
"ขี้เมาด่าทหาร" ข่าวลือโซเชียลเบี่ยงเบนปัญหาสภาพจิตทหารหลังสงคราม
15 สิงหาคม 2568
ประชาไท
“...ทหารคนนี้ไม่ได้คลั่งนะครับ ผมคนในพื้นที่…”
“...ไอ้ฟูกับไอ้วุตเมาเหล้า แล้วด่าทหาร ไม่มีน้ำยา รบเขมรไม่ชนะ แถมยังโง่เหยียบระเบิด…”
“...จึงยิงขี้เมาเข้าไป2นัด เพื่อสั่งสอนและยิ่งขู่ลงดินอีกนับ10นัด…”
คำบรรยายราวกับร่วมอยู่ในเหตุการณ์ ยังไม่พบต้นทาง ยังไม่ทราบจริงเท็จ แต่ถูกเผยแพร่กว้างขวางบนโซเชียลมีเดีย หลังเกิดเหตุทหารเกณฑ์ยิงชาวบ้านสองคนใน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ (เจ็บ 1 สาหัส 1) ในช่วงดึกของคืนวันที่ 14 ส.ค. ที่ผ่านมา ก่อนจะปลิดชีพตัวเอง และถูกพบร่างช่วงสายวันรุ่งขึ้น (15 ส.ค.)
ตามการรายงานของไบรท์ทีวีและไทยพีบีเอส พลทหารรัฐภูมิ (ผู้ก่อเหตุ) เคยสู้รบบริเวณปราสาทตาควายช่วงปะทะรุนแรง ก่อนจะถูกย้ายมาที่บ้านเขื่อนแก้ว อ.กาบเชิง และญาติเล่าว่าเขามีอาการเครียดมาก อยู่ค่ายมา 2 เดือน อยากกลับบ้าน ทำให้คาดว่าทั้งหมดนี้อาจเป็นสาเหตุที่นำมาสู่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ส่วนกองทัพบกชี้แจงว่า หน่วยของพลทหารรัฐภูมิเคยรบที่ตาเมือนธม แต่ปัจจุบันหมุนกำลังมาที่ อ.ช่องจอม จ.สุรินทร์ ยืนยันว่าไม่ได้คลั่ง ปกติเป็นเงียบขรึม ปฏิบัติหน้าที่ได้ดี เบื้องต้นเป็นเรื่องสภาพจิตใจ
เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นร้อนที่ทำให้ผู้คนกลับมาสนใจปัญหาสุขภาพจิตของพลทหารในสงคราม โดยเฉพาะผู้ที่ผ่านเหตุการณ์สะเทือนขวัญจนเกิดภาวะ PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) หลายคนกลับมาตั้งคำถามถึงสงครามครั้งนี้ ไปจนถึงคนที่ยังเชียร์ให้มีการรบกัน ว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นคุ้มค่าหรือไม่ และเรียกร้องให้มีการดูแลสุขภาพจิตของทหารอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นประเด็นหนึ่งที่เคยอยู่ในกระแสเรียกร้องปฏิรูปกองทัพ
ขณะที่ผู้เรียกร้องสันติวิธี ลดการปะทะ และชี้ให้เห็นความโหดร้ายของสงคราม กำลังส่งเสียง อีกเสียงที่ดังขึ้นมาตามกัน คือเสียงจากเรื่องเล่าข่าวลือ ที่พยายามชี้ว่า เหตุดังกล่าวไม่ได้เกิดจากความ ‘คลุ้มคลั่ง’ หรือการไม่สามารถควบคุมตัวเองของพลทหารที่ผ่านเหตุสะเทือนขวัญ แต่เกิดจากการถูกเยาะเย้ยโดย ‘ไอ้ขี้เมาสองคน’ ที่ปรามาสทหารไทย ว่าไม่มีน้ำยา รบไม่ชนะเขมร โง่เหยียบกับระเบิด จนเป็นเหตุบันดาลโทสะจากความเครียดและก่อเหตุในที่สุด
แม้ยังไม่ทราบว่าจริงเท็จอย่างไร และเหตุใดข้อมูลนี้จึงลงรายละเอียดได้ราวกับอยู่ในเหตุการณ์ แต่ก็มีคนปักใจเชื่อแล้วจำนวนมาก และเผยแพร่ข้อมูลนี้ต่อ ๆ กันจนเต็มโซเชียลมีเดีย พร้อมทั้งก่นประณามสองผู้บาดเจ็บอย่างหนัก
เรื่องเล่า ‘สองขี้เมาด่าทหาร’
ตัวอย่างข้อความที่ถูกส่องต่อบนโซเชียลมีเดีย:
“ทหารคนนี้ไม่ได้คลั่งนะครับ ผมคนในพื้นที่ อย่าเชื่อข่าวเท็จที่ยังไม่ได้กรองความจริงคือ พลทหารท่านนี้ไปซื้อของกินของใช้ ที่ร้านขายของชำ ในหมู่บ้าน ซึ่งเจ้าของร้านเขาก็ใจดี คิดเงินแค่ครึ่งราคา แต่พลทหารท่านนี้โดนวัยรุ่นขี้เมา2คน และเป็นนักเลง ประจำหมู่บ้าน เอะอะโวยวายเสียงดัง พูดจาดูถูก เยาะเย้ยถากถาง ต่างๆนาๆทำนองว่า มีทหารไว้ทำไมว่ะ รบกับเขมร
ก็ไม่ชนะ เดินไปก็เหยียบแต่กับระเบิดขาขาด ด้วยความบันดาลโทสะ ไปรบแนวหน้าก็เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอยู่แล้ว ยังมาโดนขี้เมานักเลงประจำหมู่บ้าน พูดจาเยาะเย้ยไม่ให้เกียรติทหาร จึงยิงขี้เมาเข้าไป2นัด เพื่อสั่งสอนและยิ่งขู่ลงดินอีกนับ10นัด…”
และยังมีข้อความที่เปลี่ยนช่วงแรกเป็น “ทหารคนนี้ไม่ได้คลั่งนะครับ ผมเป็นทหารรักษาอธิปไตยในพื้นที่ ชายแดน จ.สุรินทร์…” ตามด้วยคำบรรยายชุดเดิมทุกตัวอักษร (แม้กระทั่งวิธีเว้นวรรค)

