100 Women : ปัจจัยอะไรทำให้ผู้หญิงทั่วโลกรู้สึกโกรธง่ายขึ้น
สเตฟานี เฮการ์ตี
ผู้สื่อข่าวประชากร
9 ธันวาคม 2022
บีบีซีไทย
ผลสำรวจความคิดเห็นประจำปีของแกลลัพ (Gallup) บ่งชี้ว่า ผู้หญิงโดยเฉลี่ยทั่วโลก มีความรู้สึกโกรธเพิ่มขึ้นในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
เมื่อ 2 ปีก่อน ทาห์ชา เรเน ยืนอยู่ในห้องครัว แล้วจู่ ๆ ก็พบว่าตัวเองกรีดร้องออกมาสุดเสียง เธอรู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาก
ตอนนั้นเป็นช่วงกลางของวิกฤตโควิด และทาห์ชาก็รู้สึกทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอใช้เวลา 20 นาทีก่อนหน้านั้นเดินวนเวียนอยู่ในบ้านเพื่อคิดทบทวนถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้เธอรู้สึกโกรธ
แต่หลังจากได้กรีดร้องออกมาดัง ๆ ทาห์ชารู้สึกถึงความผ่อนคลายในร่างกาย
นับตั้งแต่นั้นเธอและคู่รัก แจคเกอลีน เฟธ ได้ตั้งกลุ่มรวบรวมผู้หญิงจากทั่วโลกให้พบปะกันทางแอปพลิเคชันซูม เพื่อพูดคุยถึงความรู้สึกโกรธของพวกเธอ แล้วกรีดร้องเพื่อปลดปล่อยความรู้สึกโกรธเหล่านี้ออกมาด้วยกัน
ผู้หญิงหลายคนที่เข้าร่วมกลุ่มบอกว่ากิจกรรมนี้ช่วยเปลี่ยนชีวิตของพวกเธอ
การวิเคราะห์ผลสำรวจความคิดเห็นคนทั่วโลกของแกลลัพ (Gallup World Poll) ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2012-2021) บ่งชี้ว่าผู้หญิงรู้สึกโกรธมากขึ้น
การสำรวจนี้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยสอบถามความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างกว่า 120,000 คนในกว่า 150 ประเทศทั่วโลก ถึงความรู้สึกด้านต่าง ๆ
เมื่อพิจารณาถึงความรู้สึกเชิงลบ โดยเฉพาะความโกรธ ความเศร้า ความเครียด และความวิตกกังวล พบว่าผู้หญิงเกิดความรู้สึกเหล่านี้บ่อยกว่าผู้ชาย
ผลการวิเคราะห์ของบีบีซีพบว่านับแต่ปี 2012 ผู้หญิงและผู้ชายมีระดับความรู้สึกเชิงลบเพิ่มขึ้นแทบทุกปี แต่ในภาพรวมผู้หญิงมีความรู้สึกเหล่านี้มากกว่าผู้ชาย
ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่าในปี 2012 หญิงและชายมีความรู้สึกโกรธในระดับเดียวกัน ทว่า 9 ปีให้หลังกลับพบว่าผู้หญิงมีความรู้สึกโกรธมากกว่าราว 6% รวมทั้งมีระดับความเครียดมากกว่าด้วย ซึ่งความแตกต่างนี้สะท้อนเห็นได้ชัดเจนในช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด
ผลสำรวจความคิดเห็นประจำปีของแกลลัพ (Gallup) บ่งชี้ว่า ผู้หญิงโดยเฉลี่ยทั่วโลก มีความรู้สึกโกรธเพิ่มขึ้นในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
เมื่อ 2 ปีก่อน ทาห์ชา เรเน ยืนอยู่ในห้องครัว แล้วจู่ ๆ ก็พบว่าตัวเองกรีดร้องออกมาสุดเสียง เธอรู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาก
ตอนนั้นเป็นช่วงกลางของวิกฤตโควิด และทาห์ชาก็รู้สึกทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอใช้เวลา 20 นาทีก่อนหน้านั้นเดินวนเวียนอยู่ในบ้านเพื่อคิดทบทวนถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้เธอรู้สึกโกรธ
แต่หลังจากได้กรีดร้องออกมาดัง ๆ ทาห์ชารู้สึกถึงความผ่อนคลายในร่างกาย
นับตั้งแต่นั้นเธอและคู่รัก แจคเกอลีน เฟธ ได้ตั้งกลุ่มรวบรวมผู้หญิงจากทั่วโลกให้พบปะกันทางแอปพลิเคชันซูม เพื่อพูดคุยถึงความรู้สึกโกรธของพวกเธอ แล้วกรีดร้องเพื่อปลดปล่อยความรู้สึกโกรธเหล่านี้ออกมาด้วยกัน
ผู้หญิงหลายคนที่เข้าร่วมกลุ่มบอกว่ากิจกรรมนี้ช่วยเปลี่ยนชีวิตของพวกเธอ
การวิเคราะห์ผลสำรวจความคิดเห็นคนทั่วโลกของแกลลัพ (Gallup World Poll) ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2012-2021) บ่งชี้ว่าผู้หญิงรู้สึกโกรธมากขึ้น
การสำรวจนี้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยสอบถามความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างกว่า 120,000 คนในกว่า 150 ประเทศทั่วโลก ถึงความรู้สึกด้านต่าง ๆ
เมื่อพิจารณาถึงความรู้สึกเชิงลบ โดยเฉพาะความโกรธ ความเศร้า ความเครียด และความวิตกกังวล พบว่าผู้หญิงเกิดความรู้สึกเหล่านี้บ่อยกว่าผู้ชาย
ผลการวิเคราะห์ของบีบีซีพบว่านับแต่ปี 2012 ผู้หญิงและผู้ชายมีระดับความรู้สึกเชิงลบเพิ่มขึ้นแทบทุกปี แต่ในภาพรวมผู้หญิงมีความรู้สึกเหล่านี้มากกว่าผู้ชาย
ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่าในปี 2012 หญิงและชายมีความรู้สึกโกรธในระดับเดียวกัน ทว่า 9 ปีให้หลังกลับพบว่าผู้หญิงมีความรู้สึกโกรธมากกว่าราว 6% รวมทั้งมีระดับความเครียดมากกว่าด้วย ซึ่งความแตกต่างนี้สะท้อนเห็นได้ชัดเจนในช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด
แนวโน้มนี้ไม่ใช่เรื่องที่สร้างความแปลกใจให้แก่ ซาราห์ ฮาร์มอน นักจิตบำบัดในสหรัฐฯ
ในช่วงต้นปี 2021 เธอได้รวบรวมกลุ่มลูกค้าหญิงเพื่อไปทำกิจกรรมยืนกรีดร้องกลางทุ่ง
"ฉันเป็นแม่ของลูกเล็ก 2 คนที่ทำงานจากบ้าน และต้องเผชิญความเครียดสะสมจากเรื่องน่าหงุดหงิดเล็ก ๆ น้อย ๆ จนกลายเป็นอารมณ์โกรธเดือดดาล" เธอเล่า
ซาราห์เชื่อว่า เธอตกอยู่ในห้วงที่ผู้หญิงทั่วโลกต้องเผชิญไม่ต่างกัน นั่นคือความคับข้องใจจากภาระต่าง ๆ ในช่วงโควิดที่ผู้หญิงต้องแบกรับไว้มากกว่าผู้ชาย
ผลสำรวจความคิดเห็นของพ่อแม่ในอังกฤษเกือบ 5,000 คนในปี 2020 พบว่า แม่มีภาระความรับผิดชอบเรื่องต่าง ๆ ในบ้านมากกว่าพ่อในช่วงล็อกดาวน์ ด้วยเหตุนี้พวกเธอจึงต้องลดชั่วโมงการทำงานประจำลง แม้ว่าแม่บางคนจะฝ่ายหาเงินได้มากกว่าพ่อก็ตาม
ในบางประเทศ ความโกรธระหว่างผู้หญิงและผู้ชายแตกต่างกันอย่างมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ยกตัวอย่างกัมพูชาที่ผู้หญิงมีความรู้สึกโกรธมากกว่าผู้ชาย 17% ในปี 2021 ขณะที่อินเดียและปากีสถานอยู่ที่ประมาณ 12%
