วันพุธ, เมษายน 12, 2566

แดงแท้-แดงเทียม : แค่ 2 ปี พวกที่คิดว่าตัวเองแดงแท้ ลืม นักวิชาการเสื้อแดง


พรรคเพื่อไทย
May 18, 2021

ช่วงปี 2552 - 2553 ยุคที่การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของคนเสื้อแดงเฟื่องฟู ประชาชนในต่างจังหวัดจำนวนมากตบเท้าหลั่งไหลกันมาร่วมเรียกร้องประชาธิปไตย ต่อสู้ทางการเมืองบนท้องถนนใจกลางกรุงเทพมหานคร คู่ขนานกันไปกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงในต่างจังหวัดหลายพื้นที่ เป้าหมายคือให้รัฐบาลขณะนั้นยุบสภา คืนอำนาจประชาธิปไตยให้ประชาชน
.
รัฐบาลในขณะนั้นเพิกเฉยต่อทุกข้อเสนอของประชาชนและตัดสินใจใช้ความรุนแรงที่เกินกว่าเหตุ ใช้กำลังทหาร พร้อมอาวุธและกระสุนจริง เพื่อกดปราบข้อเรียกร้องของประชาชน เกิดการล้อมฆ่าประชาชนโดยเจ้าหน้าที่รัฐกลางใจเมืองหลวงของประเทศไทย
.
การสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ขอคืนพื้นที่ เมษา’ 53 และกระชับวงล้อม พฤษภา’53 ภาพความโหดร้ายทารุณ ภาพผู้เสียชีวิตนับร้อย ผู้บาดเจ็บนับพัน ยังติดตรึงในความทรงจำของทุกคน หากย้อนมองกลับไป #ณวันนั้น นักวิชาการที่ทำงานเพื่อศึกษาการเติบโตและการเคลื่อนไหวมวลชนคนเสื้อแดง รวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์กลับมีไม่มากนัก
.
เพื่อเปิดเผยข้อมูลอีกด้าน เปิดโอกาสให้พบความจริงอีกแง่มุม เราได้พูดคุยกับนักวิชาการที่ได้ทำการศึกษาพลังการเรียกร้องประชาธิปไตยของคนเสื้อแดง เพื่อตอบคำถามและพิสูจน์ความจริงในวาทกรรมที่ถูกใช้ทำร้ายฝ่ายประชาชนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ‘คนเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง’
.
People’s Story Ep. 3 จึงไม่พลาดที่จะชวน 2 นักวิชาการที่ครั้งหนึ่งเคยถูกแปะป้ายว่าเป็น ‘นักวิชาการเสื้อแดง’ ได้แก่ ‘รศ.ดร.ยุกติ มุกดาวิจิตร อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มธ.’ หนึ่งในคณะวิจัยรายงานเรื่อง ‘ทบทวนภูมิทัศน์การเมืองไทย’ ที่มีโจทย์ใหญ่คือศึกษาที่มาที่ไปของคนเสื้อแดงทั้งในเชิงการเมืองและเศรษฐศาสตร์
.
และ ‘รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ’ หัวหน้าคณะผู้จัดทำรายงาน ‘ความจริงเพื่อความยุติธรรมเหตุการณ์และผลกระทบจากการสลายการชุมนุม เมษา – พฤษภา 53’ ผู้ตั้งใจคืนความจริง ชำระประวัติศาสตร์ และทวงความยุติธรรมจากรัฐ
.
วันพุธที่ 19 พฤษภาคมนี้ เวลา 20.00 น. ล้อมวงกันเข้ามา นั่งพูดคุยย้อนอดีตกับเดียร์ ขัตติยา สวัสดิผล และนักวิชาการทั้งสองท่าน ตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร’49 ไล่มาจนถึงพฤษภา’53 พวกเขาพบเจอข้อเท็จจริงและแรงเสียดท้านอะไรบ้าง ระหว่างทวงคืนความยุติธรรม (ที่ถูกรัฐพรากให้) หายไป
.