คอมเมนต์ถูกแชร์ต่อในโซเชียล และโปรไฟล์ของ 'ปราบ ปฐพี'
ผู้สื่อข่าวไม่พบแหล่งที่มาของทั้งสองข้อความ ทว่าหนึ่งในต้นทางที่ถูกใช้เป็นแหล่งอ้างอิงบ่อย มาจากคอมเมนต์ของผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘ปราบ ปฐพี’ ซึ่งล็อกโปรไฟล์ไว้ ใช้รูปโปรไฟล์ทหาร มีเพื่อน 1 คน คอมเมนต์ของเขาถูกคัดลอกและถูกแคปไปเผยแพร่ต่อโดยชาวเน็ตทั้งคนทั่วไปและอินฟลูเอนเซอร์ รวมถึงเพจต่าง ๆ เช่น
เพจ ‘ทหาร’ (ผู้ติดตาม 8.3 หมื่นบัญชี) มีทั้งโพสต์ที่ไม่ได้บอกแหล่งอ้างอิง (บอกเพียงว่าได้รับข้อมูลมาเช่นนี้) และโพสต์ที่อ้างอิงว่ามาจากเฟซบุ๊ก ‘ปราบ ปฐพี’ หนึ่งในโพสต์นี้ มียอดแชร์กว่า 4.1 พันครั้ง
เฟซบุ๊ก ‘ประภากร ปานกล่ำ’ (ผู้ติดตาม 2.7 แสนบัญชี) โพสต์ข้อความพร้อมระบุว่าส่งต่อมาจาก “#อัญ #อัญพัชญ์” โพสต์นี้มียอดแชร์กว่า 1.4 หมื่นครั้ง
เฟซบุ๊ก ‘จ่าไอซ์ ทัพฟ้า’ (ผู้ติดตาม 5.5 หมื่นบัญชี) โพสต์รูปคอมเมนต์ของ ‘ปราบ ปฐพี’ กับคอมเมนต์อื่น ๆ และแชทส่วนตัวที่ระบุว่าคุยกับคนในพื้นที่ ได้ข้อมูลทำนองเดียวกันว่าสองผู้บาดเจ็บเมาทุกวัน โดยจ่าไอซ์ให้ความเห็นว่า “เมาแล้วปากไม่ดีสมควรแล้วครับ”

