ลงทุนแมน 16h
·
กลุ่มคน บริหารกิจการไทย มูลค่ารวมกัน กว่า 2,800,000,000,000 บาท รวมกันอยู่ในรูปเดียว /โดย ลงทุนแมน
นับว่าหาได้ยากที่จะมีรูปของนักธุรกิจขั้นสุดของประเทศไทย ที่มารวมตัวกันแบบนี้
หรืออาจเป็นเพราะว่า เมื่อก่อนอาจมีแบบนี้ แต่ไม่มีใครมาโพสต์รูปลง Twitter ทันทีเหมือนที่นายกฯ เศรษฐาทำ (Twitter เปลี่ยนชื่อเป็น X แล้ว)
รูปนี้ถูกโพสต์เมื่อวันที่ 28 ส.ค. 2566 เวลา 22.20 น. พร้อมข้อความว่า “มีโอกาสรับฟังความคิดเห็นจากภาคธุรกิจ มีประโยชน์มากครับ กับการพัฒนาประเทศ ขอบคุณท่าน ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย และแขกทุกท่านในวันนี้มากครับ ที่มาร่วมแสดงความยินดี”
แล้ว ดร.วิชิต คือใคร ?
ทำไมนายกฯ เศรษฐา ต้องพูดถึงแค่คนเดียว
ดร.วิชิต เป็นประธานกรรมการ บมจ.เอสซีบี เอกซ์ ซึ่งเป็นเจ้าของธนาคารไทยพาณิชย์ ที่เรารู้จักกันดี
ถ้าให้คาดเดาจากข้อความ ก็คงตีความได้ว่า นักธุรกิจเหล่านี้น่าจะเป็นลูกค้าของธนาคารไทยพาณิชย์ เนื่องจากธนาคารมีรายได้จากการให้สินเชื่อกับองค์กรขนาดใหญ่
และในวาระที่นายกฯ เศรษฐา ได้ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ดร.วิชิต ก็เลยชักชวนบุคคลเหล่านี้เข้ามาให้ความเห็นจากภาคธุรกิจ ในการพัฒนาประเทศ
แล้วบุคคลในรูปนี้สำคัญอย่างไร ?
ถ้าวัดกันที่ฐานแฟนคลับจากยอดผู้ติดตามแล้ว กลุ่มบุคคลในรูปนี้ ก็คงจะไม่ได้เป็นที่สนใจเหมือน ศิลปิน หรือดารา
แต่ถ้าวัดกันที่ “มูลค่ากิจการ” ที่บุคคลในรูปครอบครองอยู่ ก็ต้องบอกเลยว่า การรวมตัวของบุคคลระดับสูงสุดขององค์กรจำนวนมากขนาดนี้ แล้วมีภาพถ่ายที่เผยแพร่สู่สาธารณะออกมานั้น เป็นภาพที่หาได้ไม่ง่ายเลย
การวัดมูลค่า เป็นสิ่งที่ลงทุนแมนชอบทำ
สำหรับการวัดมูลค่าของกิจการ ส่วนใหญ่ก็จะเอามูลค่าตลาด หรือ Market Cap. ซึ่งคำนวณได้จากราคาหุ้น คูณด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท
แต่ถ้าบริษัทนั้นไม่ได้จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ก็จะใช้ ส่วนของผู้ถือหุ้น หรือ Book Value มาวัดว่ากิจการนั้นมีมูลค่าเท่าไร
แล้วแต่ละคนในรูปนี้ บริหารกิจการอะไร และมีมูลค่าเยอะแค่ไหน ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง..