มาร่วมกัน #คืนความจริง กับ People’s Story ประชาชนต้นเรื่อง
-----
รายการนี้เป็นหนึ่งในการสื่อสารชุด #คืนความจริง เหตุเพราะเมื่อความจริงที่สังคมรับรู้ไม่ใกล้เคียงกับความจริงในความทรงจำของพี่น้องเสื้อแดง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง #คืนความจริง ให้ประชาชน
พรรคเพื่อไทยขอร่วมชำระประวัติศาสตร์ ถ่ายทอดความจริงหลากหลายแง่มุมที่ไม่ถูกพูดถึงของพี่น้องเสื้อแดง สดุดีขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและยืนหยัดเคียงข้างประชาชนผู้ที่ยังรอคอยความยุติธรรมที่ (ถูกทำให้) หายไป
(https://www.facebook.com/pheuthaiparty/photos/a.527931380573138/4338672746165630/?type=3)
.....
Puangthong Pawakapan
51m ·

เห็นแย่งกันเป็นแดงแท้ แดงก่อนใคร แดงกว่าใคร แล้วก็พยายามบอกว่าคนนั้นไม่ใช่ คนนี้ไม่ใช่ เป็นแค่พวก “ยืนเคียงข้างแดง” พูดง่ายๆ คือถ้าไม่ประกาศว่าตัวเองเป็นเสื้อแดง ต่อให้ทำอะไรไปบ้างก็ไม่สำคัญ 555555
ไม่ต้องกลัวค่ะ ดิฉันไม่แย่ง ไม่อ้าง ไม่เคลมความเป็นแดงใดๆ ทั้งสิ้นค่ะ ที่ทำอะไรไปบ้างก็เพราะคิดว่าต้องทำเท่านั้นเอง ส่วนใครจะติดป้ายให้เป็นอะไร หรือไม่ให้เป็นอะไร ดิฉันไม่ได้สนใจอยู่แล้ว เพราะก็โดนมาหมดแล้วจากทั้งเหลือง แดง สลิ่ม
ตั้งแต่รัฐประหารปี 2549 ดิฉันกับเพื่อนๆ กลุ่มสันติประชาธรรมทำกิจกรรมเคลื่อนไหวอยู่บ้างเพราะไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวหลายๆ อย่างของกลุ่มพันธมิตรฯ ช่วงปี 2554-56 ดิฉันเป็นหนึ่งในนักวิชาการไม่กี่คนที่ออกมาเถียงกับฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิไตย ในเรื่อง “ปราสาทพระวิหาร” ที่เกิดขึ้นในสมัยรบ.นายสมัคร สุนทรเวช (แม้ว่าส่วนตัวจะไม่เคยลืมว่านายสมัครเป็นพวกขวาจัดในยุค 6 ตุลาก็ตาม) ดิฉันยืนยันว่าไม่มีหลักฐานว่าตระกูลชินวัตรได้สัมปทานขุดเจาะน้ำมันในอ่าวไทยเพื่อแลกกับการสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ดิฉันยืนยันว่าสื่อฝ่ายขวาสร้างข้อมูลเท็จขึ้นมาโจมตีทักษิณ ปลุกไฟชาตินิยมเพื่อทำลายฝ่ายทักษิณ แม้ว่าจะถูกพวกพันธมิตรโจมตีว่าขายชาติ เป็นทาสทักษิณ เป็นทาสฮุนเซ็น ดิฉันก็ไม่แคร์ กรณีนี้พรรคและรบ.ฝ่ายทักษิณได้ประโยชน์เต็มๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดิฉันต้องกังวล
นักวิชาการท่านอื่นที่มีบทบาทสำคัญที่ร่วมกันท้าทายจุดยืนของกลุ่มพันธมิตรก็คือ อาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อ.พนัส ทัศนียานนท์ อาจารย์สุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ อาจารย์อัครพงษ์ ค่ำคูน เป็นต้น บางท่านที่เอ่ยชื่อมานี้ถูกเรียกว่า “ติ่งส้ม” ไปแล้ว