ที่มา: โพสต์ของ ‘ทหาร’

ที่มา: โพสต์ของ ‘ประภากร ปานกล่ำ’

ต่อมาจ่าไอซ์ยังได้โพสต์ข้อความระบุว่า
“ไอ้ฟู กับ ไอ้นุ ไปกินเลี้ยงบ้านเจ้าหน้าที่เทศบาลที่ออกรถใหม่ ทหารเตือนให้กินแค่สองทุ่มเพราะจะรบกวนการฟังเสียงโดรนในพื้นที่ แต่ไอ้ฟูกับไอ้วุตเมาเหล้า แล้วด่าทหาร ไม่มีน้ำยา รบเขมรไม่ชนะ แถมยังโง่เหยียบระเบิด ทหารก็คน มึงมีสิทธิ์อะไรไปดูถูกเขาว่ะ”
โพสต์นี้มียอดแชร์กว่า 2.7 พันครั้ง และถูกคัดลอกไปเผยแพร่ซ้ำทั่วโซเชียลมีเดีย

ที่มา: โพสต์ของ ‘จ่าไอซ์ ทัพฟ้า’
อย่างไรก็ตาม เพจ ‘หนังสือพิมพ์ฐานความจริง’ ก็ได้โพสต์วิดีโอการสัมภาษณ์คนในพื้นที่ เล่าเรื่องราวคล้ายกันว่ากลุ่มคนเมามีนิสัยระรานไปทั่ว และได้ยินเสียงโวยวายด่าทหาร และเพจ ‘ที่นี่ อ.ปราสาท’ โพสต์คลิปดังกล่าว ยอดรับชม 3.6 หมื่นครั้ง
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ จึงยิ่งสนับสนุนเรื่องเล่าดังกล่าวให้กลายเป็นความผิดของ ‘คนปากไม่ดี’ ที่ถูกสั่งสอน และยิ่งทำให้ข้อความบอกเล่ารายละเอียดฟังดูมีน้ำหนักขึ้น แม้มีจุดน่าตั้งคำถามอยู่มากมาย
คำถามที่ยังไม่มีคำตอบ
ตามข้อมูลของศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบก เสียงปืนดังขึ้นสองรอบ รอบแรกร่วมสิบนัด รอบสองสองนัด ห่างกันประมาณสิบนาที แต่ข้อความที่เผยแพร่ต่อกันในโซเชียลมีเดีย ระบุว่า “ยิงขี้เมาเข้าไป2นัด เพื่อสั่งสอนและยิ่งขู่ลงดินอีกนับ10นัด” ซึ่งขัดแย้งในลำดับเวลา และน่าสงสัยว่า ทำไมผู้เขียนข้อความ จึงทราบโดยละเอียดว่าคนเจ็บด่าทหารว่าอย่างไรบ้าง
นอกจากนี้ กองทัพยังรายงานเองว่า พลทหารได้ออกจากที่ตั้งโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมอาวุธปืนเล็กยาวและกระสุนจำนวนหนึ่ง
ดังนั้น หากคำกล่าวอ้างในข้อความที่เผยแพร่กันเป็นความจริงว่ามีการยั่วยุจนเกิดเหตุ หมายความว่ามีความเป็นไปได้สองทาง คือพลทหารมีปากเสียงก่อนไปนำอาวุธออกมาจากค่าย หรือพลทหารนำอาวุธออกมาจากค่ายก่อนแล้วมีปากเสียงจึงก่อเหตุ
