บ่องตงนะ ‘บิ๊กโจ๊ก’ ไม่พูดเสียจะดีกว่า
ลูกน้อง คสช.คนนี้พยายามแก้ตัวให้เจ้านาย เหมือนที่ลิ่วล้อในกระทรวงต่างประเทศปล่อยขี้เลื่อยเรื่องเลือกตั้ง
ต่างแต่ว่าผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยวซึ่งรับงานปกป้อง คสช.ครอบจักรวาล
ช่วยย้ำข้อกล่าวหาสื่อยุโรป ว่าเกาะสวรรค์ของไทยกลายเป็นเกาะแห่งความตายจริงๆ
“เรายอมรับว่าในอดีตที่ผ่านมามีมาเฟียอยู่ที่นั่นคอยเอาเปรียบนักท่องเที่ยว”
เป็นคำตอบที่พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้มีตำแหน่งรองโฆษกประจำตัวรองนายกฯ
ฝ่ายกลาโหม ของรัฐบาลทหารจากการยึดอำนาจอีกสถานะ ทำให้เขาถูกค่อนแคะว่า ‘เผือก’ ไปทุกเรื่อง บอกกับหนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์คไทมส์เมื่อวันก่อน
เรื่องราวของเกาะเต่า สวรรค์ของนักดำน้ำนานาชาติในยุคก่อนที่จะเกิดฆาตกรรมสยอง
ฆ่าข่มขืนนักท่องเที่ยวสาวอังกฤษและเพื่อนชายของเธอที่พยายามจะเข้าช่วย โดยเครื่องมือทำสวนพื้นบ้าน
‘จอบ’ เป็นของกลาง
ได้ถูกรายงานบนหน้าหนังสือพิมพ์ที่คนอ่านมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา
กรณีข่มขืนหญิงสาวชาวอังกฤษวัย ๑๙ ปีบนหาดทรายรีเมื่อเดือนมิถุนา
(บริเวณเดียวกับที่เกิดเหตุฆาตกรรม ฮันนาห์ วิทเธอริดจ์ กับเดวิด มิลเลอร์)
ที่ตำรวจไทยนำโดย ‘บิ๊กโจ๊ก’ สรุปว่าไม่มีหลักฐาน
แล้วแถลงปิดคดีไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ก่อกระแสโจมตีกระบวนการศาลและตำรวจไทยกระหึ่มในอังกฤษ
คราวนี้คนอเมริกันนับสิบๆ ล้านได้รับรู้เพิ่มเข้าไปอีก
จากการตีพิมพ์เรื่องราวในภาค ยูเอส เอดิชั่น ของเดอะนิวยอร์คไทมส์ ซึ่งเสนอภาพแห่งความล้าหลังของการทำคดีอาชญากรรมที่เกิดกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ท่ามกลางข้อกล่าวหาว่าเกิดจากน้ำมือของนักเลงท้องถิ่น
รายงานของนิวยอร์คไทมส์เป็นการต่อยอดจากที่สื่ออังกฤษได้ประโคมกันมาแล้ว
ด้วยคำให้สัมภาษณ์ของบิ๊กโจ๊กคนเก่ง ที่อ้างว่าตำรวจไทยได้ทำการปราบปรามอิทธิพลมาเฟียท้องถิ่นจนราบคาบไปแล้วตั้งแต่หลังจากเกิดคดีฆ่าฮันนาห์และเดวิด
(ย้อนดูรายละเอียดที่ https://thaienews.blogspot.com/2018/10/big-joke.html, https://thaienews.blogspot.com/2015/12/blog-post_53.html และ https://thaienews.blogspot.com/2016/01/blog-post_50.html)
“วันนี้ เรากำจัดพวกนั้น (มาเฟีย) หมดไปแล้ว” จะรวมถึงลูกชายกำนันเจ้าของบาร์ที่ชุมชนต่างชาติบนเกาะเต่าชี้นิ้วไปที่เขาด้วยหรือเปล่าไม่รู้
แต่คำของบิ๊กโจ๊กเป็นการยืนยันอย่างทางการด้วยปากของนายตำรวจใหญ่
ลูกน้องที่น่ารักของ คสช. อย่างแจ่มแจ้ง
