วันจันทร์, กันยายน 15, 2568

1 เดือนหลังปะทะ ‘ไทย-กัมพูชา’ 7 จังหวัด ยังตึงเครียด-กำลังซื้อหด-ลงทุนชะงัก



1 เดือนหลังปะทะ ‘ไทย-กัมพูชา’ 7 จังหวัด ยังตึงเครียด-กำลังซื้อหด-ลงทุนชะงัก

10 กันยายน 2568
ประชาชาติธุรกิจ

สถานการณ์ 1 เดือนหลังเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา 7 จังหวัดอีสานใต้-ภาคตะวันออกยังตึงเครียด หลังภาคธุรกิจ-ประชาชนกังวลหวั่นเกิดการปะทะอีกครั้ง ส่งผลกำลังซื้อหดตัวขนาดหนัก การลงทุนชะงัก ผู้ประกอบการค้าขาย ส่งออก ท่องเที่ยว รายได้ลดฮวบ ภาคธุรกิจต่างประคองตัว ลดต้นทุน เริ่มปลดพนักงาน ขณะที่ตลาดโรงเกลือแทบร้าง หลังชาวกัมพูชาเดินทางกลับประเทศ พร้อมรอความหวังมาตรการเยียวยาจากรัฐบาลชุดใหม่

เศรษฐกิจอีสานซบถึงปลายปี

นายสมชาติ พงคพนาไกร รองประธานกรรมการหอการค้าไทยและประธานหอการค้าภาคตะวันออกเฉียงเหนือกล่าวว่า เศรษฐกิจการค้าภาคอีสานในพื้นที่ชายแดน 4 จังหวัด “ยังชะลอตัวต่อเนื่อง กำลังซื้อของประชาชนยังหดตัว” ด้านการท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัว กลุ่มธุรกิจโรงแรมก็ยังเงียบ กลุ่มลูกค้าเดิมที่เคยยกเลิกการจองห้องพักไปช่วงเกิดเหตุปะทะก็ยังไม่มีการติดต่อกลับมาอีก

ดังนั้น คาดว่าเศรษฐกิจอีสานจะยังคงซบเซาไปจนถึงครึ่งหลังของปี 2568 ผู้ประกอบการช่วงนี้ก็ต้องประคองธุรกิจกันไป โดยการลดต้นทุน งดการขยายกิจการ งดการลงทุนใหม่ ๆ และการควบคุมจำนวนแรงงาน ไม่จ้างงานเพิ่ม

“ส่วนข้อเสนอมาตรการเยียวยาที่เสนอไปยังรัฐบาล 4 ข้อ (ภาษี/ค่าธรรมเนียม-เงินกู้เสริมสภาพคล่อง-กระตุ้นเศรษฐกิจ/ท่องเที่ยว-แรงงาน/การจ้างงาน) ขณะนี้ยังไม่มีการตอบรับใด ๆ ส่งผลให้ภาคเอกชนต้อง “ช่วยเหลือกันเอง” โดยหอการค้าแต่ละภาคจะใช้เครือข่ายของผู้ประกอบการรายใหญ่ เช่น เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP)-บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ลักษณะให้เอกชนต่อเอกชนช่วยเหลือกันเอง ด้วยการให้มาจัดกิจกรรม สัมมนา และศึกษาดูงานในพื้นที่ 7 จังหวัด เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นการท่องเที่ยว “จริง ๆ เราขอให้ภาครัฐลดหย่อนภาษี 2 เท่า สำหรับผู้ที่เดินทางมาในพื้นที่ 7 จังหวัด ตอนนี้คงไม่สามารถหวังพึ่งรัฐบาลได้แล้ว”

นางสาวพูลทรัพย์ เทพนคร ประธานหอการค้าจังหวัดบุรีรัมย์กล่าวว่า สถานการณ์ภายในจังหวัดยังคงตึงเครียด ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ เพราะยังไม่มีสัญญาณการลงทุนใหม่ ขณะที่กำลังซื้อคนในจังหวัดยังทรงตัว

โดยเฉพาะ 3 อำเภอชายแดนยังซบเซากว่า 50% “เราคงรอดูสถานการณ์ต่อไปอีกอย่างน้อย 6 เดือน และขอให้เยียวยาในเรื่องของการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง การเสริมสภาพคล่องให้กับธุรกิจ อย่างกลุ่มธุรกิจโรงแรมที่ตอนนี้หันมาลดอัตราการจ้างงานลง นอกจากนี้ ยังมีปัญหาทางการเมืองเข้ามาซ้ำเติม ถือว่าเป็นโชคร้ายหลายชั้น

ด้าน นายรัฐวิทย์ อังคสกุลเกียรติ ประธานหอการค้าจังหวัดศรีสะเกษกล่าวว่า ภาคการท่องเที่ยวยังหดตัวลงกว่า 30% ผู้ประกอบการต่างพยายามลดต้นทุน ไม่มีการลงทุนเพิ่ม ส่วนมาตรการเยียวยาที่เคยเสนอภาครัฐไปยัง “ไร้การตอบรับ”

