วันพุธ, พฤศจิกายน 28, 2561

อีกสูตรเชื่อว่า ‘พลังประชารัฐ’ มาแน่ แต่ ‘ศรัทธา’ ของฝ่าย ‘ถูกเอารัดเอาเปรียบ’ ฮึดสู้

อีกสูตรตั้งรัฐบาลที่เชื่อว่า พลังประชารัฐมาแน่ เป็นนักวิชาการสถาบันพระปกเกล้า เห็นว่า วิชาดูดได้ผล เพราะคั้นหัวกระทิได้ประมาณ ๕๐ เขต แม้อีก ๓๐๐ เขตที่เหลือไม่ชนะ

ทว่าคะแนนเฉลี่ยใช้ได้ ทำให้จะมี ส.ส. แบบจัดสรรปันส่วนผสมถึง ๘๐ ที่นั่ง รวมกับ ส.ส.เขต เป็น ๑๓๐ ซึ่งร่วมกับ สว.๒๕๐ คนที่ คสช.ตั้งกับมือไว้โหวตเลือกนายกฯ ถ้า พปชร.เสนอชื่อประยุทธ์เป็นนายกฯ ก็ขาดลอย เกิน ๓๗๖ เสียงสบายๆ

แต่นายสติธร ธนานิธิโชติ บอกกับ คมชัดลึกว่า พปชร. “ไม่มีทางที่จะจัดตั้งรัฐบาลด้วยพรรคการเมืองเดียวแน่นอน อย่างน้อยต้องมี ๒-๓ พรรคเข้าร่วม” เขาคงหมายถึงแม้ได้ตัวนายกฯ แต่รัฐบาลจะไม่มั่นคง เพราะวุฒิสภาไม่สามารถโหวตร่างกฎหมายหรือให้ความไว้วางใจรัฐบาลได้

ดังนั้น พปชร.ต้องพึ่งพรรคการเมืองอื่นที่แข็งๆ สักสองพรรค พรรค รปช. ของ สุเทือก และพรรค ปชช. ของไพบูลย์ นิติตะวัน ไม่เข้าขั้น ไม่พอยาไส้ เขาแนะให้ถนอมน้ำใจเพื่อไทยกับประชาธิปัตย์ไว้ ถึงแม้เขาคิดว่าเพื่อไทยจะไม่ได้ ส.ส.จำนวนมากเหมือนปี ๒๕๕๔

“ปี ๒๕๕๔ พรรคเพื่อไทยได้ ส.ส. ๒๐๐ ที่นั่ง มีคะแนนเลือกตั้งเฉลี่ยต่อเขตที่ ๕.๑ หมื่นคะแนน มีคะแนนรวมทั้งประเทศที่ ๑๐.๕ ล้านคะแนน ถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่จะได้ ส.ส.ตามระบบใหม่” ในเมื่อระบบใหม่ที่ลดจำนวนเขตลงเหลือ ๓๕๐ ทำให้คะแนนต่อ ส.ส. ๑ คนอยู่ที่ ๗ หมื่นคะแนน

ในเมื่อเพื่อไทยใช้วิธีแตกหน่อพรรคย่อยออกไปเพื่อเก็บคะแนน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ แต่นายสติธรไม่คิดว่าพรรคที่แตกหน่อเหล่านั้นจะสามารถเก็บคะแนน แบบจัดสรรปันส่วนผสมได้เกิน ๕๐ ที่นั่ง ขณะที่พรรค ปชป. จะไม่ได้รับผลกระทบเท่าไรนัก


น่าเสียดายที่นายสติธรไม่ยอมเผยไต๋ว่าทำไมพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่กระอักกับชั้นเชิงกฎหมายวิเศษนิยมของ คสช. ทั้งที่มีคนอยากรู้กันเยอะว่า ปชป.มีดีอะไรแฝงอยู่แค่ไหน

นอกเหนือจากในเลือกตั้งคราวนี้มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยเหมือนนายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. (ที่ครั้งก่อนเป็น หอเอียงเมืองปิ๊ซ่า เข้าข้างการบอยคอตเลือกตั้งและกวักมือเรียกรัฐประหารของ ปชป.)

