
Chaiwat Sathawornwichit - ชัยวัฒน์ สถาวรวิจิตร
Yesterday
·
การซื้อหนี้(เสีย) จากระบบธนาคารออกไปบริหารจัดการนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเป็นกระบวนการที่ธนาคารและบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ดำเนินการอยู่เป็นปกติ การที่ สทร. ออกมาคิดดัง ๆ กับลูกสาวเรื่องอยากให้รัฐบาลซื้อหนี้จากระบบธนาคารประชาชนก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่พูดมาตั้งแต่ครั้งเวที Vision for Thailand สิงหาคม 2567 เวลาล่วงมา 7 เดือน จนถึง มีนาคม 2568 มาค่อนข้างนาน การคิดดังๆ นี้ก็ดูจะขาดการคิดให้ครบอย่างชัดเจน เหมือนกับตอนคิดดังๆ เรื่อง ดิจิทัลวอลเล็ต แจกเหรียญบนบล็อคเชน ซึ่งตอนนี้รัฐบาลผ่านมาเกือบครึ่งทางแล้วก็ยังไม่เห็นทั้งดิจิทัลทั้งวอลเล็ต
.
มาตราการแก้หนี้ที่ได้ออกมาแล้วเมื่อ 11 ธันวาคม 2567 ”คุณสู้เราช่วย” ที่เอาแหล่งเงินมาจากเงินสมทบ 0.23% คือครึ่งหนึ่งของที่ต้องส่งใช้หนี้กองทุน FIDF มาช่วยแบกหนี้ นั้นก็ดูจะไม่ได้ผลตามคาดและลูกหนี้จำนวนมากก็ยังเข้าไม่ถึง มีการลงทะเบียนล้านคน ผ่านเกณฑ์แค่แสนคน น่าจะเป็นเหตุให้กลับมาพูดเรื่องซื้อหนี้(เสีย)นี้อีกครั้ง
.
เนื่องจากรายละเอียดเรื่องนี้ที่ออกมายังมีน้อยมาก ก็เป็นมาตรการที่เป็นไปได้ จะน่าทำหรือไม่ก็ต้องถามว่าต้องการบรรลุเป้าหมายอะไร สิ่งที่ควรทำคือต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้ยอดหนี้ของลูกหนี้แต่ละรายลดลงมาสมดุลกับรายได้ ณ ปัจจุบัน และทำอย่างไรจึงจะรักษาสมดุลรายรับ รายจ่าย และหนี้ของประชาชนไว้ให้ได้ สุดท้ายการแก้หนี้ที่ดีที่สุดคือการเพิ่มรายได้
.
ที่น่าเป็นห่วงคือที่ สทร. พูดว่าประชาชนจะได้หลุดจากเครดิตบูโรให้หมด เพราะถ้าตั้งเป้าแบบนี้ ล้างประวัติหนี้เสียได้แล้วจะได้กลับไปกู้เงินใหม่ ยังไงก็วนกลับมาหนี้ท่วมเหมือนเดิม ตราบใดที่รายได้ยังโตช้ากว่ารายจ่ายยังไงก็คงหนีหนี้ไม่พ้น และผลข้างเคียงระยะยาวคือ การคิดดอกเบี้ยตามระดับความเสี่ยงของผู้กู้ (Risk Pricing) ถูกบิดเบือน ส่งผลให้ระดับดอกเบี้ยเงินกู้ของลูกค้าทุกกลุ่มสูงติดเพดานทั้งกลุ่มชั้นดีที่ไม่เคยผิดนัดและกลุ่มหนี้เสีย หรือซ้ำร้ายอาจมีการระมัดระวังการปล่อยกู้สินเชื่อเพิ่มเติมสำหรับคนกลุ่มนี้ การล้างหนี้เพื่อให้กู้ได้ใหม่จึงไม่ควรเป็นเป้าหมาย
.
มาตรการซื้อหนี้(เสีย)ให้ประชาชน ที่ สทร. ออกมาคิดดังๆ ก็คงจะเทียบได้การทำแบบปี 2540 ซึ่งย้าย หนี้เสียของภาคธุรกิจออกจากระบบธนาคารมาอยู่ที่ AMC อย่าง BAM หรือ SAM ซึ่งกองทุน FIDF เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่ครั้งนี้คงอยากจะทำกับหนี้เสียของบุคคลทั่วไปแทน และก็คงจะเอาเงินจากค่าธรรมเนียมที่แบงค์ต้องส่งใช้หนี้ให้ FIDF มาซื้อหนี้ส่วนนี้ออกไป
.