หากเป็นกรณีแรก ว่ามีปากเสียงกันก่อน หมายความว่าพลทหารต้องอยู่นอกที่ตั้ง ก่อนจะกลับเข้ามา แล้วออกไปใหม่พร้อมอาวุธ (ซึ่งกองทัพไม่ได้ระบุว่ากลับเข้ามาแล้วออกไป)
หรือหากเป็นกรณีหลัง พลทหารมีอาวุธติดมือมาก่อนแล้วจึงมีปากเสียง ก็ควรสงสัยว่าเหตุใดพลทหารจึงนำอาวุธออกมาโดยพลการตั้งแต่แรก
กระแสประณามผู้บาดเจ็บ
ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะ ‘คลั่ง’ หรือ ‘บันดาลโทสะ’ สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือความตึงเครียดของพลทหารรัฐภูมิ ผู้เป็น ‘ทหารเกณฑ์’ ที่ต้องไปรบในสงคราม อยู่กับสถานการณ์ตึงเครียด และน่าเห็นใจเป็นอย่างยิ่งจากการต้องแบกรับสิ่งเหล่านี้อย่างเลือกไม่ได้
หากแต่ว่า กระแสข่าวเหล่านี้ กำลังดึงความสนใจจากปัญหาผลกระทบสงครามสู่การโยนบาปให้ ‘คนปากไม่ดี’ ดังที่เห็นได้จากคอมเมนต์บนเฟซบุ๊ก
“ถ้าเป็นเรื่องจริงมันก็สมควรแล้วครับ”
“ไอ้2คนนั้นไม่ต้องรักษามัน..ปล่อยแม่งให้มันตาย”
“นายทหารท่านนี้ทำถูกแล้วค่ะมันปากสกปรกทหารเลยต้องสั่งสอนมัน”

กระนั้นยังมีชาวเน็ตอีกกลุ่มที่ชี้ชวนให้เห็นปัญหาอีกแง่มุมว่า คนที่ถูกเกณฑ์ทหารมา ย่อมมีสภาพจิตใจต่างกับทหารอาชีพ การรับแรงกดดันย่อมต่างกัน หรือการยืนยันว่ากองทัพควรใส่ใจปัญหาสุขภาพจิตของพลทหารอย่างสม่ำเสมอ
ตัวอย่างเช่นคอมเมนต์ในโพสต์ของข่าวสด เกี่ยวกับแถลงของกองทัพบก
“เป็น ทหารเกณฑ์ กดดันหลายอย่าง ห่วงเมีย ห่วงที่บ้าน ไหนจะเรื่องที่กองร้อย แล้วที่หนักคือ รุ่นพี่ในกองร้อย จากที่เคยสัมผัส ราบ11มา2ปีเต็ม บอกเลย สุดตีน”
“จริงๆควรมีการประเมินสภาวะจิตใจของ ทหารที่อยู่แนวหน้าอย่างสม่ำเสมอครับ ผมไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้กองทัพได้จัดการอะไรหรือเปล่า”

และยังมีอยู่บ้างที่ชวนให้สืบสาวราวเรื่องเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ว่าพลทหารได้รับความกดดันอย่างไรบ้างจากสภาพแวดล้อม เรียกร้องให้แก้ปัญหาอย่างสงบ แต่ก็ยังเสียงดังน้อยกว่ากระแสประณามคนเจ็บ หรือแม้กระทั่งการเชียร์ให้รบเด็ดขาดโดยคนจำนวนมากอยู่ดี
https://prachatai.com/journal/2025/08/114193