วันเสาร์, ตุลาคม 24, 2563

ในยุคนี้เมื่อมี ‘กล้ามาก’ ย่อมต้องมี ‘กลัวมาก’ ด้วยสินะ สภาพการณ์มันให้


ในยุคนี้เมื่อมี กล้ามาก ย่อมต้องมี กลัวมาก ด้วยสินะ สภาพการณ์มันให้

กล้ามาก คือคนที่ไปยืนชูภาพสาทิสลักษณ์รัชกาลที่ ๙ และพระราชินี โดดเด่นท่ามกลางการชุมนุมของเยาวชนปลดแอกที่หน้าห้างเซ็นทรัลพลาซ่า ปิ่นเกล้า เมื่อวันที่ ๒๐ ตุลา ซึ่งได้รับพระราชดำรัสชมเชยจากรัชกาลที่ ๑๐ ต่อหน้าพระพักตร์ขณะเฝ้ารับเสด็จเมื่อคืนวาน

กลัวมากไม่พ้นบรรดาคนหนุ่มสาวและเยาวชนที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงในประเทศ ตั้งแต่ขจัดความกดขี่ลุแก่อำนาจภายในสถานศึกษาโดยครูอาจารย์ต่อเด็ก ไปถึงปัญหาสังคม เสื้อผ้า หน้า ผม และประเด็นการเมือง จนกระทั่งถึงขอบข่ายอำนาจกษัตริย์

โดยตัวอย่างล่าสุดของความกลัว ที่แกนนำการชุมนุมถูกตำรวจนอกเครื่องแบบติดตามเพื่อจับกุมตัวในลักษณะ มาเฟียไม่มีบัตรประจำตัว ไม่มีหมายศาล และไม่แจ้งข้อกล่าวหา หลายครั้งโดยไม่ใส่ใจว่าข้อหาทางการตามหลักกฎหมายเป็นอย่างไร

๒๓ ตุลา อั๋ว จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ หนึ่งในแกนนำเยาวชนปลดแอกกำลังกลับจากการชุมนุม ภาคีนิรนาม ที่หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เลี้ยวมอเตอร์ไซค์ของตนเข้าปั๊มน้ำมันใกล้ๆ หมายจะใช้ห้องน้ำ เห็นมีชาย “๖-๗ คนขับรถมอเตอร์ไซด์ ๓ คัน และรถกระบะสีขาว ๑ คัน” ตามเข้าไป

อั๋วและเพื่อนจึงเปลี่ยนใจไม่จอด ขับวกออกไป กลุ่มมอเตอร์ไซค์และรถกระบะก็หันตามไม่หยุดหย่อน จึงไปจอดรถไว้ที่กลุ่มนักข่าวแล้วกลับเข้าไปยังที่ชุมนุม “สิ่งที่เราเจอ เราไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ถ้าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจทำไมจึงไม่ใส่เครื่องแบบ ไม่แสดงตัว”

จุฑาทิพย์บอกว่านั่น “เป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพ และเป็นการกระทำเยี่ยงโจร” ก่อนหน้านี้เมื่อ ๑ กันยา เธอเคยถูกเจ้าหน้าที่จู่เข้าจับกุมขณะขึ้นรถแท้กซี่จะไปเข้าชั้นเรียนที่ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ผู้จับกุมอ้างว่าจากความผิดการจัดชุมนุมเมื่อ ๑๘ กรกฎา

เหตุการณ์ทำนองนี้เกิดบ่อยๆ เรื่อยมา ต่อนักกิจกรรมต่อต้านรัฐบาลประยุทธ์จนถึงเหล่านักเรียนนักศึกษา แกนนำเยาวชนอีกคน มายด์ ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล เพิ่งโดน แทนที่ตำรวจนอกเครื่องแบบจะพาตัวไปสอบสวนที่สถานี กลับพาไปกักกันไว้ที่ค่าย ตชด.

ใครเลยจะรู้ว่าถ้าพวกเด็กเหล่านี้ไม่ รู้ทัน รีบโพทธนาการคุกคามผ่านสื่อสังคม จะมีกี่คนที่กลายเป็น 'ถูกอุ้มสูญหาย' เหมือนกับนักกิจกรรมต่อต้านรัฐประหารที่ไปลี้ภัยในเขมร ดังเช่นการบุกลักพาตัว ต้าร์ วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งลือไปทั่วโลกว่าองครักษ์เอกของ ร.๑๐ เป็นตัวการ


วันนี้เทร็นด์แฮ้สแท็กทวิตเตอร์อันดับ ๑ เป็น #23ตุลาวันตาสว่าง เนื่องเพราะคลิปเฝ้ารับเสด็จในหลวงฯ ของ 'Thitiwat Tanagaroon' กระฉ่อนว่าพระเจ้าอยู่หัวดำรัสกับเขา “กล้ามาก เก่งมาก...ขอบใจมาก” หลังจากราชินีสุทิดากราบทูลว่าคนนี้แหละที่ไปชูภาพพระราชบิดา

