วันเสาร์, กันยายน 06, 2568

ชวนรู้จัก “เอกชัย - บุญเกื้อหนุน -สุรนาถ” ผู้เผชิญคดี #ม110: จากยกฟ้อง สู่กลับเป็นลงโทษจำคุกถึง 16-21 ปี ที่ต้องเข้าเรือนจำรอคำสั่งประกันชั้นฎีกา คดีขัดขวางขบวนเสด็จ


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
9 hours ago
·
ชวนรู้จัก “เอกชัย - บุญเกื้อหนุน -สุรนาถ” ผู้เผชิญคดี #ม110: จากยกฟ้อง สู่กลับเป็นลงโทษจำคุกถึง 16-21 ปี ที่ต้องเข้าเรือนจำรอคำสั่งประกันชั้นฎีกา
.
หลังช่วงเช้าวันนี้ (5 ก.ย. 2568) ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษา ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้ง 5 คน ในคดี “ประทุษร้ายเสรีภาพพระราชินี” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 จากเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563 และถูกกล่าวหาว่าขัดขวางขบวนเสด็จของสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ และเจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติฯ
.
จำเลยในคดีนี้มีทั้งหมด 5 คน ได้แก่ เอกชัย หงส์กังวาน ศาลพิพากษาจำคุก 21 ปี 4 เดือน, “ฟรานซิส” บุญเกื้อหนุน เป้าทอง, “ตัน” สุรนาถ แป้นประเสริฐ, “ชำนาญ” (นามสมมติ) และ “ภาคิน” (นามสมมติ) ถูกพิพากษาจำคุกคนละ 16 ปี ไม่รอลงอาญา
.
นับว่าเป็นเวลาเกือบ 5 ปีเต็มแล้ว (2563 - 2568) ที่ทั้งห้าคนถูกดำเนินคดีและมีภาระผูกพันกับคดีความ มีจำเลยถึงสองคนถูกขังอยู่ในเรือนจำในชั้นสอบสวนหลังไม่ได้รับประกันตัว คือ ‘เอกชัย’ ถูกขัง 18 วัน และ ‘ตัน’ สุรนาถ ถูกขังอยู่ 13 วัน จนกระทั่งศาลอาญามีคำสั่งยกคำร้องฝากขังชั้นสอบสวน จึงทำให้ทั้งสองคนได้รับการปล่อยตัว
.
เวลาต่อมาเมื่อคดีดำเนินมาถึงชั้นศาล หลังสืบพยานกันเสร็จสิ้น เมื่อปี 2566 ศาลอาญามีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งห้าคนทุกข้อกล่าวหา โดยเห็นว่า ไม่พบพยานหลักฐานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประกาศแจ้งเตือนให้กับผู้ชุมนุมได้รับทราบถึงการมีขบวนเสด็จ อีกทั้งตลอดเส้นทางที่ขบวนเสด็จใช้ ก็ไม่พบองค์ประกอบของการเป็นเส้นทางขบวนเสด็จตามปกติ ผู้ชุมนุมจึงไม่อาจรู้ได้เลยว่าขบวนเสด็จจะเคลื่อนผ่าน
.
แต่คดียังไม่จบอยู่ที่ศาลชั้นต้น หลังอัยการโจทก์ยื่นอุทธรณ์คดี จึงเป็นผลให้มีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ออกมาอีกในวันนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ศาลอุทธรณ์ได้กลับคำพิพากษาชั้นต้น เป็นลงโทษจำคุกเอกชัย 21 ปี 4 เดือน ส่วนจำเลยอีกสี่คนจำคุกคนละ 16 ปี ไม่รอลงอาญา
.
แม้ภายหลังฟังคำพิพากษา ทนายจำเลยได้ยื่นขอประกันตัวทั้งห้าคนเพื่อต่อสู้คดีในชั้นฎีกา แต่อย่างไรก็ตาม ศาลอาญาส่งคำร้องให้ศาลฎีกาพิจารณา ทำให้ทั้งห้าคนจะถูกส่งตัวไปคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ระหว่างรอคำสั่งประกันตัว ซึ่งอาจใช้เวลาประมาณ​ 2-3 วัน
.
.
ในโอกาสนี้ ชวนทำความรู้จักกับ เอกชัย หงส์กังวาน, “ฟรานซิส” บุญเกื้อหนุน และ “ตัน” สุรนาถ อีกครั้งหนึ่ง
.
