
เปิดคำชี้แจง 'แพทองธาร'(4) ยก 8 ประเด็นสู้ อ้าง'สว.'ใช้สิทธิ์ไม่สุจริต-พรรคการเมืองครอบงำ
14 สิงหาคม 2568
สำนักข่าวอิศรา
"...เป็นรายละเอียดคำชี้แจงของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการแก้ข้อกล่าวหาในคดีนี้ ซึ่งมีอยู่ 8 ประเด็น พร้อมกล่าวอ้างว่า การใช้สิทธิยื่นคําร้องในเรื่องนี้ของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตเพียงเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของกลุ่มตน และอาจถูก ครอบงําทางการเมืองหรือถูกชี้นําโดยพรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใดหรือไม่ ..."
ในการเปิดเผยข้อมูลคำชี้แจงของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อต่อสู้คดีคลิปเสียงการสนทนาระหว่างน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกร้อง) กับสมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา หลังภายประธานวุฒิสภาส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญ มีกำหนดนัดไต่สวนพยานบุคคลจำนวน 2 ปาก คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้อง และนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในวันที่ 21 สิงหาคม 2568 เวลา 10.30 น. พร้อมนัดแถลงด้วยวาจาปรึกษาหารือ และลงมติ ในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 เวลา 09.30 น. นัดฟังคำวินิจฉัย เวลา 15.00 น. เป็นต้นไปนั้น
ตอนที่แล้ว สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับคำชี้แจงเรื่องมูลเหตุความเป็นมาของเรื่อง ซึ่งมีการกล่าวอ้างถึง นายฮวด คนสนิทสมเด็จฮุน เซน เป็นคนกลางประสานเข้ามาเพื่อเสนอให้ได้มีการพูดคุยกับสมเด็จฮุน เซน และโน้มน้าวให้ใจเย็นลงได้บ้าง สถานการณ์บริเวณชายแดนของทั้งสองประเทศน่าจะคลี่คลายได้โดยง่ายและเป็นไปโดยราบรื่นมากขึ้น ก่อนที่ฝ่ายกัมพูชาปล่อยคลิปการสนทนาระหว่างตนกับสมเด็จฮุน เซน เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2568 ทำให้ตนเองต้องแถลงการณ์เพื่อขอโทษประชาชน และโทรศัพท์ไปอธิบายข้อเท็จจริงและกล่าวคำขอโทษต่อแม่ทัพภาคที่ 2 มาเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบไปแล้ว

- เบื้องหลัง! เรียก'แพทองธาร-เลขา สมช.'ไต่สวนคดี‘ฮุนเซน’ให้สิทธิโต้แย้ง-ก่อนชี้ชะตา29 ส.ค.
- เปิดคำชี้แจง 'แพทองธาร' ยันไม่ฝ่าฝืนจริยธรรมคดีฮุนเซน ยื่นพยาน 5 ปาก ได้แค่ เลขาฯ สมช.
- เปิดคำชี้แจง 'แพทองธาร' (2) อ้าง ’ฮุนเซน’ ไม่พอใจ เลยต้องบอก ‘มทภ.2’ เป็นฝั่งตรงข้าม
- เปิดคำชี้แจง 'แพทองธาร' (3) อ้าง 'ฮวด' โทรหาก่อน ตัดสินใจคุย 'ฮุน เซน' แม้อยู่เพียงลำพัง
ปรากฏข้อมูลดังต่อไปนี้
โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เริ่มต้นชี้แจงข้อมูลส่วนนี้ ว่า ข้ออ้างตามคําร้องของผู้ร้องไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดอันจะถือได้ว่าตนเป็นผู้ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ หรือกระทําการอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่าง ร้ายแรงแต่อย่างใด
ตนเองขอคัดค้านคําขอตามคําร้องดังกล่าว โดยขอแถลงข้อเท็จจริงและเหตุผลเพื่อ ประกอบการพิจารณา
โดยขอโต้แย้งข้อกล่าวหาทุกประเด็นของผู้ร้องดังต่อไปนี้
@ การเจรจาระหว่างประเทศ
ที่ผู้ร้องกล่าวหาว่า “หากผู้ถูกร้องมีเจตนาในการเจรจาเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งและการสู้รบระหว่าง ประเทศเพื่อประโยชน์ของประเทศไทยจริง ผู้ถูกร้องสามารถดําเนินการตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอนและวิธีการเจรจาทางการทูตตามหลักการและมาตรฐานการดําเนินการที่ถูกต้องอย่างโปร่งใสตามกระบวนการของ กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ ประการ สําคัญ ไม่มีเหตุผลความจําเป็นใด ๆ ที่จะต้อง แอบเจรจากันเป็นการส่วนตัว”
ขอเรียนชี้แจง ดังนี้
ในฐานะนายกรัฐมนตรีขอกราบเรียนว่า ความจําเป็นในการเจรจากิจการระหว่าง ประเทศนั้น แต่ละประเทศต้องยึดถือประโยชน์ของประเทศตนเป็นสําคัญ หากแต่ในบางกรณีการเจรจาต่อรอง ระหว่างประเทศอาจไม่ได้ผลตามที่คาดหวังทั้งหมด ในบางครั้งอาจจําเป็นต้องมีการแลกเปลี่ยนเงื่อนไขบาง ประการ เช่น การเจรจาอัตราภาษีระหว่างชาติต่าง ๆ กับประเทศสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน ที่หลายชาติต่างต้อง ยอมลดพิกัดอัตราภาษีให้แก่สินค้าจากประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อแลกเปลี่ยนกับการลดอัตราภาษีสินค้าของชาติตนที่จะนําไปจําหน่ายในประเทศสหรัฐอเมริกา
ในการสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ในฐานะประธาน วุฒิสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งไม่ได้อยู่ในสถานะหรือดํารงตําแหน่งผู้นําของรัฐบาลกัมพูชา และไม่มี ข้อความใดที่แสดงให้เห็นว่า ตนจะนําผลประโยชน์ของประเทศไทยไปแลกเปลี่ยนกับต่างชาติ มีเพียงแต่ การพยายามเจรจาต่อรองเงื่อนไขเพื่อให้สถานการณ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาคลี่คลายลงโดยใช้คําพูดเชิงจิตวิทยา ระหว่างการสนทนา เพื่อโน้มน้าวหวังให้สมเด็จฮุน เซน ช่วยกรุณาแนะนําหรือเสนอแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อ ประเทศไทยและลดความขัดแย้งผ่านไปยังผู้นํารัฐบาลกัมพูชาเพียงเท่านั้น
สําหรับหลักเกณฑ์ ขั้นตอน วิธีการเจรจาทางการทูตตามหลักการและมาตรฐาน ตนขอ กราบเรียนว่า กระทรวงการต่างประเทศมีการกําหนดขั้นตอนมาตรฐานเฉพาะสําหรับกระบวนการที่เป็น ทางการเท่านั้น เช่น กระบวนการเจรจาจัดทําสนธิสัญญา (Treaty Negotiation) และมาตรฐานพิธีการ (Protocol & Diplomatic Procedure) แต่ไม่ได้มีการกําหนดหลักเกณฑ์ ขั้นตอน วิธีการเจรจาทางการทูต สําหรับวิธีการที่ไม่เป็นทางการแต่อย่างใด
ภายใต้ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการสื่อสาร (Communication Technology) ที่เน้นการ ใช้เครื่องมือและวิธีการต่าง ๆ เพื่ออํานวยความสะดวกในการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น การเจรจาในลักษณะสายตรงระหว่างผู้นํา หรือสายด่วนผู้นํา (Leader to Leader Hotline) เป็นวิธีการเจรจา อย่างไม่เป็นทางการที่มีประสิทธิภาพและใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก และมักจะใช้เพื่อหารือเรื่องเร่งด่วนหรือ ประเด็นที่มีความอ่อนไหวอันเป็นวิธีการที่นิยมปฏิบัติต่อกันเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด หรือสร้างความไว้ใจกัน ทั้งในประเด็นเรื่องความมั่นคง ข้อพิพาทตามแนวชายแดน หรือเพื่อป้องกันการเกิดสงคราม ซึ่งโดยปกติ วิธีการ เช่นนี้จะไม่มีการเผยแพร่ต่อสาธารณะ และมักไม่มีการบันทึกอย่างเป็นทางการ เช่น สายด่วนระหว่างผู้นํา สหรัฐอเมริกากับรัสเซีย หรือผู้นําเกาหลีใต้กับเกาหลีเหนือ ดังนั้นการพูดคุยของข้าพเจ้ากับสมเด็จฮุน เซนก็เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับผู้นําประเทศอื่น ๆ และอยู่ภายใต้กรอบการเจรจาที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศเป็นสําคัญ
สําหรับข้อที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่า “ไม่มีเหตุผลความจําเป็นใด ๆ ที่จะต้องแอบเจรจากันเป็น การส่วนตัว” นั้น
ดังที่ได้ชี้แจงไว้ตามมูลเหตุความเป็นมาเกิดขึ้นจากการที่นายฮวดพยายาม ติดต่อทางโทรศัพท์เพื่อขอเจรจากับสมเด็จฮุน เซน เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2568 ตนอยู่ร่วมหารือถึง แนวทางในการเจรจากับบุคคลที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการต่างประเทศ (นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์) และเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ซึ่งอยู่ร่วมกันกับตนตลอดระยะเวลาที่นายฮวดพยายามติดต่อทางโทรศัพท์เพื่อขอเจรจากับสมเด็จฮุน เซน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเจตนาบริสุทธิ์และไม่ได้มีเจตนาที่จะแอบเจรจากันดังที่ผู้ร้องกล่าวหา
แต่เมื่อความพยายาม ของนายฮวดในการติดต่อเพื่อขอเจรจากับสมเด็จฮุน เซน ทางโทรศัพท์ไม่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว เนื่องจาก สมเด็จฮุน เซน ไม่รับโทรศัพท์ ข้าพเจ้าและคณะจึงจําเป็นต้องแยกย้ายกันไปปฏิบัติภารกิจอื่น ๆ ตามอํานาจ หน้าที่ แต่ในเวลาต่อมาเมื่อข้าพเจ้าอยู่เพียงลําพัง นายฮวดได้โทรศัพท์กลับมาและขอให้มีการเจรจาแบบการ สนทนาทางโทรศัพท์ร่วม การเจรจาแบบส่วนตัวจึงเกิดขึ้นซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติและยังคงดําเนินการสนทนาพูดคุยตามปกติซึ่งเป็นไปตามแนวทางที่จะต้องพูดคุยกับสมเด็จฮุน เซน อยู่แล้ว เช่นเดียวกับ กรณีที่รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์) และเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) จะยังอยู่ร่วมด้วยในการเจรจา