ดิฉันกับเพื่อนๆ กลุ่ม ศปช. ช่วยกันทำงานรายงาน “ความจริงเพื่อความยุติธรรม” ว่าด้วยการปราบปรามคนเสื้อแดงปี 53 พวกเราไม่ได้ทำให้ทักษิณ พวกเราทำให้กับประชาชนคนเสื้อแดงที่ถูกละเมิดสิทธิ แต่พรรคเพื่อไทยและ นปช. ได้ประโยชน์เต็มๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้พวกเราลังเลแม้แต่น้อย ... ปัจจุบันหลายคนที่ร่วมกันทำ ศปช.กลายเป็นสมาชิกของพรรคก้าวไกล หรือติ่งส้มไปแล้ว
นับแต่ปี 2553 ดิฉันยืนยันในทุกที่ที่มีโอกาสพูดเรื่องนี้ว่าต้องเอาคนผิดมาลงโทษให้ได้ ยืนยันว่าเราต้องยุติภาวะลอยนวลพ้นผิดในสังคมไทยให้ได้ ... มาวันนี้ดิฉันเรียกร้องให้พรรคการเมืองประกาศยอมรับเขตอำนาจ ICC เพื่อคืนความยุติธรรมให้คนตายปี 53 ดิฉันถูกด่าว่าเป็นสลิ่มเฟส 2... ก็ไม่ทำให้ดิฉันสะทกสะท้านใดๆ ทั้งสิ้น
ดิฉันกับเพื่อนนักวิชาการและนักกิจกรรมหลายคนร่วมกันจัดตั้งสมัชชาปกป้องประชาธิปไตย (สปป.) เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. 2556 เพื่อต่อกรกับ กปปส. - อ.ปิยบุตร แสงกนกกุล เป็นหนึ่งในกำลังหลักของกลุ่มนี้- พวกเราไม่ได้ทำเพื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่ทำเพื่อปกป้องหลักการประชาธิปไตยและรัฐบาลจากการเลือกตั้ง แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยได้รับประโยชน์แน่ๆ ก็ไม่ใช่ประเด็นที่จะมาหยุดพวกเราไม่ให้ทำ – นักวิชาการและนักกิจกรรมอย่างน้อย 5 คนของ สปป. ถูก คสช. เรียกปรับทัศนคติ บางคนถูกดำเนินคดี
ดิฉันคัดค้านนโยบายปราบยาเสพติดของคุณทักษิณมานานแล้ว แต่ไม่ใช่เพราะเกลียดคุณทักษิณ ดิฉันไม่รู้สึกอะไรกับเขา ไม่ได้รักและไม่ได้เกลียด นโยบายหลายอย่างของฝ่ายทักษิณดีมาก ไม่ว่าจะเป็น 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน OTOP โครงการส่งเสริมศักยภาพผู้หญิง รวมทั้งโครงการที่ถูกล้มไป - รถไฟความเร็วสูง โครงการป้องกันน้ำท่วมเขตอุตสาหกรรมภาคกลาง - ให้สัมภาษณ์สื่อหลายครั้งก็พูดถึงโครงการเหล่านี้ แต่นโยบายที่แย่ ดิฉันก็วิจารณ์ตรงๆ .... ดิฉันไม่เคยกลัวถูกฝ่ายไหนถล่มทั้งสิ้น
สุดท้ายนี้ สำหรับคดีปี 53 ดิฉันขอนำบางส่วนของ “คำนำ” ที่ดิฉันเขียนไว้ในรายงาน “ความจริงเพื่อความยุติธรรม” มาแปะไว้ตรงนี้อีกครั้ง เพื่อให้เราได้ถามตนเองว่าเราแคร์กับความยุติธรรมกันจริงๆ หรือ? ทำไมความยุติธรรมในสังคมนี้จึงต้องถูก “แขวน” ไว้ก่อน? ทำไมความยุติธรรมต้อง “หลีกทาง” ให้กับเรื่องอื่นๆ อยู่เสมอ?