เริ่มจากซ้ายไปขวา
--- สิริวัฒนภักดี ---
- คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี
กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ThaiBev ซึ่งเป็นลูกชายของเสี่ยเจริญ หรือ คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี
ThaiBev จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ เพราะเคยจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ไทย แล้วมีคนคัดค้านไม่ให้เข้า เพราะ ThaiBev ทำธุรกิจหลักคือสุรา ซึ่งขัดกับประเทศไทยที่เป็นเมืองพุทธ.. ปัจจุบันหุ้น ThaiBev เลยซื้อขายกันในตลาดสิงคโปร์ มีมูลค่าบริษัท 378,000 ล้านบาท
ThaiBev เป็นเจ้าของ
- ธุรกิจสุรา เช่น แสงโสม, หงส์ทอง, เบลนด์ 285
- ธุรกิจเบียร์ เช่น ช้าง
- ธุรกิจเครื่องดื่มและอาหาร เช่น เอส โคล่า, โออิชิ, ชาบูชิ
ปีที่แล้ว ThaiBev มีรายได้ 272,000 ล้านบาท กำไร 34,505 ล้านบาท
นอกจากนั้น กลุ่มสิริวัฒนภักดี ยังทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
- บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC มีมูลค่า 140,170 ล้านบาท
- บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT มีมูลค่า 35,500 ล้านบาท
โดยกลุ่มสิริวัฒนภักดี ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าของโครงการ ทั่วกรุงเทพฯ เช่น บนถนนพระรามที่ 4
กลุ่มสิริวัฒนภักดี เป็นเจ้าของโครงการ FYI Center, The PARQ, Samyan Mitrtown รวมถึง One Bangkok โดยแค่ทั้ง 4 โครงการนี้ มีมูลค่ารวมกัน 160,000 ล้านบาท
กลุ่มสิริวัฒนภักดี ยังเป็นเจ้าของธุรกิจค้าปลีกอย่าง BJC และเป็นเจ้าของห้าง Big C ที่ประเทศไทย มูลค่า 137,267 ล้านบาท และเป็นเจ้าของกลุ่มธุรกิจการเงินอย่างอาคเนย์อีกด้วย
--- SCBX ---
- คุณอาทิตย์ นันทวิทยา
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการ
บมจ.เอสซีบี เอกซ์
- ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย มากับภรรยา คุณชลีกร สุรพงษ์ชัย ซึ่ง ดร.วิชิต เป็นประธานกรรมการ บมจ.เอสซีบี เอกซ์ และเป็นบุคคลที่นายกฯ เศรษฐา กล่าวขอบคุณใน Twitter
ปัจจุบัน SCBX เป็นบริษัทที่เป็นเจ้าของธนาคารที่มีมูลค่ามากสุด ในประเทศไทย โดยมีมูลค่าบริษัท 394,000 ล้านบาท
ปีที่แล้ว มีรายได้ 145,162 ล้านบาท กำไร 37,546 ล้านบาท
SCBX เพิ่งปรับโครงสร้างเป็นบริษัทโฮลดิงใหม่ โดยเอาธนาคาร SCB มาอยู่ใต้ SCBX อีกที นอกจากนั้นยังแตกบริษัทออกมาให้แต่ละธุรกิจอยู่ภายใต้ SCBX เช่น CardX ที่ทำธุรกิจบัตรเครดิต InnovestX ที่ทำธุรกิจหลักทรัพย์
--- WHA ---
- คุณจรีพร จารุกรสกุล
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร รองประธานกรรมการบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA เป็นเจ้าของนิคมอุตสาหกรรมรายใหญ่ในไทย มีมูลค่าบริษัท 78,500 ล้านบาท
โดยคุณจรีพร ก็ยังนั่งเป็นกรรมการใน บมจ.เอสซีบี เอกซ์ อีกด้วย จึงไม่น่าแปลกใจที่ คุณจรีพรจะเป็นหนึ่งในนักธุรกิจที่ ดร.วิชิต ชักชวนให้เข้ามาร่วมในวันนั้น
ปี 2565 รายได้ 14,982 ล้านบาท กำไร 4,046 ล้านบาท
WHA เริ่มจากการสร้างอาคารคลังสินค้าให้ลูกค้า จนมาเทกโอเวอร์บริษัท เหมราช ทำให้ WHA ได้เข้าสู่ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งถือว่าเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในประเทศไทย ใครอยากมาเปิดโรงงานในประเทศไทย เชื่อได้ว่า WHA จะเป็นหนึ่งในตัวเลือกนั้น
--- ช.การช่าง ---
- คุณปลิว ตรีวิศวเวทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ของประเทศไทย มีมูลค่าบริษัท 39,468 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้ 19,438 ล้านบาท กำไร 1,105 ล้านบาท
CK เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ที่มักจะได้งานประมูลจากภาครัฐ ทั้งโครงการรถไฟฟ้า
สะพานข้ามแม่น้ำ และทางด่วน รวมไปถึงการก่อสร้างเขื่อนในประเทศลาว มูลค่าแต่ละโครงการเป็นหลักแสนล้านบาท