อนึ่ง แม้การเจรจาจะเป็นไปแบบส่วนตัว แต่ก็ไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของข้าพเจ้า ดังจะเห็นได้จากบทสนทนาดังกล่าว ข้าพเจ้าได้พยายามโน้มน้าวให้สมเด็จฮุน เซน เห็นด้วยว่าทั้งสองประเทศ สามารถแก้ไขปัญหาความตึงเครียดบริเวณชายแดนด้วยสันติวิธีได้ตามกรอบการเจรจาของประเทศไทย อีกทั้งในวันรุ่งขึ้น (16 มิถุนายน 2568) ในระหว่างการประชุมฝ่ายความมั่นคงกลุ่มเล็กเพื่อติดตามสถานการณ์ ชายแดนไทย - กัมพูชา ณ บ้านพิษณุโลก ซึ่งมีบุคคลสําคัญเข้าร่วม อาทิ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการ ทหารบก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ข้าพเจ้าก็ได้นําสาระสําคัญ ของการสนทนาดังกล่าวและเงื่อนไขที่สมเด็จฮุน เซน เรียกร้องมาแจ้งต่อที่ประชุม จึงเป็นการยืนยันว่าข้าพเจ้า มีความบริสุทธิ์ใจและไม่ได้มีเจตนาที่จะแอบเจรจากันดังที่ผู้ร้องกล่าวหา
อย่างไรก็ดี แม้ข้าพเจ้าจะยืนยันว่าการสนทนาทางโทรศัพท์กับสมเด็จฮุน เซน เป็นไปด้วย เจตนาที่บริสุทธิ์ โดยเห็นแก่ความสงบ ความมั่นคง และความปลอดภัยของประเทศชาติและประชาชนเป็น สําคัญ แต่ในขณะเดียวกันสมเด็จฮุน เซน กลับไม่ได้มีความคิดเช่นเดียวกันกับข้าพเจ้า แต่กลับเห็นแต่ประโยชน์ ทางการเมืองของตน อันสะท้อนให้เห็นผ่านพฤติกรรมที่ผิดมารยาททางการเมืองระหว่างประเทศ โดยการแอบบันทึกเสียงการสนทนาแล้วนํามาเผยแพร่ต่อสาธารณชนเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของแต่ฝ่ายเดียว และเป็นที่คาดการณ์ว่าการกระทําดังกล่าวเป็นการเล็งผลที่จะก่อให้เกิดความเสียหายทางการเมืองในประเทศไทยทําให้รัฐบาลขาดเสถียรภาพหรือก่อให้เกิดความวุ่นวายในประเทศไทยได้ แล้วฉวยโอกาสดังกล่าวใช้กําลังทหาร เข้าปะทะดังที่เคยทํามาโดยตลอดตามประวัติศาสตร์ในอดีตที่ผ่านมา
การร้องเรียนของผู้ร้องถึงคุณสมบัติของข้าพเจ้า จึงอาจสอดคล้องกับเจตนาของสมเด็จฮุน เซน ในการจงใจเผยแพร่คลิปเสียงการสนทนาดังกล่าวและการระงับการปฏิบัติหน้าที่ของข้าพเจ้าอาจเป็น ผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์เกินความคาดหมายของทางกัมพูชาและทําให้ประเทศไทยอาจต้องเสียเปรียบในทาง ระหว่างประเทศเนื่องจากการแสดงความอ่อนแอในการเมืองภายในจะสร้างความหวังแก่กัมพูชาในการบรรลุเป้าหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งดินแดนพิพาท หากเกิดกรณีความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชาทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
@ ข้อความในบทสนทนาที่ผู้ร้องเห็นว่าไม่เหมาะสม
ที่ผู้ร้องเห็นว่า ไม่ควรเรียกผู้นําประเทศที่กําลังมีการปะทะกันทางการทหารหรือสภาวะ สงครามที่มีความขัดแย้งกันทางบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตยว่า uncle.(แปลว่า คุณลุง) และแจ้งว่า “จริง ๆ แล้ว ถ้าท่านอยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้” รวมทั้งเรียกแม่ทัพภาคที่ 2 ของไทยซึ่งเป็นผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่อย่างเข้มแข็งเพื่อประเทศชาติและประชาชนว่า “ฝั่งตรงข้าม”
ข้าพเจ้าขอเรียนชี้แจง ดังนี้
บทสนทนาดังกล่าวเป็นไปในลักษณะของการแสดงเจตนารมณ์เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ตึง เครียดบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา และเพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศดําเนินไปโดยสันติวิธี มิใช่เพื่อมุ่ง ข้อความบางตอนหมายให้เกิดประโยชน์ส่วนตนหรือกระทําการใดอันเป็นการบ่อนทําลายผลประโยชน์ของชาติที่ปรากฏ
