
คณะกรรมการสอบสวนขององค์การสหประชาชาติระบุว่า อิสราเอลได้ก่ออาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาในระหว่างสงคราม
คณะกรรมการสอบสวนของยูเอ็นระบุ อิสราเอลกระทำการ "ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" ในกาซา
เดวิด กริตเทน
บีบีซีไทย
เมื่อ 7 ชั่วโมงที่แล้ว
คณะกรรมการสอบสวนขององค์การสหประชาชาติระบุว่า อิสราเอลได้ก่ออาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา
รายงานฉบับใหม่ระบุว่า มีเหตุผลอันสมควรที่จะสรุปได้ว่าการกระทำอันเป็นการเข้าข่ายการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ 4 ใน 5 ประการตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายระหว่างประเทศได้เกิดขึ้นนับตั้งแต่เกิดสงครามกับกลุ่มฮามาสในปี 2023 อันได้แก่ การสังหารสมาชิกของชุมชนชาวปาเลสไตน์, การทำให้พวกเขาได้รับอันตรายทางร่างกายและจิตใจอย่างร้ายแรง, การจงใจสร้างเงื่อนไขอันไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อทำลายชาวปาเลสไตน์ และการขัดขวางการถือกำเนิดของมนุษย์
รายงานของคณะกรรมการสอบสวนของยูเอ็นยังอ้างถึงถ้อยแถลงของบรรดาผู้นำอิสราเอล รวมทั้งรูปแบบการกระทำของกองกำลังอิสราเอล ในฐานะหลักฐานของเจตนาการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ด้านกระทรวงต่างประเทศของอิสราเอลออกมาปฏิเสธรายงานดังกล่าวอย่างเด็ดขาด โดยประณามว่าเป็น "ข้อมูลบิดเบือนและเป็นเท็จ"
โฆษกของรัฐบาลอิสราเอลกล่าวหาผู้เชี่ยวชาญ 3 คนในคณะกรรมการสอบสวนของยูเอ็นว่าเป็น "ตัวแทนของฮามาส" และรายงานดังกล่าว "ตั้งอยู่บนความเท็จของฮามาสทั้งสิ้น ซึ่งถูกฟอกขาวและเผยแพร่ซ้ำโดยผู้อื่น" แต่เป็นข้อกล่าวหา "ที่ถูกหักล้างแล้วทั้งหมด"
"ตรงกันข้ามกับคำโกหกในรายงาน ฮามาสต่างหากที่เป็นกลุ่มที่พยายามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในอิสราเอล จากการสังหารผู้คนจำนวน 1,200 คน ข่มขืนผู้หญิง เผาครอบครัวต่าง ๆ ทั้งเป็น และประกาศอย่างโจ่งแจ้งถึงเป้าหมายที่จะเข่นฆ่าชาวยิวให้ได้ทุกคน" โฆษกรัฐบาลอิสราเอลระบุ
กองกำลังอิสราเอลเปิดปฏิบัติการทางทหารในฉนวนกาซาเพื่อตอบโต้การโจมตีของกลุ่มฮามาสทางตอนใต้ของอิสราเอลซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2023 ในเหตุการณ์ครั้งนั้นมีคนถูกสังหารไปราว 1,200 คน และถูกจับไปเป็นตัวประกันอีก 251 คน
ขณะที่การโจมตีของอิสราเอลหลังจากนั้นเป็นต้นมา เป็นเหตุให้มีคนในฉนวนกาซาเสียชีวิตอย่างน้อย 64,905 คน ตามการรายงานของกระทรวงสาธารณสุขที่ควบคุมโดยฮามาส
ทั้งนี้ ประชากรส่วนใหญ่ในฉนวนกาซาต้องพลัดถิ่นฐานซ้ำแล้วซ้ำเล่า และมีการประเมินว่าบ้านเรือนประชาชนกว่า 90% ถูกทำลายเสียหาย นอกจากนี้ ระบบสาธารณสุข น้ำ ระบบสุขาภิบาล และสุขอนามัยต่างก็ล่มสลาย อีกทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงทางอาหารที่ได้รับการสนับสนุนจากสหประชาชาติก็ประกาศว่าได้เกิดภาวะอดอยากขึ้นในเมืองกาซา ซิตี แล้ว
คณะกรรมการสอบสวนอิสระของยูเอ็นว่าด้วยดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครอง (the Independent International Commission of Inquiry on the Occupied Palestinian Territory) ถูกจัดตั้งขึ้นโดยคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติในปี 2021 เพื่อสอบสวนข้อกล่าวหาทั้งหมดเกี่ยวกับการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