ฟังแวบแรกลูกหนี้คงเฮ เพราะเข้าใจผิดว่าหนี้เสียนั้นจะหายวับไป ความเป็นจริงหนี้ยังคงอยู่ และยังคงต้องจ่ายโดยอาจจะได้รับส่วนลดหรือ haircut มาในระดับที่ลูกหนี้มีกำลังสามารถจ่ายได้ ตัวอย่างเช่น เดิมติดหนี้แบงก์เป็นหนี้เสียอยู่ 100 บาท ซึ่งแบงก์ก็บันทึกเป็นหนี้สูญไปแล้ว ให้ AMC รับซื้อไป 8 บาท AMC ไปจัดการติดตามหนี้ให้ลูกหนี้จ่ายแค่ 20 บาทและลูกหนี้ยอมจ่าย ก็เท่ากับว่า ลูกหนี้ได้ลดหนี้จาก 100 เหลือ 20 บาท และ AMC ก็มีกำไรขั้นต้นก่อนหักค่าใช้จ่าย 20-8=12 บาท ส่วนแบงก์ก็ได้รายได้ 8 บาทจากหนี้เสียที่บันทึกเป็นหนี้สูญไปแล้ว
.
นโยบายซื้อหนี้เสียออกจากระบบธนาคารนั้นเป็นไปได้ แต่ถ้าจะทำควรจะมีการตัดสินใจเชิงนโยบายด้วยเหตุผลที่มีความชัดเจนและใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจ
.
ลองมาดูข้อมูลในรูปแล้วลองคิดไปด้วยกันครับ จาก NCB จำนวนลูกหนี้บุคคลธรรมดาที่เป็นหนี้เสีย (NPL) มีทั้งหมด 5.4 ล้านคน จากจำนวนบัญชี 9.5 ล้านบัญชี เป็นยอดหนี้เสีย 1.23 ล้านล้านบาท
.
หากแบ่งจำนวนลูกหนี้เสียตามยอดหนี้ กลุ่มที่มียอดหนี้ไม่เกิน 1 แสนบาท มี 3.5 ล้านคน (64%) เป็นกลุ่มที่มีมากที่สุด โดยกลุ่มนี้มียอดหนี้เสียรวม 1.24 แสนล้านบาท หรือ 10% ของยอดหนี้เสียทั้งหมด
.
กลุ่มที่มีจำนวนยอดหนี้เสียรวมมากที่สุดคือกลุ่มที่มียอดหนี้หนึ่งล้านบาทขึ้นไป มีจำนวน 2.3 แสนคน (4%) บาท โดยกลุ่มนี้มียอดหนี้รวม 5.83 แสนล้านบาท หรือ 48% ของยอดหนี้เสียทั้งหมด
.
หากซื้อหนี้เสียในราคา 8% ของมูลหนี้เสีย สำหรับกลุ่มแรกจะใช้เงิน 9,920 ล้านบาท ช่วยลูกหนี้ได้ 3.5 ล้านคน และสำหรับกลุ่มหลังจะใช้เงิน 46,700 ล้านบาท แต่ช่วยลูกหนี้ได้เพียง 2.3 แสนคน นี่เป็นตัวอย่างง่ายๆ ให้เห็นภาพว่าการใช้ข้อมูลช่วยตัดสินใจจะเห็นทางเลือกที่แตกต่าง
.
การให้เอกชนเข้ามาซื้อไม่ใช้เงินของรัฐ (รวมถึงเงินสมทบ FIDF ด้วย) สักบาทเดียวจะทำได้จริงหรือไม่? ทำอย่างไรเพื่อจูงใจให้เอกชนมาซื้อ? และจะออกมาท่าไหนไม่ให้เป็นการเตะหมูเข้าปากหมา? มีการจำกัดเพดานการไล่บี้ลูกหนี้หรือไม่? คงต้องติดตาม ”รายละเอียด” และ ”ความชัดเจน” กันต่อไป
.
การลดยอดหนี้ให้ประชาชนนั้นควรทำแต่ก็ต้องคิดคำนึงให้รอบด้านทั้งผลกระทบต่อลูกหนี้ดี ลูกหนี้เสีย ลูกหนี้เดิมและลูกหนี้ใหม่ การแก้หนี้เป็นงานละเอียดที่จะต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้ยอดหนี้ของลูกหนี้แต่ละรายลดลงมาสมดุลกับรายได้ในปัจจุบันและการแก้หนี้ที่ยั่งยืนที่สุดคือการเพิ่มรายได้อย่างครอบคลุม ไม่ใช่การซื้อหนี้เสียไปแฮร์คัท
.
#โจชัยวัฒน์ #แก้หนี้ยั่งยืน

https://www.facebook.com/ChaiwatPublic/posts/579481128430499