หลังจากนี้เราต้องใช้เวลาอีกเท่าไหร่ ถึงจะชดเชย "ทศวรรษแห่งความเสื่อมถอย" ที่รัฐบาลทหารทิ้งไว้
เราตามหลังประเทศอื่นๆไม่ใช่แค่ 10ปี แต่นับไปถึงอนาคตอีกเป็น 10ปี ที่ต้องสร้าง infrastructure ที่เจ๊งไปแล้วขึ้นมาใหม่ สั่งสมknowhowให้ผลิตได้เก่ง สร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้าของไทย สร้างมาตรฐานที่น่าเชื่อถือกลับสู่ตรา มอก.
กุไม่รู้จริงๆ ว่าความฉิบหายที่เกิดขึ้นกับวงการเหล็ก
มีพวกพ้องรัฐบาลทหารคนไหนร่ำรวยมั่งคั่งบ้าง และได้มากกี่ร้อยล้านกี่พันล้าน
แต่บาปกรรมที่ตกสู่คนไทยรุ่นหลัง ที่ต้องรับกรรมอย่างยาวนานต่อเนื่อง หรือเป็นไปได้สูงที่เราอาจไม่สามารถกลับมายืนในจุดเดิมที่เคยเป็นประเทศผู้นำด้านต่างๆได้อีกเลย
เราล้าหลังและพ่ายแพ้ เป็นได้เพียงประเทศกำลังพัฒนาตลอดชั่วลูกหลาน
"คิดถึงลุงตู่" ให้เยอะๆแล้วกัน
ปล. สำหรับคนที่อยากดีเฟ้นด์ว่าร้าบานนั้นอาจจะแค่โง่ ไม่รู้เรื่องหรือเปล่า ...ลองย้อนเซิร์จได้ครับว่าสมาคมผู้ผลิตเหล็กไทยมีความพยายามส่งหนังสือแจ้งปัญหาเรื่องนี้ ขอความช่วยเหลือ และแนะแนวทางให้ออกกฎหมายช่วยเหลือผู้ประกอบการไทย "ตลอดมา" ..แต่ก็ไม่มี หรือมีก็เตะถ่วงช้ามาก ช้าจนดูตั้งใจ
ปลล. เนื่องจากถูกแชร์เยอะ ขอแก้ไขข้อความให้รุนแรงน้อยลงเพื่อลดความไม่สบายใจของคนอ่าน

https://www.facebook.com/sierrakung/posts/10234106911027382



คลิป นิรโทษกรรมประชาชน — เส้นทางสิทธิมนุษยชนเพื่ออนาคตของประเทศไทย


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
April 22
·
นิรโทษกรรมประชาชน — เส้นทางสิทธิมนุษยชนเพื่ออนาคตของประเทศไทย
.
.

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน was live.
10 hours ago
·
เริ่มแล้วตอนนี้ ! งานนิรโทษกรรมประชาชน — เส้นทางสิทธิมนุษยชน เพื่ออนาคตของประเทศไทย
.
.
ประเทศไทยกำลังอยู่บนทางแยกสำคัญด้านสิทธิมนุษยชน นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 มีประชาชนกว่า 5,000 คนถูกดำเนินคดีจากการแสดงออกทางการเมือง โดยเฉพาะหลังการชุมนุมในปี 2563 ที่มีเยาวชนจำนวนมากถูกฟ้องในคดีการเมือง และหลังจากที่ประเทศไทยมีรัฐบาลพลเรือนแล้ว แต่การดำเนินคดียังไม่สิ้นสุด
.
ในบริบทนี้ ร่างพรบนิรโทษกรรมที่เสนอโดยภาคประชาสังคม ถือเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นฟูความยุติธรรมและนำสู่การปรองดอง โดยมีเสียงสนับสนุนจากนานาชาติที่เรียกร้องให้ไทยเคารพสิทธิมนุษยชน
.
มาร่วมพูดคุยและแลกเปลี่ยนกับผู้ร่วมเสวนาด้วยกัน ในประเด็นนิรโทษกรรมที่จะมีผลกับอนาคตของประเทศไทย ดำเนินรายการโดย ยิ่งชีพ อัชฌานนท์
.
ผู้ร่วมเสวนา ได้แก่
.
อัครชัย ชัยมณีการเกษ หัวหน้าฝ่ายรณรงค์ระหว่างประเทศ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
เมลิญณ์ สุพิชชา นักกิจกรรม และผู้ลี้ภัยจากการถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112
ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาชน
ผศ.ดร เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์
.
.
วันจันทร์ที่ 28 เมษายน 2568
เวลา 17.00 – 20.00 น.
สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT)

https://www.facebook.com/watch/?v=1179136996851167