คณะผู้เชี่ยวชาญ 3 คนของคณะกรรมการอิสระชุดนี้ มีเนวี พิลเลย์ อดีตข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติจากแอฟริกาใต้ เป็นประธาน ซึ่งเธอเคยดำรงตำแหน่งประธานศาลระหว่างประเทศที่พิจารณาคดีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา
รายงานฉบับล่าสุดของคณะกรรมการชุดนี้กล่าวหาว่าทางการอิสราเอลและกองกำลังป้องกันอิสราเอลได้กระทำการ 4 จาก 5 ประการ ที่ถือว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ตามนิยามซึ่งกำหนดไว้ในอนุสัญญาว่าด้วยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ปี 1948 ต่อกลุ่มชาติพันธุ์ เชื้อชาติ ศาสนา หรือกลุ่มชนชาติ โดยในกรณีนี้คือ ชาวปาเลสไตน์ในกาซา ประกอบด้วย
- การสังหารสมาชิกในกลุ่มผ่านการโจมตีเป้าหมายที่ได้รับการคุ้มครอง การโจมตีเป้าหมายพลเรือน และบุคคลอื่น ๆ ที่ได้รับการปกป้องคุ้มครอง และการจงใจสร้างเงื่อนไขที่นำไปสู่การสูญเสียชีวิต
- การทำให้เกิดอันตรายทางร่างกายและจิตใจอย่างร้ายแรงต่อสมาชิกของกลุ่ม การโจมตีโดยตรงต่อพลเรือนและเป้าหมายที่ได้รับการคุ้มครอง การปฏิบัติโดยมิชอบอย่างร้ายแรงต่อผู้ถูกคุมขัง การบังคับให้เกิดการพลัดถิ่น และการทำลายล้างสิ่งแวดล้อม
- การจงใจสร้างเงื่อนไขต่อชีวิตอันไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อทำลายกลุ่มทั้งกลุ่มหรือบางส่วน การทำลายโครงสร้างพื้นฐานและที่ดินที่จำเป็นสำหรับชาวปาเลสไตน์ การทำลายและการทำให้ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ การบังคับให้พลัดถิ่น การปิดกั้นความช่วยเหลือ น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค ไฟฟ้า และเชื้อเพลิง ไม่ให้ไปถึงชาวปาเลสไตน์ รวมไปถึงความรุนแรงต่อภาวะอนามัยเจริญพันธุ์ และการสร้างเงื่อนไขที่ส่งผลกระทบต่อเด็ก
- การกำหนดมาตรการอันมีเจตนาขัดขวางการมีบุตร ด้วยการโจมตีในเดือน ธ.ค. 2023 ต่อคลินิกเจริญพันธุ์ฝากไข่ที่ใหญ่ที่สุดในฉนวนกาซา ซึ่งมีรายงานว่าการโจมตีได้ทำลายตัวอ่อนประมาณ 4,000 ตัว และตัวอย่างอสุจิกับไข่ที่ยังไม่ได้รับการปฏิสนธิอีก 1,000 ตัวอย่าง

กองทัพอิสราเอลออกคำสั่งให้ชาวปาเลสไตน์หลายแสนคนอพยพออกจากกาซา ซิตี ล่วงหน้าก่อนการโจมตีภาคพื้นดินเพื่อยึดครองเมืองดังกล่าว
ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามนิยามทางกฎหมายของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ จำเป็นต้องมีการพิสูจน์ด้วยว่าผู้กระทำความผิดได้กระทำการใด ๆ โดยมีเจตนาเฉพาะเจาะจงที่จะทำลายล้างกลุ่มทั้งหมดหรือบางส่วน
คณะกรรมการสอบสวนอิสระของยูเอ็นระบุว่า พวกเขาได้วิเคราะห์ถ้อยแถลงของผู้นำอิสราเอล และกล่าวหาว่า ประธานาธิบดีไอแซก เฮอร์ซอก ของอิสราเอล, นายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู และนายโยอาฟ กัลแลนต์ อดีตรัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล ได้ "ยุยงให้กระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์"
นอกจากนี้ รายงานดังกล่าวยังระบุด้วยว่า "เจตนาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เป็นข้อสรุปที่สมเหตุสมผลเพียงอย่างเดียว" ที่สามารถสรุปได้จากรูปแบบพฤติกรรมของทางการอิสราเอลและกองกำลังด้านความมั่นคงในฉนวนกาซา
