
TODAY
·
ยืนยันแก้ปัญหา ม.112 ถ้ามีอำนาจ
'ณัฐพงษ์' ให้สัมภาษณ์นิตยสาร TIME
หนุน 'อนุทิน' กระทบพรรค แต่ไทยต้องมี รธน.ใหม่
.
นิตยสาร TIME เผยแพร่บทสัมภาษณ์นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชนเมื่อวานนี้ (15 ก.ย.) โดยตั้งชื่อเรื่องว่า แกนนำพรรคฝ่ายค้านของไทย 'ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ' พร้อมบริหารประเทศ
.
รายงานชิ้นนี้มีเนื้อหาคัดบทสัมภาษณ์ของหัวหน้าพรรคประชาชน ประกอบกับการอธิบายสถานการณ์การเมืองไทย และความเห็นจากนักวิชาการที่ติดตามสถานการณ์การเมืองไทย
.
นิตยสาร TIME เริ่มต้นด้วยคำยืนยันของหัวหน้าพรรคประชาชนว่า วิสัยทัศน์ของพรรคประชาชนคือการปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ซึ่งเป็นปัญหาเดิมตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว และจะนำพาประชาธิปไตยที่สมบูรณ์สู่ประเทศไทย
.
รายงานของ TIME อธิบายการเติบโตของพรรคประชาชน ที่สามารถขยายความนิยมจาก 17.34% เมื่อปี 2019 ตอนเป็นพรรคอนาคตใหม่ เป็น 38% ในการเลือกตั้งปี 2023 ภายใต้พรรคก้าวไกล แต่ถึงอย่างนั้น ก็ถูกสกัดในการจัดตั้งรัฐบาล จากสมาชิกวุฒิสภาที่แต่งตั้งโดยกองทัพ และถูกยุบพรรคในเวลาต่อมาจากการตัดสินของศาล เกี่ยวกับการหาเสียงปฏิรูปประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
.
ปัจจุบัน ความเคลื่อนไหวภายใต้พรรคประชาชน กำลังเตรียมเข้าสู่การเลือกตั้งครั้งที่ 3 ซึ่งหัวหน้าพรรคประชาชนระบุว่า เป้าหมายของพรรคคือการครองเสียงข้างมากในสภา และต้องทำให้ประชาชนเชื่อว่า พรรคประชาชนพร้อมบริหารประเทศ
.
นิตยสาร TIME ชี้ว่าความท้าทายของณัฐพงษ์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชน คือการทำให้ได้ที่นั่งมากพอเพื่อจัดตั้งรัฐบาล เดินหน้าเป้าหมายกระจายอำนาจ ลดอิทธิพลทางการเมืองของทหารและเครือข่ายอนุรักษ์นิยม ก่อนจะพูดถึงข้อเปรียบเทียบกับหัวหน้าพรรคคนก่อน อย่างพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
.
ณพล จาตุศรีพิทักษ์ นักวิจัยแลกเปลี่ยน จากสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัค ในสิงคโปร์ ชี้ว่า ความนิยมของพรรคก้าวไกลมีลักษณะเป็น 'แฟนด้อม' ซึ่งสร้างรายล้อมหัวหน้าพรรค และมองว่าทั้งพิธาและธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มีลักษณะเป็นเซเลบริตี้ แตกต่างจากณัฐพงษ์ ที่ดูวิชาการมากกว่า ซึ่งอาจไม่ใช่ผลดีเมื่อเข้าสู่การเลือกตั้ง
.
แตกต่างจาก ศ.ดร.ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่มองว่า ความนุ่มนวลของณัฐพงษ์ อาจหลีกเลี่ยงการเป็นสายล่อฟ้า แบบที่เคยเกิดขึ้นกับธนาธรและพิธามาแล้ว
.
นิตยสาร TIME ยังพูดถึงความวุ่นวายทางการเมืองไทยที่ผ่านมา จากการถอดถอนอดีตนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร การกลับไปจำคุกอีกครั้งของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร และการเลือกนายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งพรรคประชาชนโหวตสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ในรอบ 3 ปีของประเทศไทย
.
บทความของ TIME มองว่า การที่นายอนุทินและพรรคภูมิใจไทยเข้าสู่อำนาจ อาจนำไปสู่การดึงตัว สส. ซึ่งอาจทำให้อย่างน้อยที่สุด พรรคภูมิใจไทยจะสามารถแข่งขันในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงได้มากขึ้น และอย่างแย่ที่สุด คือ พรรคภูมิใจไทยและนายอนุทิน อาจใช้เสียงสนับสนุนของ สส. เพื่ออยู่ในอำนาจและเลื่อนการเลือกตั้งออกไป
.