ส่วนผู้ประกอบการโรงแรมจะร่วมกันยื่นข้อเรียกร้องขอให้รัฐบาล “ยกเลิก” คำสั่งการปรับขึ้นค่าแรง 400 บาท ส่วนการที่จังหวัดตั้งเป้าผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดศรีสะเกษ (GPP) ในปี 2568 ไว้ประมาณ 80,000 ล้านบาทนั้น “คงจะไม่ได้ตามเป้าที่กำหนดไว้”

นายวิรัตน์ เศรษฐวิพัฒนชัย ประธานหอการค้าจังหวัดสุรินทร์กล่าวว่า สถานการณ์ชายแดนยังไม่มีความแน่นอน และเป็นเรื่องที่สร้างความกังวลให้ประชาชนในจังหวัด แม้ประชาชนมีการจับจ่ายใช้สอยสำหรับชีวิตประจำวันเป็นปกติ แต่ใช้สอยในส่วนฟุ่มเฟือยลดลงกว่า 30% โดยกำลังซื้อที่ลดลงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการลงทุนในจังหวัดชะลอตัว นักธุรกิจไม่กล้าลงทุน ทำให้ภาคธุรกิจต่างอยู่ในภาวะการประคองตัวให้รอดกันไป ไม่จ้างงานเพิ่ม มาตรการช่วยเหลือที่ยื่นไปยังรัฐบาลก็ยังไม่มีความชัดเจนออกมา



จันทบุรีขอเยียวยาใหม่ 6 ข้อ

นายสุทธิลักษณ์ คุ้มครองรักษ์ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สภาอุตสาหกรรมจังหวัดตราดกล่าวว่า การปิดชายแดน ด่านจุดผ่านแดนถาวร บ้านหาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด มีผลกระทบทั้งผู้ประกอบการธุรกิจส่งออก ธุรกิจการท่องเที่ยว และธุรกิจเกี่ยวเนื่องต่างรายได้หดหายไป บางธุรกิจที่ค้าขายเฉพาะกับกัมพูชามีรายได้เป็นศูนย์ จนต้องทยอยปลดคนงานออก

“ยกตัวอย่างผู้ประกอบการรายหนึ่งที่นำเข้าสินค้าจำพวกอาหารทะเลประมาณ 10 ล้านบาท ตอนนี้รายได้เป็นศูนย์ รายได้มีเฉพาะช่วงครึ่งปี 2568 (ม.ค.-มิ.ย.) เท่านั้น จะหายไปกว่า 50% และทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องทั้งหมด เช่น ห้องเย็น คนผลิตน้ำแข็ง ต้องทยอยปลดคนงานออก คาดว่าหากสถานการณ์อีก 3-6 เดือนไม่ดีขึ้น ธุรกิจนี้ต้องถูกฟรีซ ประชาชนในเขตพื้นที่ อ.คลองใหญ่ รายได้ลดลงมากกว่า 80% และถ้าเกี่ยวกับการค้าชายแดนปัจจุบันแทบไม่มีรายได้เลย” นายสุทธิลักษณ์กล่าว

ด้านการท่องเที่ยวจังหวัดตราด ตั้งแต่มีการประกาศกฎอัยการศึก นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติก็ขอเลื่อน ยกเลิกการจอง และขอขยายเวลา จากที่จองไว้เดือน พ.ย.-ธ.ค. ปกติเดือนกันยายนนักท่องเที่ยวปกติจะเริ่มจองมา แต่ตอนนี้บุ๊กกิ้งหายไปหมด ประกอบกับระบบการประกันจากต่างประเทศไม่คุ้มครองในเขตพื้นที่อัยการศึก การส่งออก ก็เพราะด่านปิด มีรายงานข่าวจากผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดตราดเข้ามาว่า ปกติเดือน ก.ค.-ก.ย. จะมีลูกค้ากรุ๊ปสัมมนา

แต่ปีนี้หลังมีปัญหาชายแดนลูกค้าลดลงไปประมาณ 60% และคาดว่าสถานการณ์ใน 7 จังหวัดชายแดนจะเป็นลักษณะเดียวกัน จึงขอเสนอให้รัฐบาลช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยว มีวงเงินงบประมาณลงมาช่วยสนับสนุนคล้าย ๆ โครงการคนละครึ่ง ภาครัฐสนับสนุนจ่าย 60% นักท่องเที่ยวจ่ายเอง 40% เพื่อการช่วยเหลือระยะสั้น

ขณะที่ นายอภิศร ถาวรวิริยะนันท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดจันทบุรี และนายภูมิพัฒน์ ตั้งเจริญศิริ นายกสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวจันทบุรี ร่วมกันกล่าวว่า นับตั้งแต่รัฐบาลออกกฎอัยการศึกในพื้นที่ 7 จังหวัด นักท่องเที่ยวเกิดความกังวลและไม่มั่นใจในความปลอดภัยต่อการเดินทางมาท่องเที่ยว จ.จันทบุรี มีการยกเลิกการจองที่พัก การจัดกิจกรรม งานประชุม