ในคลิป (ขณะเสด็จออกจากศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง) สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงตรัสกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า บุคคลดังกล่าวเป็นคนที่ยืนชูป้ายท่ามกลางผู้ประท้วงตนจำได้ พร้อมกล่าวขอบคุณมาก ขอบคุณมาก และเป็นกำลังใจให้”

เหตุการณ์ติดเทร็นด์ ตาสว่างอันดับ ๑ เพราะต่างนำไปเปรียบกับกรณีสมเด็จพระพันปีหลวงฯ สิริกิตติ์ เคยเสด็จงานศพ น้องโบว์อังครา ระดับปัญญาวุฒิ ผู้ชุมนุมเสื้อเหลืองเสียชีวิตจากการระเบิดปิงปองที่การ์ดพันธมิตรฯ ฝากไว้ในกระเป๋าเหน็บใต้รักแร้

นั่นก็คือความรุนแรงจากม็อบเสื้อเหลือง ๖๓ ซึ่งชักจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วในเวลานี้ ขณะที่ม็อบเยาวชนมีแต่คอยเลี่ยงการกระทบกระทั่ง นั้นจะมีภาพแบ็คดร็อปขนาดมหึมาของพระเจ้าอยู่หัว ร.๑๐ ทรงชมเชย ผู้แสดงตนปกป้องสถาบันฯ ปกคลุมคุ้มครองอยู่ตระการ

ข้อเสนอ ปฏิรูปพระราชอำนาจกษัตริย์ซึ่งกลุ่มเยาวชนปลดแอกเสนอไว้ ได้ถูก ‘toned down’ ทำให้เจือจาง “เพื่ออาจนำไปสู่ข้อสรุปที่ทุกฝ่ายพอจะรับได้ และเป็นแนวทางที่ปฏิบัติได้จริง” โดย Banyong Pongpanich อาจเป็นเพราะ ความกลัวเกิดสถานการณ์เข่นฆ่า ตาต่อตา ฟันต่อฟัน

บรรยงเสนอ “ปรับเปลี่ยนให้กลับไปเหมือนเดิม” ที่จุดก่อนรัชกาลที่ ๙ สวรรคต เพราะ “ภายใต้พระราชอำนาจ และพระราชทรัพย์ที่มีอยู่ ในรัชสมัยของ” พระองค์ “สามารถปกครองประเทศได้อย่างวิเศษ สร้างคุณูปการมหาศาล”

ในกรณี “พระราชอำนาจและพระราชทรัพย์ที่เพิ่มนั้น” บรรยงบอกว่า “พระมหากษัตริย์ก็ไม่ได้ทรงเรียกร้องต้องการแต่อย่างใด เป็นเพราะคณะ คสช.และรัฐบาลจัดถวายทั้งสิ้น” การแก้ไขให้กลับไปสู่จุดก่อนเปลี่ยนแปลง “จะเป็นการถอดสลักข้อขัดแย้งหลักได้อย่างสันติ”

ไม่ทราบว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นที่ Decharut Sukkumnoed คอมเม้นต์ว่า “ยังไม่เห็นด้วยนัก” กับพี่หรือเปล่า ในเมื่อหลายๆ คนก้เห็นแจ้งว่าการเปลี่ยนแปลงมาจากพระราชประสงค์ หลังจากที่ไม่ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญกลับเป้นเวลาสามวัน แล้วมีการแก้ไขก่อนประกาศใช้

ทำไปทำมาคนที่พูดเรื่องนี้อย่างค่อนข้าง ฟังได้อยู่กลับเป็นรอยัลลิสต์อย่าง กษิต ภิรมย์ อดีต รมว.ต่างประเทศ ที่ว่า “ข้อเรียกร้องปฏิรูปของนร.นศ.คือต้องการสถาบันกษัตริย์ที่โปร่งใสและตอบรับต่อสาธารณะ (transparency and accountability)

พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ เป็นผู้นำประเด็นดังกล่าวจากการ “ออกรายการสื่อ ตปท. THE NEWSMAKERS” ของกษิตมาวิจารณ์ต่อยอด เขาว่ากษิตเป็น “พวกนิยมกษัตริย์ที่ยังมีเหตุผลอยู่บ้าง” และ “อยากหวนคืน” ยุคทองของ ร.๙ “เช่นเดียวกับบรรยง พงษ์พานิช”

ทว่า “น่าเสียดายว่า อดีตนั้นไหลไปดั่งสายน้ำ ไม่มีวันหวนกลับ” หรือที่ Thotspol Teachaumpolkul เขียนต่อคอมเม้นต์ของเดชรัตว่า “Too Little Too Late ครับ”

(https://www.facebook.com/banyong.pongpanich/posts/1536728579863769, https://www.facebook.com/100000110080600/posts/3976710609009236/?extid=0&d=n, https://prachatai.com/journal/2020/10/90111 และ https://www.facebook.com/Prachatai/posts/10157856632146699)