ณัฐพงษ์ยอมรับว่า นี่เป็นการตัดสินใจที่ยากมาก โดยชี้ว่าเป็นการตัดสินใจเพื่อผลประโยชน์ประเทศมากกว่าความนิยมของพรรค
.
"เรารู้ว่าการโหวตให้คุณอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องส่งผลกระทบต่อความนิยมพรรค แต่ปัญหาที่แท้จริงชองไทยตอนนี้คือเราต้องมีรัฐธรรมนูญใหม่ นั่นเป็นเหตุที่เราตัดสินใจแบบนี้" ณัฐพงษ์บอกกับ TIME
.
ในช่วงท้ายของบทความ TIME ยกกรณีการปฏิรูปกฎหมายมาตรา 112 ซึ่งนำไปสู่การยุบพรรคก้าวไกล
.
หัวหน้าพรรคประชาชนให้ความเห็นกับ TIME ว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญตีความได้ว่า พรรคการเมืองไม่ได้รับอนุญาตให้รณรงค์เพื่อแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ แต่ถึงอย่างนั้น ความปรารถนาของการเคลื่อนไหวเรื่องนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป
.
"มาตรา 112 ยังเป็นต้นตอปัญหาในประเทศไทย และถ้าเรามีอำนาจ เราจะแก้ไขกฎหมายนี้ ภายใต้กรอบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ"
.
ณัฐพงษ์ย้ำกับ TIME ว่า สถาบันกษัตริย์ต้องอยู่เหนือการเมือง และเป็นสถาบันหลักของชาติ เราต้องแก้กฎหมายเพื่อให้เป็นที่ยอมรับโดยคนไทยในโลกสมัยใหม่
.
หัวหน้าพรรคประชาชนตอบ TIME ว่า เขาไม่สามารถบอกได้ว่าชะตาหลังจากนี้จะกลายเป็นเหมือนผู้นำพรรคคนก่อนๆ หรือไม่ แต่เขาจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพราะมีความจำเป็นต้องปฏิรูปการเมือง ให้องค์กรอิสระต่างๆ รับผิดชอบต่อประชาชน ไม่ใช่คนส่วนน้อย
.
สำนักข่าว TODAY
สำนักข่าวออนไลน์ เปิดความรู้ ดูทูเดย์
https://www.facebook.com/photo?fbid=1186324676652812&set=a.661952892423329
.....

Pipob Udomittipong
13 hours ago
·
เกี่ยวกับการปฏิรูป #มาตรา112 #ณัฐพงษ์เรืองปัญญาวุฒิ กล่าวว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเพียงแต่ห้ามไม่ให้ให้รณรงค์เพื่อแก้ไขกฎหมายนี้ เขาเลยต้องตัดเป้าหมาย (การแก้ไขกฎหมาย 112) ออกจากสิ่งพิมพ์หรือการปราศรัยหาเสียง แต่อุดมการณ์ของขบวนการยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
“มาตรา 112 ยังคงก่อให้เกิดปัญหาในประเทศไทย” เขากล่าว "และถ้าเรามีอำนาจ เราจะแก้ไขกฎหมายนี้ให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ"
เกี่ยวกับบทบาทของราชวงศ์โดยรวม ณัฐพงษ์กล่าวว่า “สถาบันกษัตริย์ต้องอยู่เหนือการเมือง…และยังคงเป็นสถาบันหลักในประเทศไทย เราต้องแก้ไขกฎหมายเพื่อปรับเปลี่ยนสถานะของราชวงศ์ ให้เป็นที่ยอมรับของคนไทยในโลกสมัยใหม่”
https://time.com/.../thailand-natthaphong-ruengpanyawut.../
https://www.facebook.com/photo?fbid=10163066543176649&set=a.10150096728651649
https://www.facebook.com/photo?fbid=10105475827150305&set=a.714720187865

Pipob Udomittipong
13 hours ago
·
เกี่ยวกับการปฏิรูป #มาตรา112 #ณัฐพงษ์เรืองปัญญาวุฒิ กล่าวว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเพียงแต่ห้ามไม่ให้ให้รณรงค์เพื่อแก้ไขกฎหมายนี้ เขาเลยต้องตัดเป้าหมาย (การแก้ไขกฎหมาย 112) ออกจากสิ่งพิมพ์หรือการปราศรัยหาเสียง แต่อุดมการณ์ของขบวนการยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