เกิดความเสียหายต่อห้องพักอย่างน้อย 80,000-125,000 ห้อง สูญเสียนักท่องเที่ยวเข้าพื้นที่ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาอย่างน้อย 165,000-250,000 คน คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 700-1,600 ล้านบาท

พร้อมกันนี้ทางสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดจันทบุรี-สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวจันทบุรี ได้ยื่นเสนอมาตรการช่วยเหลือและเยียวยา 7 จังหวัดชายแดน กรณีผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา ต่อผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี



ดังนี้ 1) ต้องการให้ออกนโยบายช่วยลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ให้แก่นักท่องเที่ยวที่เข้ามาท่องเที่ยวและใช้จ่ายในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดน 2) ต้องการให้ออกนโยบายด้านการเงิน เช่น การพักชำระหนี้ หรือลดดอกเบี้ยธนาคาร ทั้งในช่วงที่ยังมีความขัดแย้งกันและช่วยฟื้นฟูหลังเหตุการณ์ปะทะ 3) ต้องการงบประมาณจัดงาน Big Event ในจังหวัดจันทบุรี เพื่อช่วยกระตุ้นให้มีการเดินทางมาท่องเที่ยวในจังหวัด

4) ต้องการงบประมาณจ้าง Influencer 2-3 ราย ที่มีผู้ติดตามไม่น้อยกว่า 1 ล้านคนมาประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้นักท่องเที่ยวตามมาเที่ยวในจังหวัดเพิ่มขึ้น 5) ต้องการให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยมีการปรับโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” เฉพาะ 7 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบ โดยให้รัฐบาลสนับสนุนค่าใช้จ่ายจาก 70% และนักท่องเที่ยวจ่ายเพียง 30% โดยให้มีระยะเวลาใช้สิทธิถึงปลายปี 2568

และ 6) ต้องการให้นำผู้ประกอบการท่องเที่ยวทั้ง 7 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจัดงาน Road Show ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย การประชาสัมพันธ์โรงแรม ร้านค้า และสินค้าในจังหวัด
ตลาดโรงเกลือเหลือผู้ค้า 30% ดิ้นหันทำตลาดออนไลน์

นายเทอดศักดิ์ วงษ์โพธิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสระแก้ว กล่าวถึงปัญหาคนกัมพูชารุกล้ำอาณาเขตประเทศไทยบริเวณบ้านหนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว โดยไม่ยอมย้ายออก และมีท่าทีบานปลายและไม่จบลงง่าย ๆ ว่าจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจในจังหวัด

โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจค้าขายบริเวณชายแดนตลอดแนว เพราะตั้งแต่ปิดด่านมาประมาณเกือบ 3 เดือน “ไม่มีรายได้เลย” แต่ต้องจ่ายค่าเช่าพื้นที่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นที่ดินของกรมธนารักษ์และการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.)

“ที่ชายแดนอรัญประเทศปกติมีตัวเลขนำเข้า-ส่งออกสินค้าเฉลี่ยประมาณ 100,000 ล้านบาท อย่างตรงตลาดโรงเกลือปกติจะมีชาวกัมพูชามาเช่าห้องเพื่อการค้าขายถึง 5,000 ห้อง ตอนนี้กลับประเทศกัมพูชาไปเป็นจำนวนมาก ที่เหลือเช่าอยู่ประมาณ 30% ก็ค้าขายทางออนไลน์ ตอนนี้สถานการณ์ทุกอย่างอึมครึม ชาวบ้านก็อึดอัด ตอนนี้รอดูรัฐบาลชุดใหม่ในการไปเจรจากับฝ่ายกัมพูชา ผลกระทบเกิดขึ้นตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชาทุกจังหวัด และกระทบทั้งคนไทยและคนกัมพูชาที่ไม่สามารถทำมาค้าขายกันได้ พืชผลทางการเกษตร ทั้งข้าวโพด มันสำปะหลังไม่สามารถขนส่งข้ามมาได้ก็บาดเจ็บกันทั้งสองฝ่าย” นายเทอดศักดิ์กล่าว

ขณะที่ นายบดี เทียนทอง ผู้บริหาร บริษัท โกลเด้น เกท จำกัด อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว และอดีตประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสระแก้วกล่าวว่า สถานการณ์กำลังซื้อใน อ.อรัญประเทศ ตอนนี้ “เงียบมาก” และกำลังดิ่งลงเรื่อย ๆ ผู้ประกอบการธุรกิจได้รับผลกระทบหนักจนต้องดิ้นรนไปหารายได้จากทางอื่น

สำหรับทางบริษัททำธุรกิจให้เช่าอาคารค้าขายบริเวณตลาดโรงเกลือประมาณ 1,000 ยูนิต ผู้เช่าส่วนใหญ่เป็นคนกัมพูชาได้เดินทางกลับประเทศไปแล้ว อาคารถูกปิด ทำให้สูญเสียรายได้ไปพอสมควร สถานการณ์ตลาดโรงเกลือเงียบสนิท แต่ยังดีว่าบริษัทมีรายได้จากธุรกิจอื่น ๆ มาทดแทน โดยเฉพาะธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง

https://www.prachachat.net/local-economy/news-1880926