เอกชัย หงส์กังวาน เป็นจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ ปัจจุบันอายุ 50 ปี มีภูมิหลังเป็นคนกรุงเทพฯ จบการศึกษาในระดับชั้นปริญญาตรีสาขาบริหารธุรกิจ ครอบครัวของเขามีธุรกิจส่วนตัว คือ การรับเหมาก่อสร้าง เอกชัยเคยเล่าว่าตัวเองนั้นไม่ได้ชอบการจัดการหรือบริหารมากนัก เขาชอบเรื่องการค้าขายเสียมากกว่า จึงลงเอยด้วยการประกอบอาชีพขายหวย กระทั่งได้รับผลกระทบจากการรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 การสูญเสียการงาน ทำให้เขาผันตัวเองกลายมาเป็นผู้ชุมนุมและนักเคลื่อนไหวทางการเมือง
.
เอกชัยเคยถูกขังในเรือนจำมาแล้ว 5 ครั้ง, ถูกลอบทำร้ายถึง 6 ครั้ง, ถูกเผารถยนต์ 2 ครั้ง ในช่วงที่เอกชัยเคลื่อนไหวตรวจสอบปัญหาเรื่องนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อย่างเข้มข้น และเคลื่อนไหวติดตามการหายไปของหมุดคณะราษฎร รวมทั้งยังถูกเจ้าหน้าที่รัฐบุกไปคุกคามถึงบ้านนับครั้งไม่ถ้วนตลอดหลายปีที่ผ่านมา
.
เอกชัยเผชิญการต่อสู้ทางการเมืองมาอย่างโชกโชน จนถึงปัจจุบันเขาถูกดำเนินคดีถึง 30 คดี ซึ่งหนึ่งในนั้นคือคดีตามมาตรา 110 “ประทุษร้ายเสรีภาพพระราชินี” ที่มีคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์ในวันนี้
.
.
“ฟรานซิส” บุญเกื้อหนุน เป้าทอง จำเลยที่ 2 ในคดีนี้ ปัจจุบันอายุ 26 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดนครสวรรค์ เป็นบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยมหิดล คณะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หลักสูตรนานาชาติ ปัจจุบันเขาเรียนจบแล้ว
.
บุญเกื้อหนุนเคยจัดกิจกรรมทางการเมืองในมหาวิทยาลัย เคยเป็นหนึ่งในผู้จัดแฟลชม็อบที่มหาวิทยาลัยมหิดล ภายหลังที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ เมื่อปี 2563 และมีกลุ่มกิจกรรมนอกมหาวิทยาลัยที่เคยเคลื่อนไหวช่วงปี 2563 ชื่อว่า ‘Anti One China’ เพื่อแสดงความเห็นต่างเรื่องนโยบายการต่างประเทศของจีน
.
ภายหลังเขาร่วมการชุมนุม #ม็อบ14ตุลา ปี 2563 ฟรานซิสกลับกลายเป็นจำเลยในคดีทางการเมืองด้วยข้อหา “มาตรา 110” ในคดีนี้เพียงคดีเดียวเท่านั้น และเขาไม่เคยถูกคุมขังในเรือนจำมาก่อน การเข้าเรือนจำในครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกของเขา
.
“ตอนที่ผมกับผู้ชุมนุมมาอยู่แถว ๆ แยกนางเลิ้งก็เห็นว่าเจ้าหน้าที่มีการตั้งแถว พวกเราส่วนหนึ่งเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่เตรียมจะสลายก็เลยเข้ามายันกับเจ้าหน้าที่ ตัวผมเคยเป็นคนจัดการชุมนุมมาก่อนมันก็จะมีความรู้สึกว่าเราต้องปกป้องผู้ชุมนุม หรืออย่างน้อยก็ต้องช่วยชะลอการเข้ามาของตำรวจให้นานที่สุด
.