เช่น การเรียกสมเด็จฮุน เซน ว่า “uncle” เป็นการแสดงความเคารพในวัยวุฒิแก่คู่เจรจา และเป็น มารยาทที่ข้าพเจ้ารักษาปฏิบัติเรื่อยมาเป็นปกติวิสัย ในการเจรจากับคู่สนทนาอย่างไม่เป็นทางการ อาทิ การเรียกอดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) ว่า "อาหนู” หรือการเรียกรองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) ว่า “อาสุริยะ” หรือการเรียกเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ว่า “อาหมอ” จึงเห็นได้ว่าการใช้สรรพนามดังกล่าวสอดคล้องกับขนบธรรมเนียม ประเพณีอันดีงามของสังคมไทย ดังนั้น การเรียกสมเด็จฮุน เซน ว่า “ uncle” จึงไม่ได้เจตนาแอบแฝงอื่นนอกจากมารยาททางสังคมและความพยายามในการสร้างความไว้วางใจเพื่อนําไปสู่ประเด็นการสร้างความสงบสุขในพื้นที่ชายแดนไทย - กัมพูชา เท่านั้น
สําหรับถ้อยคําว่า “อยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้” ข้าพเจ้ามีแต่ เพียงเจตนาที่ต้องการให้คู่เจรจาได้เสนอเงื่อนไขหรือความต้องการออกมาก่อนซึ่งเป็นหลักการสําคัญของ การเจรจาเชิงผลประโยชน์ (Principled Negotiation) โดยการใช้เทคนิคสําคัญคือการตั้งคําถามเพื่อค้นหา ความต้องการที่แท้จริง (Interest-Based) ในลักษณะไม่โจมตีจุดยืนของคู่เจรจา แต่มุ่งทําความเข้าใจความ ต้องการที่อยู่เบื้องหลังมากขึ้น เพื่อจะได้นํามาพิจารณาเจรจาต่อรองเงื่อนไข ที่จะนําไปสู่การยุติความตึงเครียด ที่เกิดขึ้น โดยข้าพเจ้าไม่ได้มีเจตนาที่จะดําเนินการตามเงื่อนไขที่เสนอมาทุกกรณีแต่อย่างใด ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อสมเด็จฮุน เซน ได้เสนอให้ฝ่ายไทยต้องยอมเปิดด่านก่อน แล้วฝ่ายกัมพูชาจะเปิดด่านหลังจากนั้นภายใน 5 ชั่วโมง ข้าพเจ้าก็เสนอกลับไปว่าให้เปิดด่านพร้อมกัน ซึ่งสมเด็จฮุน เซน ไม่ได้ตอบรับหรือยอมรับในเงื่อนไข ดังกล่าว และข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้มีการตอบรับในเงื่อนไขดังกล่าวของสมเด็จฮุน เซน เช่นเดียวกัน เนื่องจาก ข้อเสนอใด ๆ จากฝ่ายกัมพูชาก็ตาม ข้าพเจ้าจะต้องนําเงื่อนไขดังกล่าวไปพูดคุยกับฝ่ายความมั่นคงของไทยก่อนเพื่อร่วมกันพิจารณาและตัดสินใจ

ส่วนถ้อยคําที่กล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง) ว่าเป็น “ฝั่งตรงข้าม” นั้น ดังที่ข้าพเจ้าได้ชี้แจงข้างต้นว่า นายฮวด คนสนิทของสมเด็จฮุน เซน พยายามอธิบายมูลเหตุของการที่สมเด็จ ฮุน เซน สั่งการให้มีการปิดด่านชายแดนของฝ่ายกัมพูชา เนื่องมาจากความไม่พอใจของสมเด็จฮุน เซน ที่มีต่อ แม่ทัพภาคที่ 2.(พลโท บุญสิน พาดกลาง) เป็นการเฉพาะเจาะจง ข้าพเจ้าจึงจําต้องใช้เทคนิคการเจรจาที่ แบ่งแยกปัญหาออกจากตัวบุคคล ไม่ได้เป็นการตําหนิติเตียนในทางลบหรือแสดงให้เห็นว่าแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลไทยแต่อย่างใดแต่เป็นการอธิบายสถานการณ์ต่อฝ่ายกัมพูชาในเชิงสร้างความเข้าใจว่าฝ่ายบริหารของไทยมีเจตนาที่จะรักษาสันติและไม่ได้เป็นการโอนอ่อนหรือเอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหากแต่เป็นการดําเนินนโยบายโดยอาศัยหลักทางการทูตเพื่อรักษาเสถียรภาพของประเทศและป้องกันความขัดแย้งที่อาจลุกลาม
อย่างไรก็ดี เมื่อเกิดความเข้าใจผิดขึ้น ข้าพเจ้าก็ได้มีการชี้แจงและกล่าวคําขอโทษต่อแม่ทัพ ภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง) แล้ว และแม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง) ยืนยันต่อสาธารณชน ว่าไม่ติดใจคลิปเสียงของข้าพเจ้าและไม่ได้เกิดความขัดแย้งระหว่างนายกรัฐมนตรีกับแม่ทัพภาคที่ 2 (พลโทบุญสิน พาดกลาง) และไม่ได้มีผลกระทบต่อการทํางานของกองทัพแต่อย่างใดตามรายละเอียดดังกล่าวข้างต้น
ทั้งนี้ การที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง) ในบทสนทนาเกิดขึ้น ภายหลังจากที่ได้รับแจ้งจากฝ่ายความมั่นคงว่า ทางการกัมพูชาไม่พอใจการเคลื่อนย้ายกําลังทหารของไทย ณ ช่องบก ซึ่งไม่เป็นไปตามที่ได้ตกลงกันไว้ล่วงหน้าในวันที่ 6 มิถุนายน 2564 ข้าพเจ้าจึงจําเป็นต้องสื่อสาร เพื่อแยกบทบาทฝ่ายบริหารออกจากฝ่ายความมั่นคงซึ่งสมเด็จฮุน เซน รู้สึกว่าเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงกับกัมพูชา ในขณะนั้น และเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความไว้วางใจที่อาจนําไปสู่การเปิดเจรจาในระดันทางการต่อไปโดยไม่ ใช้มาตรการทางทหาร และทางเศรษฐกิจอันอาจส่งผลกระทบแก่ประชาชนทั้งสองประเทศ ความตั้งใจเดียวของ ข้าพเจ้าตลอดบทสนทนาจึงเป็นเรื่องการรักษาผลประโยชน์ของชาติโดยไม่มีเจตนาจะได้มาซึ่งผลประโยชน์ส่วนตน ดังจะเห็นได้จากบทสนทนาว่าไม่มีข้อความตอนใดที่ข้าพเจ้าเรียกร้องเอาผลประโยชน์ให้ตกเป็นของตนเอง หรือครอบครัวแต่อย่างหนึ่งอย่างใดหรือได้ถือเอาประโยชน์ส่วนตนเหนือกว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติหรือได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีโดยไม่ซื่อสัตย์สุจริตหรือแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ

@ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร
รายละเอียดความไม่พอใจของทางฝั่งกัมพูชาปรากฏอยู่ในบทสนทนาที่สมเด็จฮุน เซน กล่าวถึงนาทีที่ 3.45 - 5.01. เป็นภาษากัมพูชา ทั้งนี้ พฤติการณ์ตลอดบทสนทนาดังกล่าวอยู่ในกรอบแห่ง แนวนโยบายการต่างประเทศซึ่งดําเนินการโดยสันติวิธีตามหลักสากล หาใช่การดําเนินการในเชิงลับหรือมี เจตนาบ่อนทําลายผลประโยชน์ของรัฐไม่ และเป็นไปตามแนวทางการหารือในช่วงบ่าย วันที่ 15 มิถุนายน 2564 ระหว่างข้าพเจ้า กับรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์) และเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) นอกจากนี้ ผู้ร่วมสนทนา คือ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งไม่ได้มีสถานะตามกฎหมายภายในของ ประเทศตน หรือภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศที่จะสามารถกระทําการอันก่อให้เกิดผลผูกพันทางนิติสัมพันธ์ ระหว่างรัฐได้ อีกทั้งในระหว่างที่มีการสนทนากับสมเด็จ ฮุนเซน นั้น ไทยและกัมพูชายังถือว่ามีความสัมพันธ์ทางการทูตในระดับที่ใกล้ชิดกันอยู่ไม่ว่าจะเป็นในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่มีอาณาเขตติดต่อกัน และในฐานะประเทศในกลุ่มสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ถึงแม้จะมีความตึงเครียดระหว่างกัน ตามแนวเขตชายแดนบ้าง แต่ก็ยังไม่ถึงขนาดที่มีการปะทะด้วยกําลังกันอย่างรุนแรง และยังไม่มีการลดระดับ ความสัมพันธ์ทางการทูต
อนึ่ง ภายหลังจากที่ข้าพเจ้าหยุดการปฏิบัติหน้าที่ตามคําสั่งของศาลนี้ ความตึงเครียดระหว่าง ไทยกับกัมพูชาได้เพิ่มสูงขึ้นจนถึงขั้นต้องมีการลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2564 เพื่อเป็นการตอนโต้ กรณีกัมพูชาละเมิดพันธกรณีอนุสัญญาห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Anti-Personnel Mine, Ban Convention) หรือที่รู้จักกันว่า “อนุสัญญาออตตาวา” (Ottawa Treaty) โดยการแอบฝังทุ่นระเบิด เข้ามาในเขตแดนของราชอาณาจักรไทย และส่งผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ ทั้งในวันที่ 1 16 กรกฎาคม 2564 ที่ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 3. ราย และในวันที่ 23 กรกฎาคม 2558 ที่ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 6 ราย และนํามาสู่ความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้น และการปะทะกันทางกําลังทหารระหว่างไทย-กัมพูชา อันเนื่องมาจาก การเปิดฉากโจมตีของกองกําลังของกัมพูชาต่อเป้าหมายทางพลเรือนชาวไทยในเขตแดนไทย นับตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2519 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
จากข้อเท็จจริงดังกล่าว ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจําเป็นที่ข้าพเจ้าในฐานะนายกรัฐมนตรี ที่ประกาศความตั้งใจเสมอมาว่า ไม่ประสงค์จะให้เกิดความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชาจนนําไปสู่การใช้ ความรุนแรง ได้เล็งเห็นถึงภัยคุกคามความมั่นคง และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นประเทศชาติ ทหาร และพลเรือนของทั้ง สองฝ่าย และมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาด้วยแนวทางสันติวิธี จึงตัดสินใจยินยอมให้นายฮวดเชิญสมเด็จฮุน เซน เข้าร่วมการสนทนาทางโทรศัพท์ร่วมภายใต้สถานการณ์เฉพาะหน้าดังกล่าว การตัดสินใจที่จะเจรจากับสมเด็จ ฮุน เซนแบบไม่เป็นทางการจึงเกิดขึ้นด้วยความหวังว่าจะสามารถโน้มน้าวให้สมเด็จฮุน เซน ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสําคัญทางการเมืองของกัมพูชา นําความปรารถนาดีของข้าพเจ้าสะท้อนไปยังผู้มีอํานาจทั้งทางการเมืองและ ทางทหารอื่น ๆ ในประเทศกัมพูชา ให้เห็นถึงความสําคัญในการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี และกลไกทวิภาคี การที่ผู้ร้องอ้างว่า “ข้าพเจ้าไม่มีความจําเป็นที่จะต้องโทรศัพท์ไปเจรจากับสมเด็จฮุน เซน” จึงไม่ใช่ข้อกล่าวอ้าง ที่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมแก่ข้าพเจ้า เนื่องจากข้าพเจ้าไม่ได้มีความตั้งใจที่จะโทรศัพท์ไปเจรจากับสมเด็จฮุน เซน เพียงลําพังหากแต่เป็นสถานการณ์เฉพาะหน้าที่ต้องรับโทรศัพท์นายฮวดและยอมให้เกิดการสนทนาทาง โทรศัพท์ร่วมหลายฝ่าย (Conference call)ดังกล่าว
