วันพฤหัสบดี, มีนาคม 06, 2568

เศร้ากับกระบวนการพิจารณาคดีของศาลไทย 😭 iLaw บันทึกเหตุการณ์วุ่นวายก่อนเริ่มการไต่สวนคดีละเมิดอำนาจศาลของ “อานนท์” วันนี้ หลังศาลพยายามกลับลำสั่งพิจารณาคดีลับ แค่ คำว่า "ลับ" ก็เห็นความไม่ยุติธรรมแล้ว


iLaw
11 hours ago
·
5 มีนาคม 2568 เวลา 9:00 น. ศาลอาญานัดอานนท์ นำภาไต่สวนในข้อหาละเมิดอำนาจศาล กรณีที่ถอดเสื้อประท้วงระหว่างการพิจารณาคดีมาตรา 112 การชุมนุมแฮร์รี่ พอตเตอร์ 1 ซึ่งครั้งนั้นเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 ระหว่างการพิจารณาคดีที่ศาลปฏิเสธไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารสำคัญที่จะใช้ถามค้านพยานโจทก์ ได้แก่ ตารางการเดินทางของรัชกาลที่สิบและเอกสารเกี่ยวกับงบประมาณ โดยศาลอ้างว่า การออกหมายเรียกเอกสารดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 และให้ทนายความถามค้านพยานโจทก์ต่อโดยไม่มีพยานเอกสาร อานนท์ ในฐานะจำเลยจึงประท้วงการไม่ออกหมายเรียก โดยการถอดเสื้อและถอนทนายความ ไม่ขอร่วมการพิจารณาคดี ไม่ถามค้าน และไม่นำเสนอพยานฝั่งจำเลยอีกต่อไป ซึ่งนำมาสู่การถูกตั้งข้อหาเป็นคดีใหม่ฐานละเมิดอำนาจศาล
เวลาประมาณ 9:00 น. ครอบครัวของอานนท์และประชาชนผู้มาให้กำลังใจได้ทยอยมารอที่ห้องพิจารณาคดีที่ 809 ต่อมาเวลา 9:36 น. เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คุมตัวอานนท์จากเรือนจำมาถึงห้องพิจารณาคดี วันนี้เขาแต่งกายในชุดเสื้อยืดแขนสั้นสีครีม ขลิบสีแดงที่ขอบแขนด้านซ้าย สวมกางเกงวอร์มสีดำ และใส่กุญแจเท้า เมื่อเข้ามาถึงห้องพิจารณาคดี อานนท์ยกมือไหว้บรรดาผู้ที่มาให้กำลังใจ หลังจากนั้นเดินเข้าไปอุ้มลูกสาวคนโตไว้สักพักหนึ่ง เวลา 9:39 น. เจ้าพนักงานตำรวจศาล (ตำรวจศาล) เดินเข้ามาแจ้งกับผู้ที่อยู่ในห้องพิจารณาคดีว่า ‘ท่าน’ ไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าฟัง ผู้ที่มารอติดตามกล่าวทำนองว่า ไม่มีเหตุที่จะต้องพิจารณาคดีลับ เอกชัย หงส์กังวาน ผู้มารอสังเกตการณ์คดีกล่าวว่า รอให้ ‘ท่าน’ ออกมาและจะถามเหตุผล จากนั้นตำรวจศาลถามไล่เรียงว่า มีสื่อมวลชนและตัวแทนสถานทูตมาด้วยหรือไม่ แต่ไม่มี
เวลาประมาณ 9:53 น. ผู้พิพากษาขึ้นนั่งบัลลังก์ ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนแจ้งว่า ขอให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องออกจากห้องพิจารณาคดี เพราะ “เป็นคำสั่งจากผู้บริหาร” เอกชัยกล่าวว่า ไม่ได้ทำอะไรเลย แค่เพียงมานั่งฟังและไม่ได้ใช้โทรศัพท์ ผู้พิพากษากล่าวว่า ไม่อนุญาต แต่ญาติ ภรรยาและลูกสาวของอานนท์สามารถอยู่ได้ รัษฎา มนูรัษฎา ทนายความของผู้ถูกกล่าวหาลุกขึ้นแถลงต่อศาลผ่านไมโครโฟนว่า