“ทีนี้แถวตำรวจก็บีบเข้ามา ผู้ชุมนุมอีกส่วนก็กรูกันเข้ามากลายเป็นว่าผมติดอยู่กึ่งกลางเหมือนแฮมเบอร์เกอร์ ระหว่างนั้นผมก็หันไปเห็นขบวนเสด็จกำลังเข้ามา ผมก็แบบ แย่ละ เอาไงดี เลยบอกคนข้าง ๆ ที่ต่อมารู้ว่า เค้าถูกดำเนินคดีเดียวกับผมว่าพี่ขอผมออกก่อน ผมพยายามเอาตัวออกมาจากแนวที่ตำรวจกับผู้ชุมนุมประจันกัน ผมมีโทรโข่งในมือเลยพยายามใช้โทรโข่งสื่อสารให้ผู้ชุมนุมอยู่ในความสงบ ให้ขบวนผ่านไป ตอนนั้นนอกจากบอกให้ผู้ชุมนุมอยู่ในความสงบแล้ว ผมก็ไม่ได้ทำอะไรอีกนอกจากชูสามนิ้ว แล้วผมก็เห็นพี่เอกชัยคู่คดีอีกคนที่อยู่แถวนั้นยืนชูสามนิ้วเหมือนกัน” ตอนหนึ่งที่ iLaw เคยสัมภาษณ์บุญเกื้อหนุนไว้เมื่อปี 2564
.
.
“ตัน” สุรนาถ แป้นประเสริฐ จำเลยที่ 3 ในคดีนี้ ปัจจุบันอายุ 40 ปี ทำงานภาคประชาสังคมที่เรียกว่า ‘นักกิจกรรมด้านพัฒนาชุมชนและเยาวชน’
.
งานของตันเป็นงานเกี่ยวกับการพัฒนา ที่ต้องอาศัยทักษะความคิดสร้างสรรค์และการทำงานเป็นทีม งานที่ตันเคยมีส่วนร่วม เช่น โครงการ “พื้นที่นี้ดีจัง” ที่ทำงานร่วมกับกลุ่ม ‘ดินสอสี’ เพื่อเปลี่ยนแปลงชุมชนที่มีความเสี่ยงให้กลายเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ เอื้อให้เยาวชนเป็นผู้ออกแบบชุมชนที่ต้องการด้วยตนเอง จัดการเอง และรู้สึกภาคภูมิใจในชุมชนของพวกเขาเอง
.
ปัจจุบันตันกำลังช่วยเหลือหลายชุมชนที่ไม่ได้ถูกจดทะเบียนโดยรัฐ เริ่มตั้งแต่การจัดตั้งกรรมการชุมชน รวมคนให้เข้ามาพูดคุยหาความต้องการของชุมชนตัวเองด้วยกัน โดยเริ่มจากเรื่อง ๆ ง่าย อย่างเรื่องสุขภาพและคุณภาพชีวิต เช่น การจัดกิจกรรมตรวจสุขภาพ โดยพื้นที่ชุมชนที่ทำงานด้วยเป็นหลักอยู่ในเขตธนบุรี
.
ขณะเดียวกัน ตันกลับกลายเป็นจำเลยในคดีมาตรา 110 ซึ่งนับว่าเป็นคดีทางการเมืองเพียงคดีเดียวในชีวิตของเขา จนส่งผลพวงไปยังชีวิตเขาในหลาย ๆ ด้าน
.
ศูนย์ทนายฯ เคยมีโอกาสได้สัมภาษณ์ตันและเผยแพร่ครั้งแรกไปเมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2564 ที่พูดคุยถึงเรื่องราวชีวิตของเขา การถูกตีตราจนกลายเป็นบาดแผลในชีวิต ส่งผลกระทบไปถึงการงาน ชีวิตคู่ และสภาพจิตใจ หลังถูกปล่อยตัวจากเรือนจำจากการถูกขัง 13 วัน ทั้งยังถูกนำตัวไปแยกขังเดี่ยวที่เรือนจำบางขวางอีกด้วย
.
“สิ่งที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือมันกำลังไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพและศักยภาพในตัวผม ไปกดทับความคิดสร้างสรรค์ที่เคยมี ถ้าสภาพจิตใจของผมปกติเชื่อว่าตัวเองคงทำอะไรให้กับสังคมได้กว่านี้มาก แต่สุดท้ายมันไม่เกิดและมันอาจจะไม่เกิดขึ้นเลยตลอดไป ถ้าหากผู้เห็นต่างทางการเมืองยังคงถูกดำเนินคดีวนเวียนอยู่แบบนี้ ไม่ว่าจะกับผมหรือกับใครก็ตาม” ตัน สุรนาถกล่าวไว้ในตอนหนึ่งของบทสัมภาษณ์
.
.
อ่านเนื้อหาบนเว็บไซต์ได้ที่ลิงก์
.....