“มาตรา 112 ยังคงก่อให้เกิดปัญหาในประเทศไทย” เขากล่าว "และถ้าเรามีอำนาจ เราจะแก้ไขกฎหมายนี้ให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ"
เกี่ยวกับบทบาทของราชวงศ์โดยรวม ณัฐพงษ์กล่าวว่า “สถาบันกษัตริย์ต้องอยู่เหนือการเมือง…และยังคงเป็นสถาบันหลักในประเทศไทย เราต้องแก้ไขกฎหมายเพื่อปรับเปลี่ยนสถานะของราชวงศ์ ให้เป็นที่ยอมรับของคนไทยในโลกสมัยใหม่”
https://time.com/.../thailand-natthaphong-ruengpanyawut.../
·
เป็นเรื่องแปลกดี เป็นความกระอักกระอ่วนใจอย่างหนึ่งคือ พอคนระดับผู้นำของพรรคส้มถูกถามเรื่อง ม.112 เขาก็จะตอบอย่างที่ควรจะตอบ เพราะเขาเชื่อแบบนั้น และเป็นเรื่องสำคัญที่คนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งมองว่าเป็นปัญหาที่ควรถูกแก้ อย่างน้อยก็ลดการถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง
...แต่พอตอบแล้วถูกเอาไปเขียนเป็นส่วนหนึ่งของบทความ หรือถูกแปลมาแล้วสื่อไทยไปเน้น และพาดหัวตรงนั้น ทั้งๆที่ทั้งบทความล่าสุดที่สัมภาษณ์คุณเท้งใน TIME พูดถึงเรื่อง ม.112 น้อยมาก ถ้านับจำนวนคำที่คุณเท้งพูดเรื่องนี้โดยตรง (direct) จะนับเป็น 1.28% ของบทความ (64 คำ / 4982 คำของบทความทั้งหมด) ไม่นับที่นักข่าวเขียนอธิบายเรื่องที่เกี่ยวข้องในบริบทการเมืองไทยให้คนอ่านเข้าใจ คำอธิบายตรงนี้จะคิดเป็น 9% ของบทความ
อย่างไรก็ตาม เมื่อดูคอมเมนต์จากผู้สนับสนุนฝั่งตรงข้าม จะเห็นการวิจารณ์ไปในทำนองว่า พรรคส้ม “หมกมุ่น" "วนอยู่กับเรื่องเดิม ๆ” มากเกินไป...ทั้งที่ถ้าอ่านบทความเต็ม ๆ จะเห็นชัดว่าส่วนใหญ่พูดถึงเรื่องอื่น เช่น การปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจ และลดความเหลื่อมล้ำ การลดอิทธิพลของกองทัพและชนชั้นนำ การยอมรับการประนีประนอมเพื่อให้ได้การเลือกตั้งและรัฐธรรมนูญใหม่ ประเด็นทักษิณกับคำตัดสินของศาล การฟื้นฟูการทูตกับกัมพูชา การต่อต้านการเมืองแบบอุปถัมภ์ และการทำให้สถาบันต่าง ๆ มีความรับผิดชอบต่อประชาชน แต่คอมเมนต์จากฝั่งตรงข้ามกลับเลือกจะโฟกัสที่ ม.112 เพียงอย่างเดียว แล้วละเลยเนื้อหาส่วนอื่นทั้งหมด
เอาจริง ๆ แล้ว จึงอดสงสัยไม่ได้ว่าฝ่ายไหนกันแน่ที่ “หมกมุ่น” กับเรื่องนี้มากกว่ากัน…และเป็นเรื่องที่น่าฉงนพอสมควรว่าทำไมฝั่งตรงข้ามส้มก้าวพ้นไปคิดเรื่องอื่นๆไม่ได้ และปรากฏการณ์ที่โดน "ยัดเยียด" ความ "หมกมุ่น" ในเรื่องนี้เกิดขึ้นทุกยุคสมัยของพรรคส้ม
ในภาษาอังกฤษ มีคำที่ใช้อธิบายลักษณะการโต้แย้งแบบนี้ ได้แก่ “straw man fallacy” หรือ “red herring” ซึ่งหมายถึงการหยิบเอาข้อโต้แย้งของอีกฝ่ายมาตัดทอนหรือบิดเบือนให้ง่ายเกินไป หรือเลือกเน้นแค่ประเด็นเล็ก ๆ ส่วนหนึ่ง แล้วโจมตีราวกับมันแทนข้อโต้แย้งทั้งหมด วิธีนี้ทำให้ไม่ต้องเผชิญกับเหตุผลที่ซับซ้อนหรือครบถ้วนของอีกฝ่าย และยังเป็นการตั้งใจมองข้ามปัญหาอื่น ๆ ของสังคม พร้อมทั้งดึงการถกเถียงกลับไปที่ประเด็นแคบ ๆ เพียงเรื่องเดียวเพื่อเบี่ยงความสนใจจากสาระสำคัญที่แท้จริง
ทำยังไงดี? ถ้าถูกถามจะไม่พูดเลยก็ไม่ได้อีก....