############
บทนำ "ความจริงเพื่อความยุติธรรม"
ไม่นานหลังการปราบปรามการชุมนุมคนเสื้อแดง เสียงเรียกร้องให้มีการสมานฉันท์ สามัคคี ปรองดองก็ดังกระหึ่มขึ้น เสียงร้องเหล่านี้มักแฝงมากับการบอกให้ประชาชนช่วยกัน “ทำให้สังคมก้าวไปข้างหน้า” “ห้นหน้ามาคืนดีกัน” “เลิกแบ่งสีแบ่งฝ่าย” ซึ่งแท้ที่จริงก็คือการบอกให้ผู้ถูกกระทำ “ลืม เงียบเฉย และยอมจำนน” ต่อความอยุติธรรมนั่นเอง เหตุการณ์ทำนองนี้เป็นสิ่งที่ผู้มีอานาจและปัญญาชนที่สนับสนุนพวกเขากระทำบ่อยครั้งในอดีต ดังจะเห็นว่าความรุนแรงทางการเมืองทุกครั้งในประเทศไทย จบลงด้วยการนิรโทษกรรมให้แก่ผู้อยู่เบื้องหลังการปราบปรามประชาชน ซึ่งเป็นการเปลี่ยนอาชญากรรมของรัฐต่อประชาชน ให้กลายเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ความเงียบและการยอมจำนนของเหยื่อจึงเป็นด้านมืดของวัฒนธรรมการเมืองไทยที่บูชา “ความมั่นคง” “ความสามัคคี” “ความปรองดอง” แต่ดูถูกเหยียบยํ่าสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ถูกกระทำ เป็นวัฒนธรรมการเมืองที่ช่วยกันโอบอุ้มประเพณีของการปล่อยให้ผู้กระทำผิดที่มีอำนาจลอยนวล (culture of impunity) เป็นภาวะด้านชาและมืดบอดต่อความเจ็บปวดของคนร่วมสังคมเดียวกัน เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่จนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกันกับจิตวิญญาณของการเป็นพลเมืองไทยที่ดี ที่ถูกกล่อมเกลาด้วยวาทกรรมรักชาติตลอดมา
แต่ในกรณีของไทย เสียงเรียกร้องให้มีความปรองดองนั้นดังกระหึ่ม ขณะที่เสียงเตือนให้สังคมต้องมุ่งไปที่การแสวงหาความจริงและนำผู้กระทำผิดมาลงโทษกลับอ่อนแอกระปลกกระเปลี้ย สำหรับสังคมไทย ความจริงและความยุติธรรมไม่ใช่สิ่งที่มีความสำคัญแม้แต่น้อย ฝ่ายที่มีอำนาจรัฐและบรรดาปัญญาชนที่ช่วยปกป้อง อำนาจเหล่านี้ต่างช่วยกัน “มอมยา” ให้ผู้คนในสังคมคล้อยตามไปกับการปล่อยให้ผู้กระทำผิดลอยนวล โดยไม่ต้องคิดมากว่าเหตุการณ์อาชญากรรมโดยรัฐจะกลับมาทำร้ายประชาชนในอนาคตซํ้าแล้วซํ้าเล่าอีกหรือไม่ เราอยู่กับปัจจุบันเสียจนไม่ยี่หระกับอนาคตของตนเอง ไม่ยี่หระต่ออนาคตของสังคมไทย ไม่ยี่หระกับโศกนาฏกรรมที่เราทิ้งไว้ให้แก่ของคนรุ่นหลัง
***รายงานฉบับนี้เป็นเสมือนคำประกาศต่อสังคมไทยว่า วัฒนธรรมแห่งการปล่อยให้ผู้กระทำผิดที่มีอำนาจลอยนวล และการเหยียบยํ่าสิทธิในชีวิตและความเป็นคนจะต้องยุติลงในสังคมไทยเสียที ถึงเวลาที่คนรุ่นใหม่จะต้องช่วยกันรื้อถอนวัฒนธรรมการเมืองอันน่ารังเกียจที่ครอบงำสังคมไทยนี้ เราขอเน้นยํ้าว่า ความจริงและความยุติธรรมมีความสำคัญมากกว่าความปรองดองอันหลอกลวงฉาบฉวย ความจริงและความยุติธรรมมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างสังคมใหม่ ที่คุณค่าและศักดิ์ศรีของประชาชนทุกชนชั้นต้องได้รับการเคารพและปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน***
กรกฎาคม 2555
.....
(https://www.facebook.com/puangthong.r.pawakapan/posts/6359223650795007)