คดีนี้ศาลได้สั่งพิจารณาลับหรือไม่ ผู้พิพากษาตอบว่า ไม่ลับ รัษฎากล่าวว่า โดยหลักแล้วต้องพิจารณาโดยเปิดเผย จากนั้นผู้พิพากษาเรียกให้รัษฎาไปคุยกันที่หน้าบัลลังก์กล่าวทำนองว่า คุยกันไม่จำเป็นต้องออกไมค์ หลังจากการพูดคุยเวลา 10:01 น. ผู้พิพากษาออกจากห้องพิจารณา จากนั้นกลับมาอีกครั้งในเวลา 10:07 น. โดยออกคำสั่งว่า จะดำเนินการไต่สวนคดีละเมิดอำนาจศาลในวันนี้เป็นการลับ
อานนท์กล่าวว่า คดีนี้ไม่มีเหตุผลที่จะสั่งพิจารณาเป็นการลับ เอกชัยถามหาเหตุผล ทีแรกผู้พิพากษาไม่ได้แจ้งเหตุผลแต่หลังจากนั้นก็ตอบว่า เป็นเหตุเรื่องความสงบเรียบร้อย ย้ำว่า ทุกคนที่ไม่เกี่ยวข้องให้ออกจากห้องยกเว้น “ลูก-เมียอานนท์” ที่สามารถอยู่ได้ ผู้ที่มาติดตามคดีมีเพียงคนเดียวที่ลุกออกไปด้านนอกที่เหลือทุกคนนิ่งเฉย ขณะที่ด้านนอกตำรวจและรปภ.ศาล มีจำนวนมากขึ้นแต่มีท่าทีประนีประนอม ไม่มีได้มีท่าทีจะใช้กำลังบังคับตามคำสั่งศาล เวลา 10:12 น. จันทร์จิรา จันทร์แผ้ว ทนายความของผู้ถูกกล่าวหาลุกขึ้นแถลงผ่านไมโครโฟน ผู้พิพากษาเรียกให้มาพูดเป็นการส่วนตัวที่หน้าบัลลังก์ แต่จันทร์จิราปฏิเสธระบุทำนองว่า ให้เป็นการพูดคุยที่เป็นกิจจะลักษณะจะดีกว่า ให้ทุกคนสามารถรับรู้ได้เท่าเทียมกัน ไม่ใช่เป็นเรื่องซุบซิบ จากนั้นกล่าวต่อเรื่องการที่ผู้พิพากษาควรให้เหตุผลและสื่อสารให้เข้าใจต่อคำสั่งดังกล่าว โดยกล่าวถึงหลักการพิจารณาอย่างสุจริตและเที่ยงธรรมที่เป็นที่ประจักษ์ต่อประชาชนด้วย ผู้พิพากษากล่าวทำนองว่า เคยมีเหตุความประพฤติไม่เรียบร้อยในห้องพิจารณาคดีเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว
ผู้พิพากษากล่าวถึงประเด็นเรื่องการออกข้อกำหนดเพื่อป้องกันความไม่สงบเรียบร้อยว่า “หมวย [เรียกชื่อเล่นของทนายความจันทร์จิรา] ผมมีความอะลุ้มอล่วยที่สุดแล้วเขาถึงให้ผมมานั่งไต่..ไม่ได้เป็นปฏิปักษ์ ทำให้เสร็จแล้วกลับบ้าน” จากนั้นกล่าวทำนองว่า การตัดสินใจนี้มีการปรึกษาผู้บังคับบัญชาแล้ว เวลา 10:15 น. ผู้พิพากษาอีกท่านหนึ่งที่ดูมีอายุขึ้นมานั่งบนบัลลังก์ และมีการย้ำเรื่องให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องออกจากห้องพิจารณาคดี แต่ผู้ที่มาติดตามคดีทุกคนต่างมีท่าทีนิ่งเฉย รัษฎาแถลงศาลอีกครั้งว่า การสั่งพิจารณาลับจะต้องมีกฎหมายรองรับ ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนระบุว่า เหตุผลของการสั่งลับ คือ ความสงบเรียบร้อย เราคาดการณ์ว่ามันจะมีความไม่สงบเรียบร้อยจึงสั่งก่อน พร้อมกล่าวว่า “ผมจะไม่ใช้นิติศาสตร์ แทงแต่ละคน และตั้งละเมิดฯ ผมจะไต่ให้มันเสร็จ”
ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนกล่าวอีกว่า ตั้งแต่คราวก่อนแล้ว ในห้องพิจารณาคดีมีการบันทึกภาพวิดีโอและผู้บริหารไปเปิดดูและนำมาแจ้งกับผม ในการไต่สวน audience หรือผู้ชมไม่จำเป็น ทนายมีกี่คน จากนั้นได้รับคำตอบว่า สามคน ต่อมามีการพูดคุยเรื่องการพิจารณาคดีลับอีกครั้ง ผู้พิพากษาย้ำว่า ผมไม่ได้อยาก [สั่งลับ] ผู้บังคับบัญชาสั่ง ไม่ได้ต้องการด้วย ทนายความถามทำนองว่า ท่านสามารถจดไปในกระบวนพิจารณาคดีได้หรือไม่ว่า อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาเป็นผู้สั่งให้พิจารณาคดีลับ ได้รับคำตอบว่า ได้ ทนายความจึงตั้งคำถามถึงความเป็นอิสระของผู้พิพากษาในคดีนี้ ต่อมาผู้พิพากษาที่มีอายุอีกท่านหนึ่งกล่าวว่า การพิจารณาคดีลับหรือไม่ลับให้เป็นการใช้ดุลพินิจของศาล ท่านจะมาโต้อะไรงานไม่เดิน จันทร์จิรากล่าวว่า เป็นหน้าที่ที่ต้องโต้แย้งไปตามหลักการและรักษาผลประโยชน์ให้ลูกความ
เวลา 10:22 น. อานนท์ลุกขึ้นแถลงกล่าวว่า ชาวบ้านที่มาศาลก็มาเพื่อดูว่าการพิจารณาคดีเป็นอย่างไรและมีความเป็นธรรมหรือไม่ ในฐานะที่ตัวเขาเป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ยินดีที่จะถูกคดีละเมิดอำนาจศาลอีกรอบ จากนั้นถอดเสื้อออกเพื่อเป็นการประท้วงว่า คำสั่งให้พิจารณาคดีลับไม่เป็นธรรม ผู้พิพากษาที่มีอายุกล่าวว่า อานนท์เป็นทนายความ ขออนุญาตศาลทำหน้าที่ศาลอนุญาต ไม่ใส่ครุยทนายความ ศาลถามทุกหน่วยงาน ศาลอนุญาตให้ทำหน้าที่ อานนท์แย้งว่า ท่านไม่ให้ผมสวมชุดครุยครับ ผู้พิพากษาที่มีอายุถามว่า ถอดเสื้อทำไม ใส่เสื้อเถอะ อานนท์ถามว่า ท่านจะให้ชาวบ้านนั่งดูการพิจารณาหรือไม่ ผู้พิพากษาที่มีอายุกล่าวว่า ศาลให้ท่านใส่เสื้อ อานนท์ถามอีกว่า ท่านจะให้ชาวบ้านดูได้หรือไม่ ผู้พิพากษาที่มีอายุกล่าวว่า ท่านอย่านำเรื่องนี้มาเป็นเงื่อนไขกับศาล ศาลไม่ได้เป็นคู่กรณี ศาลบอกให้ท่านใส่เสื้อก่อน ศาลไม่ได้ไล่ใครเลย จากนั้นเวลา 10:25 น. อานนท์สวมเสื้อ
ผู้พิพากษาที่มีอายุถามว่า มีชาวบ้านมาดูการพิจารณาคดีกี่คน ผู้มาติดตามคดียกมือ ตำรวจศาลนับได้ 21 คน ผู้พิพากษาที่มีอายุสั่งให้แยกออกจากผู้ถูกกล่าวหา กล่าวคือ ม้านั่งของผู้ถูกกล่าวหาจะอยู่ฝั่งขวาสุด (หันหน้าเข้าบัลลังก์) และมีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์อยู่ด้วยเพียงคนเดียวเท่านั้น ภรรยาและลูกสาวต้องออกมานั่งแยกที่ม้านั่งด้านข้าง ผู้พิพากษากล่าวอีกว่า ภรรยาส่วนภรรยานั่งแยกออกไป ควรจะรู้จักกติกากันบ้าง เลอะเทอะกันไปหมด แยกส่วนกันทำหน้าที่ของตัวเอง…การพิจารณาคดีในศาลทำโดยเปิดเผย หากศาลเห็นว่า มันไม่เป็นไปตามกติกาก็สามารถพิจารณาสั่งลับได้
ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนระบุว่า ปรึกษาแล้วว่า จะมีการสั่งพิจารณาลับ แต่ละฝ่ายคิดอย่างไร เอกชัยกล่าวว่า ไม่มีเหตุผลที่จะสั่งพิจารณาคดีเป็นการลับ อานนท์บอกว่า ขอคัดค้าน ผู้พิพากษาที่มีอายุกล่าวว่า ศาลไม่มีปัญหาแต่เรื่องไหนที่กระทบความมั่นคง น่าจะกระทบต่อความสงบเรียบร้อย ศาลสั่งได้ อานนท์เป็นทนายความต้องรู้ รู้ดีกว่าผู้พิพากษา ทนายความต้องเก่งและดีด้วย เก่งและไม่ดีก็ไม่มีใครจ้าง คนที่ไม่รู้ที่สุดในกระบวนการยุติธรรมคือคนที่นั่งบนบัลลังก์เพราะรู้ข้อเท็จจริงหลังสุด คนที่รู้ข้อเท็จจริงมากที่สุดคือ ผู้ถูกกล่าวหา คดีนี้เป็นคดีละเมิดอำนาจศาล ข้อเท็จจริงยุติตามภาพวิดีโอแล้ว
เวลา 10:35 น. ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนกล่าวว่า วันนี้ศาลจะไต่สวน ชาวบ้านรับปากได้ไหมว่า จะไม่รุ่มร่ามกับกระบวนการพิจารณาคดี ทุกคนรับปาก ผู้พิพากษาที่มีอายุกล่าวทำนองว่า “ผู้ที่มาดูให้นั่งดู ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องโต้เถียงกัน ศาลอนุญาตให้หายใจแต่ห้ามแอคติ้ง” จากนั้นถามว่า ใครเป็นหัวหน้าชาวบ้าน ประชาชนที่มาติดตามคดีกล่าวว่า ไม่มีใครเป็นหัวหน้าแต่ละคนต่างคนต่างมา ผู้พิพากษาย้ำกับอานนท์ว่า “อานนท์เข้าใจนะ อย่าถอดเสื้อ” จากนั้นมีประชาชนขออนุญาตถามว่า แล้วเหตุใดศาลถึงไม่ออกข้อห้ามถอดเสื้อไปเลย ผู้พิพากษาที่มีอายุตอบทำนองว่า ศาลไม่ได้มีหน้าที่ให้คำปรึกษา ขอให้นั่งเฉยๆ ศาลอนุญาตให้หายใจได้อย่างเดียว
เวลา 10:39 น. ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนกล่าวว่า ขอให้ทุกคนสงบเรียบร้อย ฟังไปและศาลไม่มีหน้าที่ให้คำปรึกษา ออกความเห็น จากนั้นผู้พิพากษาที่มีอายุก็ย้ำเรื่องการห้ามใช้เครื่องมือสื่อสารทุกชนิด
ก่อนเริ่มการไต่สวนในวันนี้ทางฝั่งผู้ถูกกล่าวหา ได้ยื่นคำร้องขอให้ไต่สวนคดีนี้ด้วยระบบการบันทึกวิดีโอ ที่ก่อนหน้านี้ศาลเริ่มทดลองใช้มาแล้วหลายคดี ซึ่งระบบนี้จะทำให้ทุกคำพูดของทั้งผู้พิพากษา พยาน ทนายความ และทุกคนในห้องถูกบันทึกไว้โดยคู่ความทุกฝ่ายสามารถเข้าถึงและตรวจสอบข้อเท็จจริงในไฟล์วิดีโอได้ ไม่เพียงแค่บันทึกตามการจัดบันทึกของผู้พิพากษาแต่ละคนเท่านั้น แต่ศาลในคดีนี้ยกคำร้องให้มีการไต่สวนไปโดยปกติ ที่จะบันทึกเท่าที่ผู้พิพากษาจดบันทึกไว้เท่านั้น แต่ขณะเดียวกันศาลเองก็มีระบบการบันทึกวิดีโอของตัวเองที่ผู้บริหารศาลเท่านั้นมีอำนาจเรียกดูไฟล์บันทึกวิดีโอดังกล่าวได้
*หมายเหตุ*
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
“มาตรา 177 ศาลมีอำนาจสั่งให้พิจารณาเป็นการลับ เมื่อเห็นสมควรโดยพลการหรือโดยคำร้องขอของคู่ความฝ่ายใด แต่ต้องเพื่อประโยชน์แห่งความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันความลับอันเกี่ยวกับความปลอดภัยของประเทศมิให้ล่วงรู้ถึงประชาชน”



https://www.facebook.com/photo?fbid=1047925214047764&set=a.625664036273886