เป็นเรื่องแปลกดี เป็นความกระอักกระอ่วนใจอย่างหนึ่งคือ พอคนระดับผู้นำของพรรคส้มถูกถามเรื่อง ม.112 เขาก็จะตอบอย่างที่ควรจะตอบ เพราะเขาเชื่อแบบนั้น และเป็นเรื่องสำคัญที่คนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งมองว่าเป็นปัญหาที่ควรถูกแก้ อย่างน้อยก็ลดการถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง
...แต่พอตอบแล้วถูกเอาไปเขียนเป็นส่วนหนึ่งของบทความ หรือถูกแปลมาแล้วสื่อไทยไปเน้น และพาดหัวตรงนั้น ทั้งๆที่ทั้งบทความล่าสุดที่สัมภาษณ์คุณเท้งใน TIME พูดถึงเรื่อง ม.112 น้อยมาก ถ้านับจำนวนคำที่คุณเท้งพูดเรื่องนี้โดยตรง (direct) จะนับเป็น 1.28% ของบทความ (64 คำ / 4982 คำของบทความทั้งหมด) ไม่นับที่นักข่าวเขียนอธิบายเรื่องที่เกี่ยวข้องในบริบทการเมืองไทยให้คนอ่านเข้าใจ คำอธิบายตรงนี้จะคิดเป็น 9% ของบทความ
อย่างไรก็ตาม เมื่อดูคอมเมนต์จากผู้สนับสนุนฝั่งตรงข้าม จะเห็นการวิจารณ์ไปในทำนองว่า พรรคส้ม “หมกมุ่น" "วนอยู่กับเรื่องเดิม ๆ” มากเกินไป...ทั้งที่ถ้าอ่านบทความเต็ม ๆ จะเห็นชัดว่าส่วนใหญ่พูดถึงเรื่องอื่น เช่น การปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจ และลดความเหลื่อมล้ำ การลดอิทธิพลของกองทัพและชนชั้นนำ การยอมรับการประนีประนอมเพื่อให้ได้การเลือกตั้งและรัฐธรรมนูญใหม่ ประเด็นทักษิณกับคำตัดสินของศาล การฟื้นฟูการทูตกับกัมพูชา การต่อต้านการเมืองแบบอุปถัมภ์ และการทำให้สถาบันต่าง ๆ มีความรับผิดชอบต่อประชาชน แต่คอมเมนต์จากฝั่งตรงข้ามกลับเลือกจะโฟกัสที่ ม.112 เพียงอย่างเดียว แล้วละเลยเนื้อหาส่วนอื่นทั้งหมด
เอาจริง ๆ แล้ว จึงอดสงสัยไม่ได้ว่าฝ่ายไหนกันแน่ที่ “หมกมุ่น” กับเรื่องนี้มากกว่ากัน…และเป็นเรื่องที่น่าฉงนพอสมควรว่าทำไมฝั่งตรงข้ามส้มก้าวพ้นไปคิดเรื่องอื่นๆไม่ได้ และปรากฏการณ์ที่โดน "ยัดเยียด" ความ "หมกมุ่น" ในเรื่องนี้เกิดขึ้นทุกยุคสมัยของพรรคส้ม
ในภาษาอังกฤษ มีคำที่ใช้อธิบายลักษณะการโต้แย้งแบบนี้ ได้แก่ “straw man fallacy” หรือ “red herring” ซึ่งหมายถึงการหยิบเอาข้อโต้แย้งของอีกฝ่ายมาตัดทอนหรือบิดเบือนให้ง่ายเกินไป หรือเลือกเน้นแค่ประเด็นเล็ก ๆ ส่วนหนึ่ง แล้วโจมตีราวกับมันแทนข้อโต้แย้งทั้งหมด วิธีนี้ทำให้ไม่ต้องเผชิญกับเหตุผลที่ซับซ้อนหรือครบถ้วนของอีกฝ่าย และยังเป็นการตั้งใจมองข้ามปัญหาอื่น ๆ ของสังคม พร้อมทั้งดึงการถกเถียงกลับไปที่ประเด็นแคบ ๆ เพียงเรื่องเดียวเพื่อเบี่ยงความสนใจจากสาระสำคัญที่แท้จริง
ทำยังไงดี? ถ้าถูกถามจะไม่พูดเลยก็ไม่ได้อีก....
https://www.facebook.com/photo?fbid=10105475827150305&set=a.714720187865