อย่างไรก็ดีพรรค พปชร. ขยับคุยทับว่าตอนนี้มีผู้สมัครเข้าพรรค เกินคาดหมายกว่า ๑,๓๐๐ คนแล้ว และ “การที่จะเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง” นั้น “มีทั้งจุดเด่นและจุดด้อย

จุดเด่นคือประยุทธ์ดังอยู่แล้ว จุดด้อยประยุทธ์ “ไม่สามารถจะช่วยพรรคหาเสียงได้” นายวิเชียร ชวลิต นายทะเบียนของ พปชร.อ้าง ซึ่งก็มีปฏิกิริยาจากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในสไตล์กรีดกลับว่า การที่ พปชร.ดูดอดีต ส.ส. ของ ปชป.ไป ๑๗ คนน่ะ หลังเลือกตั้งแล้วอาจจะยังเป็นอดีต ส.ส.ต่อไปก็ได้

ทางฝ่ายเพื่อไทยก็ไม่ยี่หระเช่นกัน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และแกนนำพรรคเพื่อไทย สวนกลับคำโอ่ของนายทะเบียนพรรค พปชร. ว่า “การออกไปของอดีต ส.ส. ไม่ได้ทำให้พรรคกระเทือนหรือทำให้พวกเราเสียขวัญ เพราะเราเคยผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาหลายครั้งแล้ว”
นายวัฒนา เมืองสุข ทบทวนความหลังเมื่อครั้งถูกงูเห่าเนรวินหักหลังไปยกมือให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ ส.ส.กลุ่มนั้นของนายเนวิน ชิดชอบ มีถึง ๓๗ คน “แต่ครั้งนี้เสียไปเพียง ๒๓ คนและเป็นเพียงอดีต ส.ส. ซึ่งยังไม่รู้ว่าประชาชนจะเลือกกลับเข้ามาหรือไม่”


จึงเป็นสมการที่ต้องพิสูจน์ว่าการวิเคราะห์คำนวณของใครจะแม่นระหว่างสรรพคุณ ส.ส. เกรดเอของนักวิชาการพระปกเกล้า กับอดีต ส.ส. ที่ยังไม่รู้หมู่จ่าในสายตาแกนนำพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะเมื่อการขับเคลื่อนของฝ่ายตระกูลเพื่อนั้นแยบยลไม่เบา

ขณะที่สมาชิกเพื่อไทยในแถบ คนรุ่นใหม่ นักวิชาการ และที่โดดเด่นในกระบวนการรรรงค์เพื่อประชาธิปไตยเคลื่อนย้ายไปอยู่พรรคไทยรักษาชาติ หรือ ทษช. กันเนืองแน่น และได้พบกับการตอบรับจากประชาชนอย่างดีทีเดียว โดยที่คงเหลืออยู่ในพรรคเพื่อไทยเป็นสายการเมืองที่เดิมเคยมีคะแนนเสียงแน่นหนา

พัฒนาการล่าสุดปรากฏออกมาว่า ทางเพื่อไทย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ในฐานะประธานกรรมการยุทธศาสตร์จะเป็นผู้ที่พรรคเสนอชื่อสำหรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยที่นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของอดีตนายกฯ ทักษิณ ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกเพื่อไทย และประกาศจะออกรณรงค์ปราศรัยหาเสียงให้แก่พรรค

ส่วน ทษช. นั้นก็ได้มีมติแต่งตั้งนายจาตุรนต์ ฉายแสง เข้าเป็นประธานกรรมการยุทธศาสตร์ และกำหนดตัวไว้เป็นผู้ที่พรรคจะเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมยืนกรานอีกครั้งว่า ทษช. จะไม่ร่วมสังฆกรรมการเมืองกับประยุทธ์อย่างแน่นอน
ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิชย์ หัวหน้าพรรค ทษช.ให้ความเห็นต่อการที่พรรคเพื่อไทยได้ โอ๊คเข้าไปเติมเต็มเพื่อการเจาะฐานเสียงคนรุ่นใหม่ว่า “หากพรรคเพื่อไทยชูนายพานทองแท้ ชินวัตร เป็นผู้นำการปราศรัยการเสียงในสนามเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคไทยรักษาชาติพร้อมที่จะแข่งขันอย่างเต็มที่”


เป็นการเคลื่อนไหวของฝ่ายการเมืองที่กล่าวได้ว่า ถูกเอารัดเอาเปรียบ มากกว่าใครๆ แต่ก็ฮึดสู้อย่างไม่ย่นย่อ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วคงจะทำให้ได้รับในสิ่งที่ วัฒนา เมืองสุข มุ่งหมายไว้ คือ ศรัทธา “ที่จะเป็นกำแพงให้เราพิงและจะหนุนเราให้ก้าวไปข้างหน้า”