ที่เลขาฯ พรรคเพื่อไทยพูดถึง รมว.ต่างประเทศว่า “ไม่เข้าใจการเมืองและความโปร่งใสของการเมือง
ว่ามีความสำคัญอย่างไร” ยังน้อยไปนิด
ที่จริงนายดอน ปรมัตถ์วินัย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความเป็น ‘สากล’ คืออะไร ขืนยังเถียงว่าขั้นนี้แล้วไม่รู้ได้ไงละก็ ทั่นน่ะ ‘มือถือสาก’ แน่นอน
นายภูมิธรรม เวชยชัย ให้สัมภาษณ์เมื่อวาน (๓ พฤศจิกา)
ว่าประเทศไหนๆ ทั่วโลก เขาล้วนแต่อยากให้นานาชาติได้เห็นว่าประเทศของตนผ่านการเลือกตั้งอย่างบริสุทธิ์ทั้งนั้น
“และเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้ต่างชาติเชื่อมั่นต่อประเทศไทย”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นพวกรัฐไม่อยากพัฒนา รัฐพันลึก
รัฐทหาร ที่ต้องการ ‘recognition’ คำรับรองของสากลโลก
เรื่องมาจากการที่นายดอน ลิ่วล้อ คสช.ผู้นี้พยายามปกป้องเจ้านาย
ทำตัวเป็นสมุนรับใช้ที่ดี จึงต้องแสดงตนตอบโต้คำร้องเรียนของนายนคร มาฉิม ที่มีต่อกงสุลอเมริกัน
ขอให้ “ส่งผู้แทนร่วมสังเกตการณ์
และตรวจสอบการเลือกตั้งและการนับคะแนน”
นายดอนอ้างว่า “ประชาชนแต่ละประเทศมีความสำคัญและจำเป็นมากกว่า
สามารถสังเกตการณ์การเลือกตั้งได้ดีกว่าคนต่างชาติ” ซึ่งไม่เป็นความจริง
นักการทูตไหนๆ ก็รู้ ถ้าคำร้องเรียนนั้นอยู่บนรากฐานของการ “ยื่นหนังสือให้ติดตามการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทย” ด้วย
ข้อแก้ตัวแทน คสช.
อีกอย่างที่ว่าการให้ต่างชาติเข้ามาสังเกตุการณ์เลือกตั้ง “ไม่เป็นมงคล”
เพราะการให้ต่างชาติเข้ามาก็ต่อเมื่อประเทศมีปัญหา “สำหรับไทยเป็นประเทศที่มีศักดิ์ศรี
คงไม่อยากถูกมองว่าเป็นประเทศที่มีปัญหา”
(https://www.khaosod.co.th/politics/news_1762173)
ประเทศไทยน่ะมีศักดิ์ศรีดีอยู่
แต่รัฐบาลไทยเดี๋ยวนี้ ซึ่งจะเป็นผู้ดูแล กำกับ และควบคุมการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น ไม่เพียงไร้ศักดิ์สรีในทางประชาธิปไตย
ยังมีผลกรรมย่ำยีต่อสิทธิเสียงประชาชนในการแสดงความเห็นต่าง ต่อต้านเผด็จการ
พฤติกรรมก้าวร้าว ข่มขู่
เบียดเบียน และบิดเบือนความจริงของรัฐบาลทหารและลิ่วล้อ
เข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชนตามกติกาสากล องค์กรนานาชาติจำนวนมากมายรับรู้ในเรื่องนี้
หลายแห่งแสดงปฏิกิริยาและท้วงติงอย่างเป็นทางการกันแล้ว
ข้อเรียกร้องของนายนครต่อตัวแทนทางการทูตสหรัฐในประเทศไทยประเด็นหนึ่งว่า
“ขอให้งดการให้ความร่วมมือและการเจรจาใดๆ
กับรัฐบาลที่มาโดยเผด็จการทหาร และรอจนกว่าจะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรมก่อนเท่านั้น”
เหมาะเจาะกับสถานการณ์อย่างที่สุด
คำกล่าวหาของนายนครที่ว่า คสช.ยึดอำนาจมา ๕ ปี วางเครือข่ายข้าราชการ องค์กรอิสระ และสำคัญยิ่ง
กอ.รมอ. เข้าครอบงำและแทรกแซงทุกองค์กร เพื่อความได้เปรียบ “ในเมื่อจะเล่นเอง
จะสืบทอดอำนาจ” ไม่เพียงทำให้เกิดความ “กังวลใจว่าการเลือกตั้งที่มีขึ้นจะไม่เที่ยงธรรม
ไม่อิสระ” เท่านั้น
ยังเป็นการมุสา ตบตานานาชาติในระดับรัฐ ทุกครั้งที่หัวหน้า
คสช. มีโอกาสได้ไปแสดงตัวต่อชุมชนนอกกะลาแลนด์อย่างไร้ยางอายเสียด้วย
โดยเฉพาะต่อกรณีที่นายดอนบอกว่า “หากลองนับจำนวนคนที่ไม่เห็นด้วย
จะพบว่ามีแค่หยิบมือเดียว”
นั่นเป็นการพูดมดเท็จชนิดดูถูกสติปัญญาของตนเองอย่างสิ้นดี ในเมื่อทั้งสื่อและองค์กรสิทธิมนุษยชนสากลล้วนรู้ลึกว่า
คสช.ทำอะไรบ้างกับนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม
กับนักกิจกรรมและคนรุ่นใหม่ที่พยายามแสดงให้เห็นว่า มีประชาชนจำนวนไม่น้อยทนทุกข์และไม่ต้องการให้
คสช.ครองเมืองต่อไปอีกยาวนาน
การพยายามฟอกขาวให้ คสช.ด้วยความเท็จ เสียจนลืมนึกถึงจรรยาบรรณแห่งอาชีพ
ที่ฝรั่งเรียกว่า ‘professionalism’
ของนายดอนคงไม่สร้างความมัวหมองแก่ ‘ชาติและประชาชน’ มากไปกว่าตัวของตัวเอง
คำที่ว่า “หลังเลือกตั้งจะไม่ขอรับตำแหน่งใดๆ ในทางการเมือง
แต่ถ้าจะมานั่งพูดคุยปรึกษาหารือในเรื่องการต่างประเทศ
ซึ่งตนมีความถนัดก็พร้อมให้ความช่วยเหลือ” นั้นไม่มีอะไรมากไปกว่า ‘ล่อเป้า’ สร้างราคา รอการต่อยาวของ คสช.