เมื่อคํานึงถึงสถานการณ์และบทบาทของข้าพเจ้าที่จะต้องพยายามแสวงหาโอกาสทุกวิถีทางเพื่อรักษาความสงบและสันติให้แก่บ้านเมือง การเจรจากับสมเด็จฮุน เซน จึง เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในทางตรงกันข้ามการปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงที่จะเจรจากับสมเด็จฮุน เซน โดยมองข้าม โอกาสที่จะสร้างสันติภาพตามแนวชายแดนกลับเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง และมิใช่วิถีทางที่ผู้นําประเทศจึงกระทําเมื่อพิจารณาถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสําคัญ
@ ข้อกล่าวอ้างว่าผู้ถูกร้อง “ไม่รักชาติ”
กรณีที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่า “ในขณะที่นายกรัฐมนตรีไทยกลับไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวใด ๆ จนบุคคลสําคัญและประชาชนคนไทยต้องออกมาเรียกร้องความรับผิดชอบจากนายกรัฐมนตรีให้ปฏิบัติหน้าที่ โดยด่วนและเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีรักชาติ”
ข้าพเจ้าขอเรียนชี้แจง ดังนี้
ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า ข้าพเจ้าในฐานะนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลไทย ซึ่งได้เข้าถวายสัตย์ ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ว่าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ มีความตั้งใจทํางานตามบทบาทหน้าที่อย่างเต็มความสามารถเพื่อปกป้องซึ่งผลประโยชน์ ของประเทศและประชาชนชาวไทย ดังจะเห็นได้จากการออกแถลงการณ์ชี้แจงข้อเท็จจริง แนวทาง หรือตอบโต้ การกระทําต่าง ๆ ตามความเหมาะสมแก่สถานการณ์ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
ข้าพเจ้าขอกราบเรียนว่า หากเป็นกรณีของการดําเนินการเพื่อเปลี่ยนแปลงเขตแดน แห่งประเทศหรือมีผลกระทบต่ออธิปไตยแห่งรัฐนั้น จะอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทยซึ่งไม่ใช่อํานาจของนายกรัฐมนตรี หากแต่เป็นอํานาจของรัฐสภาในการพิจารณาให้ความเห็นชอบ เช่นเดียวกับที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคําวินิจฉัยเกี่ยวกับการพิจารณาหนังสือสัญญาระหว่าง ประเทศไว้ในคําวินิจฉัยที่ 3/2560 โดยการเจรจาของข้าพเจ้านั้นไม่ได้เข้าข่ายตามรัฐธรรมนูญหรือตามคําวินิจฉัยดังกล่าวแต่อย่างใด
@ ข้อกล่าวอ้างว่าผู้ถูกร้อง “คุกคามสื่อมวลชน”
กรณีที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่า “ผู้ร้องโกรธจนควบคุมตัวเองไม่ได้ พูดจาประชดสื่อมวลชน และเมื่อ จบการแถลงข่าวได้เดินบุกไปยังพื้นทีที่สื่อมวลชนยืนอยู่ถามหาสื่อมวลชนผู้ที่ตั้งคําถามอันเป็นการคุกคามสื่อมวลชนอย่างที่นายกรัฐมนตรีไม่พึงปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง”
ข้าพเจ้าขอเรียนชี้แจง ดังนี้
ภายหลังจบการแถลงข่าวดังกล่าว ข้าพเจ้าได้เดินผ่านกลุ่มสื่อมวลชนจึงสอบถามด้วยอัธยาศัย ไมตรีว่า “เค้าโกรธอะไรเหรอ ตะกี้” ซึ่งกลุ่มสื่อมวลชนในขณะนั้น ได้ตอบกลับมาว่า “ไม่ได้โกรธ” “เป็นคาแรคเตอร์” และ “ไม่มีใครโกรธนายกเลยครับ” แล้วยังได้พูดจาหัวเราะกันตามประสาบุคคลที่พบปะ กันบ่อยครั้งและมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างข้าพเจ้ากับสื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า ในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าพเจ้าที่ผ่านมาไม่เคยมีเจตนาคุกคามสื่อมวลชนแต่ประการใด การกล่าวอ้างของผู้ร้อง จึงเป็นอคติที่มีต่อข้าพเจ้าโดยตลอด
@ ข้อความตามคลิปเสียงที่อ้างเป็นพยานหลักฐาน ยังไม่ได้ผ่านการแปลหรือรับรองความถูกต้องโดยชอบด้วยกฎหมาย