นอกจากนั้น ก็ยังเป็นเจ้าของธุรกิจโรงไฟฟ้า CPK มูลค่าบริษัท 30,000 ล้านบาท และธุรกิจรถไฟฟ้าใต้ดิน BEM มูลค่าบริษัท 134,000 ล้านบาทด้วย
--- กลุ่มซีพี ---
- คุณศุภชัย เจียรวนนท์
ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์
เป็นเจ้าของธุรกิจอาหารอย่าง บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือ CPF มีมูลค่าบริษัท 181,697 ล้านบาท
และธุรกิจค้าปลีก ตั้งแต่ร้านสะดวกซื้อ ไปจนถึงค้าส่ง อย่าง
- บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL
เจ้าของร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven มีมูลค่าบริษัท 590,639 ล้านบาท
- บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT
เจ้าของห้างค้าส่งอย่าง MAKRO และห้างค้าปลีกอย่าง Lotus’s มีมูลค่าบริษัท 375,601 ล้านบาท
- บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ที่เพิ่งควบรวมกิจการกับ DTAC มีมูลค่าบริษัท 238,000 ล้านบาท
- กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล หรือ DIF เจ้าของเสาสัญญาณเครือข่าย มีมูลค่า 98,874 ล้านบาท
--- กลุ่มคิง เพาเวอร์ ---
- คุณอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มคิง เพาเวอร์
เจ้าของธุรกิจขายสินค้าปลอดภาษีและอากร รวมถึงเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี
ยกตัวอย่างบริษัทในเครือ
คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ร้านค้าปลีกปลอดภาษี ย่านถนนรางน้ำ, พัทยา และสมุทรปราการ
ปี 2565 รายได้ 27,516 ล้านบาท กำไร 2,200 ล้านบาท มีมูลค่าตามบัญชี 11,692 ล้านบาท
คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ธุรกิจจำหน่ายสินค้าปลอดภาษี ภายในสนามบินทั่วประเทศที่ดูแลโดยท่าอากาศยานไทย (AOT) ปี 2565 รายได้ 17,748 ล้านบาท กำไร 3,752 ล้านบาท มีมูลค่าตามบัญชี 3,767 ล้านบาท
โดยทั้ง 2 บริษัท มีมูลค่าตามบัญชี หรือ Book Value 15,459 ล้านบาท
แต่ถ้าดูจากกำไรปีที่แล้ว 2 บริษัทนี้รวมกัน จะมีกำไรที่ 6,000 ล้านบาท หากเราประเมินว่า บริษัทนี้เข้ามาอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ และซื้อขายกันที่ P/E ประมาณ 20 เท่า ก็จะได้เป็นมูลค่าบริษัทราว 180,000 ล้านบาท
--- แสนสิริ ---
สุดท้าย ลูกสาวของนายกฯ เศรษฐาเอง ก็ยังมีรายชื่อในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บมจ.แสนสิริ ซึ่งบริษัทนี้ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีมูลค่า 32,000 ล้านบาท
ถ้าให้นับทุกธุรกิจในประเทศไทยแล้ว บุคคลในกลุ่มนี้ก็น่าจะเป็นขั้นสุดของกิจการ ทั้งไทยเบฟ, ซีพี, คิง เพาเวอร์ ที่มักจะติดอันดับเศรษฐีในประเทศไทยอยู่เสมอ ถ้าจะขาดไป ก็คงจะเป็น กลุ่มเซ็นทรัล, กลุ่มอยู่วิทยา, กลุ่มกัลฟ์ เท่านั้น
ซึ่งหากเรานำมูลค่าบริษัทเหล่านี้ มารวมกันแบบคร่าว ๆ ก็จะรวมได้เป็นว่า บุคคลในรูปภาพนี้ มีอำนาจในการบริหารกิจการ มูลค่ารวมกันมากถึง 2,800,000,000,000 บาท (อ่านว่า สองล้านแปดแสนล้านบาท) เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรก ที่ลงทุนแมนเห็นภาพ ผู้นำธุรกิจสูงสุดอยู่รวมกันมากขนาดนี้
ซึ่งก็ต้องหมายเหตุว่าทรัพย์สินของพวกเขาจริง ๆ อาจน้อยกว่ามูลค่ากิจการ เพราะกิจการเหล่านี้จะมีผู้ถือหุ้นรายอื่นร่วมถือหุ้นอยู่ด้วย
และมูลค่าของหลายบริษัทก็นับซ้ำ เช่น CPF ถือหุ้น CPALL และ CPALL ก็ถือหุ้น CPAXT ซึ่งเรื่องการนับซ้ำเป็นการคำนวณแบบง่ายที่ถือว่าทำได้ เพราะการวัดมูลค่าทั้งหมดของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเองก็จะนับซ้ำเช่นกัน และตัวตลาดหลักทรัพย์เอง หรือนักลงทุนเองก็นำตัวเลข Market Cap. รวมที่นับซ้ำไปเทียบ GDP ประเทศไทยเสมอ
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีประชากรทั้งหมด 66 ล้านคน และ GDP ประเทศไทยทั้งประเทศ มีมูลค่า 17,400,000,000,000 บาท
เมื่อคำนวณแล้ว
บุคคลจำนวน 10 คนที่อยู่ในภาพนี้
ครอบครองกิจการรวมกันมีมูลค่า คิดเป็น 16% ของ GDP ประเทศไทยเลยทีเดียว..