ว่ามีอิทธิพลท้องที่บนเกาะเต่า ดังที่ชุมชนต่างชาติที่นั่นพยายามบอกกับชาวโลกหลังเกิดการฆาตกรรมสองหนุ่มสาวอังกฤษสี่ปีที่แล้ว
จริงๆ เช่นเดียวกับที่สื่ออังกฤษเอามาแฉถึงการเสียชีวิตของนักท่องเที่ยวบนเกาะเต่าอย่างปริศนาหลายราย
ตำรวจไทยไม่เคยนำตัวคนร้ายแท้จริงมาดำเนินคดีได้ นอกจาก ‘แพะ’ หนุ่มแรงงานข้ามชาติจากพม่าสองคน ในคดีสังหารฮันนาห์กับเดวิด ที่เป็นข่าวไปทั่วโลกเช่นกันว่าถูกตำรวจ
‘ดีดไข่’ ให้จำยอมสารภาพ
“นักท่องเที่ยวที่ตายรวมถึงชายชาวฝรั่งเศส ดิมิตริ พ้อพซี
วัย ๒๙ ผู้ที่ศพถูกแขวนคอมัดมือไพล่หลังในปี ๒๕๕๘
ซึ่งตำรวจไทยบอกว่าเป็นการฆ่าตัวตาย เมื่อปีที่แล้วนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียวัย ๒๓
ปี หายตัวไปในชุดดำน้ำ ตำรวจบอกว่าจมน้ำตาย”
อ้างถึงสื่ออังกฤษที่ว่าเกาะเต่าที่เคยเป็นเกาะสวรรค์ของนักท่องเที่ยวธรรมชาติ
เดี๋ยวนี้ถูกตั้งฉายาเป็น ‘เกาะแห่งความตาย’ –Death Island เดอะนิวยอร์คไทมส์วิจารณ์ว่า “ในสังคมแห่งการนบนอบผู้หลักผู้ใหญ่
ที่กระบวนการ #Me Too ยังไม่ลงไปถึง”
เจ้าหน้าที่ไทย รวมทั้งนายกรัฐมนตรี กล่าวหาสตรีต่างชาติที่ถูกข่มขืนว่า
“แต่งกายยั่วเย้าถึงได้โดน” ทำให้ทั่วโลกประท้วงด้วยแฮ้ชแท็ก #Don’tTellMeHowToDress แม้นว่าจะต้องมาแก้ตัวภายหลังว่าที่พูดไปไม่ได้หมายความอย่างนั้น
“ผมถามหน่อยว่าถ้าใส่บิกินี่ในประเทศไทยแล้วจะปลอดภัยหรือ
คงใช่ละถ้าไม่สวย” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดอย่างนี้ไงฝรั่งจึงย้อนเอาว่า “This is a kind of
mentality they have.”
ต่อคดีข่มขืนสาวอังกฤษรายล่าสุด
พ.ต.ต.สุรเชษฐ์ตอบข้อซักถามของ น.ส.พ.นิวยอร์คไทมส์ว่า ดีเอ็นเอที่พบบนเสื้อยืดทีเชิร์ตของผู้เคราะห์ร้ายเป็นของผู้ชาย
แต่ไม่มีร่องรอยน้ำอสุจิบนเสื้อตัวนั้น เมื่อนำดีเอ็นเอที่พบไปเทียบเคียงกับอาชญากรทั่วไปบนเกาะผู้ต้องสงสัย
๒๐ คนแล้วไม่ตรงกันเลย
อีกทั้งตำรวจไทยได้ทำการสอบสวนบุคคลราว ๒๐๐ ไม่พบหลักฐานใดๆ
เลยที่จะยืนยันข้อกล่าวหาถูกข่มขืนของสาววัย ๑๙ ปีดังกล่าว ‘บิ๊กโจ๊ก’
ผู้โด่งดังในหมู่ชาวอังกฤษที่อ่านแท้ปลอยเป็นประจำยังแก้ต่างการจับกุมผู้ใช้เฟชบุ๊ค
๑๒ คนที่แชร์รายงานข่มขืนของ นสพ.เดอะสมุยไทมส์ด้วยว่า
“โพสต์ที่คนเหล่านั้นแชร์ ระบุรูปพรรณของผู้ต้องหาอย่างผิดๆ
ทำให้ชายคนนั้นต้องตกงาน” ทว่าฮิวแมนไร้ท์ว้อทช์กลับชี้ว่าตำรวจไทยใช้กฎหมายคอมพิวเตอร์
อันมีโทษจำคุกถึง ๕ ปี เพื่อสกัดข้อครหาเรื่องตำรวจทำคดีอย่างสุกเอาเผากิน
โดยเฉพาะข้อหาของตำรวจที่ออกหมายจับต่อ ซูซาน บิวเคแนน
บรรณาธิการเดอะสมุยไทมส์ ว่าเธอ “กระทำผิดทางอาญาในประเทศไทย” ทั้งๆ ที่ “ฉันไม่ได้อยู่ในประเทศไทยมาสองปีครึ่งแล้ว”
ซูซานบอกกับนิวยอร์คไทมส์จากที่พักของเธอในสหรัฐ