ข้อความที่นํามาอ้างเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้เป็นบทสนทนาในภาษาต่างประเทศ และจนถึง ปัจจุบันยังไม่ได้มีการแปลโดยผู้มีอํานาจหรือผ่านการรับรองความถูกต้องโดยหน่วยงานของรัฐที่น่าเชื่อถือ การนําข้อความในภาษาต่างประเทศมาใช้ในกระบวนการพิจารณาของศาลนี้ โดยเฉพาะในคดีที่กระทบต่อสถานะของนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาล จึงจําต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบอย่างรอบคอบเพื่อให้สามารถรับ ฟังได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลพิจารณามีคําสั่งให้แปลข้อความดังกล่าวโดยล่ามที่ขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการและให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งไทยและกัมพูชารับรองความถูกต้องของถ้อยคําและบริบทของบทสนทนาดังกล่าวก่อนนํามาใช้เป็นพยานหลักฐานในคดี
@ พยานหลักฐานที่นําเสนอ ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
พยานหลักฐานที่นําเสนอในคําร้องของผู้ร้องเป็นบทสนทนาที่ได้มาจากการบันทึกเสียงหรือการนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยปราศจากความยินยอมจากคู่สนทนา ซึ่งเป็นการได้มาซึ่งข้อมูลโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายและหลักนิติธรรม ทั้งอาจเข้าข่ายเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 14 (2) ซึ่งบัญญัติห้ามมิให้นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรตามประมวลกฎหมายอาญาประกอบมาตรา 116 แห่งประมวลกฎหมายอาญา โดยกรณีนี้ได้มีการนําข้อมูลบทสนทนาดังกล่าวไปเผยแพร่ ในลักษณะอันอาจทําให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน และอาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลโดยไม่เป็นไปตามครรลองประชาธิปไตย ซึ่งได้มีการร้องทุกข์กล่าวโทษไว้แล้วต่อพนักงาน สอบสวน และคดีอยู่ระหว่างกระบวนการสืบสวนสอบสวน
@ การกระทําในเชิงนโยบายระหว่างประเทศ
เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าบทบาทสําคัญประการหนึ่งของรัฐบาลคือการกําหนดนโยบายในทางระหว่างประเทศและเนื่องจากกิจการดังกล่าวเป็นกิจการของฝ่ายบริหารโดยแท้ จึงทําให้หลายประเทศทั่วโลก กําหนดให้กิจการเหล่านี้ต้องได้รับการตรวจสอบทางการเมืองเท่านั้น ดังเช่น แนวคิด “การกระทําทางรัฐบาล(Act of Government) หรือแนวคิด “ดุลยพินิจทางการเมือง” (Political Question) ซึ่งในประเทศไทยก็ ปรากฏว่ามีแนวคิดดังกล่าวอยู่ในระบบกฎหมายไทยมาช้านาน เห็นได้จาก มาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติวิธี ปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ที่ถือว่า “การดําเนินงานเกี่ยวกับนโยบายการต่างประเทศ” ไม่เป็นวิธี ปฏิบัติราชการทางปกครอง หรือการกระทําทางปกครอง สําหรับคดีข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญนั้น แม้ว่าศาล รัฐธรรมนูญจะไม่เคยมีคําวินิจฉัยที่ชัดเจนในเรื่องนี้ แต่สํานักงานศาลรัฐธรรมนูญเองเคยมีรายงานการศึกษาใน เรื่องดังกล่าว ได้แก่ “การกระทําทางรัฐบาลกรณีศึกษาเปรียบเทียบระหว่างประเทศไทย สาธารณรัฐฝรั่งเศส สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี สหรัฐอเมริกา และอังกฤษ” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแนวทางที่ศาลในต่างประเทศ จำกัดอำนาจตัวของตนเองไม่ให้เข้าไปวินิจฉัยการใช้ดุลยพินิจทางการเมือง และปล่อยให้กลไกทางการเมืองทําหน้าที่ตรวจสอบกันเอง โดยเฉพาะในระบบรัฐสภาที่มีกลไกการตรวจสอบทางการเมืองอยู่แล้ว
จากหลักการดังกล่าว การที่ผู้ร้องซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการ ตรวจสอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งในส่วนของการเลือกสมาชิกวุฒิสภา และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งสอบสวนในส่วนของคดีอาญา อันเกี่ยวกับการเลือกสมาชิกวุฒิสภา โดยสมาชิกวุฒิสภากลุ่มดังกล่าวได้ถูก คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนของคณะกรรมการการเลือกตั้งแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว โดยที่ผ่านมามีข้อกังขา แก่สังคมในวงกว้าง ถึงการทําหน้าที่และการใช้สิทธิลงมติต่าง ๆ ของสมาชิกวุฒิสภากลุ่มดังกล่าว ว่าอาจถูก ครอบงําทางการเมืองหรือถูกชี้นําโดยพรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใดหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2564. เมื่อมีพรรคการเมืองหนึ่งประกาศถอนตัวจากรัฐบาลอย่างเป็นทางการ สมาชิกวุฒิสภา กลุ่มดังกล่าวก็ได้เสนอคําร้องต่อประธานวุฒิสภาในทันที
ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าการใช้สิทธิยื่นคําร้องในเรื่องนี้ของสมาชิกวุฒิสภาเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตเพียงเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของกลุ่มตน ทั้งที่ทราบหรือควรจะ ทราบดีว่า การตรวจสอบการกระทําที่เป็นนโยบายในทางระหว่างประเทศนั้น ควรถูกตรวจสอบโดยกลไกปกติ ของรัฐสภา
.jpg)
@ หลักสุจริต (Bona fides)
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 164 ได้บัญญัติให้คณะรัฐมนตรี ต้องบริหาร ราชการแผ่นดิน และต้องปฏิบัติหน้าที่และใช้อํานาจด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า ในการปฏิบัติ หน้าที่ของข้าพเจ้าในฐานะนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีการเจรจากับสมเด็จฮุน เซน อันเป็น ที่มาสําคัญของการกล่าวหาของผู้ร้องนั้น เป็นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ (Good faith) และสุจริตอย่าง แท้จริง ดังจะเห็นได้ว่าวัตถุประสงค์ในการเจรจาของข้าพเจ้านั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและ ประชาชนส่วนรวม แม้จะมีข้อโต้แย้งว่าอาจมีถ้อยคําบางส่วนที่ไม่เหมาะสม แต่เมื่อคํานึงถึงสถานการณ์การ เจรจาเฉพาะหน้า หากจะรับฟังด้วยใจที่เป็นธรรมจะเห็นว่าข้าพเจ้าได้แสดงออกอย่างชัดเจนที่จะยึดถือ ประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง อีกทั้งสาระสําคัญของการเจรจาดังกล่าว ข้าพเจ้าก็ได้นํามาแจ้งแก่บุคคลที่ เกี่ยวข้องทั้งหมดโดยไม่ปิดบัง ด้วยยึดมั่นว่า “สุจริตคือเกราะบังศาสตร์พ้อง” จึงขอศาลโปรดพิจารณาความ สุจริตของข้าพเจ้าเพื่อเป็นคุณแก่การกระทําดังกล่าวด้วย"
*********
ข้อมูลยังไม่จบ ยังมีรายละเอียดคำชี้แจงเรื่องพันธกิจร่วมของศาลรัฐธรรมนูญและนายกรัฐมนตรีในการธํารงรักษาหลักนิติธรรม กรณีที่ผู้ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคําสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคําวินิจฉัย เมื่อคํานึงถึงสถานการณ์ของประเทศชาติเวลานี้ และ จริยธรรมของข้าราชการการเมือง ที่ น.ส.แพทองธาร นำมาใช้ประกอบการชี้แจงต่อ ศาลรัฐธรรมนูญอีก
โปรดติดตามตอนต่อไป เช่นเดิม
https://isranews.org/article/isranews/140579-invesnews-83.html
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 164 ได้บัญญัติให้คณะรัฐมนตรี ต้องบริหาร ราชการแผ่นดิน และต้องปฏิบัติหน้าที่และใช้อํานาจด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า ในการปฏิบัติ หน้าที่ของข้าพเจ้าในฐานะนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีการเจรจากับสมเด็จฮุน เซน อันเป็น ที่มาสําคัญของการกล่าวหาของผู้ร้องนั้น เป็นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ (Good faith) และสุจริตอย่าง แท้จริง ดังจะเห็นได้ว่าวัตถุประสงค์ในการเจรจาของข้าพเจ้านั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและ ประชาชนส่วนรวม แม้จะมีข้อโต้แย้งว่าอาจมีถ้อยคําบางส่วนที่ไม่เหมาะสม แต่เมื่อคํานึงถึงสถานการณ์การ เจรจาเฉพาะหน้า หากจะรับฟังด้วยใจที่เป็นธรรมจะเห็นว่าข้าพเจ้าได้แสดงออกอย่างชัดเจนที่จะยึดถือ ประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง อีกทั้งสาระสําคัญของการเจรจาดังกล่าว ข้าพเจ้าก็ได้นํามาแจ้งแก่บุคคลที่ เกี่ยวข้องทั้งหมดโดยไม่ปิดบัง ด้วยยึดมั่นว่า “สุจริตคือเกราะบังศาสตร์พ้อง” จึงขอศาลโปรดพิจารณาความ สุจริตของข้าพเจ้าเพื่อเป็นคุณแก่การกระทําดังกล่าวด้วย"
*********
ข้อมูลยังไม่จบ ยังมีรายละเอียดคำชี้แจงเรื่องพันธกิจร่วมของศาลรัฐธรรมนูญและนายกรัฐมนตรีในการธํารงรักษาหลักนิติธรรม กรณีที่ผู้ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคําสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคําวินิจฉัย เมื่อคํานึงถึงสถานการณ์ของประเทศชาติเวลานี้ และ จริยธรรมของข้าราชการการเมือง ที่ น.ส.แพทองธาร นำมาใช้ประกอบการชี้แจงต่อ ศาลรัฐธรรมนูญอีก
โปรดติดตามตอนต่อไป เช่นเดิม
https://isranews.org/article/isranews/140579-invesnews-83.html