ดร.ลักษมี วิชัยกุมาร จิตแพทย์ชาวอินเดียเชื่อว่านี่เป็นผลจากความตึงเครียดที่เกิดขึ้นเนื่องจากผู้หญิงในประเทศเหล่านี้มีการศึกษา มีงานทำ และสามารถพึ่งพาตนเองในด้านเศรษฐกิจได้มากขึ้น
"แต่ขณะเดียวกัน พวกเธอยังถูกพันธนาการด้วยระบบชายเป็นใหญ่ และวัฒนธรรมที่ล้าหลัง" เธออธิบาย "ความไม่สอดคล้องกันระหว่างระบบชายเป็นใหญ่ที่บ้านกับผู้หญิงที่มีอิสระเมื่ออยู่นอกบ้านคือตัวจุดชนวนความโกรธ"
ดร.ลักษมีบอกว่า ในอดีตถือเป็นเรื่องไม่เหมาะสมที่ผู้หญิงจะบอกว่าพวกเธอรู้สึกโกรธ แต่มันได้เปลี่ยนไปแล้ว "ปัจจุบันผู้หญิงสามารถแสดงออกทางความรู้สึกได้ออกมากขึ้น จึงทำให้ความโกรธมีมากขึ้นตาม"
นอกจากนี้ ผลกระทบจากวิกฤตโควิดที่มีต่องานของผู้หญิงก็อาจมีส่วนทำให้ผู้หญิงรู้สึกโกรธมากขึ้น
จิเนตต์ อาซโคนา นักวิทยาศาสตร์เชิงข้อมูลจากองค์การเพื่อสตรีแห่งสหประชาชาติ (UN Women) ระบุว่า ก่อนหน้าปี 2020 มีความคืบหน้าช้า ๆ เรื่องผู้หญิงเข้าสู่ตลาดแรงงาน แต่ในปี 2020 ความคืบหน้านี้ได้หยุดชะงักลง คาดว่าตัวเลขของผู้หญิงใน 169 ประเทศที่มีงานทำในปีนี้จะอยู่ระดับต่ำกว่าในปี 2019
โซรายา เชมาลี นักเขียนเรื่องสตรีนิยมที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ ได้เห็นว่าภาวะหมดไฟในการทำงานส่วนใหญ่เกิดขึ้นในงานที่คนส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง เช่น งานดูแลผู้ป่วย ซึ่งมีค่าตอบแทนต่ำ แต่คนทำงานต้องเก็บกดความอารมณ์รู้สึกโกรธไว้ภายใน อีกทั้งยังถูกคาดหวังให้ทำงานอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
โซรายาระบุว่า ในสหรัฐฯ มีงานเขียนมากมายถึงภาระที่ผู้หญิงต้องเผชิญในช่วงวิกฤตโควิด แต่ผลสำรวจ Gallup World Poll กลับไม่บ่งชี้ว่าผู้หญิงรู้สึกโกรธมากกว่าผู้ชาย
"ผู้หญิงในสหรัฐฯ รู้สึกอับอายเกี่ยวกับความโกรธ" เธอกล่าว
อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงในหลายประเทศไม่รู้สึกอายที่เปิดเผยความรู้สึกเชิงลบออกมา โดยผู้หญิงในบราซิล อุรุกวัย เปรู ไซปรัส และกรีซ บอกว่ารู้สึกเครียดมากกว่าผู้ชาย ในบราซิลพบว่าผู้หญิงเกือบ 6 ใน 10 คนบอกว่ารู้สึกเครียดในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับผู้ชาย 4 ใน 10 คนที่รู้สึกแบบเดียวกัน
แต่ทาห์ชา เรเน คิดว่าตอนนี้ผู้หญิงจำนวนมากในสหรัฐฯ และที่อื่น ๆ ทั่วโลกมาถึงจุดที่สามารถพูดได้ว่า "พอกันที"
เธอบอกว่า "ในแง่หนึ่งมันทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง และผู้หญิงกำลังใช้ความโกรธของพวกเธอสร้างความเปลี่ยนแปลง"
จิเนตต์ อาซโคนาเห็นด้วยกับเรื่องนี้ "คุณต้องใช้ความโกรธความเดือดดาล...บางครั้งคุณจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เพื่อให้ผู้คนหันมาสนใจและรับฟัง"
วารสารเชิงข้อมูลโดย ลีอานา บราโว, คริสติน เจียแวนส์ และเฮเลนา โรซิกกา
รายงานเพิ่มเติมโดย จอร์จีนา เพียร์ซ, รีเบกกา ธอร์น, เวเลอเรีย เปราสโซ และลารา โอเวน