คณะกรรมการสอบสวนของสหประชาชาติระบุว่า แบบแผนที่เกิดขึ้นประกอบไปด้วยการจงใจสังหารและทำร้ายชาวปาเลสไตน์จำนวนมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนด้วยอาวุธหนัก การโจมตีสถานที่ทางศาสนา วัฒนธรรม และการศึกษา อย่างเป็นระบบและแพร่หลาย รวมไปถึงการปิดล้อมฉนวนกาซาและทำให้ประชาชนเกิดความอดอยาก
ด้านรัฐบาลอิสราเอลยืนยันว่า ความพยายามของพวกเขามุ่งเป้าไปที่การรื้อถอนขีดความสามารถของฮามาสเพียงอย่างเดียว ไม่ใช่ชาวกาซา และระบุว่ากองกำลังของอิสราเอลปฏิบัติการตามกฎหมายระหว่างประเทศและใช้มาตรการที่เป็นไปได้ทั้งหมดเพื่อบรรเทาความเสียหายต่อพลเรือน
"เมื่อ 7 ต.ค. 2023 นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูให้คำมั่นว่าจะ... 'แก้แค้นอย่างสาสม' ต่อ 'ทุกสถานที่ที่ฮามาสส่งกำลังไปประจำการ หลบซ่อน และปฏิบัติการในเมืองอันชั่วร้ายแห่งนั้น เราจะทำลายมันให้กลายเป็นซากปรักหักพัง'" พิลเลย์กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับบีบีซี
"การใช้คำว่า 'เมืองอันชั่วร้าย' ในถ้อยแถลงนั้นแสดงให้เห็นว่า เขามองว่าเมืองกาซา (กาซา ซิตี) ทั้งเมืองต้องรับผิดชอบและเป็นเป้าหมายของการแก้แค้น และเขาบอกชาวปาเลสไตน์ให้ 'ออกไปเดี๋ยวนี้ เพราะเราจะปฏิบัติการอย่างแข็งกร้าวทุกหนทุกแห่ง'"
เธอเสริมว่า "เราใช้เวลาสองปีในการรวบรวมทุกการกระทำและค้นหาข้อเท็จจริง ตรวจสอบว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นจริงหรือไม่... มีเพียงข้อเท็จจริงเท่านั้นที่จะชี้นำคุณได้ และคุณจะนำเรื่องนี้ไปดำเนินการในอนุสัญญาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้ก็ต่อเมื่อการกระทำเหล่านั้นกระทำไปด้วยเจตนาเช่นนี้"
คณะกรรมการสอบสวนของยูเอ็นระบุว่า การกระทำของผู้นำทางการเมืองและผู้นำทางทหารของอิสราเอล "เป็นความผิดของรัฐอิสราเอล" และดังนั้นอิสราเอลจึง "ต้องรับผิดชอบต่อความล้มเหลวในการป้องกันการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การก่อเหตุฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และความล้มเหลวในการลงโทษการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์"
คณะกรรมการยังเตือนว่าประเทศอื่น ๆ ต่างก็มีพันธกรณีทันทีภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในการ "ป้องกันและลงโทษอาชญากรรมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" โดยใช้มาตรการทั้งหมดที่มีอยู่ หากไม่ทำเช่นนั้น พวกเขาอาจเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด
"เรายังไม่ได้ไปไกลถึงขั้นกล่าวหาว่า ใครบ้างที่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด หรือเป็นผู้มีส่วนรู้เห็นในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่นั่นคือภารกิจที่คณะกรรมการชุดนี้กำลังดำเนินการอยู่ และพวกเขาจะไปถึงข้อสรุปนั้น" พิลเลย์ ประธานคณะกรรมการสอบสวนยูเอ็นชุดนี้ กล่าว
องค์กรสิทธิมนุษยชนในอิสราเอลและระหว่างประเทศหลายแห่ง ผู้เชี่ยวชาญอิสระของสหประชาชาติ และนักวิชาการ ต่างกล่าวหาอิสราเอลว่าก่อเหตุฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาเช่นกัน
ด้านศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) กำลังพิจารณาคดีที่แอฟริกาใต้ยื่นฟ้อง ซึ่งกล่าวหาว่ากองกำลังอิสราเอลก่อเหตุฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ขณะที่อิสราเอลระบุว่าคดีนี้ "ไม่มีมูลความจริง" และตั้งอยู่บน "ข้อกล่าวอ้างที่ลำเอียงและเป็นเท็จ"
https://www.bbc.com/thai/articles/cgkndekzkvzo